เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Walker PhukradungOil Na'thamonn
03 - ปีนเขาวันแรก
  • 5.45 AM
    พี่กราวน์โฮสเตสส์ - ผานกเค้า ครับผานกเค้า

    เราสะดุ้งตื่นเพราะอ้อมสะกิด (อ่าว! สัส) 

    อ้อม - มึงๆ ถึงผานกเค้าแล้ว ลงตรงนี้เลยป่ะ
    เราที่กำลังงวงเงียมาก แต่เมื่อได้ยินเพื่อนพูดงั้นก็ตาเบิกโพลง
    เรา - ใช่ๆ ลงตรงนี้เลย / พี่คะ หนูลงนี้คะ (ตะโกนบอกพี่กราวน์โฮสเตสส์)

    เราสองคนลงจากรถพร้อมหยิบสัมภาระทั้งหมดที่นำมาก่อนจะยืนนิ่งๆ โง่ๆ รอรถทัวร์ขับผ่านไป 
    พลางโบกมือบ๊ายบายให้พี่โชฟเฟอร์และพี่กราวน์โฮสเตสส์

    [มันเป็นช็อตที่ วางกล้องไว้นิ่งๆ แล้วถ่ายไปอีกฝากของถนน 
    จะเห็นรถทัวร์คันหนึ่งจอดอยู่ประมาน 5 นาที
    หลังจากนั้น รถทัวร์ก็เคลื่อนผ่านเฟรมไป 
    โดยทิ้งเด็กหน้าตามึนงง หลงทางไว้สองคน อย่างไร้เยื่อใย]

    เรากับอ้อมยืนตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะออกเดินไปเรียบทางถนนด้านขวามือ 
    เรา - ไหนเค้าบอกว่า มีร้านอาหารไงวะ ไม่เห็นมีเลย (ชะเง้อดูด้านขวามือของตัวเอง) มีแต่ร้านขายหมวกเต็มไปหมดด้านหลังเราเนี้ย
    อ้อม - เออไหนวะ 

    เราเริ่มงงว่าทางที่เราเดินไปมันใช่รึป่าว จนหันไปมองฝั่งตรงข้ามถนนที่เรายืนอยู่
    เรา - โอะ นั้นไง ใช่ป่ะวะ
    อ้อม - เออใช่ป่ะวะ
    เรา - ข้ามไปดูก่อนมั้ยมึง กูว่าใช่ 

    เราสองคนข้ามถนนอย่างระมัดระวัง โดยไม่มองถนน (ก็ช่วงนั้น แมร่งไม่มีรถอะ)
    พวกเราเดินตรงไปที่โต๊ะว่างหน้าร้าน ที่เหลืออยู่ แล้วรีบทำสัญลักษณ์แสดงความเป็นเจ้าของ
    โดยการวางสัมภาระให้เต็มโต๊ะให้ได้มากที่สุด และสลับกันไปเข้าห้องน้ำ ซื้อขนม

    อ้อมเข้าห้องน้ำอย่างเดียวไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่ม ส่วนเราด้วยความหนาวที่มีอุณหภูมิประมาน 18 องศา
    ทำให้เราต้องรีบไปชงโอวัลตินมากิน เพื่อประทังความหนาว 

    6.00 AM
    รถประจำทางพร้อมให้บริการจากผานกเค้า ไปภูกระดึงแล้ว เราสองคนไม่รอช้าเดินไปต่อคิวและขึ้นรถไปกับผู้ร่วมเดินทางอีกประมาน 6 คน (รวมเราสองคนก็เป็น 8) 

    ระหว่างทางทุกคนจะตื่นตากับแสงอาทิตย์อัสดงตรงเส้นขอบฟ้าละติจูดที่ 37 องศา 33 ลิปดาเหนือ (เพื่อ!) พร้อมกับทางถนนที่ตรงเป็นทางยาว มีทางลาดชันเป็นระยะ สวยงาม และมีแบล็คกราวน์ เป็นผานกเค้าสูงตระหง่าน 

    6.30 AM 
    ถึงอุทยานภูกระดึงแห่งชาติ ซึ่งทางอุทยานจะเปิดให้ซื้อตั๋วปีนเขาในเวลา 7.00 AM ทำให้เรามีเวลาว่างเดินชมรอบๆ อุทยานและเกิดความลังเลใจว่าจะซื้อรองเท้าใหม่เพื่อปีนเขา หรือใส่ Nike ของเราขึ้นไป ด้วยความที่เป็นคนค่อนข้างรักรองเท้า Nike อย่างถึงที่สุดจึงทำให้เป็นห่วงรองเท้ามาก 

    ก่อนจะมาทริปนี้เราได้ปรึกษาแม่ ,เพื่อน ,รุ่นพี่ และรุ่นน้อง ถึงสภาพรองเท้าตอนถึงยอดเขาว่าอยู่รอดปลอดภัยดีมั้ย ทุกคนตอบมาเป็นเสียงเดียวกันว่า อาจจะมีเลอะบ้างเล็กน้อย ความรู้สึกตอนนั้นหวิวๆ และพานิคมาก เพราะเรามักจะเป็นเอ็นร้อยหวายอยู่บ่อยครั้ง จึงมีความจำเป็นต้องใส่รองเท้าที่เซฟข้อเท้าให้ดีที่สุด แต่อีกใจนึงก็กลัวรองเท้าคู่ใจเลอะ แต่สุดท้ายก็ใส่ปีนเขาจนได้ (จะร่ายยาวเพื่อ!)

    (เรารู้ว่านายต้องการภาพกัน หลังจากนี้เราจะใส่ให้)

    7.00 AM
    ซื้อตั๋วขึ้นเขา พร้อมแจ้งชำระเงินเรื่องเต็น ก่อนออกเดินทางไปปีนเขา แต่เราไม่แข็งแรงพอที่จะสามารถแบกกระเป๋า 7 กิโล ขึ้นเขาได้ด้วยตัวเอง จึงจำเป็นต้องใช้บริการลูกหาบ 

    ซึ่งเป็นบริการที่ยอดเยี่ยมกระเทียมดองมากๆ เพียงแค่คุณเดินตรงไปที่จุดรับ-ส่งสัมภาระ และเซ็นชื่อของคุณลงในกระดาษที่ทางอุทยานเตรียมไว้ให้ แค่นี้พี่หาบของเราก็จะติดแท๊กกระเป๋าให้เหมือนกับเวลาเราต้องการโหลดกระเป๋าลงเครื่อง เพียงแต่แตกต่างกันนิดหน่อยตรงที่ ตัวแท๊กเป็นหนังกะติ๊กเท่านั้นเอง



    7.20 AM
    หลังจากทำตามขั้นตอนของอุทยานเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่จะได้ปีนเขาสักที เราเริ่มจากการก้าวเท้าซ้ายแล้วต่อด้วยเท้าขวา (ถรุ้ย) ก่อนขึ้นก็ขอถ่ายป้ายนิดนึง 'ครั้งหนึ่งในชีวิต ขอพิชิต ภูกระดึง' 

    ตอนนั้นคิดว่า 'เอาวะ ครั้งนึงกูมาถ่ายกับป้ายนี้ละ จะถึงไม่ถึงกูก็ได้มาขอพิชิตละ ไม่เป็นไรหรอก ช่างมัน' แต่พอมาคิดอีกที แมร่งไม่ได้หวะ เพราะจ้างลูกหาบให้หาบกระเป๋าขึ้นไปแล้ว ยังไงก็ต้องขึ้นไป เลยต้องสู้สุดใจ 





    ช่วงระหว่างตีนเขาจนถึงซำแฮกมีระยะทางประมาน 1 กิโล ซึ่งเราสองคนทำเวลาได้ดีมาก ด้วยความที่เป็นนักปีนมืออาชีพเลยแทบไม่หยุดพัก 

    ตัดภาพมา
    เดินได้ 50 ก้าว 
    อ้อม - พักแปป 
    เรา - เออๆ แมร่งเหนื่อยหวะ 

    อย่างน้อยเราคิดว่าเราก็ดีกว่า โป (กังฟูแพนด้า ที่เดินบันได 5 ขั้นก็เหนื่อยแล้ว) 



    ระหว่างที่นั่งพักเราก็นั่งนับคนที่เดินผ่านเราไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะพี่หาบ เราสถาปนาให้พี่หาบทั้งหลายเป็นเจ้าแห่งภู เพราะรู้สึกว่าการหิวกระเป๋าหรือสัมภาระใดใดก็ตาม รอบละ 60 กิโลเป็นอะไรที่โครตสุดยอด 

    อันที่จริงเราแอบไปถามคนวงในมาว่าทำไมพี่หาบเขาถึงทำได้ขนาดนี้ ซึ่งก็ได้คำตอบมาว่า การจะเป็นลูกหาบได้จำเป็นจะต้องเข้าคอร์สกับ ซุปเปอร์ฮีโร่ของทางมาร์เวล โดยจะมีการลงสมัครแค่ปีละครั้งเท่านั้น นั่นหมายความว่าเขาเป็นยอดมนุษย์ (เราเรียกพี่หาบว่ายอดมนุษย์ภาคพื้นดิน) เพราะเขาสามารถขึ้นลงยอดเขา ตีนเขาได้หลายเที่ยวต่อหนึ่งวัน พี่หาบทั้งหลายแมร่งยอดเขาจริงๆหวะ เอ้ย ยอดมนุษย์ เอ้ยถูกแล้ว (มุกกากเก่าสมัยเราเรียนประถม)

    นอกเรื่องเยอะไปละ เรากลับมาเข้าเรื่องของเราดีกว่า

    ช่วงขึ้นซำแรกยังไม่ค่อยมีเหตุการณ์อะไรพิเศษ แต่สำหรับคนที่เพิ่งปีนเขามือใหม่อย่างพวกเรา เรียกว่าเหนื่อยมาก เราพักกันทุก 10 นาทีโดยเฉลี่ย 


    8.00 AM
    ซำแฮก
    เราถึงซำแฮกเวลา 8.00 น โดยประมาน ด้วยความหิวโหยเหมือนเด็กหลงทางแล้วไม่ได้กินข้าวมาสามวัน เราจึงพักรับประทานอาหารเช้าที่ซำแฮก เนื่องจากซำที่สูงขึ้นไปราคาอาหารก็จะเปลี่ยนตาม ซึ่งราคาอาหารที่ซำแฮกยังอยู่ในเกณฑ์ที่เรารับได้ เราจึงตัดสินใจกินกันที่นี่ 

    เป็นการกินข้าวไข่เจียวที่พิเศษสุด เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้กินข้าวไข่เจียวกลางเขาแบบนี้ บอกเลยว่าวิวดีมาก แม้ว่าความสูงตอนนี้จะสูงแค่ 500 เมตร จากระดับน้ำทะเลก็เถอะ

    หลังจากกินข้าวไข่เจียวเสร็จเราก็ออกเดินทางต่ออย่างมุมานะเพื่อที่จะขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุด ด้วยแรงและพลังที่เต็มเปี่ยมซึ่งได้รับมาจากข้าวไข่เจียวเมื่อครู่ทำให้เรา เดินคล่องขึ้น แต่แน่นอนว่าเราไม่ใช่คนแข็งแรงถึงขนาดที่จะไม่หยุดพักกันเลย อันที่จริงเราก็มีคอนเซปในการเดินแบบวิถีเรา คือ กินลมชมวิวชิวๆ ตามสไตล์คนว่างงาน 

    เพราะคอนเซปนี้จึงทำให้เราชิวกับการปีนเขามากกกกกกก 



    ถ้าเหนื่อยก็พัก ถ้าอยากได้กระเป๋ากลับก็เดิน นี้คือประโยคที่เป็นแรงจูงใจอย่างดีสำหรับคนที่จ้างลูกหาบและหลวมตัวปีนขึ้นเขามาแล้ว /อนุญาติให้เอาไปใช้ได้ สัญญาว่าจะไม่จดลิขสิทธิ์ (ฮ่าๆ) 


    ในที่สุดเราก็มาถึงซำกกหว้า บอกเลยว่าเดินผ่านมา 4 ซำเป็นอะไรที่ชี้ชำระกำใจมาก ถ้ารองเท้าเซฟเท้าไม่ดีมีหวัง

    พัง ... พัง ..... พัง!  แน่นอน

    เพราะงั้นสำหรับใครที่จะมาปีนเขาแนะนำว่าให้ใส่รองเท้าคู่กายสบายเท้าที่สุดมาจะดีกว่า มันจะทำให้การปีนเขาสนุกและสบายขึ้น 

    เชื่อเราสิ คอนเฟิร์มให้เลยอ๊ะ !

    มาถึงซำกกหว้า เราก็รีบพักร่างโดยไม่ได้นัดหมาย วิธีการพักของเราสองคนคือการนั่งนิ่งๆ คุยกันน้อยๆ มองวิวเยอะๆ ตามวิถีของเพื่อนที่ไม่ได้สนิทกันมาก ซึ่งแน่นอนว่ามันมีระยะห่างอยู่หลายสเตป แต่ก็ถือว่าเข้าใจกัน ไม่ได้อึดอัดอะไร 

    อ้อมเป็นเพื่อนร่วมทริปที่ยอดเยี่ยมคนนึง เพราะเราสองคนรู้กันอยู่แล้วว่าเราสามารถช่วยตัวเองได้ เวลาอยากจะเดินไปไหนคนเดียวก็สามารถทิ้งกันได้โดยที่ไม่โกรธกัน หลายคนอาจจะมีเพื่อนร่วมทริปที่ไม่สามารถปล่อยหรือแยกกันเดินได้ แต่อ้อมไม่ใช่แบบนั้น ซึ่งเรามองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี มันจึงทำให้การมาทริปนี้สะดวกกายสบายใจและเป็นอิสระมากขึ้น (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเดินคนละทางนะ)


    เราออกเดินทางอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีหยุดพักเป็นระยะ และระหว่างทางก็จะเจอคนที่สวนลงมา เรากับอ้อมก็มักจะถามถึงระยะทางที่จะถึงยอดเขาเสมอ ซึ่งทุกคนก็ตอบเหมือนกันว่า 

    ใกล้แล้ว ใกล้ถึงแล้ว!  





    ตัดภาพมา
    เรายังอยู่ซำกกโดน ทุกซำที่ผ่านไปเป็นเหมือนการนับถอยหลังสู่จุดสูงสุดของภูกระดึง เราจะแวะดูทุกซำว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน เพื่อสร้างกำลังใจในการเดินต่อไป ซึ่งระหว่างทางเราก็จะเจอกับสะพานแบบมินิมอล

    ทุกครั้งที่ได้เจอสะพานเราจะรู้สึกตื่นเต้น เพราะรู้สึกว่ามันน่ารัก นอกจากนั้นก็ยังมี บันไดเสียวขา และก็ทางชันระดับสิบ ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือสิ่งที่ต้องทำก่อนที่จะถึงจุดสูงสุดของภูกระดึง ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ไม่มีทางเลือก จะโทรเรียกฮอหรือตะโกนเรียกเมฆสีทองให้มารับก็เกรงว่าจะรบกวน ซุน โงกุน เขาคงยุ่งๆ กับการตามหาลูกแก้วมังกร เพราะงั้นเราก็ต้องใช้ศักยภาพของเรานี้แหละ จะได้รู้สึกภูมิใจตอนที่ไปถึงจุดหมาย 



    และแล้วเราก็มาถึงด่านสุดท้าย เพื่อท้าทายความกล้าของเรา ซึ่งภาพตรงหน้าเราในตอนนั้นคือบันไดสูง 22 ขั้น ซ้อนกันจนแทบไม่เหลือที่ให้ยกขาได้ เป็นบันไดที่ชันที่สุดที่เคยเห็นตั้งแต่เกิดมา 

    ตอนนั้นเราคิดว่าเขาไม่ทำบันไดลิงให้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว 

    พอเรารู้ว่าจุดที่ยืนอยู่มันใกล้จะถึงยอดเขาเราจึงมีกำลังใจในการปีนมากขึ้น พวกเราจึงกัดฟันปีนไปให้ถึงรวดเดียวแบบไม่หยุดพัก 


    12.15 PM
    พิชิตแล้วนะ ยอดเขาภูกระดึง วุ๊วฮู้วว !

    ความรู้สึกตอนนั้นบอกได้เลยว่าดีใจและภูมิใจมาก มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับการพยายามทำอะไรสักอย่างแล้วมันสำเร็จ มันเป็นความรู้สึกที่อยากให้เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่มันก็ต้องแลกกับความเหนื่อยยากลำบากก่อนที่จะเกิดความรู้สึกแบบนี้ 

    เราแวะพักถ่ายรูป นั่งเล่นอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเจอภารกิจต่อไปคือ 
    เดินไปจุดบริการนักท่องเที่ยว

    ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมารวมกันพักผ่อนที่นี้ และระยะทางจากยอดภูกระดึงที่เราอยู่จนถึงที่พักก็ไม่ใช่น้อยๆเลย ระยะทางในการไปจุดบริการนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 3 กิโลเมตร ก่อนหน้านี้เราได้ซักถามพี่ๆ ที่เดินลงมาจากยอดว่า

    เรา - อีกไกลมั้ยคะพี่
    พี่ดาวน์ (ตั้งชื่อเอง) - อีกไม่ไกลละค่ะ เดี๊ยวเลี้ยงตรงนี้ก็ถึงละ แต่ต้องเดินไปที่พักอีก 3 กิโล
    เรา - 3 กิโล ! ทางเดินเป็นไงคะพี่
    พี่ดาวน์ - อ่อ ก็ทางเรียบๆ อะ 
    เรา - อ่อ สบายละไม่เป็นไร ชิวๆ
    พี่ดาวน์ - เดี๊ยวรู้เลย น้องลองไปเดินเองละกัน

    พี่ดาวน์ทิ้งท้ายได้น่ารักจริงๆ 

    ตอนนั้นเราก็รู้สึกเฉยๆ จนได้ลองเดินจริงๆ จึงเข้าใจว่า
    แมร่ง!! ดูดพลังพอพอกับปีนเขาเลย 


    ความแตกต่างระหว่างปีเขากับการเดินไปที่พัก ที่เห็นชัดๆ คงจะเป็นเรื่องของแดดที่แรงมาก แต่ลมหนาวทำให้รู้สึกเฉยๆ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงมันแรงกว่าพื้นราบเพียงแต่เราไม่รู้สึก 

    แต่สิ่งที่สัมผัสได้แน่ๆ คือความยากลำบากในการเดินบนทราย หลายคนที่เคยไปทะเลคงเข้าใจดีว่า การเดินบนทรายค่อนข้างดูดพลังงานชีวิตมาก และอย่าคิดว่าการปีนเขาจะมีแต่ดิน

    ไม่ใช่จ้าาาา ทรายตรึม !

    ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพราะถ้าเราใส่รองเท้าคู่ใจมามันจะทำให้อุปสรรคในการเดินลดลง 

    ด้วยความเหนื่อยล้า เรากับอ้อมก็รีบซอยเท้ายิบๆ เพื่อหวังที่จะไปถึงที่พักให้เร็วที่สุด แต่ยิ่งเดินไปเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกเหมือนไร้จุดหมาย ตอนนั้นเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอีกกี่กิโลถึง เพราะระหว่างทางไม่มีป้ายบอก

    ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องขุดพลังใจออกมาใช้ในการเดิน 3 กิโลเพื่อไปให้ถึงที่พัก 

    13.00 PM
    1 ชั่วโมงเต็มกับการเดิน 3 กิโลเมตรอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเราก็มาเหยียบอยู่หน้าจุดบริการนักท่องเที่ยว เราสองคนเดินเข้าไปพร้อมสอบถามเรื่องอุณหภูมิในตอนนั้น เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเช่าอุปกรณ์การนอน 

    เรา เช่าผ้าห่มผืนเล็ก 1 ผืน, หมอน
    อ้อม เช่าผ้าหุ่มเล็ก 1 ผืน, หมอน เช่นกัน

    ในตอนนั้นเราและอ้อมต่างก็มีถุงนอนที่เอามาเอง ซึ่งของเราสามารถกันอุณหภูมิได้ 20+ องศา ส่วนของอ้อมกันได้ 10 องศา โดยประมาน ความหนาของถุงนอนของเราสองคนจะแตกต่างกันเพราะของอ้อมกันความหนาวได้มากกว่า 

    หลังจากเช่าอุปกรณ์ต่างๆเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินไปจองเต็น ก่อนที่จะเดินไปดูกระเป๋าเดินทางคู่ใจของเรา ปรากฏว่ามันยังมาไม่ถึง ด้วยความเหน็ดเหนื่อย พวกเราจึงนอนฟุบโต๊ะ กันอย่างไม่แคร์สภาพหน้าตาหรือพูดกันง่ายๆ คือไม่แคร์สื่อ (อย่าบอกใครนะ เหมือนตอนนั้นน้ำลายเราแอบย้อยด้วยละ)

    13.20 PM
    เราตื่นขึ้นมาพบว่ากระเป๋าก็ยังมาไม่ถึง พวกเราจึงเดินไปที่เต็น แล้วนอนกันอย่างสงบ



    17.00 PM
    เราตื่นนอน แล้วรีบดิ่งไปที่จุดรับสัมภาระ พร้อมจ่ายเงินให้กับลูกหาบก่อนจะนำกระเป๋าเข้าเต็น และเดินไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหาร ในขณะที่เรากำลังกินอาหารเย็น ก็จะเห็นกวางผู้มีอัธยาศัยดีเดินไปมาอวดโฉมของมัน บอกเลยว่าไม่เคยเห็นกวางมาก่อน ก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา แต่จังหวะนั้นคือหิว เราเลยไม่ได้ตื่นเต้นแบบเต็มสตรีม 

    หลังรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเราก็ไปอาบน้ำ ซึ่งเป็นอะไรที่เวรี่คูลมากๆ แต่หลังจากอาบเสร็จก็จะรู้สึกสบายตัวขึ้น เพราะน้ำที่เราอาบมันเย็นกว่าอากาศข้างนอก จึงทำให้ร่างกายเราสามารถปรับอุณหภูมิให้เท่ากับน้ำและทำให้เรารู้สึกอุ่นขึ้น

    สบายตัวแล้วก็หลับ

    ต้องบอกว่ามันเป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยมากพอๆ กับการทำทีสิสจบ แต่ถ้าให้เทียบกันจริงๆ ทีสิสคงเหนื่อยกว่าแน่นอน เราจึงคิดว่า เวลาไหนที่สามารถเก็บเกี่ยวการพักผ่อนได้ เราก็ควรทำ 

    เพราะงั้นเราจึงเข้านอนกันตั้งแต่ 3 ทุ่ม แล้วตั้งนาฬิกาปลุกตอนตี 4 เพื่อตื่นมาชมทะเลหมอก

    ผู้อ่าน - เกี่ยวเชี้ยไรกับทีสิส
    เรา - ช่วงนี้ทีสิสกำลังมา มันเป็นเทรนของเด็กปี 4 (ฮ่าๆ)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in