เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Miscellaneous Thoughtskhuuun
Heroes: ภาพฝันของความสัมพันธ์ที่เป็นไปไม่ได้
  • เผลอแปบๆ ปีนี้ก็ปีที่สี่แล้วที่เดวิดโบอีจากเราไป น่าจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติประจำตัวไปแล้วที่ต้องเขียนอะไรสักอย่างอุทิศให้คุณเขาในวันครบรอบ คราวนี้จะมาเจาะลึกเพลง Heroes เพลงที่ฮิตข้ามยุคข้ามสมัยมาถึงปัจจุบันและมียอดฟังใน spotify เยอะที่สุดในบรรดาเพลงทั้งหมดของเดวิด หลายคนคงเคยได้ยินผ่านหูมาแล้ว อาจจะจากในหนังเรื่อง The Perks of Being a Wallflower หรืออาจจะจากที่อื่นๆ ลองมารู้จักเพลงนี้ให้มากขึ้นกัน




    Heroes เป็นเพลงที่มีความรักเป็นธีมหลักของเพลง โดยมีเซ็ตติ้งเป็นเบอร์ลิน เมืองที่เดวิดอาศัยอยู่และแต่งเพลงนี้ในตอนนั้น เดวิดเคยพูดไว้ว่าเพลงนี้เกี่ยวกับคู่รักหนุ่มสาวที่ยืนจูบกันข้างๆ กำแพงเบอร์ลิน ซึ่งภายหลังได้เปิดเผยว่าเป็น Tony Visconti เพื่อนสนิทของเขา (โทนี่ในตอนนั้นแต่งงานมีภรรยาแล้ว) กับแฟนสาวชาวเยอรมัน Antonia Maass ที่ได้พบในเมืองเบอร์ลินนั่นแหละ และเดวิดเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่น่าประทับใจเพราะโทนี่ตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้หัวปักหัวปำ เลยนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้ และเหตุการณ์นั้นก็มาอยู่ในเนื้อเพลงท่อนนี้

    I, I can remember 
    Standing, by the wall
    And the guns shot above our heads
    And we kissed, as though nothing could fall

    แต่ แต่ เราเชื่อเขาครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเราเผื่อไว้ให้ทฤษฎีที่คิดขึ้นมาเอง พอหลังจากตามติดชีวิตเดวิดมาสักพักเราพบว่าเขาเป็นคนชอบแต่งเพลงให้คนนู้นคนนี้ เพื่อนสนิท เมีย ลูก คนรัก นักร้องที่ชอบ สารพัดแหละ และเราเชื่อว่าเดวิดแต่ง Heroes ให้กับ Romy Haag หนึ่งในอดีตคนรักสมัยที่ไปอาศัยอยู่ในเมืองเบอร์ลิน

    โรมี่เป็นศิลปินทรานส์เจนเดอร์ชาวเยอรมัน ที่ตอนแรกไม่เคยรู้จักเดวิดมาก่อน แต่บังเอิญได้ไปดูคอนเสิร์ต Isolar Tour ที่จัดขึ้นที่เบอร์ลินแล้วทั้งคู่ก็เกิดสปาร์คจอยกันขึ้นมา นอกจากนี้เธอยังเปิดไนท์คลับชื่อว่า Chez Romy Haag ที่ที่ป๊อบสตาร์ในยุค 70 แวะเวียนไปจำนวนมาก หนึ่งในนั้นรวมถึงเดวิดโบอีด้วย และทั้งสองก็เริ่มสานสัมพันธ์กันในระหว่างตลอด Isolar Tour โดยโรมี่บอกว่าพวกเขานั้นอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลา และเดวิดแทบไม่อยากจากเธอไปไหน


    โบอียุค thin white duke ที่เพิ่งเจอกับโรมี่แรกๆ

    พอหลังจบทัวร์ เดวิดที่มีปัญหากับการอินคาร์แรคเตอร์ Thin White Duke จนโดนสังคมฉอดยับว่าสนับสนุนฟาสซิสต์ และพ่วงปัญหาติดโคเคนจนเกือบจะโอเวอร์โดสหลายครั้งก็เริ่มคิดว่าควรจะลดละเลิกยาเสพติดและหนีไปใช้ชีวิตเป็นตัวเองแบบไม่ต้องมีคาร์แรคเตอร์ใดใดได้แล้ว เลยชวนเพื่อนรัก Iggy Pop หนีสังคมไปอยู่เมืองเบอร์ลิน ที่ที่เดวิดไม่ต้องแต่งตัวด้วยแฟชั่นสุดเหวี่ยงออกจากบ้าน ไม่ต้องย้อมสีผมจี๊ดจ๊าด ใส่แค่เสื้อเชิ้ตลายตารางกับกางเกงยีนส์และหมวกแคปเดินถนน ที่ที่สามารถนั่งจิบกาแฟตามคาเฟ่ ช้อปปิ้งต่างๆ ได้โดยไม่มีสายตาจับจ้องมากนัก ที่ที่เดวิดโบอีสามารถเป็นคนธรรมดาไม่ใช่ร็อคสตาร์ชื่อดังคับฟ้าได้มากที่สุด

    แต่มองอีกมุม สาเหตุที่เดวิดย้ายไปอยู่เยอรมันเป็นอาจจะเป็นเพราะต้องการใช้เวลากับแฟนสาวในขณะนั้นให้มากขึ้นหรือเปล่า ประจวบกับตอนนั้นระหองระแหงกับภรรยา (แองจี้ โบอี) จนแยกกันอยู่ด้วย จากภาพที่ออกมาและสัมภาษณ์จากคนใกล้ชิดก็พบว่าเดวิดในช่วงนั้นแวะเวียนไปคลับที่โรมี่โชว์อยู่ประจำเกือบทุกคืน และอาศัยอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่ง


    เดวิดและโรมี่หลังจากที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันในเบอร์ลิน

    จากสัมภาษณ์ของโรมี่ เรียกได้ว่าทั้งคู่เจอกันในเวลาที่เหมาะสมพอดี เดวิดในตอนนั้นกำลังอยู่ในอารมณ์อ่อนไหว ขาดซึ่งคนที่จะมาเข้าอกเข้าใจตัวเอง แล้วโรมี่ก็เป็นคนที่สามารถแลกเปลี่ยนไอเดียกับเดวิดได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องโลก การเมือง ดนตรี ชีวิต และสารพัดสิ่งอื่นๆ นอกจากนี้สไตล์ของโรมี่ยังสะกดเดวิดได้อยู่หมัด ทั้งโชว์ ทั้งคลับของเธอที่เหมือนกับกระจกสะท้อนภาพของซิกกี้สตาร์ดัสท์ออกมา ทั้งคู่กลายเป็นอินสไปเรชั่นให้กันและกัน โรมี่ได้รับความพังค์และขถบเพิ่มขึ้นจากเดวิดและเริ่มทำการแสดงในสไตล์อาร์ตร็อค ส่วนเดวิดนั้นได้รับความ gender-fluid จากเธอมากขึ้น จากที่มากอยู่แล้วในยุคซิกกี้ ก็ทวีขึ้นไปอีกด้วยการแต่งเป็นแดรกควีนเลยใน MV Boys Keep Swinging (ซึ่งโรมี่ได้ดูแล้วบอกว่าทุกอิริยาบถของเดวิดในเอ็มวีนั้นเหมือนกับเธอไม่ผิดเพี้ยน)

    แต่ความสัมพันธ์นี้ต้องจบลงเมื่อแองจี้รู้เรื่องเข้าและจ้างทนายมาตามรังควานโรมี่ อีกทั้งข่าวยังหลุดไปถึง RCA Record จนเดวิดมีปัญหากับต้นสังกัด


    "There was so much pressure on us, so I had to let him go." - Romy Haag

    ซึ่งเดวิดก็ยังคงอาลัยอาวรณ์จนถึงขั้น recreate โรมี่ขึ้นมาอีกครั้งใน Boys Keep Swinging หรือแม้กระทั่งในปี 2013 ก็ยังมีการหวนกลับไปรำลึกถึงช่วงเวลานั้นในเพลง Where Are We Now เนื้อเพลงมีการระบุถึงสถานที่ต่างๆ ที่เคยอาศัยอยู่ตอนนั้น ที่เห็นได้ชัดเลยคือท่อน "A man lost in time near KaDeWe" ซึ่ง KaDeWe นี่ก็คือที่ที่คลับ Chez Romy ตั้งอยู่นั่นเอง

    พอมาขนาดนี้แล้วก็ไม่แปลกเลยและค่อนข้างเป็นไปได้ด้วยซ้ำถ้า Heroes จะเป็นเพลงที่เดวิดแต่งให้กับโรมี่ เพราะช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่เดวิดกำลังทำอัลบั้ม Heroes พอดี ซึ่งถ้ามองอย่างนี้แล้วนั้น เนื้อเพลงมันจะไปตรงกับทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นจนพูดได้เลยว่าเดวิดแต่งออกมาจากชีวิตตัวเอง อ่ะลองมาดูเนื้อเพลงกัน


    I, I will be king
    And you, you will be queen
    Though nothing will drive them** away
    We can beat them, just for one day
    We can be heroes, just for one day
    **THEM ตรงนี้อาจจะหมายถึง RCA Records หรือแรงกดดันใดก็ตามที่ทั้งสองคนต้องเผชิญและอยากที่จะเอาชนะให้ได้

    And you, you can be mean
    And I, I'll drink all the time**
    'Cause we're lovers, and that is a fact

    **มันไปตรงกับสัมภาษณ์ของคนใกล้ตัวเดวิดที่บอกว่าในช่วงที่ย้ายมาเบอร์ลินแรกๆ เดวิดดื่มหนักขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าเกือบจะตลอดเวลา


    Though nothing will keep us together
    We could steal time, just for one day**
    We can be heroes, forever and ever
    What d'you say?

    **จากสัมภาษณ์ของโรมี่ เธอบอกว่าพวกเขาพยายามเลี่ยงกันการมาเจอกัน หรือให้เป็นความลับที่สุด เพื่อหลบสายตาปาปารัสซี่ที่คอยตามสืบเรื่องราวของทั้งคู่


    I, I can remember 
    Standing, by the wall
    **And the guns shot above our heads
    And we kissed, as though nothing could fall**

    ท่อนนี้อาจจะมาจากเรื่องราวของโทนี่จริงๆ ก็ได้นะ แต่ก็อยากจะแถว่า **ท่ามกลางเรื่องวุ่นวายทั้งหมด เรายังเลือกที่จะแสดงความรักต่อกันโดยไม่สนใจอะไร** (ถ้าใจเราเชื่อ ทุกอย่างก็เป็นไปได้ 555 แต่เดวิดก็ไม่ค่อยเขียนเนื้อเพลงแบบตรงไปตรงมาอยู่แล้ว)


    And the shame was on the other side
    Oh, we can beat them, forever and ever

    นี่ ชัดเลย ทำไมความละอายถึงต้องตกไปอยู่กับอีกฝั่ง ถ้าไม่ใช้เพราะ RCA Records กำลังขัดขวางความรักระหว่างทั้งคู่ที่เป็น LGBT อยู่ และที่บอกว่า RCA ขัดขวางสิ่งนี้ก็เพราะว่าก่อนหน้านี้เดวิดมีเรื่องผู้หญิงเยอะเหมือนกัน แต่ค่ายไม่เคยมีปัญหาเลย ตรงนี้อาจจะสื่อว่าความรักระหว่าง LGBT ไม่ใช่เรื่องน่าละอาย พวกที่ไม่เห็นด้วยต่างที่ควรจะอาย และพวกเราก็จะยืดหยัดในการเรียกร้องเพื่อสิ่งนี้ตลอดไป


    We're nothing, and nothing will help us
    Maybe we're lying, then you better not stay
    But we could be safer, just for one day

    ท่อนสุดท้ายของเพลงนี้แสดงให้เห็นถึงจุดจบของของทั้งคู่ ว่ามันไม่มีอะไรจะมาช่วยรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ได้แล้ว พวกเราอาจจะกำลังโกหกตัวเองอยู่ว่ามันจะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นก็ควรจากกันไปเสียดีกว่า TvT

    จากที่เราเข้าใจ Heroes คือเพลงรักระหว่าง LGBT สองคนที่เกิดขึ้นและจบลงในเมืองเบอร์ลิน คือถ้อยคำวิงวอนขอแค่ชั่วระยะเวลานึงให้ได้สามารถเป็นตัวของตัวเอง เป็นฮีโร่ในเรื่องราวของตัวเอง เป็นภาพฝันของความสัมพันธ์ที่เป็นไปไม่ได้จากปลายปากกาของเดวิดโบอี ถ้ามีใครมาถามว่า LGBT anthem ของเราคือเพลงอะไร จะตอบ Heroes อย่างไม่ลังเลยเลย เพราะมันยิ่งใหญ่และทรงพลังมากสำหรับเรา

    อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ เจ้าตัวก็ไม่ได้มายืนยันไว้แฮะ ทั้งหมดนี่เป็นการตีความของเราเอง ถึงไม่ใช่ Heroes ก็ยังเป็นเพลงที่ยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษอยู่ดี แต่ถ้าใช่ก็จะภูมิใจมากขึ้นไปอีก เดวิดโบอีเขาคอยผลักดันสิ่งนี้มาโดยตลอด TvT แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามก็อยากจะขอบคุณเดวิดอีกครั้งที่สร้างสรรค์หนึ่งในบทเพลงที่ดีที่สุดในโลกออกมา รักและคิดถึงเสมอ


    you'll always be my hero, forever and ever

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in