เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Out of the Blue Short Storiesnokaeyp
Silence
  • เธอไม่ค่อยพูด เพราะการเรียบเรียงและถ่ายทอดความคิดผ่านน้ำเสียง สีหน้า และท่าทางมันใช้พลังเยอะเกินไป และหลายครั้งคนมักจะทึกทักผ่านน้ำเสียงและสีหน้าของเธอมากกว่าตั้งใจฟังสารของเธอ

    "เธอไม่เป็นไรแน่เหรอ ท่าทางเธอดูไม่ใช่นะ"

    โอเค ถ้าเธอบอกว่า เธอไม่เป็นไร เธอโอเค และยิ้มสดใส หัวเราะเบาๆ พวกเขาก็จะเชื่อสิ่งที่เธอพูดใช่ไหม?

    ไม่ พวกเขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี พวกเขาจะเอามือมาบีบแขนไม่ก็ไหล่ของเธอ แล้วทำหน้าตาสงสารเห็นใจ น้ำเสียงอ่อนลง แล้วบอกว่า "ไม่ต้องฝืนยิ้มหรอกนะ เธอเศร้าได้" เพราะพวกเขามองเธอผ่านสิ่งที่พวกเขาอยากเห็น การเป็นคนไม่ค่อยพูด มันหมายความว่า เธอต้องมีเรื่องเศร้าเหรอ?

    เธอเลือกพูดให้น้อยลงเพราะไม่อยากให้คนตีความผิดๆ แต่มันกลับกลายเป็นว่า ความเงียบของเธอยิ่งทำให้คนพยายามตีความและคาดคั้นจากเธอมากขึ้น

    พูดก็ไม่เชื่อ พอไม่พูดก็หาว่าไม่พูดอีก อะไรนักหนา

    แต่สิ่งที่พวกเขาคาดเดาก็ไม่ผิดไปนักหรอก หลายครั้งความเงียบของเธอก็ไม่ได้เงียบสงัดไปเสียทั้งหมด เธอยังคงคิด และมีบทสนทนาในหัวตัวเองอยู่เสมอ แต่จะพูดออกไปทำไม ในเมื่อไม่มีคนฟัง


    เขาเจอเธอบ่อยๆ ที่ห้องสมุดประจำเมือง เธอเป็นขาประจำ่เช่นเดียวกับเขา เคยคุยกันสามสี่ประโยค ตอนเธอช่วยเขาหาหนังสือที่เขาต้องการ เธอเขย่งเอื้อมหยิบหนังสือออกจากชั้น ทั้งที่เธอบอกเขาก็ได้ว่ามันอยู่ตรงไหน เขาสูงกว่าเธอ และคงหยิบได้ถนัดกว่า

    "ขอบคุณครับ"

    เธอพยักหน้าเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไปทันที

    หลังจากครั้งนั้นเขาก็ไม่กล้าเข้าไปทักหรือชวนเธอคุยเลย เพราะบรรยากาศรอบตัวเธอเหมือนมีกำแพงล่องหนล้อมรอบตัวเธอไว้ ต่อให้เขามีค้อนวิเศษก็พังมันไม่ได้อยู่ดี

    วันนี้เธอมาอีกแล้ว เธอนั่งสบายๆ เอนหลังไปกับพนักพิงโซฟา หนังสือเปิดอ้าวางอยู่บนตัก แต่สายตาเธอกลับมองเหม่อไปในอากาศเบื้องหน้า และมันทำให้เขาแอบสงสัย ว่าเธอกำลังมองกำแพงล่องหนของเธอ หรือกำลังมองสิ่งที่อยู่ด้านนอกกันแน่

    เธอเป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆ และจะได้สติรู้ตัวก็ต่อเมื่อมีคนเดินมานั่งที่โซฟาตัวข้างๆ


    เธอสะดุ้ง เหมือนตื่นขึ้นจากภวังค์ เมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของโซฟาตัวข้างๆ เธอกะพริบตาถี่ๆ แล้วสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็เอามือเสยผมไปด้านหลัง

    "สวัสดีครับ"

    เธอหันไปมองทางต้นเสียง เขาคือคนที่เธอเคยช่วยหาหนังสือเมื่อสองเดือนก่อนนี่ เธอจำเขาได้ แต่ตัดสินใจจะทำเป็นจำไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ปกติเธอไม่ค่อยจดจำใคร และการรู้สึกว่าตัวเองจำคนที่เคยคุยด้วยแค่สามสี่ประโยคได้ มันแปลกๆ

    "ค่ะ"
    ดี ตอบสั้นๆ ห้วนๆ นี่แหละ จะได้จบๆ

    "คุณจำผมได้สินะ"

    "คะ?"

    "ก็ตอนคุณหันมาเห็นผม คุณทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้"

    บ้าเอ๊ย

    "เปล่าค่ะ ฉันจำคุณไม่ได้"

    เขาเงียบไป และสีหน้าไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาขยับตัวให้อยู่ในท่านั่งที่สบายขึ้น แล้วพยักหน้า "โอเค ผมเชื่อแล้วว่าคุณจำผมไม่ได้"

    เขาเชื่อเหรอ? ปกติคนส่วนใหญ่ก็มักจะเล่าเหตุการณ์ตอนเจอกันให้ฟังเพิื่อเป็นการทบทวน และต่อให้เราพูดว่าจำไม่ได้กี่พันรอบ พวกเขาก็จะถามย้ำๆ ซ้ำๆ จนกว่าเราจะพูดออกมาว่าจำได้แล้ว 

    แต่เขาเชื่อง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ


    เธอโกหกทำไมนะ เธอจำเขาได้แน่ๆ สีหน้าและแววตาของเธอตอนเห็นหน้าเขามันบอกได้ชัดๆ นี่เธอไม่อยากคุยกับเขามากขนาดนี้เลยเหรอ รู้สึกเหมือนเดินเซ่อเข้าไปชนกำแพงล่องหนเลยแฮะ

    เกิดความเงียบที่ไม่รู้นานเท่าไหร่ มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษที่ดังสลับกันไปมา แต่นั่นเป็นเพียงความเงียบที่ปรากฏขึ้นเมื่อมองจากภายนอก หากแต่ข้างในนั้นมีแต่ความโกลาหล

    เขาเชื่อฉันจริงเหรอ
    เธอโกหกหรือเธอจำไม่ได้จริงๆ
    ฉันควรบอกเขาไปไหมว่าจำได้
    หรือเราจะเตือนความจำเธอ แต่จะทำไปเพื่ออะไร
    ไม่ดีกว่า เสียฟอร์มแย่
    ไม่น่าเข้ามาทักเธอเลย
    เคยคุยกันสามสี่ประโยคเมื่อสองเดือนก่อน แต่ดันจำเขาได้เนี่ยนะ
    มันก็แค่สองเดือนเองนะ แถมเราก็ขาประจำที่นี่ เธอจำไม่ได้จริงดิ
    แล้วทำไมฉันถึงจำเขาได้ เคยเจอเขาครั้งเดียวเอง
    หรือเธอไม่เคยเห็นเราตอนเรามาที่นี่ บ้าเหรอ บางทีก็เดินสวนกัน มองหน้ากันด้วยซ้ำ
    หรือฉันเคยเห็นหน้าเขาอยู่บ่อยๆ แต่นึกไม่ออก นอกจากครั้งนั้น แล้วเจอกันที่ไหนอีก
    ที่เธอชอบนั่งเหม่อ หรือเพราะเธอมีสมองเธอมีปัญหา เลยจำเราไม่ได้
    นี่เราเหม่อลอยบ่อยไปหรือเปล่านะ
    บ้าแล้ว ไปกล่าวหาเธอแบบนั้นได้ไง
    แล้วทำไมเขาเงียบไปนานจังเนี่ย
    เอาไงดีวะ

    พรึ่บ!

    ทั้งสองปิดหนังสือพร้อมกัน ฟองอากาศและคลื่นความเงียบแสนยุ่งเหยิงแตกดังโป๊ะไปทั่วโสตประสาท

    เขาลุกขึ้นยืน แล้วมองหน้าเธอ "ขอโทษนะครับ ผมคงจำคนผิด"

    เธอลุกขึ้นยืนแล้วพูดน้ำเสียงเรียบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ "ไม่เป็นไรค่ะ"

    เขาก้มหัวขอโทษน้อยๆ อีกที แล้วเดินไปทางเคาน์เตอร์เพิ่มขอยืมหนังสือกลับบ้าน บรรณารักษ์ยิ้มทักทาย คีย์ข้อมูลลงคอมพิวเตอร์แล้วพูดกับเขาเบาๆ 

    "ได้คุยกันสักทีนะคะ"

    "ครับ?"

    "คุณกับนักอ่านอีกคนไง"

    "อ้อ เธอน่ะเหรอครับ" เขาหันไปหลังไปมอง เธอไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว "ไม่หรอกครับ เธอจำผมไม่ได้"

    "จริงเหรอเนี่ย แปลกจัง" เธอยื่นหนังสือให้เขา "ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ"


    เธอเปิดประตูห้องสมุดออกมา ลมยามเย็นพัดโดนใบหน้า แต่เธอไม่มีเวลามาดื่มด่ำสายลมแสงแดดอะไรตอนนี้ทั้งนั้น เธอวิ่งไปวิ่งมา สายตาสอดส่องหาบางอย่างอยู่ ในจังหวะที่เธอก้าวพ้นออกมาจากรั้วห้องสมุด หางตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งที่เธอกำลังตามหา

    สิ่งนั้นกำลังเดินข้ามทางม้าลายไปที่อีกฝากหนึ่งของถนน เธอตัดสินใจเรียกเขาทันที

    "คุณ!"

    เขาที่เดินไปถึงอีกฝั่งหันกลับมามองตามเสียงเรียก สีหน้าเขาดูงงงวยเมื่อเห็นผู้เรียกที่กำลังยืนโบกไม้โบกมือให้เขาอยู่ เธอทำท่าจะเดินตามข้ามถนนมาหาเขา แต่สัญญาณไฟแดงขึ้นมาพอดี

    "คุณ! รออยู่ตรงนั้นก่อน อย่าเพิ่งไป" เธอตะโกนบอกเขา

    ช่วงเวลาเพียง 90 วินาทีที่รอให้สัญญาณข้ามถนนเขียวอีกครั้งนั้นช่างยาวนาน ทันทีที่ไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เธอรีบสับเท้าตรงไปหาเขาอย่างเร็ว

    "มีอะ--"

    ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบประโยค เธอก็พูดออกมาเสียงดังขัดจังหวะเขาเสียก่อน

    "ฉันจำคุณได้!"

    เขาผงะไปนิดนึง คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็หันมามอง ยืนอยู่ใกล้กันแค่นี้ทำไมต้องเสียงดังด้วย

    "ว่าไงนะครับ"

    "ฉันจำคุณได้ เมื่อกี้ฉันพูดไม่ดังพอเหรอ"

    "ผมแค่ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินถูกหรือเปล่า"

    "ไม่ผิดหรอก ฉันจำคุณได้จริงๆ "

    เขายกมือทั้งสองขึ้นตรงหน้า ทำท่าเหมือนคลำอะไรสักอย่างในอากาศ เขาทำแบบนั้นแล้วเดินวนไปรอบตัวเธอ

    "ทำอะไรของคุณน่ะ"

    "แล้วกำแพงล่องหนของคุณล่ะ"

    "กำแพงอะไร"

    "ไม่มีอะไรหรอก คงเป็นผมเองมั้งที่สร้างกำแพงขึ้นมา ไม่ใช่คุณ"

    บางคนก็พูดทุกอย่างที่คิด แต่บางทีสิ่งที่เขาพูดก็ทำให้เธอไม่เข้าใจเอาเสียเลย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พอจะดูออกว่าเขาไม่ได้โกหก เพราะตอนนี้เขากำลังทำท่าเดิมแต่หมุนตัวไปมา 360 องศา

    ทำไมเธอต้องจำเขาได้ด้วยเนี่ย บ้าจริง แล้วยิ่งเขาเป็นแบบนี้เธอจะลืมเขาได้เหรอ




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in