เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Life Notesrinami
วันที่ฉันป่วย : ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้กับภพหน้าอะไรจะมาถึงก่อน
  • วันดีคืนดี ในเช้าวันหนึ่งก็ตื่นมาด้วยความรู้สึกไม่สบายเนื้อตัว เจ็บคอ ปวดหัว หายใจติดขัด ทั้งที่เมื่อคืนหลับไปด้วยอาการปกติ เกิดทั้งความสงสัยและไม่เข้าใจ แต่ก็ลากพาตัวเองเข้าห้องน้ำ เตรียมตัวไปเรียนภาษาญี่ปุ่นในวันเปิดคอร์ส

    ทุกอย่างควรจะเป็นไปอย่างดีตามสิ่งที่คิดวางแผน วันอาทิตย์นั้นน่าจะเป็นเช้าที่สดใส แต่กลับเป็นวันที่ขยับตัวได้เชื่องช้าเหลือเกิน กว่าจะแต่งตัวเสร็จ เช็คความเรียบร้อยก็แทบหมดแรง ฉีกยาพาราแผงสีขาวให้น้ำและยาผ่านเข้าไป เผื่ออาการจะดีขึ้น ทั้งที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องแต่อย่างใด 

    ก่อนเริ่มเรียนช่วงบ่ายก็รู้สึกว่าไม่น่าจะไหว เลยไปลองหาอะไรรองท้องก่อนเป็นทั้งอาหารเช้าและอาหารกลางวัน แล้วก็ฉีกซองยาพาราตามลงไปหลังจากกินเสร็จ

    สถานที่และสิ่งแวดล้อมใหม่น่าตื่นเต้น การขยับตัวไปในที่ใหม่ ๆ แม้ร่างกายไม่พร้อม แต่ยังถือเป็นเรื่องสนุก การเรียนภาษาครั้งนี้ถือได้ว่าน่าสนใจ แต่ต่อทำตัวให้กระฉับกระเฉงเพียงใดก็ตาม ร่างกายก็ยังกรีดร้องเบา ๆ ว่าไม่ไหวแล้วทุกนาที รู้สึกอยากลุกออกไปจากห้องอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ทนเรียนจนจบ 3 ชั่วโมง

    ขากลับก็ต้องนั่งแท็กซี่ เพราะไม่สามารถห้อยโหนอะไรในสภาพร่างกายเช่นนี้ได้ ยิ่งมีประสบการณ์ อ้วกแตกตรงที่นั่งพักของชานชาลา BTS มาแล้วครั้งหนึ่ง ยิ่งไม่อยากลองของกับร่างกายปวกเปียกของตัวเอง แม้จะลังเลกับจุดหมายปลายทางว่าจะเป็นห้องพักของตัวเองหรือโรงพยาบาล ในใจก็ร้องบอกอีกแล้วว่า อาการที่เป็นอยู่มันหนักพอ ๆ กับตอนเป็นไข้เลือดออกเลยนะ
    สุดท้ายก็ให้แท็กซี่พาไปโรงพยาบาลที่คุ้นเคย อย่างน้อยเขาก็มีประวัติเราอยู่แล้ว 

    พอถึงคิวตรวจ หมอก็บอกว่า ไม่เป็นไข้หวัดใหญ่ ก็ไข้เลือดออก ถ้าไข้ขึ้นสูงกระทันหัน แต่ต้องให้กลับห้องไปดูอาการก่อน เพราะถ้าไข้ลดลงหลังจากได้ยาตามที่หมอสั่ง ก็คงไม่เป็นอะไรร้ายแรง 

    พอกลับถึงห้องก็แทบจะสลบไป รู้สึกเนื้อตัวหนักไปหมด แต่ก็ยังฝืนลากตัวเองไปทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อย ก่อนจะกินยาก่อนนอน หวังว่าพรุ่งนี้อาการไข้จะหายไป

    แล้วเช้าวันต่อมาก็ยังลุกขึ้นมาแบบโซเซ พยายามพาตัวเองไปทำความสะอาดอีกครั้ง เพื่อไปตามที่หมอนัด แน่ใจตัวเองแล้วว่าต้องได้นอนโรงพยาบาล ก่อนออกจากห้องเลยพยายามกวาดสายตาในห้องเอาของจำเป็นไปให้ครบก่อน 

    สุดท้ายหลังจากรอตรวจแล้ว ก็ยังไม่อะไรมาก แค่บอกอาการ และหมอขอเจาะเลือด แต่ก็ยังต้องรอผลเลือดต่อไป ถึงตอนนี้ต่อให้ย้ายร่างไปไหนก็แทบจะหลับได้ตรงนั้น พอกลับมาจากไปทานอาหารกลางวัน(ที่ไม่หิว แต่ก็ต้องฝืนกิน) ก็ขอพยาบาลงีบบนโซฟาที่รอคิว พยาบาลคงเห็นว่า ไอ้นี่ไม่น่าจะไหว เลยพาไปนอนบนเตียงในห้องหัตถกรรมแทน สักพักหมอก็มาหาเพื่อบอกผลตรวจเลือด แม้จะยังไม่มีอาการอะไรชัด แต่เม็ดเลือดขาวก็น้อยลง น่าจะเป็นผลจากไวรัส และควรนอนโรงพยาบาลจะดีกว่า ตอนนั้นเลยได้เจาะสายน้ำเกลือ พร้อมเซ็นเอกสารประกัน รวมทั้งเอกสารการเข้าพักในโรงพยาบาลด้วย

    เข้ามาถึงห้องพัก หน้าต่างบานใหญ่ก็ทำให้รู้สึกไม่อึดอัด มองเห็นวิวจากหน้าต่างก็รู้สึกสดใส ต่างจากอาการที่กำลังเป็นอยู่ คงเป็นสัญญาณที่ดีที่ห้องพักไม่ได้ให้ความรู้สึกน่ากลัว เพราะยังไงก็ต้องอยู่ที่ห้องนี้คนเดียวไปอีกหลายวัน

    จากนั้นกิจวัตรประจำวันอีก 5 วันต่อมาก็วนอยู่แต่ในห้องพักของโรงพยาบาล อย่างกับเวลาทั้งอาทิตย์ได้หายไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย ต้องนอนอยู่ในห้องเป็นเวลาหลายวัน ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ทำอะไร คุยแต่กับคนยกถาดอาหาร พยาบาล แม่บ้านทำความสะอาด และหมอ 

    หลายวันต่อมาผลเลือดก็ยังไม่ชัดเจน ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นอะไร รู้แต่ติดไวรัส เราก็กลัวแต่ว่าเป็นโรคอะไรแปลก ๆ รักษาหายยาก ในหัวนึกถึงสุภาษิตทิเบตที่อ่านเจอ "ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้กับภพหน้าอะไรจะมาถึงก่อน" อะไรก็ไม่แน่นอนเลยจริง ๆ ยิ่งมาเจอกับตัวในหลาย ๆ ครั้ง

    แต่สุดท้ายก็ตรวจเจอ หลังจากออกโรงพยาบาลแล้วมารับทราบผลกับติดตามอาการ 

    ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A (ที่เขาฮิตกัน หมอบอกแบบนี้)

    พอกลับออกมากจากโรงพยาบาล แผนการทั้งหลายที่เคยคิดไว้ก่อนไม่สบายก็ดูเป็นสีซีดจาง ทุกอย่างดูไม่มีอะไรแน่นอน รู้สึกว่าเชื้อโรคนี่มันอยู่ทุกหนแห่งเลย ยิ่งเมืองใหญ่ คนเยอะแบบนี้ คงต้องหาทางป้องกัน ไม่ให้ติดเชื้ออะไรจากใครได้อีก เพราะรู้สึกเสียดายเวลาที่ต้องพักฟื้นโดยไม่ทำอะไรเลย แล้วตอนนี้เห็นว่าโรคหัดระบายอีก หน้ากากอนามัยต้องเป็นของประจำตัวเวลาออกไปไหนไม่ต้องสงสัยเลยหลังจากนี้

    22 ตุลาคม 2019
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in