เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Trans-Siberian Trainguete
ซีหนิงหรือเปียงยาง?
  • เราเลือกซีหนิง (Xining) เมืองหลวงแห่งมณฑลชิงไห่ (Qinghai) เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับทางรถไฟสายหลังคาโลก..
    จริงๆ แล้วรถไฟที่วิ่งไปลาซา (Lhasa) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของทิเบตมีหลายขบวน เริ่มต้นจากหลายเมือง เราสามารถขึ้นจากปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว เฉิงตู ฯลฯ ได้หมด แต่ที่เราเลือกเริ่มต้นที่นี่ เพราะชิงไห่เป็นมณฑลของจีนที่มีอาณาเขตติดต่อกับทิเบต ทำให้ใช้เวลาเดินทางไม่นานเท่าเส้นอื่นที่ต้องวิ่งเกือบจะข้ามเมืองจีนทั้งประเทศมาเลย
    แถมโลนลี่แพลนเน็ตยังบอกว่า ถ้าคุณเป็นนักเดินทางที่ร่ำรวยเวลา คุณควรจะมาพักที่ซีหนิงสัก 2 คืนเพื่อเป็นการปรับสภาพร่างกายให้พร้อมก่อนจะไปทิเบต เพราะอย่างที่รู้ๆ กัน ฉายาของทิเบตคือเมืองหลังคาโลก ดังนั้น บางคนอาจเจอทิเบตรับน้องด้วยอาการ Altitude Sickness หรือบางคนจะรู้จักในนาม AMS (Acute Mountain Sickness) ก็ได้

    เราไม่เคยเผชิญกับอาการ AMS แม้ในตอนที่ไปเทรคกิ้งเส้นทาง Annapurna Base Camp (ABC) ในเนปาล อาจจะเพราะตอนนั้นต้องใช้เวลาเดินขึ้นเขาหลายวันกว่าจะถึงเบสแคมป์ ช่วยให้ร่างกายเราได้ปรับตัวกับภาวะออกซิเจนต่ำอย่างช้าๆ พอไปถึงจุดหมายก็มัวแต่ตื่นเต้นไปกับยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ ถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน บวกกับความภาคภูมิใจที่พิชิต ABC ได้สำเร็จจนร่างกายไม่รู้สึกป่วยซะงั้น อย่างไรก็ดี แม้ว่าเราจะใช้เวลาปรับสภาพร่างกายที่ซีหนิงถึง 2 วัน และเมืองลาซาก็ยังมีความสูงจากระดับน้ำทะเลน้อยกว่า ABC อยู่พอสมควร แต่เราก็ไม่อยากประมาทกับการเดินทางครั้งนี้...
    ทิเบตมันไปยาก ไปลำบากนะ มันอาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตของเราก็ได้ ถ้าโดน AMS เล่นงานจนถึงขั้นเที่ยวไม่ได้แล้วเนี่ย แม่งซวยแน่นอน!
  • จากสนามบินเรานั่ง shuttle bus มาลงในเมือง ค่ารถคนละ 21 หยวน จากนั้นก็ต่อแท็กซี่ (ซึ่งกดมิเตอร์ให้ทันทีโดยไม่ต้องร้องขอ) มาลงที่โฮสเทล

    สภาพบ้านเมืองของซีหนิงระหว่างทางจากสนามบินจนมาถึงในเมือง ทำให้เราต้องหยิบตั๋วขึ้นมาดูหลายครั้ง นี่เครื่องบินพาเรามาลงถูกที่ใช่มั้ย นี่ซีหนิงไม่ใช่เปียงยางแน่นะ

    ซีหนิงมีกลิ่นอายคอมมิวนิสต์แบบโบราณหน่อยๆ อบอวลไปทั่วเมือง บรรยากาศเมืองคือเงียบ และอึมครึม ประชาชนอาศัยในตึกสูง มีหลายตึกในบริเวณเดียวกัน นัยว่าแยกเป็นแต่ละชุมชน ทุกตึกหน้าตาออกไปในแนวเดียวกันหมด เน้นประโยชน์ใช้สอยมากกว่าความสวยงาม บางตึกสร้างเสร็จแล้ว มีผ้าตากไว้รุงรังตรงระเบียง เป็นสัญญาณว่ามีคนอาศัยอยู่ บางตึกก็อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง แต่สภาพภายนอกส่วนมากจะเก่าๆ หน่อย สีลอก ปูนกระเทาะ แลดูแห้งแล้งและเย็นชา

    City Nomad Hostel ก็หนีไม่พ้นความเป็นตึกคาแรคเตอร์คอมมิวนิสต์ เป็นตึกหนึ่งในบรรดาหลายตึกในชุมชนแห่งนั้น ทางเข้ามีลุงยามแก่ๆ เฝ้าอยู่ คอยกดสวิชต์เปิดไม้กั้นให้รถขับเข้ามาได้ ด้านนอกตึกดูโทรมและเคว้งคว้าง

    โฮสเทลนี้มีเจ้าของเป็นคนทิเบตที่อพยพมาอยู่ที่นี่ ชื่อ ทาชิ ซึ่งทั้งโฮสเทลก็มีพี่เค้านี่แหละที่พูดภาษาอังกฤษได้คนเดียว พนักงานคนอื่นพูดไม่ได้เลย เราจึงลำบากนิดนึงเวลาทาชิไม่อยู่โฮสเทล เพราะพนักงานต้องคอยต่อโทรศัพท์ถึงทาชิให้คุยกับเรา เพื่อบอกข้อมูลที่เราถามอีกทอดหนึ่ง
    โฮสเทลตกแต่งแบบทิเบต และจุดธูปทิเบต (ซึ่งเหม็นมาก และไม่เข้าใจว่าจะจุดทำไม) ทั้งวันทั้งคืน หมดดอกก็จุดใหม่วนอยู่อย่างนั้น

    ได้เพื่อนคนแรกเป็นคุณพี่จากฝรั่งเศสที่นอนห้องเดียวกัน นามว่า อลิซาเบธ เป็น solo-traveler เหมือนกัน เจ๊เค้ามาอยู่ที่นี่ได้สามวันแล้ว และพรุ่งนี้เจ๊แพลนว่าจะออกนอกเมืองไปค้างคืนที่ทะเลสาบชิงไห่ อั้ยย่ะ เจ๊แลดูข้อมูลแน่นมาก เลยถามเจ๊ว่า ที่นี่มีอะไรน่าเที่ยวมั่งเหรอ ปรากฏเจ๊ทำหน้าเศร้า ตอบว่าไม่มี ก็เลยถามต่อว่าแล้วเจ๊อยู่นี่กี่วัน นางบอก 7 วัน อ้าว ไม่มีไรแล้วเจ๊จะอยู่นานทำเกี๊ยวนึ่งอะไรน่ะ (><")
  • ชีวิตลำบากขึ้นมาทันทีเมือต้องหาที่กินข้าว เดินซมซานหาร้านแถวโฮสเทล ไม่กล้าเดินออกไปไกลๆ เพราะด้วยสภาพบ้านเมือง กับผู้คน ทำให้แอบหวั่นๆ เหมือนกัน

    สรุปว่าลงเอยที่ร้านหน้าปากซอยโฮสเทลนั่นแหละ มีลูกค้าในร้านอยู่แล้วสองสามโต๊ะ หน้าไทยแบบนี้เดินเข้าไปทำให้ตกเป็นเป้าสายตาอย่างกับเป็นตัวประหลาด พูดจีนก็ไม่ได้ แถมเมนูก็ไม่มีรูปประกอบให้ชี้เอาอีก เดชะบุญโต๊ะข้างๆ เป็นสามสาวนักท่องเที่ยวจากไต้หวัน เราเริ่มผูกมิตรด้วยการยิ้มเหนียมๆ ให้ แล้วชี้บอกเด็กเสิร์ฟว่าเอาอย่างเดียวกับคนนั้นน่ะ สาวไต้หวันหัวเราะ และช่วยคุยกับเด็กเสิร์ฟให้ นาทีนั้นเค้าสั่งอะไรให้ก็เอาหมดแหละ กลัวอดข้าวเย็น สรุปได้บะหมี่กับเนื้อแกะย่างมากิน สาวไต้หวันบอกเป็นบะหมี่เนื้อ สาบานว่าไม่ได้กลิ่นเนื้อซักนิด มีแต่บะหมี่กับน้ำซุปและต้นหอม

    ส่วนอันนี้แม่งอร่อยอัศจรรย์ ไม่น่าเชื่อ เพราะปกติไม่กินเนื้อแกะ คือก็ยังมีกลิ่นแกะเหลืออยู่นิดๆ แหละ แต่เค้าหมักรสชาติดี ซอสที่เค้าหมักนั่นเริ่ดนะ ย่างมาก็นุ่ม ถ้าไม่ติดว่าสั่งบะหมี่มาแล้ว จะกินแต่เนื้อแกะอย่างเดียวเลย

    เอาเป็นว่าวันแรกในจีน สำหรับคนที่พูดจีนได้แค่ อี่ เอ้อ ซาน ซื่อ เชี่ยเชี่ย ไจ้เจี้ยน (หกคำถ้วน -..-) ก็ถือว่าผ่านไปได้ด้วยดี สาธุ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in