เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Today is not TomorrowJirattipat Tengamnuay
บันทึกคนบ้าบ้าบอบอ 30++ ตอน โฮสเทลและวัดเทพมณเฑียร
  • มีความคิดจะเขียนเรื่องนี้มานานแล้ว...แบบอายุ 30 ++ และชีวิตที่ล้มเหลว...และตกงาน...เคยอ่านบทความเรื่องของคนหลายคนที่มาบอกเล่าหรือโดนสัมภาษณ์...ก็ต่อสู้ดิ้นรนผ่านอะไรมาแต่สุดท้ายก็มาประสบความสำเร็จ...แต่เราไม่ใช่แบบนั้นไง...พูดไรไปก็ล้มเหลวในวัย 30++ ที่ใกล้จะ 40 ในอีกไม่กี่ปี คือตกงาน...และคงหางานทำไม่ได้อีก...ก็เป็นแบบ 30 UP, Alone, Fat, Single, No job, No money and Ready to die...แต่ถามว่าชีวิตมีไรน่าสนใจมั้ย...คำตอบคือ...ไม่มี...แต่ว่างมากเลยหาพื้นที่บ่น...ก็เขียนไรก็ได้ที่มันไม่ได้ทำร้ายใครหรือเสี่ยงต่อกฏหมาย

    Cover Page คือไม่รู้จะเอารูปไร...ก็หาแค่จากในรูปที่ไปถ่ายเรื่อยเปื่อยวันนี้....ก็เอารูปวัดแล้วกัน....ส่วนตัวเป็นคนชอบทำบุญเข้าวัด...ไปศาลเจ้า...ตะเวนไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์...แต่ไม่ใช่คนธรรมะธรรมโมอะไร แค่มีเรื่องทุกข์และไปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย...แต่ตอนนี้ก็ตกงานดั่งเดิมและชีวิตก็ไม่มีใครดั่งเดิม...หลายอย่างไปขอๆ...ก็ขึ้นกับบุญกรรมและการกระทำเราด้วย...แต่ก็ที่พึ่งทางใจ

    เรื่องที่จะเขียน...ก็เพราะไม่รู้เขียนไร...จะเขียนเรื่องที่ไปเรียนที่ศูนย์ฝึกอาชีพ...คือเรียนเพ้นท์เล็บและทำอาหาร, เขียนเรื่องงานที่ผ่านมาตั้งแต่เรียนจบ (ไม่มีคนอยากรู้แต่มีคนพูดถึงเยอะตอนไปสัมภาษณ์งานหรือเพื่อนร่วมบริษัทที่ไม่รู้ว่ารู้ได้ไงแบบเพิ่งเจอกันไม่นาน) หรือเรื่องความผิดพลาดล้มเหลวในปีที่ผ่านมา...คือแย่มาก....ตกงานเป็นปี...และพลาดอะไรใรชีวิตไปเยอะ...แต่ก็ไม่ได้เขียนเพราะเหมือนไปตอกย้ำตัวเอง...จนมาวันนี้...ก็ไม่ได้มีไรน่าสนใจ...แต่เบื่อชีวิต...ความจริงกลับบ้านมาก็เหนื่อย...ง่วง...เดินทางแบบไกลอ่ะ...รถติดและคนเยอะ...ไหนบอกหยุดยาว...คนออกต่างจังหวัด...คือรถแน่นเหมือนเดิม เหนื่อยมากๆ...ก็ถือว่าเป็นพื้นที่อยากเล่าไรที่อยากเล่าแม้ไม่มีคนอ่าน...แต่แย่มากชีวิต...ปีใหม่ปีนี้แย่สุดๆ....แย่กว่าปีที่แล้ว....คือปีที่แล้วก็ตกงานแหละ...แต่ก็คือเพิ่งตกงานและพอมีเงินช่วยเหลือคนตกงานและฟรีแลนด์เล็กๆ น้อยๆ เอาตัวรอดไปแต่ปีนี้ไม่มีอะไรเลย...

    ง่วงนอนแต่อยากบ่น...อยากพิมพ์...อยากเล่า...แม้มันดูไม่มีอะไรน่าสนใจเลยก็ตาม....เริ่มจากตรงไหนดี...เอาเพลงนี้แล้วกัน...เราฟังตอนเดินเข้าบ้าน..ก็ฟังมาตลอดทางแล้วกดย้อนเล่นซ้ำๆ...แต่ขอแปลงเนื้อหน่อย...คือเราขอเพลงนี้ให้ชีวิตและเรื่องงานของเรา


    "หากตอนเช้าไร้ดวงตะวัน
    หากดวงจันทร์ไม่ขึ้นกลางคืน
    หากว่าเรื่องที่ (ฉันตกงาน)ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
    ฉันก็คงแอบยิ้มคนเดียวในใจ

    หากพรุ่งนี้กลายเป็นเมื่อวาน
    หากโลกหมุนไปแบบทวนเข็ม

    หากว่าเรื่องที่(ฉันล้มเหลว)ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
    ฉันก็คงไม่ต้องเสียใจอย่างนี้

    อยากให้ย้อนเวลาเพื่อคืนกลับมาเริ่มต้นใหม่
    ฉันจะทำทุกสิ่งทุกอย่าง
    ไม่ให้ (เรื่องผิดพลาดนั้นเกิดขึ้น)
    อยากให้ย้อนเวลาเพื่อคืนกลับมาได้ไหม
    แม้ต้องแลกด้วย (อะไร) ฉันต้องทำอย่างไรก็ยอม

    เฝ้ารอให้มีปาฏิหาริย์ ปรากฏการณ์ที่มันอยู่ในฝัน
    ฉันรออยู่ ฉันรออยู่ (แม้รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้)"
    (ทวนเข็มนาฬิกา - กาย)

    เดินไปก็นึกแบบตัวเองสลายไปเรื่อยๆ หรือเดินย้อนกลับไปจุดเดิม...ที่จะได้เริ่มต้นใหม่...แม้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้..หลายอย่างนะ...ที่เราผ่านไปแล้วย้อนมาคิดและเสียใจอยู่เสมอว่าพลาดไปหรือเสียโอกาสอะไรไป...แต่ก็ย้อนไปแก้ไขไม่ได้...และก็ตั้งใจคิดกับตัวเองว่าจะไม่พลาดแบบนั้นอีก....แต่เราก็พลาดอีกซ้ำๆ...ซ้ำๆ...อีกครั้งและอีกครั้ง...และอีกครั้ง...ไม่รู้จะทำแบบนั้นไปอีกจนถึงเมื่อใด

    เห็นในโพสต์ Facebook คนนั้นคนนี้ไปเที่ยวไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ...บอกตรงๆ คืออิจฉา...ทุกสิ่งทุกอย่างสลายไปเพราะตัวเราเองทั้งหมดและไม่มีทางที่จะย้อนคืนกลับไปแก้ไขอะไรได้...และไม่รู้จะหางานได้อีกมั้ย....และถึงหาได้...ใจของเราเอง...ความรู้สึกและความต้องการของเรา...เราว่าเราเองก็รู้....ทุกอย่างแตกสลายไปเพราะตัวเราเอง..และการตัดสินใจพลาดๆ โง่ๆ และการไม่ช่างสังเกต...ฉลาดรู้เพียงพอ....แต่เราแก้ไขหรือทำไรไม่ได้ตอนนี้...อึดอัดใจ...ไม่มีอะไรน่าเศร้าไปกว่า...การทำลายอนาคตและชีวิตตัวเองด้วยตัวเราเอง

    วันนี้ตอนออกจากโฮสเทลคือไปทำแทนคนลา 1 วัน...เดือนนี้ได้ไปแค่ 1 วัน....ความจริงคนที่ต้องมาเปลี่ยนกะมาเลท...แต่พอดีคุณป้าเจ้าของมา...เรารอจน 6 โมงเศษก็ขอกลับ...คุณป้าตอนแรกก็บอกให้รอก่อน....แบบถ้าไม่ได้ไปไหน...แต่เราก็รู้พี่ที่จะมาเปลี่ยนกะอ่ะ...เลทแน่นอนและเรามีที่อยากไปตั้งแต่ตอนบ่ายแล้วแต่ออกไปไม่ได้....ความจริงตอนช่วงเที่ยงก็แอบแว่บไปศาลเจ้าพ่อเสือแหละ...ไปไหว้ขอพร คนก็เยอะ...เราว่าคนไม่ออกจากรุงเทพฯ กันหรอกมั้ง...คนเยอะ...รถก็เยอะแบบปกติด้วยซ้ำ

    ออกจากโฮสเทล...เราก็เดินไปแถววัดสุทัศน์...คือหาข้อมูลมาแล้วว่าอยู่ตรงข้ามกัน....แต่ตอนเดินไปถึงก็ไม่รู้อยู่ตรงไหน...สมมติวัดนี้ใหญ่...คำว่าอยู่ตรงข้ามนี่แปลได้ 4 ด้านของวัดเลยนะว่าตรงข้ามตรงด้านไหนของวัดกันแน่....ตอนยืนลังเลก็ว่าจะไปฝั่งซ้ายมือ...แต่รอข้ามถนนนาน..ก็เลยไปฝั่งขวามือ..แล้วถามร้านค้าแถวนั้น...เขาก็บอกให้ไปอีกด้านของวัด...เราก็เลยเดินไป....เช็คมาแล้วว่าปิดประมาณค่ำๆ...ส่วนวัดสุทัศน์หรือเทวสถานปิดแล้วตั้งแต่ 5 - 6 โมงเย็น

    เดินข้ามมาก็เจอรูปปั้นของพระวิษณุ..เราก็ยกมือไหว้


    แล้วเดินข้ามไปตรงแถวโรงเรียน...ก็ไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหน..เลยถามยามโรงเรียน...เขาก็บอกเดินต่อไปประตูหน้า...เราก็เลยเดินไปที่ "วัดเทพมณเฑียร"


    เห็นมีคนไหว้พระแม่สุรัสวดีตรงด้านหน้า


    เราก็ไม่แน่ใจว่าตกลงยังเปิดอยู่มั้ยเพราะดูมืดๆ...เลยถามยามว่าเข้าไปได้มั้ย...เขาก็บอกว่าได้...อยู่ชั้น 3...เราก็เดินเข้าไป...และขึ้นบันไดไปชั้น 3...ซึ่งก่อนขึ้นก็ต้องถอดรองเท้าก่อน


    ตอนแรกคิดว่าไม่มีคน...แต่ขึ้นไปจริงๆ...คือก็มีคนนั่งอยู่เป็นสิบคน....เราก็เดินไปไหว้พระแม่ทุรคาก่อน...เป็นอยู่องค์แรกติดบันได....ตอนแรกก็จะถ่ายภาพ...แต่เขามีป้ายห้ามถ่ายภาพ...ส่วนองค์เทพอื่นๆ ก็เรียงกันไป...ก็มีหลายองค์เช่น...พระพุทธเจ้า, พระราม - นางสีดา, พระพิฆเนศ, พระศิวะ, พระนารายณ์, พระแม่ลักษมี, พระกฤษณะและราธาเทวี

    "วัดเทพมณเฑียร"....ถ้าอ่านดูจะบอกเป็น 1 ในสถานที่ขอเรื่องความรัก....แต่ในความเป็นจริงมีองค์เทพหลายองค์...ซึ่งเราก็ไปขอเรื่องงานและให้ผู้ใหญ่รักและเมตตา...ไม่ว่าเราจะทำผิดอะไรก็ตาม...ซึ่งความจริงก็ขอไปแต่ทุกอย่างก็ขึ้นกับเวรกรรมและการกระทำเราอยู่ดี...ตอนนี้เราก็ตกงานอยู่ก็หาที่พึ่งทางใจ

    เราก็ไหว้จนหมดแถวที่ประดิษฐานองค์เทพต่างๆ แล้วเดินไปด้านหลังที่จะมีองค์เทพอยู่ 2 ด้าน...พอครบก็กลับมาที่เดิมที่เราวางกระเป๋าทิ้่งไว้...ตอนแรกก็คิดจะกลับเพราะเรือหมด 19.30 น. ตอนนั้นก็ทุ่มนึงแล้ว...แต่ก็อยากนั่งสมาธิ...แต่นั่งไปได้ 1 นาทีมั้งก็ลืมตาเพราะต้องไปท่าเรือ...แต่ก่อนไปก็ไหว้อีกรอบแบบรวมๆ ก่อนกลับ..แต่พอเราไหว้ด้านนี้..ก็เลยไปไหว้อีกด้านหนึ่ง....เพราะแถวที่ประดิษฐานองค์เทพที่เรียงกันไปคือยาว....พอเราไปไหวอีกด้านหนึ่งแล้วจะกลับ..ตอนหลับตาก็เหมือนได้ยินเสียงเคาะ..หรือเสียงกระดิ่งหรือกลองนี่แหละ...คือตอนนั้นที่เราไหว้ๆ ก็เห็นคนนั่งๆ รอ...ก็คิดว่าเดี๋ยวมีพิธีอะไรมั้ย...แบบตามวัดหรือศาลที่เย็นๆ จะมีทำพิธีสักการะ...อย่างวัดแขกก็ตอนเย็นๆ....พอเราลืมตาก็เห็น...เอาเป็นว่าพราหมณ์มาจุดเทียนบูชา...


    ตอนแรกเราเห็นผู้หญิงที่ยืนข้างหลังเราพูดไรกับเพื่อน..ตอนแรกไม่ได้ฟัง..มองไปคนอื่นๆ ก็เห็นนั่งกัน...เราก็นั่ง...แล้วผู้หญิงคนนั้นที่ยืนหลังเราก็พูดให้เพื่อนลุกขึ้นยืน...เราก็เลยลุกตามบ้าง...หันไปมองด้านหลัง...ก็มีคนยืน....ตอนแรกเรายืนก็ยืนเฉยๆ...แต่เหลือบมองคนอื่นๆ ก็มีพนมมือ....เราก็เลยพนมมือตาม....พราหมณ์ก็เอาไฟไปวนๆ รอบๆ องค์เทพแต่ละองค์....มีเสียงเคาะอาจเป็นกลองหรือฆ้อง...มีเสียงสวด....เราก็ยืนพนมมือและอธิษฐานในใจไป..เรื่องงาน...และเรื่องอื่นๆ...แบบขอให้ชีวิตดีขึ้น...เสร็จแล้วก็มีการเหมือนรดน้ำมนต์...เราก็เสนอหน้าไปรับน้ำมนต์ที่พราหมณ์โปรยลงมา....และบูชาไฟ...คือพราหมณ์เอาไฟมาตั้ง...แล้วคนก็มาต่อแถว....เอามืออังไฟแล้วมาแตะๆ ที่หัวและหน้าตัวเอง (มั้ง)....เราก็ขอพรไป...ทำ 3 ครั้งที่เราทำก็ไม่รู้ทำผิดทำถูก....เสร็จแล้วก็กลับมายืนสวด...คือเราจะกลับมาที่เรายืนเก่าแต่เต็ม...เราเลยเหมือนยืนกลางๆ แล้วเสนอหน้าไปอยู่หน้าแถวเรียงคนอื่น....แต่เราก็สวดตามไม่ได้เพราะไม่ใช่ภาษาไทย...แต่คนอื่นๆ ในห้องเห็นสวดได้กัน..อาจมาบ่อยก็ได้....แล้วก็มีกราบคือแบบไม่ใช่นั่งกราบ...แต่นอนไปทั้งตัว....นอนราบแบบนอนคว่ำ....คนอื่นทำไร....เราก็ทำตาม....ตอนแรกมองไปคนอื่นเห็นเอามือยื่นไปแนบกับพื้น...แบบเคารพทั้งตัว....เราก็ทำตาม...แต่พอหันไปทางพราหมณ์ เขาพนมมือ...แบบเอามือยื่นไปข้างหน้าเหนือหัวตอนนอนคว่ำนี่แหละ...เราก็เลยทำตาม....ความจริงเราเข้าใจว่าอธิษฐานขอพรแบบหลังสวดเสร็จ...แต่เราก็แอบเหล่ๆ พราหมณ์ว่าลุกยัง...คือเราไม่อยากเด๋อด๋า หลับตาขอพร..แล้วปรากฏคนอื่นลุกแล้วเรานอนคนเดียว....ก็แอบเหล่เป็นพักๆ...พร้อมๆ กับขอพรในใจ...พอพราหมณ์ลุกขึ้น...เรกา็ลุกตาม....เสร็จแล้วพราหมณ์ก็มานั่งแล้วให้คนต่อแถวรับน้ำ, รับการเจิมและขนม....เราก็มองคนอื่นเห็นมีเงินในมือ....เราเลยเดินไปที่กระเป๋า...ตอนแรกหยิบมา 9 บาทเพราะมีเหรียญแค่นั้นแล้วมาต่อแถว


    แต่พอมาต่อแถว...เห็นในถาดมีแต่แบงค์ 20 และ 50 ก็เลยเดินกลับไปที่กระเป๋า..เปลี่ยนเป็นแบงค์ 20 


    ตอนเราต่อแถว...ก็มีพวกพราหมณ์หรือคนดูแลบอกว่าเอาพวงมาลัยกลับไปได้...ก็มีคนเอากลับไป...เราก็อยากเอากลับ...คือจะเอาไปไหว้พวกพระในห้องนอนเรา


    เราก็ยืนต่อคิว...แต่ก็มองคนข้างหน้าด้วยว่าเขาทำอะไร...เห็นมีเอาไรใส่ปาก...คือเราจะได้ทำถูก...พอถึงคิวเรา...ก็มีเจิมหน้าผาก...เราก็เสยผมข้างหน้าขึ้น...พราหมณ์ก็เอาช้อนตักน้ำขึ้นมา...ตอนแรกก็ลังเลว่าเราต้องจับช้อนมั้ย...แต่พราหมณ์เอาเทใส่มือเรา...เราก็เอาใส่ปาก..คือดูดจากมือเรานี่แหละ...แล้วพราหมณ์ก็ให้ขนมมาชิ้นนึง...ตอนเดินออกมา..เราก็ขอเอาพวงมาลัยกลับด้วย...แต่เหลือไม่กี่พวง... 2- 3 พวงเองมั้ง...คือมีพวงใหญ่เหลือ 1 พวงแต่ไม่กล้าหยิบ..ก็ได้พวงเล็กมา 1 พวงจะเอากลับไปไหว้พระตรงหัวเตียงของเรา


    เราก็ไหว้ลา...พราหมณ์ก็เดินปิดเหมือนม่านหรือที่กั้นองค์เทพ....แล้วเราก็เดินลงจากอาคาร...ตอนแรกอยากเข้าห้องน้ำแต่หาห้องน้ำหญิงไม่เจอ...เลยเดินลงมาด้านล่าง....มาไหว้พระแม่สุรัสวดีอีกรอบ..ก็มีคนกลุ่มเดิมที่เราเจอตอนเดินเข้ามายืนคุยกันอยู่..ก็ได้ยินแบบมาของานกัน...แบบให้มีงานเข้ามาเยอะๆ


    เดินออกมาทางเดิมก็มายกมือไหว้พระวิษณุอีกรอบ


    เดินข้ามมาฝั่งวัดสุทัศน์...และเสาชิงช้า


    เดินผ่านทางเข้าวัดสุทัศน์ที่คิดว่าปิดแล้วแต่ยังเปิดอยู่....คือประตูด้านนอกเปิดอยู่...แต่โบสถ์ปิดไปตั้งนานแล้ว...เราเลยแวะเข้าห้องน้ำแล้วเดินทางกลับ..เรือหมดแล้วเลยต้องกลับรถเมล์แทน


    พวงมาลัยที่ได้มาก็เอาไปไหว้พระที่หัวเตียงในห้อง


    ย้อนไปเมื่อเช้าก็ไปแทนคนลา 1 วัน....ก็ไกล...แต่ก่อนก็ทำโฮสเทลคืนวันศุกร์ - เสาร์และอาทิตย์แต่ออกเพราะเหนื่อยมากๆ...ในช่วงที่อีกแค่ 2 สัปดาห์ต่อมาก็โดนเด้งจากงานประจำแบบชีวิตไม่เหลืออะไรเลย..ก็ไปแทน...และเลทด้วยเพราะจะรอ 113 แล้วไปต่อรถหน้ารามหรือประตูน้ำ...แต่พอรอๆๆๆ....มันมาก็แน่น...168..ที่เมื่อกี้มา 3 - 4 คันแบบไม่รู้แห่มาไรกันนักหนา....หายไปเลย...ก็คือเลทไปครึ่งชั่วโมง

    งานโฮสเทล...คือเราอาจทำไม่ได้ดีมากหรือไร...แต่ถือเป็นงานสบาย....เพราะไม่ค่อยได้ทำไร....และถ้ากะกลางวัน..มีพี่แม่บ้านและพ่อบ้าน...คือลูกค้ามีปัญหาอย่างไฟเปิดไม่ติด..แอร์เปิดไม่ได้หรือทีวีมีปัญหาก็บอกพวกพี่เขา....แต่กะกลางคืนคือเราอยู่คนเดียว....พอมีปัญหา...หลายครั้งเราก็ทำให้มันกลับมาใช้ได้ไม่ได้...ก็บอกลูกค้าว่าต้องรอตอนเช้า..ขอโทษจริงๆ...

    วันนี้ก็ขายทัวร์ได้แบบ 2 ทริปของห้องเดียว...คือลูกค้าอ่ะเอาเล่มที่มีรายการทัวร์ไปดูตั้งแต่เมื่อคืนรอบพี่อีกคน...เขาก็บอกอยากขายเพราะจะได้ค่าคอมแบบทริปนึงได้ 100 บาท...ดังนั้นอานิสงส์เลยมาตกที่เรา....คือเราไม่ได้ขายไร...แต่ลูกค้าบอกจะไป 2 ทริป 2 วัน....เราก็โทรไปถามบริษัททัวร์ก่อนว่าว่างมั้ย....แล้วให้ลูกค้าจ่ายเงินและเขียนใบเสร็จ...แต่ก่อนตอนมีงานประจำ...เราก็ไม่อะไรกับพวกนี้เท่าไหร่....เพราะคือเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เก่ง...ไปแนะนำไรไม่ได้...อาจดูหลบๆ ด้วย...แต่ตอนนี้คือหาเงิน....ก็เลยอยากได้เงินมากขึ้น


    ตอนสายๆ ก็มีอีกห้องมาถามรถไปอยุธยา...ไม่แน่ใจว่าได้ค่าคอมมั้ยแต่ตอนโทรไปถามบริษัททัวร์...เขาบอกว่าเต็ม...เราเลยบอกลูกค้าให้ไปรถไฟ...ก็เขียนว่าไปหัวลำโพง...แล้วหาสายรถเมล์จากแถวนั้นไปหัวลำโพงให้...แต่ไม่รู้เขาจะสนใจมั้ยแต่ก็เอากระดาษที่เราเขียนไป...

    ลูกค้าก็มี Walk in และมาตามที่จองเรื่อยๆ วันนี้ห้องเกือบเต็ม....โฮสเทลก็ตกแต่งแบบรับวันปีใหม่


    ตอนเที่ยงๆ...พี่แม่บ้านที่ไปซื้อข้าวกลับมาก็บอกให้เราไปหาไรกิน...เราเห็นถ้วยโฟมที่เขาถือมาก็เลยถามว่าจากร้านข้าวต้มหน้าซอยใช่มั้ย....แบบมีไข่เจียวมั้ย...เขาก็บอกมี...เราก็ฝากให้เขาช่วยดูแทนเรา...เพราะมีลูกค้ายังไม่ Check-out อีก 2 ห้อง...คือถ้าเขามาคืนคีย์การ์ดก็ฝากดูให้หน่อยเดี๋ยวเรามาเขียนเวลาออกเอง....

    เราก็เดินไปกดเงินแถวศาลเจ้าพ่อเสือ...คือรถเยอะมาก...รอข้ามถนนนานมาก..คือคนก็ยังเต็มกทม. ไม่ได้ออกไปไหนกันเลยเถอะ....ในศาลเจ้าพ่อเสือ...คนก็เยอะเหมือนกัน...เราก็ไปไหว้และเสี่ยงเซียมซีก็ได้แบบกลางๆ...แหละ....ก็โอเคไม่เอาไรมาก...ดีกว่าได้ไรแย่ๆ....ปกติเติมน้ำมันตะเกียง..แต่ตอนนั้นไม่มีเงิน


    เดินออกจากศาลเจ้าพ่อเสือก็เดินเข้าซอยไปทะลุอีกด้านเพื่อไปซื้อข้าวร้านข้าวต้ม...คือมันถูก..ถ้ากับข้าว 1 อย่างคือ 25 บาท แต่ถ้า 2 อย่าง 30 บาท...ก็เอาไข่เจียวแต่อีกอย่าง....คิดนานมีแต่ผัก...ไม่ชอบกินผัก...สุดท้ายก็เอากระเพรามา


    เรื่องอื่นๆ ก็มีคนดูแลแท๊กซี่ที่โฮสเทลจองไว้...โทรมา 3 ครั้งคือ...ถามสัญชาติลูกค้าห้องที่จองแท๊กซี่ไว้ไปดูไรสักอย่างที่เอเชียทีค....ครั้งที่ 2 ซื้อตั๋วรอบ 1 ทุ่มไม่ได้ต้อง 3 ทุ่ม...ตอนแรกเราไม่แน่ใจลูกค้าอยู่ห้องมั้ย...แต่ก็เดินไปเคาะห้องดูว่าลูกค้าอยู่ห้องมั้ย..ปรากฏว่าอยู่.....เราก็เลยแจ้งเขา....แบบก็ถือโทรศัพท์ที่มีแท๊กซี่รออยู่ด้วย...ส่วนครั้งที่ 3...แท๊กซี่โทรมาถามชื่อลูกค้าเพราะจะจองตั๋วให้เราพิมพ์ให้...เราก็พิมพ์ไปในไลน์....ลูกค้าอื่นๆ ที่จองไว้ก็เข้ามาเรื่อยๆ...แต่ในอีเมลมีแค่บุ๊คกิ้งเดียวที่จองเข้ามาคือถือว่าน้อยแหละ...แต่รอบอื่นๆ คนอาจจองเข้ามาเยอะ

    เราก็ดูนั่นนี่จากในคอมที่เราแบกจากบ้านมานั่งเปิดดูไรไปเรื่อยๆ ฆ่าเวลา


    วันนี้มีข่าวแบบผู้หญิงไปขายตัวต่างแดนแล้วบอกว่าโดนหลอก...เราก็มีไป Comment แต่คือว่างๆ ไม่รู้จะอ่านไร...ข่าวก็อ่านไปหมดแล้วเลยเปิดหาข้อมูลแบบเรื่องเล่าผู้หญิงขายตัวมาอ่าน...คือเราก็เคยเจอโพสต์แบบหาคนไปทำงานนวดต่างแดนเยอะ...ก็รู้แหละขายตัวหลากหลายประเทศ...ก็มีแชร์ประสบการณ์ไปขายตัวด้วย....คือก็ไม่ได้ง่าย.....ต้องดิ้นรนแย่งลูกค้ากันก็มี...ลดค่าตัวตัดราคาเพื่อให้ได้ลูกค้าก็มี...คือตอนไปคือเป็นหนี้ก่อน...แบบคนชวนหาคนไปทำก็ออกค่านู้นนี่ให้...อย่างค่าเครื่องบิน...ก็ไปทำงานใช้หนี้ก่อนแล้วต่อไปคือเงินเก็บ...แต่ก็มีแบบคนหาคนไปทำมาโพสต์ประจานแบบคือให้คนนี้ได้มาทำงานที่นี่แต่ดันชิ่งไปทำงานให้เจ้าอื่น....อ่านเรื่อยๆ ดูชีวิตคนอื่นแหละ...ไม่มีไรง่ายหรอกแม้ไปขายตัว....รับแขกเยอะเพื่อเก็บเงินให้ได้...บางทีเราเห็นจำนวนที่ต้องได้ต่อวันคือโอ้โห...หรือแย่งลูกค้าก็เพื่อให้ได้ยอดลูกค้าและเงินที่เยอะขึ้น...แต่เราก็ไม่ได้ไปรู้ไรจริงๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกแค่รู้จากที่อ่านแค่นั้น


    ตอนเรามาทำแทนคือคุณป้าเจ้าของที่ปกติตอนเราทำกะกลางคืนจะมาแทรกระหว่างช่องว่างคนกะกลางวันและกลางคืนอ่ะนะ...แต่พอช่วงเรามาทำแทนเหมือนคุณป้าไปปฏิบัติธรรมหรือไม่ได้มา...ดังนั้นกะกลางวันและกลางคืนก็ต้องรอแบบมาต่อกะกันเอง....ปกติพี่ที่มาต่อกะก็ช้า....แต่วันนี้คุณป้าเจ้าของมา...เขาก็บอกแม่บ้านให้ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้...เขาก็ถามเราจะทานไรมั้ย...พี่แม่บ้านก็บอกเราแบบทานฟรี...ตอนแรกเราเกรงใจจะไม่เอาแต่คือเงินไม่มีก็กินไปเถอะ....แต่ปรากฏก๋วยเตี๋ยวไม่มีก็เลยได้ราดหน้ามาแทน...ประหยัดไปอีก 1 มื้อ


    ตอนเย็นๆ ก็มีลูกค้า 2 รายแบบคีย์การ์ดมีปัญหา...แบบเสียบแล้วไฟไม่เข้า...เราก็เดินไปดูห้องไฟก็ปรากฏไม่มีไฟขึ้น..พี่แม่บ้านก็มาดูและดึงตัวโยกเล็กๆ ไปอีกด้าน...ไฟก็ขึ้น....ครั้งที่ 2....พี่แม่บ้านไม่อยู่ก็ต้องโทรตาม....แต่เราไม่กล้าทำเอง..เพราะพี่แม่บ้านก็พูด...พลาดคือดับทั้งโรงแรม


    พิมพ์ๆ มาก็ชีวิตก็ไม่มีไรหรอก...น่าเบื่อ....ตกงาน...ไม่มีเงินแค่นั้นและคงหาไม่ได้อีก...สุขภาพจิตเราก็ไม่ปกติด้วย...ก็ยังไม่อยากตายแหละแต่เบื่อชีวิต....ไม่นับเรื่องเราทำพลาดเองในหลายๆ โอกาส...แต่ชีวิตผิดหวังสิ้นหวังจริงๆ ตอนนี้....ชอบนึกถึงอดีตเพราะชีวิตตอนนี้บัดซบมาก....แต่ใจเราเอง...เราก็รู้...ความฉิบหายรออยู่ข้างหน้านั่นเอง...คนเราไม่อยากเปลี่ยนงานบ่อยๆ หรอกแต่ก็มีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้นที่ทำเราทรมานใจ...ไม่มีอนาคตไรทั้งนั้นตอนนี้.....เครียดและได้แต่นั่งบ่นนี่แหละ..ที่มานั่งพิมพ์แบบเรื่องตัวเองคือน่าสนใจตรงไหน?....ก็ไม่....แค่มีเรื่องทุกข์เครียดในใจ...ก็อยากระบายๆ ด้วยการพิมพ์การเขียนนี่แหละ...และจะพิมพ์หรือเขียนก็ต้องมีไรมาเล่าก็เลยเอาเรื่องชีวิตตัวเองอย่างวันนี้มาพิมพ์....เหมือนให้มีไรทำหรือให้ผ่านจุดเครียดๆ ไปเพราะมาโฟกัสที่การเล่าเรื่องที่เกิดในชีวิตวันนี้แทน...ก็แย่แหละแต่ทำลายอนาคตตัวเองด้วยการตัดสินใจผิดพลาดบ่อยๆ จริงๆ....ไม่รู้ชีวิตจะไปทางไหนต่อจริงๆ...ก็ไม่ใช่เรื่องของใคร...หรือสำคัญอะไรสำหรับใคร...เราแค่บ่นของเรานี่แหละ

    หัวข้อนี้โอเคแบบ 30++ กับชีวิตที่ล้มเหลว...เราว่างก็อยากหาไรมาพิมพ์มาเล่าแบบไม่มีคนอ่านหรือไม่ได้น่าสนใจแค่ชีวิตคนคนนึง..แต่เราก็แค่อยากหาไรทำหรือตอกย้ำตัวเองบ่นๆ ในเรื่องผิดพลาดหรือเรื่องแย่ๆ ในชีวิตที่มันล้มเหลวอ่ะแหละ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in