เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Me Stylemissxbar
Book club สำหรับคนแปลกหน้า : Crazy Rich Asians
  • เย็นวันอังคารหลังเลิกงาน ฉันเดินเข้าไปในซอยสุขุมวิท 19 มุ่งหน้าสู่สถานที่นัดหมายใจกลางกรุง ของกลุ่มคนรักหนังสือกับกิจกรรม book club (กิจกรรมที่นัดแนะให้คนมารวมตัวกัน เพื่อสังสรรค์พูดคุยถึงหนังสือที่อ่านไป โดยแต่ละครั้งจะกำหนดเรื่องที่จะให้สมาชิกอ่านมาก่อน) และในครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกของฉัน หนังสือเล่มนั้นก็คือ Crazy rich asians*

    ฉันก้มดู google map ในมือก่อนที่จะสลับหน้าจอไปที่แอพลิเคชั่น Line เฮ้อ ถ้ามีเพื่อนมาด้วยก็คงจะตื่นเต้นน้อยกว่ามาคนเดียวยังงี้ล่ะมั้ง แต่บ่อยครั้งจนถือว่าเป็นคติประจำตัวของฉันไปแล้วก็คือ ความคิดที่ว่า “ถ้ามัวแต่รอคนอื่น ก็คงไม่ได้เริ่มทำอะไรที่อยากทำเสียที” 
    เมื่อเข้าไปในตัวอาคารของโรงแรมที่นัดหมาย ฉันเดินมุ่งหน้าไปทางห้องอาหาร ตามหลังคุณพี่ผู้หญิงผมสั้นท่านหนึ่ง ก่อนจะพบว่า มาbook club เหมือนกัน 
    “Is this a book club ?” ฉันถามเมื่อเดินมาถึงโต๊ะยาว มีฝรั่งผู้หญิง 2คน และฝรั่งผู้ชายนั่งอยู่ก่อนแล้ว 
    บทสนทนาหลังจากนี้ทั้งหมดจึงเป็นภาษาอังกฤษ เอาล่ะ ถึงเวลาฝึกแล้ว! ฉันบอกตัวเองในใจ

    พวกเรามาถึงก่อนเวลานัดประมาณ 15 นาที ฉันนั่งฟังผู้ที่มาถึงก่อนเล่าเรื่องที่กำลังคุยกันค้างไว้ ว่าด้วย การนั่งวินมอเตอร์ไซค์ในกรุงเทพฯ 
    “ฉันค้นพบวิธีที่จะให้พวกเขาขี่ช้าลง โดยการบอกว่า ฉันจะให้พิเศษเพิ่ม 40 ถ้าเธอไม่ซิ่ง !!” Katheryn พูด ทั้งโต๊ะหัวเราะกับวิธีการของเธอที่มักจะใช้ได้ผลเสียด้วย
    ผู้คนที่ลงทะเบียนไว้เริ่มทยอยเดินทางมาถึง รวมถึงHost ของงาน คุณMike เขากล่าวทักทายว่า 
    “ยินดีต้อนรับทุกคนครับ ผมต้องบอกว่า ครั้งนี้คนเยอะเป็นพิเศษจริงๆ”เขากวาดตามอง วันนี้มีผู้ร่วมกิจกรรมมากถึง 16 คน (ปกติแค่ไม่เกิน 7-8 คนเท่านั้น) ไม่แปลกใจเลยว่านิยายเล่มนี้ได้สร้างเป็นภาพยนตร์และมีกำหนดฉาย สิงหาคม 2018 นี้
    คนอื่นๆเริ่มสั่งอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นกติกาสังคมของกิจกรรมนี้ ถือซะว่าช่วยอุดหนุนทางโรงแรมที่พวกเรามาใช้สถานที่เกือบ 3 ชั่วโมง ฉันเตรียมใจมาแล้วล่วงหน้าว่าจะไม่กินอาหาร เพราะแค่คิดและตอบเป็นภาษาอังกฤษก็จะแย่แล้ว ถ้าต้องมาเคี้ยวอาหารอีก เห็นทีจะพูดไม่ทันเขาแน่ๆ ฉันสั่งไวน์แดง 1 แก้ว หวังผลให้การพูดคุยเป็นไปอย่างไหลลื่น ก่อนที่จะหันไปทักทายหนุ่มอเมริกันชื่อ Tyson ทางซ้ายมือ “ทำไมคุณถึงสนใจอ่านเล่มนี้คะ ฉันคิดว่าคนอื่นจะมองว่าเป็นนิยาย chick lit เสียอีก” 
    “อย่างนั้นหรอ ที่จริงมันสนุกทีเดียวนะ และผมชอบเป็นพิเศษ เวลาที่ตัวละครพูดถึงแฟชั่นต่างๆด้วยเพราะผมมันไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้” เขาหัวเราะ “ผมชอบอ่านหนังสือ ผมก็อ่านทุกอย่างแหละครับ” 
    คำตอบสมกับเป็นนักอ่านเสียจริง ฉันต้องหาเวลาอ่านหนังสือให้มากและหลากหลายกว่านี้บ้างละ !
    สาวหน้าหมวยเดินกระหืดกระหอบเข้ามา ทักทายกับคุณ Mike ก่อนที่เขาจะแนะนำทุกคนให้รู้จักเธอ
    “นี่คือ คุณกวอน จากเกาหลี เธอไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แต่อยากมาร่วมสนุกด้วย หวังว่าทุกคนคงโอเค”
    “สวัสดีค่ะ ฉันเพิ่งเดินทางมาเที่ยวกรุงเทพ และอยากจะลองหากิจกรรมแปลกใหม่ทำดู ให้ได้รู้จักที่นี่ แบบที่...ที่ไม่ใช่ที่ท่องเที่ยวทั่วๆไปน่ะค่ะ”สาวเกาหลีแนะนำตัว
    ฉันอมยิ้ม เพราะทั้งโต๊ะนี้มีคนไทยแค่สองคน คือฉันและคุณพี่ผู้หญิงผมสั้นที่เดินเข้ามาพร้อมกันตอนแรก

    Host ของเราเริ่มต้นนำทุกคนเข้าสู่บทสนทนา โดยให้ทุกคนแนะนำตัวสั้นๆ ฉันรู้สึกว่า การแนะนำตัวในวงสนทนานานาชาติ (Too many นา) นั้นสั้น ง่าย กระชับดี และไม่มีใครถามอะไรซอกแซก 
    Mike เริ่มต้นโดยให้ทุกคนชูนิ้วให้คะแนนหนังสือเล่มนี้ ในเกณฑ์เต็มสิบ และพบว่า มีตัั้งแต่ 5-9 คะแนน โดยส่วนใหญ่จะเป็นคะแนนค่อนไปทางสูง ทุกคนเห็นพ้องกันว่า เป็นหนังสือที่อ่านสนุกมาก
    กลุ่มคนที่ให้คะแนนน้อยให้เหตุผลว่า เบาสมองเกินไป และไม่เข้าใจว่าทำไมตัวละครถึงมีพฤติกรรมตลกๆแบบนั้น
    “ผมเห็นว่าหนังสือของคุณมีโพสต์อิทเต็มเลยและคุณก็เป็นหนึ่งในคนที่ให้ 9/10 คุณเห็นว่าหนังสือเล่มนี้เป็นไงครับ” Mike ถามฉัน 
    “ที่เห็นนี่คือบรรดารายชื่ออาหารที่ฉันอยากลองกินน่ะค่ะ” ฉันตอบขำๆ หนังสือเล่มนี้นำเสนอภาพลักษณ์วัฒนธรรมอาหารเปรานากันและสตรีทฟู้ดสิงคโปร์มากเสียจน ฉันคิดอยากให้มีนักเขียนไทยแต่งนิยายไปแข่งกะเขาบ้าง ทุกคนหัวเราะ
     “ จริงๆก็ไม่มีอะไรค่ะ ส่วนมากเป็นคำศัพท์ ฉันชอบที่นิยายเรื่องนี้ น่าจะเป็นนิยายchick lit ภาษาอังกฤษเรื่องแรก ที่ฉันมีความรู้สึกร่วมจริงๆ เพราะเกี่ยวกับเรื่องของเอเชียๆน่ะค่ะ” ฉันตอบพลางนึกเขินที่แปะโพสต์อิทคั่นซะเยอะ เพราะโดยส่วนตัวรู้สึกว่าขลังดี หนึ่งในนั้นจะเป็นศัพท์ว่าด้วยเฉดสี ซึ่งฉันประทับใจชื่อเรียกมากมายที่ผู้แต่งใช้บรรยายเสื้อผ้าของตัวละครในเรื่อง
    ฝรั่งสาวที่นั่งริมสุด ซึ่งแนะนำตัวว่าเป็นครูสอนภาษาอังกฤษสถาบันชื่อดังในสยามสแควร์ ยกมือขึ้นเสนอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการให้คะแนนว่า คะแนนออกมาหลากหลายเพราะ ทุกคนมีเกณฑ์ในใจที่ต่างกันไป เธอเสนอว่า อาจจะกำหนดเกณฑ์ เช่น ในแง่พล็อต การพัฒนาตัวละคร ไปจนถึงแง่คิดทางปัญญา (สมกับที่เป็นคุณครูจัง ฉันคิด) 
    คุณพี่คนไทยที่นั่งทางขวามือของฉันหัวเราะ พลางส่ายหัว “นั่นมันก็จะจริงจังเกินไปมั๊ย ฉันว่าการพูดคุยแบบนี้ก็ผ่อนคลายดี” คุณ Mike จึงสรุปว่า ให้ลองลิสต์หัวข้อมาดู เราอาจจะลองใช้ครั้งต่อไป
    “แต่หนังสือเล่มนี้คงถูกจัดให้อยู่ในหมวด Beach reads, Airport novel อะไรอย่างนั้น” ทุกคนพยักหน้า
    “ผมชอบที่วิธีการที่เขาเล่าเรื่องไปด้วย สอดแทรกรายละเอียดมากมายเกี่ยวกับแฟชั่น ไลฟสไตล์ไฮโซไปด้วย โดยที่ไม่ทำให้เรารู้สึกเบื่อ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นสารคดี อะไรแบบนั้น” Tyson คอมเมนต์
    “ใช่ เขามีวิธีเขียนที่น่าสนใจมาก แต่ชั้นไม่ชอบตรง footnote ที่มีการใส่ความคิดเห็นส่วนตัวไปด้วยเลย เหมือนว่า อ่านหนังสือแล้วมีคนมากระซิบด้วยตลอดเวลา” อีกคนกล่าว
    “ฉันมีเพื่อนชาวสิงคโปร์เยอะ พวกเขามักจะเป็นอย่างนั้นนะ คือเหมือนจะเม้าท์ๆตลอดเวลา”สมาชิกคนหนึ่งทำมือเป็นท่าป้องปาก “มันอาจจะเป็นบุคลิกของเขามั้ง”
    “มีใครที่ไม่ได้อ่านหนังสือเล่มหรือ Kindle แต่ฟังเป็น audiobook มั้ยครับ” คุณ Mike ถาม ก่อนที่จะสรุปว่า “ก็สนุกดีเหมือนกันที่ได้ยิน คำอุทาน คำแสลงจีน ออกเสียงจริงๆ”
    “ฉันรู้มาว่า พ่อแม่เอเชียมักจะเอาใจใส่ลูกใกล้ชิด..ไปนิดหนึ่ง แต่มันมียังงี้จริงๆหรือ” สมาชิกคนหนึ่งถามขึ้นหันมาสบตากับบรรดาเอเชียน ที่มีกันอยู่เป็นส่วนน้อยในวงสนทนา
    “เรื่องนั้นน่ะฉันรู้ดีค่ะ เพื่อนของฉันที่ออกเดทกับหนุ่มไทยมักจะต้องไปเจอกับพ่อแม่ และญาติที่มีมากมายของเขา” Katheryn สาวแอฟริกาใต้พูดขึ้น “บางคนต้องเลิกกัน เพราะพ่อแม่ของพวกเขาไม่ปลื้ม”
    “เรื่องเหยียดเชื้อชาติ ถูกแสดงให้เห็นชัดเจนในเล่มนี้ ที่แบ่งแยกว่า จีนโพ้นทะเล หรือจีนแผ่นดินใหญ่”
    “พวกเขาอาจเป็นผู้อพยพเหมือนกัน แต่ว่า คนที่มาก่อนและประสบความสำเร็จ ก็จะคิดว่าพวกคนที่มาทีหลังไม่มีวันที่จะมาคิดเทียบเขาได้” Gary ชายฝรั่งสูงวัยแสดงความเห็น 
    “อย่างชาวออสซี่เองก็ยังมีคำกล่าวที่ว่า เป็นลูกหลานสืบเชื้อสายมาจากบรรดานักโทษที่ถูกนำมาปล่อยเกาะเลย”สาวออสซี่ที่นั่งถัดไปกล่าวติดตลก
    “ใช้คำว่า ผู้ต้องหา แทนคำว่า นักโทษ จะฟังดูดีกว่านะ” เพื่อนสาวที่มาด้วยกันแย้งขึ้น ทุกคนหัวเราะ
    “เหมือนกับว่า รวยอย่างเดียวยังไม่พอ คุณต้องมาจากตระกูลดังด้วย ไม่งั้นก็เหมือนกับ Charlie” สมาชิกอีกคนกล่าวถึงแฟนเก่าของตัวละครที่ชื่อ Astrid
    “ฉันชอบตัวละครนี้นะ เขาแตกต่างจาก ‘พวกคนรวย’ คนอื่นในเรื่อง เช่นการใช้เงินซื้อความสุขให้คนที่ตัวเองรักจริงๆ” ฉันแสดงความเห็น Mike พยักหน้าเห็นด้วย
    “แต่ฉันไม่ชอบตัวละครหลัก อย่าง Nick และ Rachael เลย ไม่เห็นทำอะไรได้ซักอย่าง”สาวออสซี่พูดต่อ
    “นั่นเป็นเพราะว่า Nick เขาเป็นคนกลาง และเขาก็คงจะห่างบ้านใหญ่ไปนาน” อีกคนแย้ง “แต่ Rachael นี่ความรู้สึกช้าจริง เป็นชั้นล่ะก็จะไม่ทน”
    “ผมไม่คิดว่า อาม่า หรือแม่ของนิคทำเกินกว่าเหตุนะ” Garyแย้ง “พวกเขาก็แค่ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกหลานตัวเอง” 
    สมาชิกคนอื่นๆกล่าวถึงตัวละครสาวรับใช้ประจำตัวอาม่า ที่ในหนังสือระบุว่าได้รับพระราชทานมาจากกษัตริย์ไทย ว่าในสมัยนี้ยังมีอยู่จริงหรือไม่
    “เรื่องนั้นมีจริง แม้แต่ในครอบครัวคนไทยชั้นสูงหรือมีฐานะก็มีเด็กรับใช้ที่...แบบว่า อยู่ด้วยกันทั้งชีวิต อย่างคุณยายของฉันก็มี” คุณพี่คนไทยที่นั่งข้างกันกล่าว “แต่มาคิดลำดับตามในหนังสือแล้วก็ไม่แน่ใจว่า อาม่าอายุเท่าไหร่ ได้รับพระราชทานตอนรัชกาลไหนนะคะ” 
    ฉันนั่งฟังและนึกเห็นด้วยในใจว่า คนไทยคนไหนอ่านนิยายเรื่องนี้เป็นต้องฉุกคิดประเด็นนี้กันทั้งนั้น สำหรับในกรณีของฉัน หยิบกระดาษมาจะคิดคำนวณปีพศ.ก่อนที่จะบอกตัวเองว่า “เฮ้ย ลืมไปว่านี่มันเรื่องแต่ง”
    “แต่ฉันอ่านเอาฮาอย่างเดียวเลยนะ ตัวละครในเล่มนี้ ฉันรู้สึกว่าทุกตัวล้วนเป็นนิยายไปหมด ไม่มีใครที่จะเอามาคิดเป็นจริงเป็นจังได้ซักคน” สาวออสซี่สรุป “ว่าแต่ Tyersall park นี่มันมีจริงๆมั้ย” เธอพูดถึงสถานที่ลึกลับที่กล่าวในหนังสือ
    “มีจริงๆค่ะ เป็นพื้นที่กรรมสิทธิ์ของสุลต่านรัฐจาโฮ ทุกวันนี้ไม่มีคนอาศัยอยู่หรอก เป็นที่รกร้างใกล้กับ Botanical garden เต็มไปด้วยสัตว์และพืชพรรณธรรมชาติ” สาวมาเลย์ที่นั่งเยื้องกับฉันเอ่ยขึ้น 
    การสนทนาเริ่มไปในทิศทางว่า หนังสือเล่มนี้แต่งโดยอิงจากประสบการณ์คนเขียนจริงๆหรือว่าเป็นเรื่องแนวเสียดสีกันแน่ ฉันนึกย้อนถึงบทสัมภาษณ์ที่ไปนั่งไล่ฟังก่อนมากิจกรรมวันนี้ว่า คุณ Kevin Kwan ผู้แต่งย้ายจากสิงคโปร์ไปอเมริกาตั้งแต่อายุ 11ปี และยังบอกอีกว่าเพิ่งมารู้เมื่อโตขึ้นแล้วว่า ตัวเขาเองถือว่าเติบโตมาในสังคมชั้นสูง ฉันรู้สึกว่านั่น สะท้อนถึงลักษณะของเศรษฐีจีนเจนเนอเรชั่นก่อน ที่พยายามใช้ชีวิตเรียบๆไม่โอ้อวด และที่สำคัญคือไม่ค่อยพูดเรื่องเงินกับลูกหลานมากนัก คล้ายๆกับที่ตัวละคร Nick เจอ

    หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป Host ของเราทยอยแจกแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่ง ฉันรับมาอ่านดูพบว่า เป็นรายการคำถามที่แนะนำสำหรับกิจกรรม Book club รวมถึงสรุปรายชื่อตัวละครของ crazy rich asians พวกเราเลือกคำถามที่สนใจจากในรายการมาสองสามข้อ แลกเปลี่ยนความเห็นกัน 
    “หนังสือเล่มนี้ ตั้งใจจะให้เป็น crazy-rich asians หรือ crazy,rich asians กันแน่” ทุกคนเห็นด้วยว่า เป็นการเล่นคำที่ตั้งใจจะให้แปลได้ทั้งสองอย่าง

    อาหารในจานหมดลง ไวน์ในแก้วที่สองก็พร่องไปแล้ว ถึงเวลาสามทุ่มกว่า กิจกรรมวันนั้นจบลงด้วยคำถามที่ว่า “ใครจะซื้อเล่มสองอ่านต่อบ้าง”

    ฉันยกมือพร้อมกับคนอื่นๆอีกหลายคน 



    * Crazy rich asians โดยผู้แต่ง Kevin Kwan นิยายร่วมสมัยเล่าถึงทายาทเศรษฐีสิงคโปร์ที่ไปเติบโตอเมริกา กับความอลหม่านที่ได้เจอเมื่อเขาตัดสินใจพาแฟนสาว American-born chinese กลับบ้านครั้งแรก มีฉบับแปลไทย โดย ศศิ พินทุ์ ชื่อ “เหลี่ยมโบตั๋น” 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in