เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ภาษาพาเพลินNoi Beleza
ชีวิต..ที่เบิกบาน

  • Wisdom says we are nothing.
    Love says we are everything.
    Between these two our life flows.

    Cr : Jack Kornfield.
    .
    .
    คำสอนของท่านพุทธทาส..

    การเข้าถึงสัจธรรมเรื่อง “อนัตตา” ก็คือ
    การตัดขาดจากความยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
    ตัดขาดจากความเห็นว่ามี “ตัวกู”
    หรือมีสิ่งที่เป็น “ของกู” นั่นเอง

    “อย่าเห็นอะไรๆ เป็น “ตัวกู” หรือ “ของกู”
    แต่จงทำอะไรๆ ด้วยความรู้ตัวอย่างแจ่มแจ้ง
    แล้วเราก็จะไม่เป็นทุกข์”

    ความเห็นผิดไปว่ามี “ตัวกู”
    ที่สามารถนำวัตถุแห่งความปรารถนา
    มาครอบครองเป็น “ของกู”
    คือ รากเหง้าของความยึดมั่นทางอารมณ์

    ความอยากในสิ่งที่ไม่เที่ยง..
    อาจนำไปสู่ “ตัวกู” หรือตัวผู้อยากที่เป็นทุกข์
    เมื่อต้องสูญเสียสิ่งนั้นไปในที่สุด

    คนเราจะต้องเลิกละความเห็นว่ามี “ตัวกู”
    หรือมีตัวตนเสียก่อน ..แล้วจะพ้นทุกข์ได้

    ถ้าไม่มีความรู้สึกว่ามี “ตัวกู” เสียแล้ว
    ความรู้สึกอยากครอบครอง
    ของ “ของกู” ก็จะไม่มี
    ทำให้ทั้งความยึดติดและความทุกข์
    ที่จะมีมาพร้อมกัน พลอยหมดไปด้วย

    ท่านพุทธทาสอธิบายว่า “จิตว่าง”
    หมายถึงจิตที่ว่างจากความเห็นผิด
    เกี่ยวกับ “ตัวกู” และ “ของกู”

    นั่นคือ “จิตว่าง” เป็นจิตที่สมดุลทางจริยธรรม
    เป็นจิตที่ปลอดจากความบกพร่องทางศีลธรรม
    อันเป็นสิ่งที่เป็นอุปสรรคแก่การพ้นทุกข์

    “จิตว่าง” เป็นแนวคิดทางจริยธรรมและจิตวิทยา
    เป็นสถานะที่คนเราควรจะพัฒนาขึ้นในจิตใจ
    เพื่อจะได้เข้าถึงนิพพานในทึ่สุด
    .
    .
    ในชีวิตเรา ..
    เราล้วนเป็นส่วนหนึ่งของ ทิศ 6
    1. ทิศเบื้องหน้า คือ บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย
    และผู้มีอุปการะอื่นๆที่เลี้ยงดูเรามา

    2. ทิศเบื้องขวา คือ ครูบาอาจารย์ที่พร่ำสอนวิชา

    3. ทิศเบื้องหลัง คือ บุตร ผู้เป็นทายาท
    ภรรยา และสามี ผู้เป็นคู่ชีวิต ที่คอยให้กำลังใจ

    4. ทิศเบื้องซ้าย คือ มิตรสหายที่คอยช่วยเหลือ
    เกื้อกูลทั้งยามปกติ และยามตกทุกข์ได้ยาก

    5. ทิศเบื้องล่าง คือ บริวารหรือผู้รับใช้, ลูกน้อง
    ที่คอยปรนนิบัติ ช่วยเหลือกิจการงาน

    6. ทิศเบื้องบน คือ สามเณร ภิกษุ ภิกษุณีผู้มีศีล
    ที่ท่านคอยสอนธรรมะแก่ญาติโยม

    เราล้วนรู้จัก มีความคุ้นเคยต่อกัน
    มีความรัก ความเอื้ออาทร ห่วงใยกัน
    พึ่งพาอาศัยกัน ส่ายใยผูกพันต่อกัน
    อบรมให้ความรู้ ให้คำแนะนำต่อกัน

    ความรักเป็นทุกสิ่ง ที่เชื่อมโยงเรากันไว้
    ความรักที่แท้จริง คือ ..
    ความเมตตา..ปรารถนาให้เค้ามีความสุข
    ความกรุณา..ปรารถนาให้เค้าพ้นทุกข์

    เมื่อเป็นผู้ให้..เราจะสัมผัสถึงความสุข
    ความยินดีที่เราได้เกื้อกูลต่อกัน
    และบางครั้ง..เมื่อเราเป็นผู้รับบ้าง
    เราก็สัมผัสถึงความสุข..อีกแบบหนึ่ง เช่นกัน
    .
    .
    ชีวิตทึ่ดำเนินไป..ไม่ยึดมั่นตัวกู ของกู
    เราไม่ก่อทุกข์ให้ตนเอง
    รู้ทันทุกข์สุขที่เกิดขึ้น
    รักษากายใจ ให้เบิกบาน..

    มีความรัก ความเมตตา ..
    ส่งบุญให้ตนเอง ให้ทิศทั้ง 6 สม่ำเสมอ
    ให้อภัยตนเอง ให้อภัยผู้อื่น
    ขออโหสิกรรม กับทุกสิ่งที่ล่วงเกินมา
    ความสันติสุขก็อยู่ ณ ปัจจุบันขณะ นั้นเอง

    ดั่งบทพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้า รัชกาลที่ 6
    ในเรื่อง "เวนิสวานิช"

    "อันความกรุณาปรานี
    จะมีใครบังคับก็หาไม่
    หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ
    จากฟากฟ้าสุราลัย สู่แดนดิน"

    ?????
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in