เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
อเมริกาใต้ครั้งแรก 3 | ที่นี่ ริโอ!
  • 25 July 2017








    ความเดิมตอนที่แล้ว








    เราทำไฟล์ท 3 ชั่วโมงจากบัวโนสไอเรสกลับมาที่ริโออีกครั้งนึง ระหว่างไฟล์ทก็วุ่นวายหัวหมุนกันพอสมควรเพราะหลังจากเทคออฟไปไม่ได้นานก็เจอกับสภาพอากาศแปรปรวนและหลุมอากาศทำให้เริ่มทำเซอร์วิสช้าลงกว่าเดิมเกือบๆ 45 นาที


    เรานั่งอยู่ที่ตำแหน่ง R3 ก่อนเครื่องขึ้นก็เม้ามอยกับผู้โดยสารนี่นั่งตรงข้ามเราตามปกติ คุยไปคุยมาก็ได้ความว่าเขากลัวเวลาที่เครื่องเทคออฟหรือเวลาที่สภาพอากาศแปรปรวนเพราะเคยเจอ Severe Turbulance แรงมากจนที่เก็บสำภาระเปิด กระเป๋ากระเด้งออกมา คาร์ทล้ม เลยเป็นภาพจำและกลัวทุกครั้งเวลาเครื่องสั่นมากๆ


    ตอนก่อนเทคออฟเราก็คุยอย่างดิบดี ไม่มีอะไร สบายใจได้ เพราะก่อนบินกัปตันก็บรีฟมาว่าสภาพอากาศแจ่มใสตลอดทางไปริโอ พอเทคออฟไปปุ๊บ ระหว่างที่ค่อยๆไต่ระดับความสูงไปเครื่องก็เริ่มสั่นและเริ่มมีช่วงที่ตกหลุมอากาศ เครื่องวูบลงบ้าง ผู้โดยสารสีหน้าเริ่มไม่ค่อยดี เริ่มเกร็งและมีอาการ Panic Attack เราต้องเอื้อมมือไปจับมือเขาไว้บอกให้ใจเย็นๆ Calm down, breath with me. Inhale.... Exhale.... เขาก็หายใจตามแต่เริ่มร้องไห้แล้ว ใจไม่อยู่แล้ว เราก็แบบ Look at me, stay focus with me alright แล้วก็หายใจเข้าลึก หายใจออกยาวกันต่อไป ผู้โดยสารข้างๆก็น่ารัก มาช่วยจับมือด้วย เลยจับมือกันเป็นวงกลม หายใจเข้าออกไปด้วยกันจนสัญญาณรัดเข็มขัดดับ เราเอาออกซิเจนมาให้ผู้โดยสาร ไปทำชาร้อนๆมาให้ค่อยๆจิบ บอกซีเนียร์ให้มาคุยมาเช็คอีกที แล้วก็วิ่งไปหัวหมุนไปทำเซอร์วิส จากถาดอย่างว่องไว


    พอตอนแลนด์ดิ้งเขาโอเคขึ้นมาก พอคุยแล้วรู้ว่ามีคนมารอรับที่สนามบินก็เบาใจ กอดบ๊ายบายกันก่อนที่จะลงจากเครื่อง





    เหตุการณ์นี้คือเหตุการณ์ที่ทำให้เราย้อนกลับไปคิดถึงเหตุผลที่ทำไมเราอยากมาเป็นลูกเรือ แน่ล่ะ การเที่ยวรอบโลกเป็นส่วนหนึ่ง แต่เหตุผลที่แท้จริงที่เราเขียนย้ำไว้บ่อยมาก คือ เราอยากเป็นความทรงจำที่ดีของใครซักคนบนโลก เราเชื่อว่าตอนนี้ที่เรากำลังเขียนถึงเรื่องนี้ ผู้โดยสารคนนั้นคงจะลืมหน้า ลืมชื่อเราไปแล้ว แต่เรามั่นใจว่าเขาจะมีความรู้สึกและความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ต่อไป














  • Christ the Redeemer - รูปปั้นพระเยซูกางแขนแห่งริโอ เดอ จานีโร




    เช้าวันรุ่งขึ้้นเราออกไปทัวร์รอบเมืองกับลูกเรือคนอื่นๆ วันนี้เป็นแก๊งสาวๆที่วี๊ดว้ายกระตู้วู้และถ่ายรูปอัพลง snapchat และ My Story ตลอดเวลา และเราผู้ถ่ายรูปโอเคที่สุดก็รับหน้าที่เป็นตากล้องประจำกลุ่มไปโดยปริยาย...




    สถานที่แรกที่เราไปก็คืออุทยานแห่งชาติ Tijuca พื้นที่สีเขียวขนาดยักษ์กลางกรุงริโอ ขับรถต๊อกแต๊กที่เสียวจะไปบวกกับคันอื่นขึ้นไปที่ภูเขา Corcovado เพื่อไปชมหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ นั่นก็คือออออออ






    ผ่ามผ๊ามมมมมมมมมมม










    เห็นรูปปั้นเล็กๆขาวๆบนเขานั่นมะ
    นั่นแหละแก นั่นแหล๊ะะะะะะะะะ





    รูปปั้นพระเยซูกางแขน

    Christ the Redeemer





    กรี๊ดดดดดดด ได้มาเห็นของจริงแล้วว้อยยยยยยยยยยย








    แต่ก่อนจะขึ้นไปที่รูปปั้นก็ขอแวะพักชมสิ่งที่น่าสนใจที่จุดชมวิวกันสักครู่ นั่นก็คือวิวสวยๆที่มองริโอ เดอ จานีโรได้ทั้งเมืองเล้ย





    ฟ้าใส แดดจ้า อากาศเย็นสบายประมาณ 25 องศา














    วิวตรงนี้สวยมากกกกกกกกก มองเห็นชายหาดขาวนวลละเอียด
    และ Sugar Loaf เขาหินที่ตั้งตระหงาน เป็นเหมือน check point เวลาที่โปรตุเกสแล่นเรือมาริโอ
    พอเห็นปุ๊บก็จะ อ๋ออออ เราใกล้จะถึงแล้วจ้า




















    Sugar Loaf แบบซูมซู๊มซูม
    มีเครื่องบินเล็กลดระดับบินผ่านเพื่อชมวิวบ่อยมากกกกกก

    หากอยากขึ้นไปชมวิวก็สามารถนั่งเคเบิลคาร์ไปชมพระอาทิตย์ตกดินได้
    เขาว่ากันว่าตรงนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่โรแมนติกที่สุดในริโอแล้วจ้ะ

    ซึ่ง... สารภาพกันตรงนี้เลยว่า ไม่ได้ไป...













    ชักภาพเป็นที่ระลึกกันนิดนึงก่อนจะขึ้นเขาไปต่อ
    ดรีมทีมวันนี้ไล่เรียงจากทางซ้ายมาจากประเทศต่างๆ ดังนี้
    โครเอเชีย สิงคโปร์ เคนย่า ไทย ไอร์แลนด์ อิตาลี และ จีนนนน















  • เรานั่งรถกันไปอีกแปบนึงก็ถึงจุดซื้อตั๋วขึ้นไปที่ยอดเขา Corcovado ซึ่งถ้าจำไม่ผิดแล้ว ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 50 BRL และตรงนี้ก็มีของที่ระลึกจุ๊กจิ๊กขายมากมาย เดินเล่นซื้อของตรงนี้ได้ โดยส่วนตัวแล้วเราว่าถ้าจะซื้ออะไรก็ซื้อที่นี่เถอะเพราะถึงแม้ว่าลงไปข้างล่างมันจะถูกกว่าแต่มันไม่ค่อยสวยอะ









    เราจะได้บัตรแบบนี้มา ด้านหลังจะเป็นรอบรถขึ้นเขาว่าเราได้ไปรอบไหน
    ก็ไปยืนๆรอเขาเรียกแหละ อ้อ..บัตรห้ามหายเพราะเอาไว้ใช้แตะประตูเข้าออกนะจ๊ะ










    หลังจากนั่งเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาระหว่างทางขึ้นเขา ในที่สุดเราก็มาถึงแล้วววววว ฮูเร่เฮฮ่าาา





    และนี่คือพระเยซูแรกที่เจอ...





    เงินคือพระเจ้า








    ใครมันเป็นคนเอาสติกเกอร์ Master Card ไปแปะไว้ว้าาาา จิตใจทำด้วยอะไรรรร เรายืนกลั้นขำกับเพื่อนคนอื่นจนไหล่สั่น ขำจนรู้สึกผิดบาป Capitalism is the new religion, money is the new God. ที่แท้จริงงงงงง










    เอาล่ะ เรามาดูรูปปั้นจริงๆกันดีกว่านะคะ












    ความรู้สึกแรกที่เห็นคือ

    เหยดดดดดดดดดดดดดดดดดด กูได้มาเห็นแล้วว้อยยยยยยย

    (พร้อมกับกรี๊ดในใจด้วยความปิติสุขพร้อมซาวด์ฮ๊าาาาาเลลูยาดังขึ้นในหัว)




    และความรูัสึกต่อมาคือ


    ถ้าลานหน้าหอเอนปิซ่าเป็นสถานที่ที่มีมนุษย์มารำไทเก๊กกันมากที่สุดในโลก

    ที่นี่...

    ก็น่าจะเป็นสถานที่ที่มวลมหาประชาชนมายืนกางแขนกันโดยมิได้นัดหมาย
    มากที่สุดในโลกเช่นเดียวกัน...





    และหากมองคร่าวๆจะพบว่า มนุษย์บนลานหน้ารูปปั้นมีอยู่ 3 แบบ ประกอบด้วย

    • มนุษย์ที่ยิ้มร่ายืนกางแขนท้าแดดแบบไม่กลัวเต่าออกมาทักทายชาวโลก
    • มนุษย์ทีมตากล้องผู้ทุ่มเทนอนถ่ายรูปที่พื้น โดยมีคนเดินข้ามไปมา
    • มนุษย์ที่เดินลอดแขนคนอื่นด้วยความเกรงใจ แต่ก็ไม่วายเกือบโดนแขนฟาดหน้า

    ซึ่งเราเป็นแบบที่สองและสามตามลำดับ แต่ก็พยาย๊ามพยายามถ่ายรูปตัวเองเก็บไว้เป็นที่ระลึกและเพื่อแชร์อวดชีวิตดี๊ดีย์ลงโซเชียลมีเดียต่างๆว่าได้มาแล้วนะพวกเธ๊อว์ และนี่คือรูปที่ดีที่สุดที่ได้มาเพราะรูปอื่นมีแต่แขนมนุษย์เต็มไปหมด หวิดจะมาฟาดหน้าหลายรอบมาด้วย ฮือออออออ







    เดชะบุญที่ไม่มีขนจมูกโผล่มาทักทาย ฮาาาา











  • Brazilian Carnival Costume Try on! - ไหนๆมาแล้ว เอาวะ!





    หลังจากถ่ายรูปจนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็มานั่งในร้านขายของกินเล็กๆข้างๆป้ายพระเยซูมาสเตอร์การ์ด รอเพื่อนลูกเรือคนอื่นที่ยังคงพยายายถ่ายช็อตกางแขนให้ได้ นั่งไปนั่งมาก็ชักหิวเลยไปโดนสิ่งนี้มาหนึ่งชิ้น


















    ชื่อเสียงเรียงนามก็ตามป้าย มันคือ Coxinha ที่สมายเพื่อนของเราที่เคยเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่บราซิลบอกว่าต้องลอง เจอพอดีเลยลองก็ได้ เป็นแป้งทอดกรอบๆผสมมันฝรั่ง(มั๊ง) และไส้ข้างในเป็นไก่สับ อร่อยดี :)








    หลังจากรอคนนั่นซื้อโปสการ์ด คนนี้ซื้อแม่เหล็กติดตู้เย็น คนโน้นเดินไปซื้อไอติมจนเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลานั่งรถลงจากเขา คนขับก็ชี้ให้ดูว่าตรงนี้คือแหล่งชุมชนแออัดของริโอล่ะ















    สถานที่ต่อมาที่เราแวะไปเยี่ยมเยียนคือ Sambadrome ซึ่งจุดที่เขาจัด Rio Carnival เทศกาลคาร์นิวัลประจำปีของริโอที่มีผู้เข้าร่วมมากที่สุดในโลก!





    ตอนที่เราไปช่างเงียบเหงายิ่งนัก...







    อะ กลัวว่าจะไม่เห็นภาพว่างานคาร์นิวัลเขาเป็นยังไง เราขอให้ไปดูคลิปนี้ >> จิ้มเลย ในยูทูป ซึ่งอัพโหลดไว้โดย User ชื่อว่า juniorpetjua โดยคลิปนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานคาร์นิวัลปี 2017





    ดูคลิปล่ะเป็นยังไง เรากรี๊ดมากเลย อลังการงานสร้างมากๆ
    เป็นความใฝ่ฝันว่าอยากจะมาอยากมาเห็นของจริง
    อยากเป็นส่วนหนึ่งในคาร์นิวัลระดับโลกแบบนี้ !









    ซึ่งแม้ว่าเราจะไม่ได้มาริโอตรงกับช่วงคารนิวัล แต่ก็มีโอกาสได้มาเห็นชุดที่เขาใส่ในงานปีก่อนๆได้ที่นี่ แถมมีลองใส่ได้ด้วย (จ่ายค่าเช่าชุด 10 BRL) 






    มีให้เลือกหลากหลายของชายหญิง







    เอาวะ! ไหนๆก็มาเยือนที่นี่บราซิลแล้ว แถมมายืนอยู่ตรงจุดที่มีขบวนพาเรดแล้วด้วย แถมในหัวเราก็จินตนาการถึงทำนองเพลงแซมบ้าอยู่ตลอดเวลา แหม่...ถ้าไม่ลองใส่ก็เหมือนมาไม่ถึงจริงมะ(คิดเอาเองว่าจริง) เลยลองก็ได้ ไม่ทำตัวเป็นเอเชียนติ๋มมุ้งมิ้งเขินอายไม่กล้าลอง ใครให้ทำอะไรทำหมด ครั้งหนึ่งในชีวิตเชียวนะว้อยยยยย!












    เลยได้ชุดนี้มาแหละ ความใส่แล้วรู้สึกตอนใส่คือเหมือนอยู่ใน VS fashion show บวกกับเฮ้ย! นี่เหมือนไก่งวงขนาดยักษ์ชัดๆ เดินหมุนไปสะบัดมาด้วยความสนุกสนาน











    รวมมิตรแก๊งแม่ไก่ เผ็ดกว่านี้ก็ซุปเปอร์ตีนไก่แล้วเด้อออออออออ















  • Escadaria Selarón - โมเสก ศิลปะเพื่อสาธารณะ บันไดประจำเมือง




    จุดต่อมาที่เราแวะเอาตัวเข้ามาถ่ายรูปเพื่ออัพในโซเชียลต่างๆนั้นคือจุดที่เราชอบมากที่สุดในริโอ เหตุที่ชอบมากๆก็เพราะประวัติของมันนั่นเอง







    อันนี้คือระหว่างทางไปจุดต่อไป
    ริโอเป็นเมืองที่เราเห็นกราฟฟิตี้สวยๆเยอะมาก
    บางอันมีความหมายแฝงไว้ด้วย ซึ่งดี มองไปก็ตีความไป แต่ยกกล้องมาถ่ายไม่ทัน























    Escadaria Selarón เดิมที่เป็นบันไดหน้าตาธรรมด๊าธรรมดาที่ชาวบ้านชาวเมืองเดินปีนขึ้นไต่ลงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนมีศิลปินท้องถิ่นคนหนึ่งชื่อว่า Jorge Selarón ลุกขึ้นมาตกแต่งบันไดนี้ด้วยเศษกระเบื้องเซรามิกที่ไม่ใช้แล้ว จนบันไดทั้งหมด 250 ขั้น (เดินไปนับไปด้วย) กลายมาเป็นงานศิลปะชิ้นยักษ์ใจกลางเมืองริโอ เดอ จานีโร
















    เฮ้ยยย เราว่ามันเจ๋งอะ อธิบายไม่ถูกยังไงก็ไม่รู้สิ คือเราเชื่อว่าศิลปะและสถาปัตยกรรมที่ดีจะช่วย shape ความรู้สึกนึกคิด พฤติกรรม รวมถึงค่านิยมต่างๆของคนในสังคมได้ และเป็นตัวสะเทือนความเป็นเมืองนั้นออกมา โอ้ยย เขียนอธิบายไม่ถูกแต่คนอ่านน่าจะเข้าใจป่ะ แล้วเรารู้สึกว่าบันไดแห่งนี้มันสะท้อนอะไรหลายๆอย่างของความเป็นเมือง ความเป็นบราซิล และความเป็นริโอ เดอ จานีโรออกมามากๆ ซึ่งเราให้น้ำหนักที่นี่เป็นตัวแทนของเมืองนี้มากกว่ารูปปั้นพระเยซูกางแขนเสียอีก










    ใจจริงคืออยากถ่ายมาแค่บันไดเปล่าๆ แต่คนเยอะมาก
    ขอเอารูปหมู่มาลงให้ดูแทนก็แล้วกัน














    เดินขึ้นมาจนเกือบจะบนสุดจะเจอโมเสกเป็นรูปธงชาติบราซิลลลลลลลล



















    ฉันเอง เอาตัวไปแปะเก็กท่าถ่ายรูป
    รู้สึกเป็นตัวเองเป็นดอกทานตะวัน สูงๆ เหลืองๆ ยิ้มแฉ่งหน้าบาน









    หลังจากถ่ายรูป ถ่ายบูมเมอแรง ถ่ายวีดีโออัพไอจีกันเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเคลื่อนขบวนไปกินข้าว เราไปที่ร้านบุฟเฟ่ Brazilian BBQ แห่งนึงแถวๆ Copacabana Beach หนึ่งในชายหาดชื่อดังของริโอ






    ถ่ายมาแต่พวกเครื่องดื่มต่างๆ





    สำหรับ Brazilian BBQ นั้นให้นึงถึงแท่งเหล็กที่เอาไว้ย่างเคบับเข้าไว้ เขาเอาเนื้อไปหมุนๆย่างแบบนั้่นแหละ และค่อยๆแล่เป็นชิ้นให้เราอีกทีนึง ทานกับข้าว สลัด และซอสถั่วดำ นอกจากนี้ในร้านก็มีพวกซุป ซูชิ และของทอดต่างๆให้ลิ้มลอง อร่อยมากกกกกกกกกก อร่อยจนไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะมัวแต่จดจ่อกับอาหารการกิน
















  • Copacabana Beach - เอาตัวไปจุ่มมหาสมุทรแอตแลนติกแล้วนะ







    หลังจากฟาดเนื้อย่างกันเรียบจนร้านเกือบเจ๊ง พวกเราก็แยกเป็นสองกรุ๊ป ทีมแรกเป็นทีมล่าของฝาก มีภารกิจไปซื้อรองเท้าแตะ Havaianas ก็ไป ส่วนเราเป็นทีมซื้อแค่ที่ติดตู้เย็นอันเดียว พอซื้อเสร็จแล้วเลยเดินไปตรงชายหาดกัน











    เป็นยามเย็นที่คนยังคึกคักอยู่ มีเด็กวิ่งเล่น มีคนเล่นวอลเล่ย์บอล











    มองเห็น Sugar Loaf อยู่ไกลๆ อยากขึ้นไปมาก วิวคงสวยน่าดู












    เราเป็นคนชอบทะเลและใฝ่ฝันว่าอยากจะจุ่มตัวลงไปในมหาสมุทรให้ครบทุกที่ พอคราวนี้ได้มาเยือนริมมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ก็ไม่พลาดที่จะวิ่งลงไปทันที แฮปปี้มาก คิดถึงทะเลมากเหลือเกิน








    ตอนแรกก็แค่ข้อเท้า ค่อยเดินลึกไปจนน้ำถึงหน้าแข้ง
    แล้วอยู่ๆก็มีคลื่นซู่เข้ามาเลยเปียกไปครึ่งตัว
    คิดว่าไหนๆก็เปียกแล้วเลยปล่อยเลยตามเลยก็แล้วกัน ไปๆมาๆหัวมิดน้ำเฉ๊ย












    ทริปนี้เป็นทริปที่รู้สึกว่า ถ้าไม่ได้ทำงานนี้ก็ไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้มาที่นี่เมื่อไร ขอบคุณตัวเองมากที่ยังไม่ลาออกถอดใจกลับบ้านไปเสียก่อน โอ้ยยย ทุกอย่างมันดี๊ดี อยากมาที่นี่อีก ใจจริงคืออยากแบคแพคมาเที่ยวยาวๆแล้วตระเวนให้รอบอเมริกาใต้ไปเล้ย เพราะอยากไปเห็นและสัมผัสทวีปนี้ให้มากกว่าเดิมเพราะรู้สึกว่าทริปนี้เราได้เห็นแค่เสี้ยวเล็กๆเท่านั้น มันต้องมีเรื่องตื่นเต้นและน่าจดจำอีกมากมายเป็นแน่

    เป็นอีกหนึ่งครั้งที่รู้สึกว่าเราโชคดีจังเลยนะที่ได้บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่ ไอเลิฟมายจ๊อบบบบบบบบบ








    ลากันไปด้วยภาพนี้

    รักเสมอ












    ด้วยรัก...จากอเมริกาใต้










Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in