เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
from the desert, with loveployapha.j
มองพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ณ ใจกลางกรุงโคลัมโบ





  • 8 March 2019







    สวัสดี “โคลัมโบ ศรีลังกา”




    ก่อนหน้านี้เราไม่เคยเขียนเล่าอะไรเกี่ยวกับไฟล์ทโคลอมโบให้อ่านเลย เพราะไฟล์ทนี้เป็นไฟล์ทที่ "ไม่มีอะไร" น่าสนใจให้จดจำหรือเขียนถึงเท่าไรนัก ด้วยความที่ไฟล์ทมันสั้น ๆ แค่เพียงสี่ชั่วโมง พักที่โรงแรมแถว ๆ สนามบินที่ห่างไกลจากตัวเมืองมาก ๆ ไม่ติดทะเล ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากแลนด์ปุ๊บก็อาบน้ำ นอน ตื่นมาสั่งรูมเซอร์วิสหรือลงไปสั่งอาหารที่ร้านด้านล่าง อาบแดด ไปยิม ว่ายน้ำ กิน นอน ตื่นมาบินใหม่ เป็นวงจรชีวิตยุงมาก ๆ ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น


    แล้วไฟล์ทนี้ก็เป็นไฟล์ทที่น่ารัก ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นคุณตาคุณยายที่เดินทางหนีหนาวจากยุโรปมาพักผ่อน เลยไม่ค่อยมีเรื่องราวน่าตื่นเต้นอะไรเท่าไรนัก ก็ถือว่าเป็นไฟล์ทพักจิต หย่อนกายที่แท้






    จนกระทั่งเรามีโอกาสได้บินมาที่โคลัมโบเป็นครั้งที่สาม






    นับว่าเป็นบุญของตัวเองมาก ๆ ที่อยู่ ๆ เช้าวันนี้เกิดเหตุการณ์ท่อน้ำประปาแตกแถว ๆ โรงแรมที่เราพัก  เป็นเหตุให้เราต้องย้ายโรงแรมกระทันหัน เรียกได้ว่าพอเราเก็บข้าวเก็บของ เดินโงนเงนออกมาจากเครื่องบินด้วยความง่วงเพราะบินข้ามคืน กราวด์สตาฟพร้อมกับเมเนเจอร์ก็เลิ่กลั่กเดินเข้ามาบอกว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นนะ เลยจะต้องเปลี่ยนโรงแรมนะจ๊ะ แต่ยังไม่รู้ว่าไปพักที่ไหน กำลังติดต่อประสานงานกันอยู่



    ทุกคนก็อ้าวเฮ้ยใหญ่ว่าเปลี่ยนโรงแรมเร๊อะ เปลี่ยนไปที่ไหน แล้วจะยังไงต่อ ไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้วอยากพักผ่อน หงุดหงิดวุ่นวายถามใครก็ไม่มีคำตอบที่แน่นอน จนในท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็เดินตาม ๆ กันไปขึ้นบัสแบบงง ๆ และภาวนาจิตกันว่าขอให้ได้ไปพักในโรงแรมที่เป็นรีสอร์ตติดชายหาดเถิด สาธุ จะกิ๊บเก๋ยูเรก้ามาก ๆ เพราะแถบนั้นมีร้านอาหารและคาเฟ่ริมทะเลมากมาย อยากไปแบบสุด ๆ

















    และหวยก็มาลงที่โรงแรมใจกลางกรุงโคลอมโบเจ้าค่า ทุกคนก็ฟื้นจากความตายเพราะจิตหลุดงีบหลับหัวโขกหน้าต่างในบัสมา ก็สดชื่นฮูเร่ฮูร่ากันใหญ่ เอาวะ...ไม่ติดหาดก็ไม่เป็นไร แต่ครั้งนี้เราจะได้มาเห็นตัวเมืองโคลัมโบแล้วว้อยยย


    เหล่าลูกเรือฝรั่งก็นัดแนะกันว่าจะไปทะเลกันนั่นนี่ จะออกไปดื่มไปดริ๊งกัน ส่วนเราก็ทีมอัพกับ “เวนดี้” ลูกเรือชาวจีนที่ทำงานในบิสเนสคลาส (แน่ล่ะ เพราะว่า Asians always stick together! เราออกไปแฮงค์เอาท์กับฝรั่งได้ แต่ถ้าจะให้ไปซดเบียร์ตั้งแต่แปดโมงเช้าก็ไม่ไหวว่ะแก...) เราเลยคุย ๆ กันว่าจะออกไปเดินเล่นกุ๊กกิ๊กและกินข้าวเย็นกัน






    ถ่ายห้องพักจากสระว่ายน้ำ เราชอบที่นี่มาก
    บรรยากาศของเมืองดีมาก มีต้นไม้ใหญ่เยอะมาก ๆ
    Tropical Modernism สุด มีความ Geoffrey Bawa กันทั้งบ้านทั้งเมือง







    ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนนอนหลับ บ้างก็ไปนั่งดื่มเลยเพราะเวคอัพคอลเช้ามาก ถือคติว่ารีบดื่ม รีบเมา แล้วรีบนอน ส่วนเราก็เปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำมานอนสลบเป็นปลาแห้งอยู่ริมสระ










    ทีนี้ อยู่ ๆ เวนดี้ก็ปิ๊งไอเดียและส่งข้อความมาบอกว่า เฮ้ยยูวววววววว ไหน ๆ เราก็มานอนอยู่ใจกลางกรุงโคลัมโบกันแล้วปะว้าาาา ก็ต้องไปลองเมนู “ปูศรีลังกา” กันหน่อยปร้ะะะะะ (ขออนุญาตพิมพ์วิบัติเพื่ออรรถรสในการอ่าน) เพราะถ้าไม่ได้พักที่นี่ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมาแถวนี้แร้ววววววว


    พร้อมกับขยายความต่อไปว่า เจ้าเมนูปูศรีลังกาที่ว่าเนี่ย จริง ๆ ก็หากินได้ทั่วไปตามร้านอาหารนั่นแหละ แต่! ณ ใจกลางกรุงโคลัมโบแห่งนี้มีร้านอาหารชื่อดังที่ติดอันดับ Asia's 50 Best Resturants 2018  ซึ่งเป็นร้านอาหารอันดับหนึ่งในศรีลังกา แถมตั้งอยู่ห่างจากโรงแรมที่เราพักนิดเดียว เดินต๊อกแต๊กประมาณ 15 นาทีก็ถึง ยูสนใจมะะะะะะ





    หึ! มีหรือที่เราจะตอบปฎิเสธ

    ไหน ๆ ก็มาแล้วเราก็ต้องไปให้สุดทางงงงงง

    Ministry of Crab เจอเราได้แน่นอน!!!
















  • เมื่อตกลงกันได้แล้วว่าไปกินแน่นะ อ้อแน่สิ ไม่เทนะ ไม่เทซิ เราก็จัดแจงจองโต๊ะที่ร้านเพราะเขาไม่รับ walk-in นะจ๊ะ เดชะบุญที่ได้โต๊ะสุดท้ายของวันพอดิบพอดีตอนสามทุ่มครึ่งเนื่องจากเพิ่งจะมีคนโทรมายกเลิกเมื่อตะกี้นี้ (จุดนั้นคือยกมือไหว้ท่วมหัว เป็นบุญปากที่แท้) นอกนั้นเต็มหมด เต็มยาวไปตั้งแต่ตอนเปิดร้านช่วงกลางวันไปจนถึงร้านปิดเลยจ้า เอาวะ นอนดึกก็ไม่เป็นไร ไฟล์ทขากลับแค่สี่ชั่วโมงเท่านั้น มาแล้วต้องได้กิน ถ้าไม่กินวันนี้ก็ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะได้กินไหมมมมม




    เรางีบหลับเอาแรงและตื่นมาอีกทีตอนเวลาประมาณห้าโมงนิด ๆ ด้วยความหิวโหย จัดแจงโทรปลุกเวนดี้เพื่อออกไปเดินเล่นชมแสงสุดท้ายของวัน







    เมื่อเดินข้ามถนนด้านหน้าของโรงแรม
    เราจะเจอกับนั้นเป็นลานกิจกรรมกว้าง ๆ
    มีเต้นท์ผ้าใบและรถขายอาหารจอดเรียงราย























    เราเดินเอื่อย ๆ ตรงไปที่ริมทะเล ภาพด้านหน้าของเราเป็นท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีไปในทุกนาที ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งและเสียงนกนางนวลร้องคลอไปกับเสียงเด็ก ๆ วิ่งเล่นไล่จับฟองสบู่และเสียงหัวเราะด้วยความเอ็นดูของเหล่าผู้ใหญ่









    ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกนี้เป็นช่วงเวลาที่เราชอบมากที่สุด เพราะเราว่าตอนนี้นี่แหละ เป็นตอนที่เราจะมองเห็นความงามในการเปลี่ยนแปลงที่ดูเรียบง่ายแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของธรรมชาติ ซึ่งปรากฎการณ์นี้เป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้ในทุก ๆ วัน








    ไม่ว่าจะอยู่ที่ซีกไหนบนโลกใบนี้
    จะมีช่วงเวลาให้เราได้ชื่นชมความงามของพระอาทิตย์ก่อนที่จะลับขอบฟ้าเสมอ



















    ซึ่งในบางที บางครั้ง บางเวลา โดยเฉพาะตอนที่ช่วงจังหวะชีวิตเร่งรีบมันเราทำให้หลงลืมที่จะพินิจดูสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัว แล้วหยุดชื่นชมความงดงามเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ซึ่งความจริงแล้วสิ่งเหล่านี้นั่นแหละที่เป็นสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตและจิตใจในทุก ๆ วัน















    เราเดินเลียบหาดไปเรื่อยๆ ฟังเวนดี้เล่าเรื่องความรักครั้งก่อนเก่า พร้อมทั้งมองดูครอบครัวที่มาเดินเล่นด้วยกัน คู่รักที่นั่งมองท้องฟ้า ตลอดจนกลุ่มคุณลุงคุณป้าที่พยายามเซลฟี่กันก่อนที่พระอาทิตย์จะลับตาไป






    เป็นยามเย็นที่ดี นับว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจ



    และหากคุณผู้อ่าน อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้แล้ว...



    อย่าลืมหันออกไปนอกหน้าต่าง แล้วมองท้องฟ้ากันด้วยนะคะ :)



























    รถขายลูกบอลนี้ทำบอลตก คุณพี่ที่ถือไม้แกเลยวิ่งไปเก็บให้
    น่ารักดี เลยถ่ายมาด้วย แต่เสียดายที่ถ่ายไม่ทันเห็นรอยยิ้มของคุณพี่เจ้าของลูกบอล
















    น้องผู้กำลังรับพลังจากเกลียวคลื่น
















    บรรยากาศยามเย็นใจกลางกรุงโคลัมโบ




















  • เราเดินมาถึงบริเวณ The Old Dutch Hospital ซึ่งแต่ก่อนก็เคยเป็นโรงพยาบาลของชาวดัตช์เมื่อครั้งที่ศรีลังกายังคงเป็นเมืองในอาณัติของเนเธอร์แลนด์


    ตัวอาคารนี้เป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในโซนท่าเรือของเมืองโคลัมโบซึ่งปัจจุบันนี้ได้ถูกพัฒนาปรับปรุงตัวอาคารและพื้นที่โดยรอบให้กลายเป็น Community Space ใจกลางเมืองนั่นเอง (ถ้าอยู่ในไทยต้องมีตำนานผีต่าง ๆ และถูกเอาไปใช้เป็นโลเคชั่นในรายการท้าสิ่งลี้ลับเป็นแน่!)


    น่าเสียดายที่เรามาถึงตอนฟ้ามืดแล้วและกล้องไอโฟนจับภาพตอนกลางคืนไม่ค่อยโอเคเท่าไรเลยไม่ได้ถ่ายบรรยากาศรอบ ๆ มาให้ได้ชมกัน 






    และด้วยความที่เราจองโต๊ะได้ตอนดึก เลยมีเวลาเดินเล่นต่อนยอนต๊ะต้อนย้อนกันก่อน ซึ่งเวนดี้อีกนั่นแหละที่แนะนำให้เรารู้จักกับร้าน Spa Ceylon ซึ่งเป็นร้านขายเครื่องหอมและผลิตภัณฑ์ประทินผิวต่าง ๆ ที่เป็นแบรนด์ดังของศรีลังกา













    ว่าแต่ทำไมศรีลังกาถึงเด่นดังในเรื่องนี้?


    คืออย่างงี้ค่ะคุณ ทางอินเดียตอนใต้ไล่มาจนถึงศรีลังกานั้น เขาว่าดินแดนแถบนี้นี่แหละที่เป็นต้นกำเนิดของศาสตร์อายุรเวท ซึ่งเป็นภูมิความรู้เก่าแก่ของอินเดียที่เกี่ยวข้องกับชีวิต มีหลักการคือใช้ธรรมชาติมาช่วยปรับสมดุลร่างกายและธาตุทั้งห้าประเภท เพื่อให้มีชีวิตยืนยาว ปราศจากอาการเจ็บป่วย และมีการใช้น้ำมันและสมุนไพรต่าง ๆ มาเป็นตัวช่วยนั่นเอง







    แน่นอนว่าเรานั้นสนใจมากกกกกกกกกก







    โดยส่วนตัวแล้ว เรานั้นเคยไปลองนวดแบบอายุรเวทที่เมือง ธิรุวนันทปุรัม ประเทศอินเดียมาแหละ (ทำไฟล์ทไปอีกเช่นเคย แต่ไม่ได้มาเขียนเล่าเพราะไม่ได้ถ่ายรูปอะไรไว้เลยจ้า) ซึ่งที่นั่นคือจุดกำเนิดของศาสตร์อายุรเวทที่แท้เลยล่ะ การไปนวดในครั้งนั้นก็เป็นการเปิดประสบการณ์การนวดแบบใหม่ที่ไม่เหมือนที่ไหนมาก่อน

    ขั้นตอนการนวดน้ำมันที่ตัว บอกตรง ๆ ว่าเรารู้สึกเฉย ๆ เหมือน ๆ กับที่เคยนวดมาในไทย อาจเพราะเราไม่ใช่แฟนของการนวดน้ำมัน เรารักการนวดแผนไทย ชอบเวลาที่กระดูกกร๊อบ โดนดัดหลังแล้วมีเสียงแกร๊บ ๆ หรือกดโดนเส้นให้จี๊ดสาแก่ใจ แต่ทีนี้เขาจะมีขั้นตอนพิเศษที่เรียกว่า Oil Drip กล่าวคือ เขาจะใช้น้ำนมหรือน้ำมัน หยดราดตรงหน้าผากไปมาต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ


    และเวลาจังหวะที่น้ำมันหยดซ้าย หยดขวาซ้ำ ๆ กันอยู่ครึ่งชั่วโมงนั้นคือที่สุดแห่งความสบาย ผ่อนคลายมาก ร่างกายเราจะปรับจังหวะการหายใจไปเองอะ โห ดีมาก อธิบายไม่ถูก อยากให้ไปลองกันเองนะจ๊ะ


    และด้วยความที่ศาสตร์อายุรเวทและการใช้กลิ่นหอมและนำ้มันในการนวดบำบัดโด่งดังมาก ๆ ฉะนั้นผลิตภัณฑ์เครื่องหอมของที่นี่เลยขึ้นชื่อลือชานั่นเอง






    สำหรับร้าน Spa Ceylon นี้ก็มีนู่นนั่นนี่ให้เลือกลองมากมาย พอเข้าไปในร้านแล้วเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกนึงเลยทีเดียว ทุกอย่างช่างน่าใช้ไปหมด อันนั้นก็ดูดี อันนี้ก็มีสรรพคุณที่น่าสนใจ เราก็ต้องหักห้ามใจตัวเองไม่ให้กรี๊ดแล้วซื้อทุกอย่างที่อยากได้ แต่ก็ไปโดนบาล์มที่หน้าตาคล้ายยาหม่อง มีสรรพคุณช่วยให้นอนหลับสนิทมาพร้อมกับชาสามแบบ (เขาบอกว่าซื้อสองแถมหนึ่ง เลยเอ๋าา ซื้อ!!) ซึ่งเมื่อลองแล้วก็ว่าดี ใช้แล้วผ่อนคลาย มีความสุข หลับสบาย ส่วนชาก็ดีงามเหมือนกัน สมกับเป็นประเทศแห่งชาอย่างแท้จริงงงง!









    น้ำมันใส่ผม - บาล์มผ่อนคลายช่วยให้หลับสบาย -  ชาซีลอน



















  • จากนั้นเวนดี้ก็พามาที่ร้าน Barefoot ซึ่งเป็นร้านขายผ้าลินิน ผ้าไหมและผ้าคอตตอนธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี ออแกนิกเป็นที่สุด รวมถึงของแต่งบ้าน งานคราฟท์ทำมือต่าง ๆ ซึ่งผ้าทุกผืน ชุดทุกชุด ผลงานทำมือทุกชิ้น ผลิตโดยกลุ่มแม่บ้านในศรีลังกา มีความ Fair Trade ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและร่วมด้วยช่วยกันพัฒนาชุมชน โอ้ยยย รักกกกกกกกกก












    เราผู้อินกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็เดินชมร้านด้วยความชื่นมื่นประหนึ่งมีซาวด์ประกอบรายการยูทูปของคุณสู่ขวัญเปิดอยู่ในร้าน อุ๊ย อันนั้นก็ดี อันนี้ก็น่ารักกกกกกกกกกกกกก (และก็ได้เดรสมาหนึ่งตัวค่ะ)










    และแล้วในที่สุดก็ถึงเวลาที่เรารอคอย กับร้านอาหาร Ministry of Crab กับการกินปูที่ตัวใหญ่ที่สุดในชีวิต!!!!


















    ร้านอาหารนั้นแบ่งโซนที่นั่งเป็น 2 ส่วนคือด้านนอกร้านที่นั่งเย็นสบายรับลม ฟังดนตรีสดจากร้านอื่น ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากกัน และด้านในร้านที่มองเห็นครัวเปิด ได้ดูกรรมวิธีในการทำอาหารทุกขั้นตอน





































    เราได้นั่งที่โซนด้านนอกของร้านค่ะ



















    Keep calm and crab on!

    ที่นี่เขาการันตีว่าปูและกุ้งสดทุกตัว ไม่ผ่านการแช่เย็นนะจ๊ะ
    และเขาจะไม่จับลูกปูตัวเล็ก ๆ ที่น้ำหนักน้อยกว่า 500 กรัม
    เพราะเขาเชื่อในเรื่องของความยั่งยืนและการสร้างสมดุลเกี่ยวกับทรัพยากรในท้องทะเล











    ว่ากันด้วยเรื่อง ปู ?



    ที่นี่มีขนาดปูให้เลือกหลากหลายตามความหิว (และกำลังทรัพย์) ของท่าน เริ่มตั้งแต่น้ำหนัก 600 กรัม จนกระทั่งถึงไซส์ Crabzilla ที่มีน้ำหนัก 2 กิโลกรัม!


    เราต้องเลือกด้วยความไว เพราะถ้าเลือกช้า ปูไซส์ที่ต้องการอาจจะหมดได้ ต้องเลือกไซส์ที่เล็กลง ทางเรานั้นไม่ไปสุดทางเพราะอยากเลือกลองชิมอย่างอื่นด้วย เลยเลือกไซส์ OMG! ที่น้ำหนัก 1.8 กิโลกรัม (ที่ตอนหลังก็มาคิดได้ว่าทำไมไม่เอาใหญ่สุดไปเลยว้า ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วววว)



    เลือกได้ปุ๊บ ก็มีเมนูปูให้เลือกหลากหลาย ทั้ง Pepper Crab - ปูราดซอสพริกไทยดำ ซึ่งพริกไทยดำนี้ก็เป็นราชาแห่งสมุนไพรคู่บ้านคู่เมืองของชาวศรีลังกานั่นเอง หรือ Chilli Crab - ปูราดพริก อันนี้ไม่ขออธิบายเยอะ หน้าตาเหมือนกันกับที่สิงคโปร์นั่นแหละ นอกจากนี้ก็มี Curry Crab - ปูราดแกงกะหรี่ศรีลังกา ที่เขาว่ามันช่างเผ็ดร้อน และเมนูขายดีอันดับหนึ่ง เป็น Signature Dish ของทางร้าน คือ Garlic Chilli Crab นั่นเองงง (ซึ่งเราก็เลือกอันนี้แหละจ้า)








    ในรูปดูไม่ใหญ่ แต่ของจริงคือบึ้มมากกกกกกกกก
    สุดมาก เนื้อหวานมาก โอ้ ดี ที่ทำงานเหนื่อย ๆ มานั้นหายหมด













    เสิร์ฟพร้อมขนมปัง เอามาจิ้มซอสนะ อื้อหืออออออออออออ ฟินนนนนนนนน











    และเราก็ลองสั่ง Avocado Crab Salad มาด้วยค่ะ เป็นเนื้อปูคลุกเคล้ากับวาซาบิมายองเนส เสิร์ฟในอะโวคาโด เป็น Perfect combination ทางรสชาติมาก ๆ อร่อย! 
















    มาดูทางฝั่งของกุ้งกันบ้าง ?



    น้ำหนักของกุ้งก็เริ่มจากกุ้งแม่น้ำขนาดกลาง ไปจนถึง Prawnzilla ที่น้ำหนักมากกว่า 500 กรัมขึ้นไป มีให้เลือกซอสหลากหลายเช่นเดียวกันกับปูนั่นแหละจ้ะ

    และเมนูกุ้งที่เราเลือกมานั้นก็คือ Clay pot Prawn Curry ซี่งเป็นกุ้งสองขนาดที่น้ำหนักรวมกันครึ่งกิโลมาอบกับซอสในหม้อดินเผา จานนี้เนี่ย เขาว่ากันว่าเป็น The best prawn curry in the country เลยนะจ๊ะ






    สารภาพว่าเราชอบซอสแกงเผ็ดนี่มากกว่า Garlic Chilli แหละ
    ถูกจริตมากกว่าเพราะมีความเผ็ดร้อนของเครื่องแกง โอ้ย ดีดีดีดี กวาดเกลี้ยงอะ พูดเลย










    เมนูอื่น ๆ นอกจากปูและกุ้งก็มีนะจ๊ะ เช่น หอยนางรม หอยแมลงภู่ ไก่ ปลา แต่เราไม่ได้สั่ง เท่านี้ก็อิ่มท้องจะแตกตายแบบชูชกละเด้อออ อ้ออออ อีกอย่างหนึ่งที่อยากให้มาลองกันคือ Iced Tea Soda จ้า เป็นเครื่องดื่มพื้นบ้านของศรีลังกาที่ซู่ซ่าไม่แพ้น้ำอัดลมเลยทีเดียว
















    เรากลิ้งเป็นลูกขนุนกลับไปที่โรงแรม เข้านอนด้วยความสุขใจ รู้สึกว่านี่แหละคือความสุขของชีวิตที่แท้จริงอย่างหนึ่ง กับการที่เราได้ออกมาเปิดประสบการณ์ ออกไปมองโลกกว้าง ได้มีช่วงเวลาที่ดี มีโอกาสได้กินของอร่อยจากทั่วทุกมุมโลก และมีเรื่องราวดี ๆ สนุก ๆ มาบอกต่อเล่าสู่กันฟัง






    ดีใจที่ยังสนุกกับทุกวัน และสามารถมองเห็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัวนะ








    สำหรับขากลับนั้น ด้วยความที่เราเปลี่ยนโรงแรม เลยต้องตื่นเช้ากว่าปกติเพราะกลัวว่ารถจะติด แต่รถไม่ติดแหะ เลยมีเวลาไปเดินเล่นดูของในดิวตี้ฟรีประมาณ 45 นาที เราก็เดินวนไปวนมา ไม่รู้จะซื้ออะไร เลยลองซื้อเครื่องปรุงเหล่านี้มาจ้ะ














    ข้ามเกลือชมพูไป เพราะที่ไหนก็มี แค่เกลือที่บ้านหมด เราเลยซื้อมา ส่วนพริกไทยเราได้บอกไปแล้วว่าของเขาดีจริง ราชาแห่งเครื่องเทศของศรีลังกาเลยนะเฮ้ย ไม่ซื้อไม่ได้


    ส่วนอย่างสุดท้ายนี่นับว่าเป็นของแปลกใหม่ ไม่เคยพบเคยเจอที่ไหน ดูภายนอกมันก็เหมือนไซรัปทั่วไปนั่นแหละ แต่ช้าก่อน! สิ่งนี้มีเฉพาะในศรีลังกาเท่านั้นนนนนน


    ไซรัปนี้มาจากต้นปาล์มที่ชื่อว่า Kithul นั่นแหละ และเจ้าต้นปาล์มนี้ก็เจริญเติบโตงอกงามเฉพาะในภูมิภาคแถบนี้เท่านั้น คนที่นี่เขาเลยไม่ค่อยใช้น้ำตาลกันเพราะมีต้นนี้อยู่แล้ว ก็ใช้เจ้าสิ่งนี้ในการเพิ่มความหวานให้กับอาหารทั้งคาวหวานและเครื่องดื่ม สรรพคุณคือมีวิตามินบีสูงมาก เฮลตี้เป็นที่สุดดดดดดด


    เราได้ลองแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่หวานจนเกินไป แต่มีกลิ่นและรสที่เป็นเอกลัษณ์เฉพาะมาก ๆ พูดไม่ถูกแหะ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ เหม็น หรืออะไรนะ แต่แค่รู้สึกว่ามันแปลกจากสารให้ความหวานอื่น ๆ ที่คุ้นเคยอย่างพวกเมเปิ้ลไซรัป น้ำผึ้ง หรือน้ำหวานดอกมะพร้าว







    สำหรับไฟล์ทขากลับที่ยาวสี่ชั่วโมงก็น่ารัก ชิว ๆ ตามสไตล์นั่นแหละ และก็ได้ของขวัญกุ๊กกิ๊กเล็กน้อยจากผู้โดยสารมาอีกแล้วจ้า กล่าวคือ ผู้โดยสารท่านนี้เป็น Gold Member ที่บินกับสายการบินเราเป็นครั้งที่ 126 แล้วจ้าาาาาาา







    ได้นูเทลล่ากระปุกปุ๊กปิ๊กมาเป็นรางวัล เย่








    พอแลนด์ถึงดูไบปุ๊บเราก็รีบบบบบบบบโบกแท็กซี่ไปสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ ดินแดนทะเลทรายเพื่อไป เลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักร ค่ะ






    ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแล้วนะจ๊ะ มาทั้งยูนิฟอร์มเลยเด้อ
    ขอให้บัตรเลือกตั้งเดินทางไปยังนครปฐม เขต 5 โดยสวัสดิภาพ
    และมีการนับคะแนนอย่างโปร่งใสถูกต้องตามเจตจำนงด้วยเถิด เพี้ยงงงง






    แอร์ทะเลทรายยังไปใช้สิทธิ์!
    แล้วคุณล่ะ พรุ่งนี้พร้อมแล้วหรือยัง!?



    เราก็ขอใช้โอกาสนี้ในการเชิญชวนเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ทุกท่านนะคะ
    อย่าลืมออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันในวันที่ 24 มีนาคมที่จะถึงนี้
    (ก็วันพรุ่งนี้นั่นแหละ ถ้าคุณอ่านบล็อกนี้ในวันที่ 23 นะ)

    เลือกนโยบายที่ชอบ เลือกพรรคและผู้สมัครที่ใช่
    อย่าลืมว่าหนึ่งเสียงของทุกคนมีค่า มีความหมาย



    อยากให้ประเทศไทยก้าวหน้าไปในทิศทางใดก็อยู่ในมือของเราแล้วนะคะ :)









    และก็ขอจบเรื่องราวของไฟล์ท โคลัมโบ - ศรีลังกา ไว้เพียงเท่านี้ค่ะ

    ไฟล์ทหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหน

    ฝากติดตาม "ด้วยรัก...จากทะเลทราย" ในตอนหน้าด้วยนะคะ








    ด้วยรัก...จากเกาะศรีลังกา มหาสมุทรอินเดีย











    ตามไปพูดคุยกุ๊กกิ๊กกันต่อได้ที่
    #ด้วยรักจากทะเลทราย
    #withlovefromthedesert


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in