เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
HihelloWatashi Pui
5.30 PM [TAKUJUN]
  • “รีบโตเป็นผู้ใหญ่ล่ะ” ประโยคนี้เป็นประโยคที่ได้ยินบ่อยที่สุดในช่วงอายุสิบห้าถึงปัจจุบัน ซึ่งก็คือยี่สิบสองปี นักศึกษาปีสี่ที่กำลังจะได้เข้าสู่โลกของผู้ใหญ่เต็มตัว เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เขารู้สึกไม่อยากให้ถึงสักเท่าไหร่ การเป็นผู้ใหญ่มันดูยาก จนอยากที่จะหนีหรือไม่ก็อยากหยุดตัวเองไว้ที่อายุ22ตลอดไป แต่ถึงจะคิดเพ้อฝันไปอย่างนั้น ก็หนีความจริงที่เขาจะต้องเรียนจบภายในปีนี้แล้วก็ออกหางานไม่ได้อยู่ดี คาวานิชิ ทาคุมิ อยากกระโดดร่มแล้วหายออกไปนอกโลกในทุกๆ วัน แต่ก็อย่างที่ว่า เพ้อฝันไปก็ไม่ได้อะไร



    “ทาคุมิ จะไปห้องสมุดอีกแล้วเหรอ” เสียงตอบกลับจากเพื่อนสนิทหลังจากที่เขาบอกอีกคนว่าจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด

    “อืม”

    “ห้องสมุดมีหลุมดำอยู่หรือไง ถึงได้ไปสิงอยู่ทุกวัน” ไรระพูดด้วยความสงสัยอีกครั้ง

    “ถ้ามีก็ดีน่ะสิ” ทาคุมิมักจะบ่นให้เพื่อนคนนี้ฟังอยู่เสมอเรื่องที่อยากหายไปไหนสักที่ ที่ไม่มีคำว่าทำงานแล้วก็ผู้คนอยู่ในโลกใบนั้น ซึ่งก็จะได้ประโยคตอบกลับมาเหมือนๆ ทุกครั้ง



    “ถ้าไม่มีงาน นายก็อดตายสิวะ”



    ยากชะมัด การใช้ชีวิตเนี่ย



    “ไปล่ะ” โบกมือลาเพื่อนร่วมคลาส แล้วเดินตรงไปทางที่คุ้นเคย จะพูดว่าหลับตาเดินไปก็ยังได้ ห้องสมุดเป็นหลุมหลบภัยชั้นดี เงียบ สงบ ยิ่งไปกว่านั้น ห้องสมุดยังมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าอะไรในโลกอีกด้วย





    “วันนี้มาช้า” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง หลังจากเขานั่งลงระหว่างชั้นหนังสือ

    “อาจารย์สอนเกินเวลาน่ะครับ” ทาคุมิตอบกลับไป คนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปสนใจหนังสือหนาๆ ที่อ่านอยู่ หนังสือที่เขาคิดว่าถ้าตัวเองอ่านคงใช้เวลาอ่านไม่ต่ำกว่าสามปีถึงจะจบ

    “นี่”

    “ครับ”

    “เมื่อเช้า ตอนที่นั่งอยู่ตรงนี้ มีคนมาแอบจูบกันด้วยล่ะ” คนที่กำลังเล่าพูดด้วยน้ำเสียงที่ติดจะตื่นเต้น อย่างกับเป็นเรื่องสนุกที่สุดตั้งแต่เกิดมาอย่างไรอย่างนั้น

    “แล้วคุณก็ไปดูเขาจูบกันอ่ะนะ” ทาคุมิพูดตอบไป

    “ก็มายืนจูบกันข้างหน้าเนี่ย ปิดตาก็เสียดายแย่เลย ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้มานานแล้ว”

    “ทะลึ่งนะคุณ” ทาคุมิพูดไปแต่คนด้านข้างก็ใช่ว่าจะสนใจ มือเล็กๆ นั้นปิดสมุดแล้วสอดเข้าไปยังชั้นว่างๆ ด้านหน้า

    “ชั้นหนังสือแถวนี้มืดแล้วก็เงียบ น่ากลัวแบบนี้มาจูบกันได้ยังไง ไม่กลัวผีหรือไง” ปากนั้นยังคงขยับพูดต่อไป โดยที่ไม่รู้เลยว่าสายตาของเขากำลังจ้องอยู่ จะเข้าข่ายโรคจิตหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่เขาชอบมองปากสีชมพูที่กำลังขยับอยู่นั้นบ่อยๆ

    “ก็เพราะมันมืดไงครับ เขาถึงได้แอบมาทำอะไรแบบนั้นได้”

    “ก็จริงนะ”

    “แล้วเขาก็มองไม่เห็นคุณด้วย ถึงได้ไม่รู้ว่ามีผีอยู่”

    “ก็จริงอีก” จุนกิหยิบหนังสือเล่มหนาอีกเล่มออกมาจากชั้น เล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่ถึงเขาอ่านไปสิบปีก็น่าจะไม่เข้าใจอยู่ดี





    จุนกิ

    โคโนะ จุนกิ ชื่อที่อีกคนแนะนำตัวเองเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เป็นวันที่เขาได้รู้ว่าตัวเองได้เจอกับเรื่องไม่ธรรมดาเข้าซะแล้ว

    มันเริ่มมาจากทาคุมิที่อยากหนีความวุ่นวาย อยากหาที่เงียบๆ นั่งเล่น เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพูดคุยกับใคร ไรระเคยถามว่าทำไมไม่อยู่ทีหอ ทาคุมิให้เหตุผลไปว่าทุกวันนี้อยากหนีออกนอกโลกไปส่วนหนึ่งก็เพราะรูมเมทที่มักจะเซ้าซี้ถามนั้นนี่ ชวนคุยอยู่ตลอดเวลา ทาคุมิไม่ใช่คนใจแคบถึงขั้นไม่ตอบรับคำพูดใดๆ จากใคร แต่ถ้ามันมากเกินไปเขารู้สึกว่าพลังงานมันหมดจะเอาดื้อๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่เขาชอบมาขลุกอยู่ในห้องสมุด

    วันหนึ่งหลังจากที่รู้สึกเบื่อกับการนั่งอยู่ที่เดิมๆ เขาลองเดินไปสำรวจตรงมุมอับสายตาที่มีข่าวลือว่าผีดุ ทาคุมิไม่สนใจสิ่งรอบตัวก็จริง แต่เรื่องเล่านี้ได้ยินบ่อยๆ จนอยากลองมาดูกับตาตัวเองสักครั้ง ระหว่างทางเดินไป ผู้คนที่นั่งอ่านหนังสือบางตาลงเรื่อยๆ เพราะไฟค่อนข้างน้อย และแอร์ที่เย็นมากสวนทางกับไฟที่สลัวๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศไม่เหมาะกับการนั่งอ่านหนังสือสักเท่าไหร่ ทาคุมิเดินไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณที่มีชั้นวางหนังสือใหญ่ๆ ประมาณห้าชั้นตั้งเรียกกันอยู่ เดินไปสำรวจถึงชั้นวางที่สามก็ไม่ได้มีหนังสือลอยอยู่ หรือเสียงพลิกกระดาษแบบที่เขาเล่ากัน แต่ระหว่างที่เดินผ่านผ่านชั้นที่สี่ มีบางอย่างทำให้เขาต้องชะงัก



    ทาคุมิไม่ใช่คนขี้กลัวขนาดนั้น

    แต่ภาพที่มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ในมุมมืดๆ ทำให้เขาสะดุ้งจนไปชนกับขอบชั้นหนังสือ



    “ซุ่มซ่ามจริงๆ เลยนะ” เสียงจากคนที่นั่งอยู่เบามากจนเกือบไม่ได้ยิน เหมือนแค่บ่นออกมาเฉยๆ เพราะไม่ได้หันมามองเขา แต่ถ้าเข้าใจถูก เสียงชนขอบชั้นหนังสือคงไปรบกวนการอ่านหนังสือของคนที่นั่งอยู่ก็เป็นได้

    “ขอโทษนะครับ ไม่ได้ตั้งใจทำเสียงดัง” ทาคุมิพูดออกไป แล้วก้มหัวเบาๆ เป็นการขอโทษก่อนตัดสินใจเดินกลับไปยังโต๊ะประจำ เพราะไม่ได้สนใจเรื่องข่าวลืออะไรต่อ

    “คุณ” เสียงเรียกด้านหลังทำให้เขาหันกลับไปยังที่ๆ เพิ่งเดินออกมา ไม่รู้ว่าอีกคนลุกขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่หันไปก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว



    “ครับ” เขาตอบกลับไป

    “คุณมองเห็นผมด้วยเหรอ”



    ทาคุมิไม่ใช่คนดูหนังบ่อย แต่เขามั่นใจว่าเคยได้ยินประโยคนี้มาจากหนังผีสักเรื่อง



    “ครับ”

    “คุณกลัวผีมั้ย”

    “ไม่ครับ”

    “โกหก”

    “กลัวนิดหน่อยครับ”



    คนตรงหน้า ไม่สิ ไม่น่าจะใช่คน หลุดขำออกมาหลังจากประโยคล่าสุดที่เขาตอบไป เขาทำตัวไม่ถูก เหมือนว่ากำลังโดนผีหลอกก็ไม่ใช่ โดนผีอำก็ไม่เชิง



    “ขอโทษที่ทำให้กลัวนะ แต่ไม่เคยมีใครเห็นผมมาก่อน ก็เลย ดีใจน่ะ”



    ทาคุมิทำตัวไม่ถูกไม่ใช่เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่คนแบบเขา แต่เพราะรอยยิ้มกว้างที่สดใสนั้น ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ แต่ก็ละสายตาออกไปไม่ได้เลย



    “คุณไม่มีเพื่อนเลยเหรอ” ทาคุมิถามออกไป น่าแปลกที่ไม่มีความกลัวเหลืออยู่เลยสักนิด อาจจะเพราะผีที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้น่ากลัวแบบในหนังที่เคยดู ออกจะเป็นผีที่ดูใจดีมากๆ ด้วยซ้ำ



    “ถ้าก่อนที่จะมาเป็นแบบนี้อาจจะมี แต่ตอนนี้ไม่มีเลย ผมอยู่คนเดียว นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนี้มานานแล้วล่ะ”



    “ให้ผมเป็นเพื่อนคุณได้มั้ย”



    ไม่รู้อะไรดลใจให้คนที่ไม่เคยเป็นฝ่ายทำความรู้จักกับใครมาก่อนพูดออกไปแบบนั้น

    อาจจะเพราะอยู่ในช่วงกำลังเบื่อ

    เพราะอยากหาอะไรที่ทำให้ลืมโลกภายนอกที่อยากหนี

    หรืออาจจะเพราะเสียงที่ติดจะเศร้าหน่อยๆ ของอีกคน



    ทาคุมิที่ไม่ชอบผูกมิตรกับคน แต่กลับมาผูกมิตรกับสิ่งที่เรียกว่าผีได้อย่างง่ายดาย แปลกจริงๆ







    “คิดอะไรอยู่ เงียบไปเลย”

    “เปล่าครับ” ทาคุมิหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหนังที่ตั้งใจจะดูกับจุนกิ

    “เครียดอีกแล้วเหรอ” จุนกิถามพลางหยิบหูฟังอีกข้างที่วางอยู่ที่พื้นใส่ที่หู

    ภายในหนึ่งเดือน ทาคุมิได้เจอเรื่องอัศจรรย์ไม่หยุดหย่อน อย่างการที่เขาไม่สามารถสัมผัสตัวอีกคนได้ แต่อีกคนสามารถสัมผัสเขาหรือสิ่งของต่างๆได้ นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมจุนกิสามารถหยิบหนังสือมาอ่าน จนเป็นข่าวลือว่ามีหนังสือลอยได้อยู่ในห้องสมุด



    “ผมก็เครียดอยู่ทุกวัน” ทาคุมิกดหยุดวิดีโอเมื่อตอนนี้จุนกิไม่ได้โฟกัสหนังที่กำลังเล่น แต่กลับหันมาเค้นคำตอบจากเขาแทน

    “เป็นอะไร”

    “ช่วงนี้เหนื่อยๆ น่ะ เรื่องสมัครงานเหมือนเดิม แต่เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเหมือนที่คุณบอกผมบ่อยๆ”

    จุนกิไม่พูดอะไร แต่มือที่ยกขึ้นแตะบ่าเขา ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย ถึงจะไม่รับรู้ถึงน้ำหนักมือที่วางลงมาเลยก็ตาม

    “ขอบคุณครับ” จุนกิจะทำแบบนี้เสมอเมื่อรู้ว่าเขาเครียดหรือกังวลอยู่

    “ดูหนังกันเถอะ”



    เราดูหนังเรื่อง About Time หนังแนวย้อนเวลาที่เขาใช้เวลาหาอยู่นานเป็นอาทิตย์ เพราะจุนกิที่บ่นว่าเบื่อกับการอ่านหนังสือแล้ว ทาคุมิเลยอาสาจะหาหนังมาให้ดู แต่การจะหยิบหนังสักเรื่องให้คนอื่นดูนั้นยากกว่าที่คิด ทาคุมิอยากให้จุนกิชอบเรื่องที่เขาเลือกให้ ในระหว่างดูคนข้างๆ ที่หัวเราะแล้วก็ไม่ละสายตาไปจากหนังทำให้ทาคุมมิโล่งใจ อย่างน้อยมันก็ไม่ได้น่าเบื่อสำหรับจุนกิ



    “เมื่อกี้คุณร้องไห้” จุนกิรอจนเพลงตอนท้ายจบแล้วทักขึ้นมา

    “เปล่าสักหน่อย” ทาคุมิปฏิเสธไป ถึงจะรู้สึกได้ถึงความเปียกบนฝ่ามือในตอนนี้ลูบหน้าตัวเองลวกๆ


    “ถ้าย้อนเวลาแบบทิมได้ก็น่าจะดีนะ” จุนกิพูดขึ้นเมื่อเราปล่อยเวลาให้เดินโดยที่ไม่มีบทสนทนามาพักใหญ่

    “ถ้าย้อนไปได้ คุณอยากย้อนไปตอนไหนเหรอครับ”

    “ไม่รู้สิ ไม่รู้ว่าต้องย้อนไปไหน ความจำที่มีก็อยู่แค่ที่นี่” จุนกิตอบกลับมา ทาคุมิมีคำถามที่อยากจะถาม แต่ไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดออกไปมั้ย เพราะตั้งแต่เจอกันจนถึงตอนนี้ ทาคุมิไม่เคยรู้ถึงเหตุผลที่อีกคนอยู่ที่นี่เลย แม้แต่ประวิติส่วนตัวก็ไม่เคยถาม ยกเว้นเจ้าตัวจะเล่าให้ฟังเอง



    “จุนกิ”

    “ว่าไง”

    “คุณรู้มั้ยว่าทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่” ทาคุมิตัดสินใจถามออกไป

    “เคยพยายามนึกแล้ว แต่คิดออกแค่ห้องสมุดอาจจะเคยเป็นที่ที่อยู่แล้วสบายใจที่สุดของผมก็ได้ เหมือนคุณไง ชอบมาห้องสมุดเพราะสบายใจไม่ใช่เหรอ”

    “ครับ”



    ทาคุมิเคยเล่าให้จุนกิฟังว่าตัวเองมาอยู่ห้องสมุดทุกวันเพราะอยากหาที่เงียบๆ อยู่ แต่ทาคุมิไม่ได้บอกจุนกิ ว่าตอนนี้เหตุผลในการมาห้องสมุดทุกวันมันไม่เหมือนกับที่เคยบอกแล้ว ทาคุมิเคยอยากอยู่ห้องสมุดเพราะไม่ต้องพูดคุยกับใคร แต่ตอนนี้กลับอยากมาหาจุนกิทุกวันหลังเลิกเรียน จากที่รู้สึกเฉยๆ กับการที่อาจารย์ปล่อยเกินเวลา ตอนนี้กลับหงุดหงิดขึ้นมาไม่น้อย



    ทาคุมิคิดว่าตอนนี้ตัวเองเสพติดการได้เจอจุนกิ

    เสพติดการได้คุยกับผีในห้องสมุด

    ถ้าหากเล่าให้ไรระฟัง หมอนั้นต้องไล่เขาไปหาหมอแน่ๆ



    “กลับไปได้ละ”

    “ตรงเวลาชะมัด”

    เขามักจะไล่ให้ผมกลับก่อนห้าโมงครึ่งทุกครั้ง เพราะถึงทาคุมิจะมองเห็นอีกคน แต่เมื่อไหร่ที่เข็มนาฬิกาเดินไปถึงเวลา5.30 pm จุนกิก็จะหายไป แล้วกลับมาใหม่เวลา5.30 am เหตุการณ์วนอยู่แบบนี้ทุกๆ วัน โดยที่จุนกิก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในช่วงเวลาที่หายไปจากห้องสมุดนั้น ตัวเองไปอยู่ที่ไหน เขาคิดว่าสิ่งนี้ก็ควรจดเป็นสิ่งอัศจรรย์อีกอย่างตั้งแต่มาอยู่ที่ชั้นหนังสือที่สี่นี่



    “เดี๋ยวก็ตกใจเหมือนวันแรกที่เห็นอีกหรอก” จุนกิหมายถึงวันแรกที่ทาคุมิเห็นจุนกิหายวับไปต่อหน้าต่อตา ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่คนแบบเขา แต่การที่คุยอยู่ดีๆ แล้วหายไปเลย ใครๆ ก็ตกใจกันทั้งนั้น

    “ผมชินแล้วน่ะ”

    “เก่งนี่”

    “จุนกิ”

    “ว่าไง”

    “พรุ่งนี้คุณอยากดู-”



    ทาคุมิโกหก

    ถึงจะเห็นจุนกิหายไปต่อหน้าเป็นสิบครั้งก็ไม่ชิน







    “อาจารย์อาเกะดะต้องมีจิตสัมผัสแน่เลยว่ะ นายคิดว่าอาจารย์เห็นผีได้หรือเปล่าทาคุมิ” ไรระพูดกับเขาหลังจากจบคลาสวิชาสุดท้ายของอาทิตย์นี้

    “ไม่รู้สิ คงเห็นมั้ง” บุคลิกที่ดูลึกลับหน่อยๆ การพูดที่ราวกับว่ามีความลับมากมายของโลกอยู่ในหัวนั้น ทาคุมิอดคิดไม่ได้ว่าอาจารย์คนนี้ก็อาจจะเห็นผีได้แบบเขา

    “ผีจะมีจริงมั้ย”

    “มี”

    “ตอบเร็วอย่างกับเคยเห็น” ไรระเลิกคิ้วขึ้น สงสัยในสิ่งที่ได้ยิน

    “เดาเอา”


    “ถ้าเจอผีนายจะยังไง วิ่งเลยมั้ย” ทาคุมิมองนาฬิกา ตอนนี้บ่ายสามแล้ว เขาควรรีบออกจากห้องเรียนแล้วตรงไปที่ห้องสมุด แต่คำถามของไรระก็น่าสนใจ ถ้าหากไรระโอเคกับเรื่องผี เขาอาจจะลองคุยเรื่องจุนกิกับไรระได้

    “คง ไปเจอทุกวันมั้ง"

    “นายสบายดีมั้ยทาคุมิ” ไรระตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่เหมือนกับว่าผีมาอยู่ตรงหน้าแล้วจริงๆ

    “ถ้าผีมาดีก็น่าลองคุยดูไม่ใช่เหรอ อาจจะได้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้ก็ได้” ทาคุมิให้เหตุผลที่เพิ่งคิดได้สดๆ ไป ถึงความจริงที่ไปเจอ เพราะแค่อยากเห็นหน้าทุกวันก็เถอะ

    “ถ้ามาดีก็ดีนะ” “แต่ยังไงก็ต้องหายไปอยู่ดีนี่น่า”

    “คือยังไง”

    “เขาก็ต้องไปผุดไปเกิดไง นายจะให้เขาจมปลักเป็นผีไปตลอดหรือไง”

    “กลับก่อนนะ เจอกัน” อยู่ๆ ทาคุมิก็อยากไปถึงห้องสมุดให้เร็วที่สุด พยายามทำใจให้เย็น เขาไม่อยากใจเสียเพียงเพราะประโยคบอกเล่าประโยคเดียว แต่ถึงยังไงก็อยากเจอจุนกิเร็วๆ



    “จุนกิ” ที่ว่างระหว่างชั้นหนังสือที่สามกับสี่ว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่รวมถึงจุนกิ ความเงียบที่แม้แต่เสียงแอร์ก็ไม่ได้ยินทำให้ทาคุมิกลัว แต่แล้วหนังสือที่ถูกยื่นมาจากข้างหลังพร้อมเจ้าของชื่อที่เขาเพิ่งเรียกไปเดินมาหยุดยิ้มอยู่ตรงหน้า ความโล่งใจมากมายได้เข้ามาแทนที่ความกลัวจนหมด



    "่ว่าไง แล้วทำไมเหงื่อเยอะแบบนี้" จุนกิถามขณะที่นั่งลงไปยังที่ประจำ

    "อากาศมันร้อนน่ะครับ" ทาคุมิโกหกออกไป ถ้าบอกความจริงที่ว่าตัวเองรีบเดินมาเพราะกลัวบางสิ่งจะเกิดขึ้น จุนกิคงหัวเราะเขาแน่ๆ

    "เหรอ แล้วจะตากแดดมาทำไม ไม่รอให้แดดหายไปก่อนแล้วค่อยมาล่ะ เดี๋ยวก็ป่วยหรอก" จุนกิบ่นออกมา แอร์ที่อยู่ๆ ก็เย็นขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจุนกิหรือมันเป็นขึ้นมาเอง แต่ความเป็นห่วงที่ได้รับมาก็ทำให้ดีใจเหมือนหมาโกลเด้นที่เจ้าของโยนลูกบอลให้



    "ถ้ารอให้แดดหาย ถึงตอนนั้นคุณก็หายไปด้วยน่ะสิครับ" ทาคุมิตอบกลับไปอย่างที่ใจคิด

    "ทาคุมิ"

    "ครับ"

    "วันนี้เรามาคุยกันให้เยอะๆ เลยนะ" ประโยคแปลกๆ กับรอยยิ้มของจุนกิที่วันนี้มันไม่สดใสเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา ทำให้ความกลัวที่เพิ่งหายไปเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง



    "วันนี้คุณเหงาเป็นพิเศษเหรอครับ" ทาคุมิพยายามคุมเสียงให้เป็นปกติที่สุด

    "คงจะอย่างนั้นละมั้ง" เสียงที่กลับมาสดใสอย่างเดิมทำให้เขาเบาใจไปบ้าง ถึงจะแค่นิดเดียว



    การหลอกตัวเองไม่ใช่สิ่งที่ทาคุมิชอบทำ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นในชีวิตทาคุมิมักจะพยายามยอมรับและทำความเข้าใจกับมันมาตลอด แต่หากเขาต้องยอมรับความจริงที่ว่าตอนนี้ เขามองเห็นจุนกิได้รางๆ จุนกิที่ตอนนี้ราวกว่าจะหายไปได้ทุกเมื่อ เขาก็อยากหลอกตัวเองไปเรื่อยๆ ว่ามันเป็นแค่เรื่องอัศจรรย์อีกอย่างที่จุนกิทำมันได้



    "เหม่ออีกแล้ว"

    "ขอโทษครับ”

    "เรื่องงาน โอเคแล้วหรือยัง"

    "ผมลองไปคุยกับรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว เขาแนะนำอะไรหลายๆ อย่างมาให้ ตอนนี้เลยไม่เครียดแล้วล่ะครับ"

    "ว้าว นายทักคนอื่นเป็นแล้วนี่" จุนกิไม่พูดเปล่า กลับปรบมือให้เหมือนกับเขาเป็นเด็กที่เพิ่งเก็บขยะลงถังเป็นครั้งแรกอย่างงั้น

    "ผมก็มีต้องมีการพัฒนาเหมือนกันนะจุนกิ"

    "ดีแล้วล่ะ พึ่งพาคนอื่นบ้างก็ไม่ผิดหรอก" จากที่ล้อเขาเมื่อครู่ ตอนนี้จุนกิกลับใช้น้ำเสียงจริงจังจนทาคุมิสงสัยว่า ผีสามารถโดนผีสิงได้หรือเปล่า

    "คุณเปลี่ยนโหมดเร็วชะมัด"

    "อยากฟังเพลง"

    "เปลี่ยนอีกแล้ว" "โอเคครับ คุณอยากฟังเพลงอะไร" จากที่คิดว่าจะลองแกล้ง กลับต้องเก็บปากไว้เพราะจุนกิที่ทำหน้าเหมือนแมวที่พร้อมข่วนหน้านั้นเห็นทีว่าแกล้งต่อไปต้องโดนโกรธแน่ๆ



    "ito"

    "เพลงเก่านี่ คุณอายุเท่าไหร่เนี่ยจุนกิ ห้าสิบ หกสิบ"

    "อยากโดนผีหักคอมั้ยทาคุมิ" ทาคุมิสงบปากสงบคำไม่แหย่จุนกิไปมากกว่านี้ แล้วทำแบบเดิมเหมือนที่ผ่านมาคือวางหูฟังอีกข้างไว้แล้วจุนกิหยิบขึ้นไปใส่



    ทำนองเพลงitoดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เราทั้งคู่ปล่อยให้เพลงเล่นไปโดยไม่มีการพูดคุยใดๆ ทาคุมิมองมือที่วางอยู่ข้างตัวของจุนกิ ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว เขาพยายามยกมือตัวเองไปทาบตรงตำแหน่งเดียวกับมือเล็กๆ นั้น แต่เพราะเขาสัมผัสอีกคนไม่ได้ จึงทำได้แค่ทาบไว้กลางอากาศเท่านั้น จุนกิไม่ได้ทักท้วงอะไรกับสิ่งที่ทาคุมิกำลังทำ แต่มือที่ค่อยๆ ยกขึ้นมาทาบกับมือทาคุมินั้น ทำให้หัวใจเต็มเร็วเป็นบ้า



    "มือคุณเล็กมากเลยนะจุนกิ"

    "มือคุณใหญ่เกินไปต่างหาก"

    มือที่พยายามจะประสานกันนั้นดูตลกเล็กน้อย แต่เมื่อมันอยู่ในองศาที่ถูกต้อง ภาพมือของเขาที่ราวกับว่ากำลังได้สัมผัสกับมือที่เล็กกว่าของจุนกินั้น ถ้าสามารถรับรู้ได้ถึงสัมผัสจริงๆ มันจะดีขนาดไหน

    จะมีความสุขหรือเศร้าไปมากกว่านี้หรือเปล่า





    "ทาคุมิ"

    "จะถึงเวลาแล้ว"

    "กลับไปเถอะ" ทาคุมิเกลียดเข็มนาฬิกายาวที่มันเดินไปยังเลข6

    "ไม่ไปไม่ได้เหรอ" เค้นเสียงออกมามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มองคนตรงหน้าที่ยังคงส่งยิ้มมาให้อยู่เสมอ

    "ไม่อยากไปหรอก ยังอยากฟังคุณมาเล่าเรื่องโปรเจคของคุณให้ผมฟัง อยากดูหนังกับคุณอีกหลายๆ เรื่อง อยากปลอบเวลาคุณร้องไห้ จนถึงตอนนี้ ผมก็อยากปลอบคุณนะ"

    "แต่ก็ต้องไปแล้วล่ะ"

    "เจอกันพรุ่งนี้นะ"

    "ทาคุมิ"

    "เจอกันพรุ่งนี้นะครับ"



    5.30 pm



    ทาคุมิกลับห้องไปด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า ความรู้เหมือนกลับมาเป็นผู้ชายอายุ22คนเดิมที่อยากหนีทุกอย่างไปอีกครั้ง เขายากนอนหลับเร็วๆ อยากรีบตื่นแล้วออกไปที่ห้องสมุด เขาอยากลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม







    วันนี้ทาคุมิเริ่มต้นวันเหมือนทุกๆ วันที่ผ่านมา ตื่นขึ้นมากินข้าวเช้าที่เย็นชืด สะพายกระเป๋าไปเรียนคลาสที่รู้สึกน่าเบื่อทุกครั้งที่นั่งเรียน ไรระที่มีความสงสัยในทุกๆ เรื่อง ยังคงมาขอความคิดเห็นจากทาคุมิเหมือนเคย และวันนี้อาจารย์ก็ยังคงปล่อยช้าเหมือนเดิม หลังเลิกคลาสทาคุมิแยกกับไรระ ก่อนขอตัวไปห้องสมุด

    เขาพยายามเดินไปจุดหมายอย่างใจเย็นที่สุด แต่ตอนนี้หัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ กับขาที่เปลี่ยนจากเดินเป็นก้าวเร็วๆ จนกลายเป็นวิ่ง ทำให้เขาหลอกตัวเองให้ใจเย็นต่อไปไม่ได้ ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าชนกับใครไปบ้าง จากที่ชำนาญทางจนหลับตาเดินไปยังได้ ตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนคนหลงทางที่วิ่งไปเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที ทางที่เหมือนจะใกล้ก็เหมือนไกลกว่าเดิมจนทำให้หงุดหงิด แต่แล้วเขาก็ถึงจุดหมาย ประตูทางเข้าห้องสมุดอยู่ด้านหน้า

    ถึงจะหยุดวิ่งมาสักพักแล้ว แต่ตอนเดินเข้าประตูไป หัวใจที่เต้นแรงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเต้นเบาลงเลย ทาคุมิเดินเข้าไปช้าๆ ค่อยๆ ก้าวไปอย่างไม่รีบร้อน ถึงจะรีบวิ่งมาในตอนแรก แต่พอมาถึงจริงๆ กลับไม่อยากไปถึงที่ชั้นวางหนังสือเลยสักนิด ในใจพยายามคิดว่าเดินเข้าไปก็จะเจอกับจุนกิที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในมุมมืดๆ แบบเดิม หรือไม่ก็เดินมายื่นหนังสือจากทางด้านหลังเขาแบบที่ชอบทำ



    ทาคุมิหวังให้มันเป็นแบบนั้น



    แต่พื้นที่ระหว่างชั้นหนังสือที่ว่างเปล่า หนังสือที่เรียงชิดกันราวกับว่ามันถูกจัดเป็นระเบียบไว้หลายปี เหมือนไม่เคยมีคนมาแตะต้องมันเลย ความเงียบที่มากกว่าทุกครั้งที่มา ไม่มีเสียงพลิกกระดาษ ไม่มีเสียงทักทายจากด้านหลังอย่างเคย ถึงจะเตรียมใจมาขนาดไหน แต่เมื่อความจริงอยู่ตรงหน้า ความเสียใจและความคิดถึงมันตีขึ้นมาจนบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมาไม่ได้ มือที่ยกขึ้นมาปิดเสียงสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ทาคุมิตั้งสติให้มากที่สุดแล้วเดินไปยังที่ประจำของเขากับจุนกิ ระหว่างที่กวาดตามองไปทั้ว ก็เจอกับกระดาษสีน้ำตาลใบเล็กๆ โผล่ออกมาจากหนังสือเล่มหน้าที่เขาจำได้ว่าเป็นเล่มที่จุนกิชอบอ่าน โพสอิทสีน้ำตาลที่จุนกิเคยขอเขาไปวันก่อนถูกสอดเอาไว้ มือที่หายสั่นไปบ้างค่อยๆ หยิบมันออกมา ข้อความที่ไม่ยาวๆ ที่ถูกเขียนเรียงด้วยลายมือของจุนกินั้น ยิ่งทำให้ความคิดถึงเพิ่มขึ้นมาจนน้ำตาที่หยุดไหล กลับมาอีกครั้ง



    [ถึง ทาคุมิ



    ขอบคุณมากๆ นะ ที่มองเห็นกัน อาจจะเป็นโชคดีของผมแต่เป็นโชคร้ายของคุณก็ได้ที่ต้องมาเห็นผีที่วนเวียนอยู่กับชั้นหนังสือที่นี่ แต่ถึงยังไง ก็ดีใจที่ได้เจอกัน ผมเคยเกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้ด้วยล่ะ ขอพระเจ้าทุกๆ วันว่าอยากหายไปสักที จนเจอกับทาคุมิ ความคิดนั้นก็หายไป แต่คำขอก่อนหน้านั้นเหมือนจะเป็นจริงในเร็ว ๆ นี้ล่ะ ขอโทษนะ ทั้งที่เคยพูดว่าจะอยู่เป็นเพื่อนจนคุณประสบความสำเร็จแท้ๆ แต่ถึงจะไม่มีผม คุณก็ทำได้ ที่เคยพูดว่าคุณเป็นคนเก่งมากๆคนหนึ่ง ไม่ใช่คำโกหกเลยนะ สุดท้ายผมมีสิ่งที่อยากจะบอกล่ะ อาจจะเห็นแก่ตัวที่มาเขียนทิ้งไว้แบบนี้หลังจากที่หายไป ผมชอบคุณนะ



                                                                                                                           จุนกิ]











    8 years later



    วันอาทิตย์ควรเป็นวันที่ได้พักผ่อนอยู่บ้าน แต่ทาคุมิต้องออกจากคอนโดมาตั้งแต่เช้าเพราะกลัวไม่ทันเวลาที่นัดไว้ โทรศัพท์ที่ขึ้นแจ้งเตือนข้อความบ่งบอกว่าคนที่เป็นเจ้าของนัดครั้งนี้ถึงที่หมายแล้ว ทาคุมิตอบกลับไปว่าอีกสองสถานีจะถึงแล้วเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋า ชุดสูทที่ใส่ค่อนข้างหลวงกว่าที่คิด และคนที่เบียดกันอยู่บนรถไฟฟ้ายิ่งทำให้ขยับตัวค่อนข้างลำบาก ผ่านมากี่ปีก็ไม่เคยนึกชอบการอยู่ท่ามกลางสถานที่ที่มีคนเยอะเลยสักครั้ง 



    "ทาคุมิ!" เสียงเรียกดังมากอีกฝั่งของถนน เป็นไรระเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวตั้งแต่เรียนมหาลัย ที่กำลังโบกมือให้จากหน้าทางเข้ามหาลัย  วันนี้ไรระมีธุระกับแฟนเจ้าตัวที่ทำงานในมหาลัย เลยได้โอกาศชวนทาคุมิมาด้วย ทาคุมิที่อยากกลับไปที่มหาลัยอยู่บ่อยครั้งแต่เพราะงานที่ยุ่งจนไม่ได้ไปตามใจอยากสักที เลยตกลงที่จะมา 

    "แฟนนายล่ะ" 

    "อยู่ด้านใน ไปกันเถอะ" เราทั้งสองคนเดินผ่านสถานที่ต่างๆที่คุ้นเคยในตอนที่ยังเรียนอยู่ ถนนที่ลาดผ่านวงเวียนน้ำพุนั้นทำให้เขาชะงัก มันเป็นทางที่ไปห้องสมุด  ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นมาในใจ 

    "เดินมานู้นละ" ไรระเรียกให้ทาคุมิหันไปมองด้านหน้าที่มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินมา เธอยิ้มและโค้งทักทายมา ทาคุมิโค้งทักทายกลับ พวกเราพูดคุยกันเล็กน้อยเรื่องงานแต่งของไรระกับแฟนสาวที่จะจัดขึ้นในอีกสองเดือน ทาคุมิแสดงความยินดีก่อนจะปล่อยให้ทั้งคู่ได้มีเวลาส่วนตัว แต่ก่อนที่จะขอปลีกตัวมา  ทาคุมิได้ถามถึงห้องสมุดว่าในวันนี้สามารถเข้าไปได้หรือเปล่า  เมื่อเธอบอกว่าได้ เขาจึงเดินทอดน่องไปตามถนนที่ผ่านลานน้ำพุ 

    ในตอนที่เข้ามาในห้องสมุด ความทรงจำเมื่อก่อนก็ค่อยๆผุดขึ้นมา ภาพห้องสมุดเมื่อแปดปีก่อนค่อนข้างจะแตกต่างกับห้องสมุดในตอนนี้เล็กน้อย ทาคุมิเดินไปยังที่เก่า ที่ที่เคยเป็นที่ประจำ   

    ทาคุมิรู้สึกทั้งดีใจและเหงาไม่น้อยเมื่อมาถึงมุมหนึ่งที่เคยมาทุกวัน จากที่เคยมืดสลัว ในตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยไฟที่สว่างกว่าเดิม  แอร์ที่เย็นจัด ตอนนี้กลับอบอุ่น หนังสือเก่าๆที่วางชิดกันทุกเล่มเปลี่ยนเป็นหนังสือใหม่ที่มีสีสันมากมาย   ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว แต่ภาพในอดีตยังคงชัดเจนอยู่ในสมองของทาคุมิ รวมถึงเจ้าของโพสอิทสีน้ำตาลที่เขายังพกติดตัวไว้อยู่บ่อยๆ  ภาพที่จุนกิอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ หรือรอยยิ้มสดใสที่ส่งมาให้ ถึงมันจะเป็นช่วงเวลาไม่นาน และสิ่งที่ยืนยันว่ามันเคยเกิดขึ้นก็มีเพียงกระดาษสีน้ำเล็กๆกับความรู้สึกที่ยังคงอยู่ของทาคุมิ  



    จุนกิเป็นความรู้สึกสบายใจเมื่อนึกถึงของทาคุมิเสมอมา 

    ถึงแม้จะผ่านมาแปดปีแล้ว ความรู้สึกรักที่เคยมีให้ ก็ไม่เคยหายไปไหนเลย 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in