เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกสีสันของความทรงจำjuvy_ig
พี่น้อง
  • ฉันมีน้องสาวแท้ๆอยู่หนึ่งคน เราสองคนอายุห่างกัน 5 ปี ถึงแม้ว่าจะเป็นพี่น้องท้องเดียวกันแต่เราก็ดูต่างกันราวกับไม่ใช่พี่น้องกัน ฉันผิวคล้ำ แต่น้องสาวผิวขาว ฉันค่อนข้างอ้วน แต่น้องสาวของฉันผอมกะหร่อง สุดท้ายคือน้องสาวของฉันร่าเริงและเข้ากับคนเก่งเหมือนแม่ แต่ฉันค่อนข้างพูดน้อยและโลกส่วนตัวสูงหมือนพ่อ 

    ฉันไม่แน่ใจว่าเพราะต่างกันขนาดนั้นรึเปล่า จึงเป็นสาเหตุให้เราทั้งคู่ไม่สามารถคุยกันอย่างปกติได้เป็นเวลานานๆ คุยกันได้ไม่เท่าไหร่ก็ทะเลาะกันให้คุณพ่อคุณแม่ปวดหัวได้ทุกที ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเพลาๆลงไปบ้างตามอายุที่มากขึ้นของเราทั้งคู่แต่เราก็ยังคงระหองระแหงกันเป็นกิจวัตรอยู่ดี ฉันเชื่อว่าฉันอาจจะเป็นพี่สาวที่ไม่ถูกกับน้องสาวของตัวเองมากที่สุดคนหนึ่ง เพราะอ้างอิงลูกชายทั้งสามคนของคุณป้าก็รักกันดีแม้จะต่างกันคนละขั้วเลยก็ตาม แต่หลังจากที่ฉันได้เจอกับเพื่อนคนหนึ่งที่โรงเรียน ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนรักน้องไปเลยเชียวล่ะ

    เพื่อนของฉันชื่อ 'นุ้ย' เธอเรียนห้องภาษาจีนห้องเดียวกับฉัน เธอมีชื่อภาษาจีนว่า 'หวงเหมยหลิง' นามสกุลของเธอ 'หวง' แปลว่า สีเหลือง แต่ชื่อของเธอ 'เหมยหลิง' แปลว่า กระดิ่งที่สวยงาม ฉันว่าเป็นชื่อที่เพราะมาก ในทีแรกฉันก็เรียกเธอ นุ้ยบ้าง เหมยบ้าง แต่ปัจจุบันด้วยความขี้เกียจฉันก็รวบชื่อทั้งสองภาษาของเธอมาเป็นคำเดียวกันคือ 'เหนย' ซึ่งมันก็มีเอกลักษณ์ดี

    เหนยมีน้องสาวอยู่คนหนึ่งชื่อ 'เจน' ทั้งคู่อายุห่างกัน 3 ปี ฉันเคยเจอน้องเจนหลายครั้งและทุกครั้งที่ได้เจอกันฉันก็มักจะรู้สึกว่าเด็กสมัยนี้โตไวเหลือเกิน...นั่นล่ะ เธอตัวสูงมาก น้องเจนดูเหมือนคนเป็นพี่มากกว่าเหนยเสียอีก จริงๆทุกครั้งที่ทั้งสองคนคุยกันฉันก็เห็นว่าทั้งคู่ดูรักกันดี กระทั่งวันหนึ่งเหนยเปิดประเด็นเกี่ยวกับน้องสาวขึ้นมาเพราะเราทั้งคู่ต่างก็เป็นพี่สาวคนโตของบ้าน และมีน้องสาวกันทั้งคู่ เหนยเล่าให้ฟังว่าสมัยเด็กๆตอนที่เธออายุ 3 ขวบ อยู่ๆก็มีวันหนึ่งคุณแม่ถูกคุณพ่อขับรถไปส่งที่ไหนไม่รู้ ฝากให้อาม่าของเธอเป็นคนดูแล จากนั้นผ่านไปหลายชั่วโมงคุณพ่อก็กลับมารับเธอพร้อมหน้ายิ้มระรื่นเป็นจานเชิง บอกว่าจะพาไปดูอะไรเจ๋งๆบางอย่างแล้วก็ขับรถพาเธอไปที่โรงพยาบาล

    เมื่อมาถึงคุณพ่อก็เดินจูงมือเหนยไปที่ห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่ง ในห้องนั้นมีคุณแม่ของเธอนอนอยู่บนเตียงสีขาว ข้างๆคุณแม่มีห่อผ้าเล็กๆสีขาวสะอาดอยู่ เมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นว่ามีเด็กทารกคนหนึ่งนอนหลับพริ้มอยู่ในนั้นโดยมีคุณแม่เป็นคนกอดห่อผ้าเอาไว้อีกที คุณพ่อบอกให้เธอเดินเข้าไปใกล้ๆโดยไม่สนใจใบหน้าบึ้งตึงของลูกสาวที่เริ่มจะมืดทะมึน เหนยบอกฉันว่าตอนนั้นเธอไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง เธอเป็นคนติดแม่มาก และในสมองของเด็กน้อยคิดแต่ว่าทำไมมีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มานอนกอดคุณแม่อยู่บนเตียงแทนที่จะเป็นเธออย่างที่จะเป็นทุกครั้งที่คุณแม่เข้าโรงพยาบาล และด้วยความโกรธนั้นเองทำให้เหนยเดินดุ่มๆไปที่ห่อผ้านั้นแล้วจัดการกระชากอย่างแรงจนทารกน้อยสะดุ้งตื่นแล้วแผดเสียงร้องไห้จ้า คุณพ่อของเธอรีบเดินเข้ามาคว้าแขนของเหนยแล้วจัดการถูลู่ถูกังพาเธอออกมาที่ระเบียงพร้อมแยกเขี้ยวบอกว่า

    'ถ้ายังไม่สำนึกผิดก็ไม่ต้องเข้ามา'

    ถ้าคิดว่านั่นเป็นการจบเรื่องของเพื่อนคนนี้แล้วล่ะก็...ผิดถนัด นี่เป็นเพียงปฐมบทของมหากาพย์คู่พี่น้องมหาประลัยเท่านั้น... 

    เหนยบอกฉันว่าหลังจากวันนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ไว้ใจปล่อยให้น้องสาวอยู่ตามลำพังอีกต่อไป เพราะพี่สาวใจร้ายจะคอยกลั่นแกล้งเด็กน้อยอยู่เสมอ มีครั้งหนึ่งที่คุณแม่ของเหนยต้องออกไปตรวจคนไข้แล้วปล่อยให้น้องเจนที่ยังอายุเพียงไม่กี่เดือนนอนอยู่ตามลำพัง ตอนนั้นช่างเป็นช่วงเวลาอันหอมหวานของปีศาจตัวน้อยที่รอโอกาสอยู่ เหนยแอบแทรกตัวเข้าไปในห้องของคุณแม่ หยิบขวดนมมากดน้ำร้อน...ฉันหมายถึงน้ำร้อนจริงๆ ไม่ใช่น้ำอุ่นสำหรับชงนมผงให้เด็กน่ะนะ...แล้วจัดการปิดฝาแล้วยื่นไปจ่อปากเล็กๆของน้องสาวตัวเอง อืม...ตอนฉันฟังเธอเล่าถึงตรงนี้ฉันอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองเพื่อนตัวเองจริงๆ แต่เดชะบุญ คุณพ่อของเธอเข้ามาพบเอาเสียก่อนจะเกิดอะไรขึ้นจึงรีบคว้าขวดนมนั้นมาถือไว้เองแล้วถามเหนยเสียงแข็งว่ากำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งเจ้าปีศาจตัวน้อยก็ตอบหน้าซื่อๆ

    'น้องหิวนม ก็เลยจะป้อนนมให้น้อง'

    ...

    จากนั้นหลายเดือน มีวันหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะพาเด็กทั้งสองออกเดินทางไกลจึงพากันขับรถออกจากบ้าน คุณพ่อเป็นสารถี เหนยนั่งแทรกตัวกับที่แคบระหว่างเบาะ คุณแม่นั่งตรงที่นั่งข้างคนขับโดยอุ้มน้องเจนเอาไว้แนบอก แน่นอนว่าคุณแม่หันหัวน้องสาวออกห่างจากเหนย การเดินทางเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น เหนยกับคุณพ่อก็คุยกันอย่างออกรส คุณแม่ก็คุยแทรกบ้างสลับกับดูแลทารกน้อย กระทั่งมีครั้งหนึ่งที่เกิดเหตุอย่างไรก็ไม่ทราบได้ คุณแม่จำเป็นต้องเอื้อมมือไปหยิบของอีกด้านจึงต้องเอียงตัวของน้องเจนไปฝั่งที่เหนยนั่งอยู่ เพียงแค่ไม่ถึงนาทีเท่านั้นก็เกิดเรื่องจนได้

    ระหว่างที่คุณพ่อกำลังมีสมาธิกับการขับรถ คุณแม่ก็กำลังหยิบของ ในตอนนั้นที่สายตาประสานสายตา...เหนยกำหมัดแน่นก่อนที่กำปั้นเล็กๆของเด็กผู้พี่จะทุบเข้าที่หน้าผากของน้องสาวดังปั้ก เสียงแหลมเล็กของเด็กดังสนั่นรถ คุณพ่อรีบเลี้ยวรถเข้าข้างทางทันที คุณแม่เองก็รีบหันหัวของน้องเจนกลับมาทางเดิม ทั้งสองท่านจ้องมาที่ผู้ต้องหาอย่างคาดโทษ กำปั้นน้อยๆ...ของกลางยังเห็นชัดเจน...

    ...ครั้งนั้นเหนยถูกคุณพ่อตีจนร้องไห้จ้าตามน้องสาวไปอีกคน...

    แต่ถึงจะดูเป็นคู่พี่น้องที่ประทุษร้ายกันมากขนาดไหน ถึงเวลาช่วยเหลือกัน(ในทางผิดๆ)ทั้งเหนยและน้องเจนก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ฉันจำได้ว่าเหนยเคยเล่าถึงตอนที่เธอ(เกือบจะ)เผาบ้านตัวเองให้ฟัง ในตอนนั้นที่น้องเจนโตขึ้นมาก...มากพอจะร่วมมือกับพี่สาวซุกซนสร้างเรื่องปวดหัวให้คุณพ่อคุณแม่ได้ พวกเธอนึกอยากเล่นสร้างบ้านขึ้นมา เด็กทั้งคู่ตัดสินใจพากันหอบหิ้วผ้าห่มมามุงกันเป็นบ้านตรงข้างๆตู้เสื้อผ้าของคุณพ่อ แต่เมื่อเข้ามาในบ้านหลังน้อยแล้วก็พบว่ามันมืดเสียเหลือเกินจึงพากันไปหยิบ...อย่าคิดว่าเป็นไฟฉายเลย ฉันเองก็คิดว่าเด็กทั้งสองจะเลือกหยิบไฟฉายในตอนที่เหนยเล่าให้ฟัง แต่ถ้าทั้งสองคนเลือกไฟฉายก็คงไม่มีเหตุการณ์วายป่วงนี้มาเล่าให้ทุกคนฟังน่ะสิ... ทั้งคู่เลือกหยิบเอา 'เทียนไข' มาจุดในบ้านแล้วก็เริ่มเล่นสวมบทบาทเป็นคนนู้นคนนี้ตามประสาเด็ก กระทั่งทั้งสองคนเบื่อกับการเล่นแบบนี้ ประกอบกับอากาศในนั้นมีน้อยและความร้อนจากเทียนไขทำให้เด็กน้อยทนไม่ไหว พวกเธอจึงพากันหนีออกมาเล่นข้างนอก...โดยลืมดับเทียนไขในนั้น...

    เอาล่ะ เริ่มเดาเรื่องราวได้แล้วสินะ...ใช่แล้ว ผ้าห่มเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีของไฟ มันลุกลามสูงขึ้นจนเผาเสื้อผ้าของคุณพ่อจนเกรียมเป็นตอตะโก แถมยังลามเลียสูงขึ้นจนจรดเพดานบ้าน โชคยังดีที่ในตอนนั้นคุณพ่อของเหนยกลับมาพอดีและด้วยความที่แปลกใจกับกลิ่นไหม้ในบ้านจึงเดินตามกลิ่นไปไฟจึงถูกดับได้ทันเวลา...บ้านของเหนยรอดจากอัคคีภัย แต่หลังจากนั้นเด็กๆทั้งสองก็ต้องวิ่งหนี 'โทสะภัย' ของคุณพ่อกันหัวซุกหัวซุน พวกเธอหนีไปเรื่อยๆจนมาจบที่ต้นมะยมแถวบ้าน เด็กทั้งสองพากันปีนขึ้นต้นมะยมเพื่อหนีไม้เรียวของคุณพ่อ! โถ...เด็กน้อย ฉันได้ฟังเรื่องนี้ทีแรกฉันหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งเชียว ในตอนนั้นน้องเจนเกาะกิ่งของต้นมะยมทั้งน้ำตาคลอ พวกเธอปีนขึ้นมาจนถึงยอดแล้วและไม่มีทางหนีอื่น น้องเจนหันมาถามพี่สาวเสียงสั่นๆเหมือนจะร้องไห้

    'นุ้ย...เขาย่าน' (นุ้ย...เขากลัว)

    เรื่องนั้นจบที่ลิงทั้งสองถูกคุณพ่อตีไปตามระเบียบ...

    กลับมาที่ตัวฉันเอง...ฉันไม่ค่อยจะมีประสบการณ์ประทุษร้ายน้องสาวตัวเองเท่าไหร่ แต่ถ้าถูกประทุษร้ายโดยพี่ชาย(ลูกชายคนโตของคุณป้า)ก็พอจะมีอยู่บ้าง...

    ฉันอายุห่างจากพี่ชาย 4 ปี ตอนเด็กๆเราสนิทกันพอสมควร แต่เมื่อต่างคนต่างโตขึ้นมาก็กลายเป็นว่าเมื่อมาเจอกันก็ทำตัวไม่ค่อยจะถูก(หรืออาจจะเป็นฉันฝ่ายเดียวนะที่ทำตัวไม่ถูก?) พี่ชายฉันเมื่อโตมาก็แทบไม่เหลือเค้าเด็กชายตัวแสบเมื่อสมัยก่อนเลยทีเดียว พี่เป็นพี่ที่ดี คอยแนะนำฉันหลายอย่างเรื่องการเรียนต่อ การใช้ชีวิต โดยรวมก็ถือว่าเป็นพี่ชายที่สุดยอด!

    แต่เมื่อสมัยที่เรายังเด็กกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เรายังอยู่บ้านหลังเก่า ตอนนั้นพี่ชายอยู่กับฉันเพราะคุณลุงคุณป้าไปทำงานที่ประเทศจีน ฉันในวัยเด็กที่ไม่ประสีประสาอะไรก็นั่งเล่นอยู่บนชิงช้าที่คุณตาทำให้ ส่วนพี่ชายก็อยู่ที่แคร่ไม้ด้านล่าง แต่เพราะนึกคึกอะไรก็ไม่ทราบ พี่ชายฉันเดินมาไกวชิงช้าให้ฉัน จากที่ไกวเบาๆก็แรงขึ้น...แรงขึ้น...แรงขึ้น กระทั่งฉันเสียศูนย์ พลัดตกจากชิงช้าหน้าคะมำ ทิ้งตัวลงแคร่ไม้โครมใหญ่ แล้วในขณะที่ฉันกำลังจะร้องไห้ออกมานั้นเอง พี่ชายก็รีบปราดเข้ามาขู่ฉันพร้อมกิ่งไม้เล็กๆที่มองอย่างไรก็ไม่น่ากลัวสักนิด แต่ในตอนนั้นที่ฉันยังเด็กและเสียขวัญฉันก็สามารถมองมันเป็นคมแฝกอันใหญ่ได้ พี่ชายทำหน้าเคร่งเครียด กัดฟันบอกฉันว่า

    'อย่าร้องนะ! ถ้าร้องพี่จะตี'

    เท่านั้นล่ะ ฉันกลั้นสะอื้นจนตัวโยนเชียว...

    หลังจากเหตุการณ์นั้นฉันก็ถ่ายทอดความเจ็บปวดนี้สู่น้องสาวของฉันเป็นที่เรียบร้อย ฉันเผลอทำน้องสาววัยห้าขวบพลัดตกจากเปลญวณของคนข้างบ้านที่สนิทกัน แต่โชคร้ายที่ข้างใต้เปลญวณนั้นมีหินก้อนใหญ่อยู่...นั่นล่ะ น้องสาวของฉันหัวเข่าแตก...

    โชคยังดีที่น้องสาวของฉันไม่ได้ถ่ายทอดความเจ็บปวดนั้นให้หลานสาวของฉันด้วย...

    เรื่องการทะเลาะกันของพี่น้องไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับเด็กๆในครอบครัวรุ่นราวคราวเดียวกับฉันเท่านั้น คุณปู่เคยเล่าให้ฉันฟังว่าคุณพ่อของฉันกับคุณอามักจะทะเลาะกันกับเรื่องง่ายๆอย่างการเข้าห้องน้ำอยู่เสมอ

    ตอนเด็กๆเวลาที่ไปบ้านคุณปู่คุณย่า ฉันมักสงสัยว่าทำไมบ้านที่มีแค่สองคน(ถ้านับรวมลูกชายสองคนของพวกท่านด้วยก็กลายเป็นสี่)ถึงต้องมีห้องน้ำถึงสองห้อง พอไปถามคุณปู่ก็ได้รับคำตอบเป็นเสียงหัวเราะของท่าน ก่อนท่านจะเล่าให้ฟังว่า...

    ...สมัยเด็กๆคุณพ่อกับคุณอาของฉันมักจะทะเลาะกันเวลาจะเข้าห้องน้ำเป็นประจำ ด้วยความที่คุณพ่อเป็นคนท้องเสียบ่อยและมักถ่ายทุกข์นาน คุณอาที่ต้องการจะเข้าห้องน้ำในเวลาไล่เลี่ยกันก็มักจะมาตะโกนเรียกพลางทุบประตูอยู่หน้าห้องน้ำทุกครั้ง พอคุณพ่อออกจากห้องน้ำ ทั้งสองคนก็จะเริ่มทะเลาะกัน นั่นเป็นเหตุผลที่คุณปู่ต้องการลดมลพิษทางเสียงทุกเช้าลง คุณปู่ตัดสินใจสร้างห้องน้ำอีกห้องให้อยู่ติดกัน แน่นอนว่าหลังสร้างห้องน้ำเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีเหตุการณ์ทะเลาะกันเพราะห้องน้ำอีกเลย...

    คู่นี้จบอย่างสุขี...

    ...

    จากการได้ฟังเรื่องราวต่างๆจากคนนู้นนิดคนนี้หน่อย ทำให้ฉันรู้ว่าเป็นเรื่องปกติที่พี่น้องจะทะเลาะกัน(ถึงบางคนจะรุนแรงไปสักหน่อย อย่างเหนยและน้องเจนเป็นต้น) ก็เพราะอยู่ด้วยกันมานาน กลับบ้านมาก็เจอหน้ากัน แต่นิสัยก็ต่างคนต่างนิสัยจึงมีบ้างที่จะกระทบกระทั่งกัน หากแต่ลึกๆพี่และน้องก็ไม่ได้คิดจะตัดความสัมพันธ์กันให้ขาด...

    ฉันมองว่าสายสัมพันธ์ของพี่น้องช่างเปราะบาง...แต่ก็เหนียวแน่น ที่เปราะบางก็เพราะไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยเท่าไหร่พี่น้องก็มักจะหยิบมาเป็นประเด็นทะเลาะกันจนได้ ส่วนที่เหนียวแน่นก็เพราะไม่ว่าจะทะเลาะกันกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แค่อีกฝ่ายบอกว่าไม่สบายใจพี่น้องก็พร้อมจะช่วยเหลือและปลอบโยนเสมอ...

    ...ก็...สำหรับบางคน 'พี่น้อง' ก็อาจไม่ใช่อะไรที่โสภานัก ปฏิเสธไม่ได้ว่าก็มีพี่หรือน้องที่เกลียดกันเข้าไส้ราวจะฆ่าให้ตายอยู่ ฉันว่านั่นก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ละเอียดอ่อน หลายคนอาจมองว่าพี่น้องจะต้องรักกันทุกครอบครัว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เหรียญมีสองด้าน มีพี่น้องที่รักกัน ก็ต้องมีพี่น้องที่เกลียดกัน มันก็ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของแต่ละครอบครัว บางครอบครัวสถานการณ์อาจบีบคั้นให้พี่และน้องเกลียดกันเองก็ได้...

    อืม...ฉันว่าฉันโชคดีมากเลยล่ะที่มีพี่น้องที่ กวนประสาท หมายถึงน่ารักมาก... ถึงแม้จะทะเลาะกันเพราะแย่งขนมหรือของเล่นบ่อยหน่อย แต่เวลาที่ต้องการคำปรึกษาหรือต้องการกำลังใจ เราก็จะช่วยเหลือกันอยู่เสมอ ฉันว่านั่นเป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่งในชีวิตของฉันเลยล่ะ

    ...แต่จะดีกว่านี้ถ้าน้องสาวของฉันเลิกกวนประสาทฉันด้วยเรื่องงี่เง่าเสียที ;)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in