เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกสีสันของความทรงจำjuvy_ig
อากาศหนาวทำให้คนแปลกไปรึเปล่านะ?
  • วันนี้ร้อนขึ้นเยอะเลย...ทั้งๆที่สองวันก่อนยังหนาวจนโฟมล้างหน้าของฉันแข็งแท้ๆ อากาศเปลี่ยนแปลงเร็วจริงๆเนอะ พออากาศกลับมาร้อนแบบนี้แล้วฉันก็คิดถึงความรู้สึกหนาวจนไม่อยากไปโรงเรียนแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ฉันมีเรื่องแปลก(ละมั้ง?)เกิดขึ้นที่โรงเรียนหลายเรื่องเลยในช่วงสี่ห้าวันที่อากาศหนาว

    ห้องเรียนของฉันไม่ใช่ห้องที่เก่งที่สุดในสายชั้น แต่ฉันภูมิใจนะ เพราะห้องของฉันเฮฮาที่สุดใน 21 ห้องเรียนแล้วล่ะ! ฉันชอบความรู้สึกที่รู้ว่าถ้ามาโรงเรียนแล้วก็จะได้เห็นเรื่องราวสนุกๆอยู่ทุกวันเลย ฉันเป็นคนค่อนข้างเงียบ ฉันนั่งโต๊ะแถวหน้าสุดของห้องเรียนและเป็นมุมขวาสุดติดกับหน้าต่าง ฉันชอบมองออกไปหาใบไม้สีเขียวๆและนกกระจอกตัวอ้วนท้วนที่ชอบมาเกาะที่หน้าต่างไม้ของห้องเรียนฉัน ฉันไม่ใช่เด็กเรียนนักหรอก แต่ฉันแค่คิดว่ามันสะดวกดีถ้าฉันจะเหม่อออกไปมองบรรยากาศสงบๆข้างนอก ตัดความวุ่นวายที่เพื่อนผู้ชายข้างหลังมักจะเถียงกันว่าใส่ถุงเท้าที่ค้างตั้งแต่เมื่อวานหรือเดินเท้าเปล่าทั้งวันดีไปเลย หรือบางทีอาจจะแอบหลับในวิชาคณิตศาสตร์(ฮ่า ฉันเรียนไม่รู้เรื่องเลยล่ะ!) 

    ในวันแรกที่อากาศหนาว ฉันประเมินความสามารถตัวเองสูงเกินไป ฉันสวมเพียงเสื้อกันหนาวตัวเดียวมาโรงเรียนโดยลืมว่าตัวเองต้องนั่งรถโดยสารสองแถว! แม่เจ้า! ฉันขาชาจนต้องกระโดดลงจากรถโดยสารเหมือนเด็กสองขวบเพราะก้าวลงเหมือนปกติไม่ได้! ฉันอายมากแต่ก็หนาวมากด้วย ใจจริงอยากจะข้ามถนนไปซื้อกาแฟร้อนสักแก้วมาดื่มแก้หนาวแต่เสียงเพลงมาร์ชโรงเรียนที่ดังขึ้นก็เหมือนจะบอกกันว่า 'ไม่ทันแล้วยัยหนู ตัดใจจากกาแฟร้อนแล้วซอยขาสั้นๆมาเข้าแถวเคารพธงชาติซะดีๆ' อา...ฉันเกลียดความรู้สึกที่ต้องวิ่งไปที่แถวจนขาขวิดทั้งๆที่ชาไปถึงกึ๋นจัง

    ฉันไปทันเวลาพอดี เสียงรุ่นพี่ประกาศที่หน้าเสาธงเงียบลงพอดีกับที่เท้าฉันแตะพื้นตรงตำแหน่งประจำ คือหน้าสุดของแถว จากนั้นเพลงชาติก็ดังขึ้น ฉันยืนนิ่งๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอูฐทะเลทรายที่ถูกดีดมาโผล่ที่ขั้วโลกใต้แถมโดนล้อมรอบด้วย...กองโจรที่เตรียมตัวไปปล้นธนาคารออมโรงเรียน?

    ฉันไม่ได้อำนะ เพื่อนๆของฉันโดนห่อด้วยผ้าห่มจนเหลือแค่ตา แถมพวกเพื่อนผู้ชายก็ใส่หมวกไอ้โม่งคลุมหัวทับด้วยหมวกฮู้ด จริงๆถ้าพวกเขาถือปืนมาแทนแก้วนมร้อนลายทางสีเขียวสดใสจะดูเข้ากันมาก ใครๆก็พากันบอกว่าฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาเดียวที่เด็กๆที่ต้องสวมเครื่องแบบอย่างพวกเราสามารถใส่เสื้อกันหนาวมาอวดกันได้ แต่ฉันว่าสำหรับห้องฉันมันไม่ใช่การอวดเสื้อผ้าหรอก มันเป็นการแข่งกันว่าใครจะสรรหาเสื้อผ้ามาสวมได้พิลึกกว่ากันเสียมากกว่า

    หลังสวดมนต์ไหว้พระเสร็จฉันก็ชะโงกหน้าไปมองเพื่อนๆห้องอื่นเพื่อจะหาใครก็ได้ที่มีหมวกไอ้โม่งเหมือนเพื่อนๆผู้ชายในห้องของฉัน ซึ่งก็ไม่เห็นมีสักคน(หรืออาจจะมีก็ได้ ฉัันตัวเล็กเกินกว่าจะชะเง้อมองได้ทั้ง 21 ห้อง) ฉันละภูมิใจจริงๆเชียว เรื่องแบบนี้เพื่อนๆในห้องของฉันมีเอกลักษณ์กันจริงๆ พอถึงเวลาปล่อยนักเรียนขึ้นห้องฉันก็เห็นว่าทุกคนรีบกรูกันเข้าห้องเรียนจนมองเผินๆเหมือนซอมบี้ในซีรี่ย์เรื่อง The Walking Dead เลย ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นภาคไหนและตอนที่เท่าไหร่แต่มันสยองถึงกึ๋นเลยสำหรับฉัน 

    พอเข้าห้องได้พวกเราก็ปิดตายห้องเรียนทันที ประตูไม้เก่าๆที่ถูกทาสีฟ้าสว่างทับถูกปิดทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยปิด แม้แต่ฉันที่ชอบเปิดหน้าต่างรับแดดตอนเช้าๆยังปิดหน้าต่างทุกบานเพื่อกันไม่ให้ลมหนาวเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหนาวจนสั่น พอฉันหันไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งข้างกันก็พบว่ารายนั้นเอาผ้าห่มสีม่วงคลุมตัวเหยียดขายาวไปหาเก้าอี้อีกตัวหลับลึกไปแล้วเรียบร้อย ส่วนเพื่อนซี้อีกคนที่นั่งถัดไปก็เสียบหูฟังเข้าหูปิดกั้นทุกอย่าง ท่าทางไม่สะท้านกับอากาศเท่าไหร่ทั้งๆที่ใส่แค่เสื้อแขนยาวสีดำตัวเดียว 

    พอฉันหันหลังก็พบกับขบวนการไอ้โม่งที่พากันเอนตัวหลับเป็นตายเหมือนเมื่อคืนไม่ได้นอนจนเช้า ห้องเรียนที่เคยเสียงดังจนเป็นที่เอือมระอาของห้องอื่นวันนั้นเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็น ฉันที่เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ยังตื่นอยู่แทบจะลุกขึ้นปรบมือ แต่ฉันก็เกรงใจเพื่อนที่นอนกันอยู่เลยนั่งเงียบๆจนกระทั่งคุณครูเข้ามา คุณครูทำหน้าตกใจกับขบวนการไอ้โม่งดำด้านหลังห้องแต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมา เธอบอกให้ปลุกเพื่อนๆที่นอนหลับอยู่ลุกขึ้นมาเรียน แต่ก็มีแค่บางส่วนที่ยอมตื่น ส่วนที่เหลือก็ยังล่องลอยในความฝันอยู่ อย่างเช่นเพื่อนของฉันที่นั่งข้างกันเป็นต้น...

    พอถึงเวลาพักเที่ยงฉันก็พบกับงานลอนดอนแฟชั่นวีคที่ไม่รู้เปลี่ยนมาจัดที่โรงเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่ ทุกคนดูแต่งตัวมาไม่มีใครยอมใครทั้งครูและนักเรียน ฉันว่าเป็นภาพที่น่ารักดี รุ่นน้องบางคนก็แต่งตัวจัดเต็มมากจนฉันเห็นมีคุณครูไปขอถ่ายรูปด้วย จำได้ว่าฉันเห็นมีรุ่นพี่คนหนึ่งใส่หมวกซัลลิแวนสีฟ้าเด่นสะดุดตามาก พี่คนนั้นเป็นผู้ชายตัวสูงรูปร่างท้วม พอประกอบร่างกับหมวกซัลลิแวนปุกปุยบนศีรษะแล้วฉันรู้สึกเหมือนเขาเป็นพนักงานในบริษัทมอนสเตอร์จริงๆ ข้างๆกันก็มีพี่ผู้หญิงในชุดมาสคอตหมีขาวขั้วโลกเต็มตัวเดินข้างกันต้อยๆ น่ารักสุดๆเลยล่ะ!

    วันนั้นฉันตัดสินใจกินข้าวต้มปลา แต่มันหมดฉันจึงต้องเปลี่ยนไปเป็นข้าวต้มหมูแทน แอบเสียดายที่ร้านนี้ไม่มีขิงให้ฉันเติม แต่ในถ้วยข้าวต้มกลับมีข่าชิ้นใหญ่ลอยตุ๊บป่องอยู่กับหมู ซึ่งฉันว่ามันก็พอจะแทนกันได้ ฉันจัดการซัดทุกอย่างในถ้วยเรียบไม่เหลือแม้กระทั่งน้ำซุป เพื่อนที่นั่งทานข้าวด้วยกันถึงกับถามว่าไปอดหยากจากที่ไหนมา ฉันเองก็ตอบไม่ได้ อาจจะเพราะอากาศหนาวๆแบบนั้นมันเข้ากับข้าวต้มหมูร้อนๆฉันก็เลยซัดเสียหมดถ้วยทั้งที่ปกติเป็นคนทานน้อย

    หลังเสร็จสิ้นของคาว พวกเราสามคนก็ออกเดินหาของหวานมาล้างปาก ของหวานในที่นี้ไม่ใช่เค้กหรือคุกกี้ แต่เป็นจำพวกผลไม้เนื่องจากฉันไม่ชอบอาหารจำพวกเบเกอรี่ จริงๆควรจะใช้คำว่า 'ทานไม่ได้' มากกว่า เพราะทุกครั้งที่เอาเข้าปากแล้วเคี้ยว ฉันจะพะอืดพะอมกับรสชาติเลี่ยนๆของครีมและแป้งเค้ก จากนั้นไม่ถึงครึ่งนาทีฉันก็จะขย้อนทุกอย่างออกมา...อืม...ตามนั้นแหละ ฉันไม่รู้จะนิยามอาการแบบนั้นว่ายังไง จะว่าแพ้ก็ไม่น่าจะถึงขั้นนั้น? จะว่าฝังใจจนทานไม่ได้ก็ไม่น่าจะใช่ ฉันคิดว่าคนอย่างฉันไม่น่าจะมีความหลังฝังใจกับอาหารชนิดใดก็ตาม 

    พวกเราไปหยุดที่ร้านขายผลไม้ ฉันกลั้นใจเปิดประตูตู้แช่ออกมา พอไอเย็นกระทบตัวฉันก็หนาวจี๊ดขึ้นไปถึงสมองซีกซ้าย รีบหยิบมะละกอสุกมาหนึ่งกล่องแล้วปิดประตูทันที ฉันยื่นเงินเหรียญสิบให้แม่ค้าแล้วจึงเดินไปกับเพื่อนๆ ฉันเลือกทานมะละกอเป็นของหวานเพราะมันมีฤทธิ์เย็น น่าจะช่วยปรับสมดุลในร่างกายของฉันได้ เนื่องจากตอนที่ฉันทานข้าวต้ม ฉันทานขิงไปทั้งชิ้น มันอาจจะไม่ดีกับร่างกายนักถ้าปล่อยไปเฉยๆ 

    ฉันเรียนแบบกึ่งหลับกึ่งตื่นจนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียน อา...สำหรับโรงเรียนอื่นอาจเป็นเวลาสวรรค์ แต่สำหรับโรงเรียนของฉันจะต้องรอไปอีกครึ่งชั่วโมงจึงจะสามารถออกจากโรงเรียนได้ ฉันไม่เคยพอใจกับกฎนี้ของโรงเรียนเลย เพราะฉันไม่อยากกลับบ้านช้า ฉันยังมีหน้าที่ต้องไปเฝ้าร้านกาแฟต่อจากพี่คนงาน แต่ก็ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่ทางเดินหน้าประตูโรงเรียนแทบจะทุกวัน ทั้งๆที่เลิกเรียนไปแล้วแท้ๆ!

    ฉันกับเพื่อนยืนบ่นกันไปเรื่อยๆ รอบๆตัวพวกเรามีรุ่นพี่รุ่นน้องยืนรอกันอยู่หลายสิบชีวิต ที่เหลือที่ไม่ได้มายืนรอก็เพราะเบื่อจะรอจนไปหาอะไรทำแก้เซ็งแล้ว หรือบางส่วนก็คือเหลืออดกับกฎจนปีนรั้วหนีออกไปแล้ว ส่วนฉันกับเพื่อนก็มายืนออกันกับคนอื่นเพราะไม่มีที่จะไป หรือจริงๆก็รีบกลับนั่นแหละ เราหวังกันเล่นๆว่าถ้ายืนกดดันกันไปเรื่อยๆแบบนี้คุณลุงยามจะยอมปล่อยพวกเราออก 

    ระหว่างที่ฉันกำลังยกขวดน้ำชูขึ้นแล้วพูดกับเพื่อนเบาๆเหมือนตัวเองเป็นผู้ประท้วง จู่ๆก็มีรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งเดินลิ่วผ่านหลังฉันไปทางประตูโรงเรียน เดินผ่านคนที่กำลังยืนออกันอยู่ ผ่านป้อมยามที่มีคุณลุงยามยืนเฝ้า คุณลุงยามพยายามเป่านกหวีดเสียงแหลมเพื่อให้พี่คนนั้นหยุด แต่ก็ไม่ได้ผล ฉันสังเกตเห็นว่าพี่คนนั้นไม่ได้สวมหูฟัง หูของเขาว่างเปล่า เขาเดินผ่านประตูเล็กที่เปิดอยู่และ...เดิน...ออก...ไป...เลย...

    ...

    ...จากนั้นทุกคนที่ยืนอึ้งนิ่งค้างก็ปรบมือให้กับความใจกล้าของพี่คนนั้น พวกเราส่งเสียงเชียร์ดังสนั่น พวกฉันสามคนก็เป็นไปกับเขาด้วย รุ่นพี่ผู้ชายในเสื้อกันหนาวสีเหลืองที่ยืนอยู่ด้านหน้าของฉันตะโกนเชียร์เสียงดังจนคุณลุงยามร้องเตือนพร้อมเป่านกหวีด 

    'อย่าทำตัวเหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อนสิ!' คุณลุงยามในเครื่องแบบสีทึบบอกหน้าต่างเคร่งขรึม 

    'ก็โรงเรียนไม่ยอมให้พวกผมกลับบ้านนี่ครับ'

    'ทางฝ่ายปกครองคิดกฎมาแล้ว เราก็ต้องปฏิบัติตามไม่ใช่สนับสนุนการแหกกฎแบบนี้'

    'งั้นกฎตั้งมาเพราะอะไรครับ? มันเลิกเรียนแล้วไม่ใช่หรือ?'

    'ทำไมถามยอกย้อนอย่างนี้? ผู้ใหญ่พูดก็ต้องฟังสิ'

    'ผมก็แค่อยากได้เหตุผล ลุงไม่ยอมบอกพวกผมว่าทำไมไม่ปล่อยให้ออกซะทีผมก็ต้องอยากรู้สิ'

    'เถียงคำไม่ตกฟาก ทำไมก้าวร้าวอย่างนี้? เดี๋ยวก็ถ่ายรูปส่งให้ท่านรองเสียหรอก'ลุงยามขู่

    ฉันฟังบทสนทนาที่ดังขึ้นตรงหน้าอย่างสนใจ ฉันเองก็คิดอย่างรุ่นพี่คนนั้น ฉันไม่เคยรู้เหตุผลเลยว่าทำไมจะต้องห้ามไม่ให้พวกเราออกจากโรงเรียนทั้งที่มันเลิกเรียนไปตั้งนานแล้ว คุณครูไม่เคยให้คำตอบ บอกเพียงแต่ห้ามเท่านั้น ฉันหวังว่าคุณลุงยามจะพอบอกได้ แต่ดูแล้วเขาเองก็ไม่น่าจะรู้เหตุผลจึงเลี่ยงตอบคำถามไป ฉันละสายตาไปมองพี่ชายผิวขาวที่ยืนตรงหน้าคุณลุงยาม เขาตัวสูงกว่าคุณลุงยามนิดหน่อยเพราะกำลังยืนอยู่บนฟุตบาท ฉันเห็นเขาแสดงสีหน้าท้าทายออกมา นั่นคงทำให้คุณลุงยามเดือดเป็นไฟ ฉันอยากรู้ว่าตัวแทนของพวกเราจะทำอย่างไรต่อไป ใจหนึ่งก็กลัวว่าพี่ชายที่เป็นตัวแทนบอกความรู้สึกจะถูกทำโทษ แต่พี่ชายคนนั้นก็ไม่มีสะท้าน

    'ถ่ายเลยลุง เดี๋ยวผมชูสองนิ้วให้ด้วย'

    พอเขาพูดแบบนั้นก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นจากนักเรียนที่ยืนรออยู่หน้าประตู คุณลุงยามทำตามที่พูด เขาควักโทรศัพท์ออกมาตั้งท่าถ่ายรูปพี่ชายเสื้อเหลือง พี่ชายเองก็ทำอย่างที่พูดเช่นกัน เขาทำหน้าทะเล้น เก๊กท่าชูสองนิ้วใส่กล้องจริงๆ จากนั้นก็ถูกคุณลุงยามบอกให้ไปยืนรอกับกลุ่มเพื่อนๆ ฉันได้ยินเสียงพี่ชายเสื้อเหลืองและเพื่อนคุยกันคิกคักเหมือนไม่ยี่หระกับเหตุการณ์นั้นแม้แต่น้อย

    'โคตรแน่จริงเลยว่ะ'

    'ม.6 แล้วเว้ย จะกลัวอะไร'

    ฉันพอจะเข้าใจลางๆว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่กลัวอำนาจฝ่ายปกครองที่ขึ้นชื่อเรื่องความจุกจิกในกฎระเบียบแล้ว  ถ้าเป็นชั้นปีอ่อนกว่าอย่างฉันก็คงไม่ใจกล้าอย่างนั้นแน่ หันไปมองอีกด้านก็เห็นคุณลุงยามกำลังโทรศัพท์คุยกับใครก็ไม่รู้ แต่ฟังจากที่คุณลุงพูดแล้วก็น่าจะเป็นท่านรองผู้อำนวยการ 

    'ครับ...ผมส่งไปแล้วครับ...ครับ...ได้ครับ'

    จากนั้นคุณลุงยามก็ปล่อยพวกเรากลับบ้านเร็วกว่าทุกวัน ฉันดีใจนะ รู้สึกขอบคุณพี่คนนั้นด้วย ขอบคุณพี่ชายเสื้อเหลืองจริงๆที่ทำแบบนั้น แม้วิธีการจะออกหักดิบและดูก้าวร้าวในสายตาผู้ใหญ่ไปสักหน่อย แต่หลังจากนั้นพวกเราก็ได้กลับบ้านเร็วกว่าแต่ก่อนตลอด แม้จะยังไม่ให้กลับในทันทีที่เลิกเรียน แต่ก็ให้พวกเรารอไม่นานเหมือนก่อน 

    ...ฉันชอบคิดเรื่องต่างๆในตอนที่กลับบ้าน เวลาที่นั่งรถประจำทางตรงที่นั่งหลังสุดแล้วลมโกรกมาจนผมที่มัดไว้กระเซิง ฉันจะมีสมาธิเป็นพิเศษ ฉันชอบนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน มีทั้งจำได้บ้าง ไม่ได้บ้างตามแต่สมองปลาทองของฉันจะจดจำได้ แต่แปลกดี เรื่องหมวกไอ้โม่ง เรื่องพี่ชายในหมวกซัลลิแวน พี่ชายที่เดินผ่านประตูออกไปแบบไม่สนยาม และพี่ชายเสื้อเหลือง เป็นเรื่องที่ผ่านมาเกือบหนึ่งอาทิตย์แต่ฉันยังจำได้แม่นเหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน...

    ...มันไม่ได้มีสาระนักหรอก แต่ฉันมาบันทึกไว้เพราะไม่อยากจะลืมเรื่องที่พิเศษอย่างนี้ไปเฉยๆ มันเป็นสีสันในชีวิตจืดชืดของฉัน และบางทีถ้าฉันลืมไปแล้วกลับมาอ่านอีกฉันจะได้จำเรื่องพิเศษอย่างนี้ไปได้ตลอด...

    ปล. ฉันไม่ได้ข่าวคราวพี่ชายเสื้อเหลืองอีก แต่พอจะรู้จากเพื่อนที่เข้าออกห้องปกครองเป็นว่าเล่นว่าไม่มีใครถูกลงโทษเพราะแหกกฎเรื่องห้ามออกโรงเรียน...ก็ขอให้พี่ชายเสื้อเหลืองเรียนจบโดยไม่ถูกคุณครูตัดคะแนนด้วยนะคะ!

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in