เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
EXONERATED คืนล้างบาปSamanthachiew
7
  • 7

    เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด มันดังสนั่น จนปลุกให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมา


    หญิงสาวเบิกตาโพลง จ้องมองฝ่าความมืดสลัวไปยังเพดานไม้เหนือศีรษะ นิ่งมองอย่างนั้นอยู่นาน ก่อนจะรับรู้ได้ในนาทีถัดมาว่านี่คือห้องนอนของเธอเอง


    หญิงสาวเงี่ยหูฟัง -- ทว่าเสียงลึกลับที่ดังก้องกังวานคล้ายเสียงโลหะเสียดสีกันก่อนหน้าพลันเงียบหายไป ไม่มีเสียงอื่นใดอีก นอกจากเสียงสายลมที่พัดดังหวีดหวิว และเสียงสายฝนที่ตกหนัก โหมพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง จนบานหน้าต่างสั่นไหว เสียงเอียดอาดดังลั่นไปทั่วบ้านที่สร้างจากไม้ ท่ามกลางความเงียบภายในห้อง --


    มันเป็นเพียงเสียงจากความฝันเท่านั้น -- เสียงที่เธอละเมอ แว่วได้ยินไปเอง -- หญิงสาวปลอบตนเอง แต่กระนั้นแล้ว เธอก็ยังคงหอบหายใจอย่างรุนแรง ราวกับเพิ่งเผชิญเหตุการณ์ระทึกขวัญมา --


    เหตุการณ์ระทึกขวัญหรือ -- ความคิดนั้นทำให้หญิงสาวตัวสั่นเล็กน้อย


    เธอค่อยๆละสายตาจากบานหน้าต่างที่สั่นไหวมายังที่นอนข้างตนเอง แวบหนึ่งเธอคาดว่าจะเห็นร่างสูงนอนอยู่ตรงนั้น หากแต่มันกลับว่างเปล่า มีเพียงรอยยับของผ้าปูที่นอนผืนเก่า และหมอนหนุนใบเล็กเท่านั้น


    “โจนาห์” หญิงสาวกระซิบเรียกชื่อนั้นออกมา หากแต่ไม่มีเสียงใดขานตอบกลับมา


    หญิงสาวขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงนอน “โจนาห์” เธอเรียกอีกครั้ง กวาดตามองไปรอบๆห้องนอนอันมืดสลัว และเงียบงัน -- ไม่มีร่างสูงปรากฏอยู่ในห้อง ทั้งที่ข้างเตียง มุมห้อง หรือขอบหน้าต่าง -- เขาไม่อยู่ในห้องแห่งนี้


    หญิงสาวค่อยๆขยับตัวลงมาจากเตียง พลันความรู้สึกเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วบริเวณท้องน้อยอย่างรวดเร็ว -- หญิงสาวนิ่วหน้ากับความเจ็บปวดที่ได้รับ เธอยกมือวางบนหน้าท้องตนเองอย่างแผ่วเบา แต่แล้วความรู้สึกปวดอันหนักหน่วงนั้นกลับหายไปอย่างน่าประหลาด


    หญิงสาวขมวดคิ้ว หากแต่ไม่ได้ร้องอะไรออกมา


    เธอลุกขึ้นยืน ความรู้สึกปวดรวดร้าวลามไปทั่วบริเวณข้อเท้าของเธอ จนทำให้เธอเกือบทรุดลงบนขอบเตียง หากแต่เธอพยุงกายได้ในวินาทีถัดมาอย่างทุลักทุเล  เอวาไอออกมาเล็กน้อยจากความเย็นชื้นภายในห้อง จากนั้นจึงคว้าผ้าคลุมมาห่มกาย แล้วค่อยๆก้าวเดินไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ข้างหน้าต่าง 


    หญิงสาวลอบมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง สายฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักราวกับฟ้ารั่ว สายลมพัดดังหวีดหวิวราวกับมีพายุพัดเข้ามาจากทางชายฝั่ง และแสงจันทร์สีเงินก็ถูกแทนที่ด้วยเมฆฝนอันหนาทึบ จนทำให้ค่ำคืนนี้แทบจะมองอะไรไม่เห็น แม้แต่ต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางหน้าบ้าน


    เธอกำลังจะมองหาตะเกียงอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีแสงสว่างจากฟ้าแลบส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำให้เธอทันสังเกตเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ตรงหน้า เธอหยิบมันขึ้นมา เพ่งมองไปตามหมึกข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือตัวบรรจงอันคุ้นตาของโจนาห์


    ผมเข้าเมืองไปหาหมอบอริส และสมุนไพร แล้วผมจะกลับมา --


    ในตอนที่เธอกำลังค่อยๆอ่านจดหมายอยู่นั่นเอง เสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นมาจากโถงทางเดินด้านนอก!

    หญิงสาวหยุดชะงัก หมุนตัวไปทางประตูห้องนอนด้านหลังตนเอง -- หากแต่ประตูไม้นั่นก็ยังคงปิดสนิทดีดั่งเดิม


    เธอวางจดหมายลงบนโต๊ะ ค่อยๆก้าวเดินไปยังบานประตู แล้วเปิดมันออก -- เพ่งมองไปตามความมืดของทางเดินอย่างระมัดระวัง -- เมื่อไม่เห็นว่ามีใครปรากฏตัวขึ้น เธอจึงค่อยๆเดินออกมาจากห้องนอน ก้าวเดินไปตามโถงทางเดินขนาดเล็ก จนมาถึงขอบบันไดที่ทอดตัวไปยังชั้นล่างของบ้าน


    ตอนนั้นเองที่เธอเห็นเงาของร่างหนึ่งเดินผ่านปลายบันไดหายเข้าไปในห้องชั้นล่าง!


    “โจนาห์” เธอเปล่งเสียงเรียกออกไปอย่างไม่แน่ใจ หากแต่ร่างนั้นก็ไม่ได้ขานอะไรกลับมา


    หญิงสาวรู้สึกตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเย็นชื้นของอากาศที่แปรปรวนภายนอก หรือเป็นเพราะความเย็นชาของโจนาห์ จึงทำให้เธอรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีขึ้นมา และมันก็ทำให้เธอไอออกมาอีกครั้ง ในขณะที่กำลังก้าวลงบันไดมายังชั้นล่าง


    เธอหมุนตัวเดินตามเข้าไปในห้องนั่งเล่น พยายามเพ่งมองผ่านความมืดสลัวภายในห้อง


    เงาอันเลือนลางของร่างสูงกำลังเดินเคลื่อนไหวอยู่อีกทางด้านหนึ่งของตัวห้อง เธอเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ปลายเท้าอันเปลือยเปล่าเหยียบสัมผัสอะไรบางอย่างที่เย็นเชียบ หญิงสาวก้มชำเลืองมองปลายเท้าตนเอง ก่อนจะพบว่ามันคือแอ่งน้ำบนผืนไม้กระดานที่อีกฝ่ายเหยียบเดินไปเป็นทาง ความเย็นชื้นที่ได้รับนั่นทำให้เธอเผลอสะดุ้งเล็กน้อย หากแต่ร่างสูงตรงหน้าไม่ได้แม้แต่หยุดหันมองมาทางเธอ นอกจากเดินหายเข้าไปในห้องครัวอย่างเงียบเชียบ


    เขาตากฝนตลอดทางที่กลับมานี่เลยหรือ --


    “โจนาห์” เธอเรียกเขาอีกครั้ง ขณะเดินตามเขาไป หูแว่วได้ยินเสียงเข้าเปิดลิ้นชัก และควานหาอะไรบางอย่าง


    เอวา” คราวนี้เขาขานรับกลับมา


    และการขานตอบนั่นทำให้เธอหยุดชะงักไป -- เขาคือโจนาห์จริงๆ


    เสียงทุ้มของโจนาห์ที่เรียกชื่อเธอนั้น ทำให้เธอรู้สึกราวกับกำลังเผชิญเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่สำคัญยิ่ง --


    “เอวา” โจนาห์เรียกเธออีกครั้ง


    เอวาหยุดยืนอยู่ที่บานประตูครัว ยืนมองเขาคว้าหม้อใบเก่ามาตั้งเตา และควานหาไม้ขีดในเสื้อคลุมออกมาจุดเตาต้มน้ำ -- จนเมื่อน้ำเดือด เขาก็เทสมุนไพรในถุงผ้าลงไปจนหมด -- กลิ่นของมันโชยไปทั่วทั้งห้อง มันทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา ราวกับว่ามันเคยจรดอยู่ที่ริมฝีปาก และปลายจมูกของเธอมาก่อน -- โจนาห์เทยาสมุนไพรนั่นลงในแก้วใบหนึ่ง แล้ววางแก้วยานั้นลงบนโต๊ะ


    โจนาห์นั่งลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตัวเก่า ถอดหมวกวางลงบนโต๊ะ และบอกเธอว่า “ดื่มยานี่สิ” เขาพยักเพยิดไปทางแก้วยาบนโต๊ะ “นี่จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น”


    เอวานิ่งไปนาน ใบหน้าที่จ้องมองชายหนุ่มนั้นดูนิ่งสงบ และแปลกตาไป จนโจนาห์สังเกตเห็นได้

    “คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง” เขาถาม น้ำเสียงฟังดูไม่แน่ใจในบางอย่าง


    เอวาเดินเข้ามาในครัว นั่งลงตรงข้ามเขา สูดดมกลิ่นสมุนไพรตรงหน้า ก่อนจะดื่มมันจนหมดแก้ว ไม่แยแสว่าความร้อนจะทำให้ปากของเธอแสบร้อนมากเพียงใด


    “คุณยังเจ็บท้องอยู่ไหม” เขาถาม


    เอวาไม่ตอบ


    “คุณเจ็บข้อเท้ามากไหม”


    เอวายังคงไม่ตอบ


    ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง จนในที่สุดโจนาห์ได้พูดทำลายความเงียบขึ้นมาว่า “ผมรู้ว่าคุณเจ็บ” เขาเอ่ยออกมา “ผมเสียใจกับเรื่องเมื่อตอนค่ำ -- ผมไม่ตั้งใจจะทำร้ายคุณ”


    เอวาเหลือบมองไปยังข้อเท้าของตนเองที่บวมเป่งอย่างน่ากลัว สองหูได้ยินเสียงเขาบอกว่าเขาไม่ตั้งใจที่จะมีปากเสียงกับเธอ หรือทำร้ายเธอรุนแรงแบบนั้น


    “ผมแค่ --” เขาพึมพัม “ตกใจที่คุณบอกว่าเจ็บท้อง ราวกับใกล้คลอด”


    ใช่ -- เอวานึกย้อนถึงเรื่องเมื่อตอนค่ำ -- เธอจับหน้าท้องตนเองโดยสัญชาตญาณ ​-- เธอแน่ใจว่าคืนนี้จะเป็นคืนที่เธอคลอดลูก


    “ผมเสียใจ” เสียงโจนาห์ดังขึ้นอีก “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณเจ็บ -- หรือทุบข้อเท้าของคุณแบบนั้น -- ตอนนั้นผมไม่เป็นตัวของตัวเอง”


    เอวาละสายตาจากข้อเท้าตนเองไปยังโจนาห์


    เขาไม่ได้เสียใจ -- เธอนึก ขณะพิจารณาไปตามใบหน้าที่สะอาดสะอ้านของเขา -- เขากำลังกลัวต่างหาก


    โจนาห์กำลังเคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะ ดวงตาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างครัว “ฝนตกหนักกว่าเดิม” เขารำพึง


    เอวากลั้นอาการไอจากอากาศเย็นชื้นภายในห้อง เธอเช็ดริมฝีปากตนเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองโจนาห์นิ่ง “ฉันรู้สึกไม่ดี” เธอกระซิบ “ฉันฝันถึงเรื่องที่ -- เจ็บปวดเหลือเกิน”


    โจนาห์ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง เรือนผมสีแดงเปียกชื้น เช่นเดียวกันกับเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ หากแต่คราวนี้เขาดูไม่สนใจที่จะดูแลตนให้ดูดีอย่างเช่นเคย -- ไม่แม้แต่เอ่ยปากสั่งให้เธอหาผ้าเช็ดหน้ามาสักผืน


    “ฉันฝันถึงเรื่องที่น่าเศร้า” เอวาพูดต่อไป “ฉันฝันถึงคนที่ฉันจะไม่มีโอกาสได้พบเจออีกต่อไปแล้ว”

    โจนาห์ไม่ตอบ


    “ด้านข้างใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็นอันน่ากลัว” เอวาพูดเสียงแผ่วเบา ขณะจ้องมองไปตามด้านข้างใบหน้าอันเย็นชานั้น “คุณจะไม่ถามฉันหน่อยหรือ ว่ามันเป็นความฝันเกี่ยวกับอะไร โจนาห์ --”


    “คุณดื่มยาสมุนไพรนั่นหมดแล้วใช่ไหม” เขาย้อนถามมาโดยไม่เหลือบมามองเธอ


    เอวาเหลือบมองแก้วยาบนโต๊ะ ก่อนจะพูดออกมาว่า “คุณจำความฝันที่ฉันเล่าให้คุณฟังเมื่อเช้าได้ไหม”


    โจนาห์ยังคงนั่งนิ่งเช่นเดิม หากแต่แวบหนึ่งเอวาสังเกตเห็นถึงลมหายใจที่ถอนออกมาอย่างหนักหน่วงได้


    เอวาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง เฝ้ามองสายฝนที่ยังคงตกกระหน่ำ ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของโจนาห์พูดขึ้นมาว่า “ผมไม่อยากได้ยินเรื่องนั้น” เขาว่า


    เอวาพยักหน้า หากแต่แทนที่จะนิ่งเงียบ ริมฝีปากของเธอกลับเปล่งเสียงออกมาว่า


    “ฉันคิดว่ามันเป็นความฝันเหมือนที่ฉันเคยเห็นครั้งก่อนๆ” เอวาเอ่ยออกมา “ฉันเคยคิดว่ามันเป็นความตายของคนอื่นๆ -- เหมือนกับตอนที่ฉันเห็นนักบวชที่หัวใจวาย เด็กน้อยที่ตายจากโรคร้าย และหญิงสาวที่เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน -- ฉันคิดว่าครั้งนี้ก็เป็นแบบนั้นเช่นเดียวกัน --” เอวาสูดลมหายใจเข้าลึก “เพียงแต่ครั้งนี้มันกลับทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวด และรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ -- ฉันสัมผัสทุกความรู้สึกในฝันนั้นได้ ราวกับมันเกิดขึ้นจริงก็ไม่ปาน”


    เอวากระชับผ้าคลุมแน่น ขณะจ้องมองใบหน้าที่นิ่งเฉยของอีกฝ่าย


    “ฉันรู้สึกได้ถึงความโกรธ ฉันรู้สึกเจ็บปวด และอ่อนแอเกินกว่าจะวิ่งหนีไปไหนได้ --” น้ำเสียงของเอวาดังขึ้นเล็กน้อย “ไร้เรี่ยวแรงต่อต้านและขัดขืน -- ไปไหนไม่ได้นอกจากถูกขังลืมอยู่ที่นี่ ในบ้านหลังนี้ -- กับคุณ โจนาห์”


    ปลายนิ้วที่เคาะลงบนโต๊ะของโจนาห์ชะงักค้างกลางอากาศ ใบหน้าที่มองออกไปนอกหน้าต่างนั้น หันมาสบตามองเธอในที่สุด “ทำไมคุณพูดแบบนั้น” เขาถามเสียงต่ำ


    เอวากลับย้อนถามไปว่า “ทำไมคุณถึงทุบข้อเท้าฉันเมื่อตอนค่ำ”


    หากแต่โจนาห์ไม่ตอบอะไรกลับมา นอกจากเม้มริมฝีปากแน่น


    เอวาลุกขึ้นยืนในจังหวะนั้น ค่อยๆก้าวออกมาจากเก้าอี้ ผ้าคลุมเลื่อนหลุดออก -- เผยให้เห็นเลือดสีแดงฉานที่ไหลอาบไปทั่วชายกระโปรง และท่อนขาของเธอ


    โจนาห์ตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น เขาสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเธอพูดต่อไป


    “ฉันรู้ว่าสมุนไพรนั่นจะทำให้ฉันเสียลูกไป” เธอบอกเขา “ฉันรู้ว่าคุณพยายามจะฆ่าลูกในท้องของฉัน” เธอยกมือที่เปื้อนเลือดวางบนหน้าท้องของตนที่เคยนูนเด่น หากแต่บัดนี้กลับแบนราบ ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายเดือนนั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน! “แต่คุณจะให้ฉันเสียเขาไปได้อย่างไรกัน โจนาห์ หากฉันไม่มีเด็กในท้องอีกต่อไปแล้ว”


    “เอวา --” เขาพูดขึ้นเป็นคำแรก หลังจากเงียบไปนาน “เป็นไปไม่ได้”


    “เขามาหาฉัน” เอวาบอกโจนาห์ “ฉันฝันเห็นเขา”


    โจนาห์ไม่ได้ถามเธอว่าใครคือชายในฝันของเธอ หากแต่แววตาที่มองมานั้นกลับรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เธอบอก


    “ฉันฝันเห็นลูกของเรา ฉันฝันเห็นเมิฟ” เอวาพยายามควบคุมเสียงตนเองให้ไม่สั่น “และเขายอมเสียสละตนเองเพื่อฉัน -- เพื่อที่จะให้ตาชั่งนั้นเท่าเทียม -- เพื่อที่จะให้การแลกเปลี่ยนนั้นยุติธรรม”


    ถึงตรงนี้เขาดูไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด “คุณพูดเรื่องอะไรกัน” เขาขมวดคิ้ว เสยเรือนผมสีแดงเพลิงไปให้พ้นหน้า “เสียสละอะไร ตาชั่งอะไร -- ความยุติธรรมอะไรกัน”


    “คืนนี้จะเป็นคืนที่ฉันคลอดเขา -- และเขาจะรอดจากยาพิษของคุณอย่างปาฏิหาริย์ แต่ไม่ใช่กับฉัน --” เอวาว่า ดวงตาจับจ้องไปยังอีกฝ่าย “คืนนี้จะเป็นคืนที่เขาถือกำเนิดขึ้น แต่ฉันจะตายจากไป -- ชีวิตหนึ่งเกิด และอีกชีวิตหนึ่งดับ มันควรจะเป็นแบบนั้นในคืนนี้ -- แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เพราะการแลกเปลี่ยนที่เขาทำเพื่อฉัน”


    โจนาห์มองเธอราวกับเธอได้เสียสติไปแล้ว


    “ไม่มีใครมีสิทธิ์ไปเปลี่ยนชะตาชีวิตใครได้ ทุกสิ่งอย่างอาจจะแตกดับสูญสลายไปในท้ายที่สุด หากแต่มันก็มีเหตุผลในการมีอยู่ของมัน โจนาห์ และใครก็ตามที่เปลี่ยนแปลงการมีอยู่นั้น ต้องแลกเปลี่ยนกลับไปอย่างเท่าเทียม” เอวาพูดรัวเร็ว เสียงทุ้มต่ำในความฝันยังคงดังก้องกังวานขึ้นในหัวของเธอ


    สองด้านของตาชั่งที่เท่าเทียม


    “ฉันพรากชีวิตของเด็กหญิงคนนั้นไป” เอวาจ้องมองโจนาห์นิ่ง “คืนนี้มันควรเป็นฉัน ที่ชดใช้บาปนี้ด้วยความตาย”


    โจนาห์มองเธออยู่นาน ก่อนจะถามเธอออกมาว่า “เด็กคนไหน”


    เสียงฝนตกหนักดังขึ้นมาจากทางด้านนอก ราวกับมีพายุเข้า -- เอวาจ้องมองโจนาห์ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเพิ่งได้ยิน “เด็กคนไหนงั้นหรือ” เธอย้อนถามเสียงเบาหวิว


    “มีเด็กหลายคนที่คุณฝันเห็น เอวา” โจนาห์กระซิบ “คำถามของผมคือคุณหมายถึงคนไหนกัน”


    เอวานิ่งมองเขาอยู่อึดใจหนึ่ง มองไปตามใบหน้าอันแข็งกระด้าง และดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นเงียบๆ ก่อนจะตอบออกมาสั้นๆว่า “คนที่ตายเพราะฉัน” เธอว่า “ไม่ใช่เพราะคุณ --”


    โจนาห์ดูฉุนเฉียวขึ้นมากับคำพูดนั้น แววตาที่มองมาดูดุร้ายขึ้นมาชั่วขณะ “ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน” เขาย้อนเสียงต่ำ “ผมมีเหตุผลที่ทำให้พวกเขาหลายคนตายไปเสีย -- เพื่อส่วนรวม” เขาหยุดเล็กน้อย ปรับน้ำเสียงตนเองให้กลับมาราบเรียบดั่งเดิม “มันเป็นหน้าที่ผมที่ต้องจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง -- เพื่อความอยู่รอดของคนส่วนใหญ่ -- คุณคงไม่รู้ และจะไม่มีวันรู้ว่ามันหนักหนาเพียงใด เอวา -- คุณไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่ผมตัดสินใจฆ่าพวกเขาไปได้”


    “มันไม่ใช่คุณ ที่จะมีอำนาจไปตัดสินชะตาชีวิตใคร โจนาห์ เหมือนกับที่ฉันไม่มีสิทธิ์ในเด็กหญิงชุดแดงคนนั้น” เอวาย้อนกลับ “คุณไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันพยายามบอกคุณอยู่อีกหรือ มันไม่ใช่คุณ ที่มีสิทธิ์เข้าไปเปลี่ยนแปลงชีวิตใครได้ ไม่ว่าจะเป็นใครในเมืองที่บูชาคุณ จะเป็นฉัน หรือจะเป็นลูกของเรา!” เธอก้าวเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้น หากแต่โจนาห์ลุกขึ้นยืน ถอยหนีในทันที


    วินาทีถัดมาที่เขารู้ตัวว่าแสดงอาการอะไรออกไปนั้น ทำให้เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “นั่นไม่ใช่ลูกผม” เขาบอก “ต้องไม่ใช่ลูกผม ต้องไม่ใช่ลูกของเรา เอวา”


    เอวาไม่ได้ตอบอะไรออกมา นอกจากจ้องมองเขานิ่ง


    “ต้องไม่ใช่เด็กที่เกิดจากผม เข้าใจไหม” โจนาห์ว่า “ตอบผมสิ ว่าคุณเข้าใจ”


    ทว่าเอวายังคงนิ่งเงียบ


    ให้ตายเถอะ เอวา ตอบผมมา ว่าคุณเข้าใจ!” โจนาห์โพล่งออกมาเสียงดังลั่น “บอกผมมาว่าคุณจะไม่ให้ใครรู้ว่าเขาเป็นลูกใคร!


    วินาทีนั้นเอวาเข้าใจชายตรงหน้าอย่างทะลุปรุโปร่ง ราวกับมองเห็นทุกอย่างชัดเจนไปจนถึงจิตวิญญาณของเขา


    เอวาส่ายหน้า “อย่ากังวลไปเลย ว่าใครจะรู้เรื่องของเรา -- รู้ว่าฉันตั้งท้องกับคุณ -- โจนาห์ ผู้นำสาสน์มาจากเบื้องบน” เธอกระซิบ “ฉันไม่มีวันยอมให้เขาเป็นลูกของคุณแน่ โจนาห์ -- ไม่อย่างแน่นอน”

    “เอวา --”


    “คุณไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกผู้ชายมากแค่ไหน” เอวาพูดต่อไป น้ำเสียงอันแผ่วเบาฟังดูต่ำจนน่ากลัว “คุณไม่รู้ว่าเขาแข็งแกร่ง กล้าหาญ และอ่อนโยนมากแค่ไหน ในการเสียสละครั้งสุดท้ายของเขา -- ในสิ่งที่เขาทำเพื่อฉัน!”


    ถึงตรงนี้ดวงตาของเธอก็รื้นไปด้วยน้ำตา


    “เขายอมไม่มีตัวตนถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อให้ฉันไม่ต้องตายในคืนนี้ --” เอวาจ้องมองโจนาห์ทั้งน้ำตา “เขายอมเสียสละทั้งหมดนั้น แค่เพื่อให้ฉันมีชีวิตรอดจากคืนนี้ไป  -- รอดจากยาพิษของคุณ -- รอดจากคุณ โจนาห์ --”


    เอวายกมือกุบขมับตนเองเล็กน้อย ขณะที่ค่อยๆเปล่งเสียงออกมา “เขาพร่ำบอกให้ฉันไปจากคุณเสีย -- พร่ำบอกให้ฉันยอมรับในสิ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับคุณ”


    พลันแสงสว่างจากฟ้าแลบก็เล็ดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ส่องกระทบเข้ากับใบหน้าของโจนาห์ที่กำลังมองเธอมาอย่างน่ากลัว


    “ไปจากผมหรือ” โจนาห์เอ่ยออกมา กวาดตามองไปตามร่างเธอที่เปื้อนเลือดไปทั่ว “คุณพูดจาวกไปวนมา และดูบ้าบอสิ้นดี -- ดูสภาพคุณสิ -- คุณในตอนนี้ดูเหมือนคนบ้าไม่มีผิด!”


    “ฉันไม่ได้บ้า” เอวาย้อนเสียงเบาหวิว “ฉันรู้ว่าฉันเห็นอะไร -- และฉันรู้ว่าคุณคือใคร โจนาห์ เราต่างรู้ความจริงในข้อดี จริงไหม”


    ประโยคที่คล้ายจะเป็นคำเตือนอยู่ในทีนั่น ทำให้โจนาห์จ้องมองเธอด้วยแววตาดุร้าย “คุณรู้มากเกินไป” โจนาห์กระซิบ “นี่คุณขู่ผมหรือ”


    เอวามองเขาทั้งน้ำตา “เมื่อตอนค่ำนี้ คุณทำร้ายฉันทำไม” เธอถามอีกครั้ง “คุณทุบข้อเท้าฉันทำไม”


    โจนาห์ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน


    “คุณบอกว่าคุณเสียใจ แต่เราต่างรู้ดีว่าทำไมคุณถึงกล้าทำกับฉันขนาดนี้” เอวามองข้อเท้าที่บวมเป่งของตนเอง “คุณกลัวว่าฉันอาจจะไปจากคุณ -- หนีไปจากคุณในทันทีที่คลอดลูก --”


    เอวาหวนนึกถึงใบหน้าอันเย็นชา และแข็งกระด้างที่หันมองมาก่อนหน้า


    “คุณรู้ว่าคืนนี้อาจเป็นคืนสุดท้ายที่ฉันยังอยู่ที่นี่กับคุณ และคุณไม่อยากเสี่ยงให้ฉันหนีคุณไป” เอวาว่าต่อไป “คุณอยากจะแน่ใจ ว่าฉันจะไม่สามารถหนีไปไหนได้ จริงไหม”


    โจนาห์ยังคงจ้องมองเธอนิ่ง “อะไรทำให้ผมต้องการคุณขนาดนั้น เอวา” เขาย้อนถาม “อะไรทำให้คุณประเมินตัวสูงขนาดนั้น”


    เอวานิ่งไปครู่หนึ่ง


    “เพราะคุณต้องการสิ่งที่ฉันฝันเห็น  -- เพราะฉันรู้ว่าตัวจริงของคุณเป็นอย่างไร” เธอพูดเสียงเบาหวิว “ฉันรู้ว่ามันไม่เคยมีโจนาห์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ อย่างที่หลายคนเชื่อ”


    โจนาห์ยิ้มออกมาที่มุมปาก “เอวา”​ เขาส่ายหน้า “คุณก็รู้ว่าผมไม่มีวันทำร้ายคุณ --”


    เอวาหวนนึกถึงภาพเมื่อตอนค่ำที่ทำร้ายเธออย่างรุนแรง


    “คุณถึงทำร้ายฉันเมื่อตอนค่ำ คุณทุบข้อเท้าฉัน -- คุณทุบข้อเท้าฉันเมื่อตอนค่ำเสียเต็มแรง โจนาห์! คุณทำร้ายฉันจนแน่ใจว่าฉันจะไม่มีเรี่ยวแรงหนีจากคุณไปได้ในคืนนี้ คุณทำร้ายฉันจนหมดสติ!!”


    “หยุดพูดเสีย เอวา --” โจนาห์เขม็งมองเธอ “ผมรู้สึกผิดในสิ่งที่ผมทำกับคุณลงไปเมื่อตอนค่ำ ผมขอโทษคุณแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ผมหรือไง ที่อุ้มคุณไปนอนพักบนเตียงของเรา!”


    เอวาเขม็งมองเขากลับ “เตียงที่เรามีลูกด้วยกันน่ะหรือ --”


    “เขาไม่ใช่ลูกผม” โจนาห์สวนทันควัน “ผมคือโจนาห์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำสาส์นมาจากเบื้องบน เอวา -- ผมจะมีลูกกับคุณไม่ได้ ผมมีลูกกับหญิงที่ถูกคนทั้งเมืองเรียกว่าหญิงปิศาจไม่ได้ ผมจะมีลูกกับใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่คุณ!”


    เอวาฟังเขานิ่ง ก่อนจะส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนแรง


    “ที่ผ่านมา ฉันรู้มาตลอดว่าจิตใจของคุณมันด้านชาแค่ไหน แต่ฉันไม่นึกว่ามันจะร้ายกาจถึงปานนี้ หลายต่อหลายปีที่ฉันหลับตาไม่ยอมรับความจริงที่เห็น! และตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา --” เธอเผลอยกมือวางบนหน้าท้องตนเอง “--ที่ฉันไม่กล้ายอมรับ สิ่งที่คุณเป็น เพราะกลัวว่าฉันจะปกป้องลูกในท้องไม่ได้ หากฉันไปจากคุณ!” 


    “ฟังสิ่งที่คุณพูด เอวา นี่คุณลากผมมาเถียงอะไรกับคุณอยู่!” โจนาห์ว่า ผายมือออก ราวกับเพิ่งได้ยินอะไรที่โง่เง่าที่สุดในชีวิต


    “บางครั้งคุณก็ฝันเห็นอะไรๆมากเกินไป จนคุณแยกไม่ออกระหว่างความฝันกับความจริง” เขาเค้นเสียงหัวเราะออกมา “กี่ครั้งที่คุณตื่นเช้าขึ้นมา แล้วสับสนเกินกว่าจะรู้ได้ว่านี่เป็นความฝัน หรือชีวิตจริง -- กี่ครั้งแล้วที่คุณตื่นขึ้นมาด้วยสติอันเลือนลาง! กี่ครั้งแล้วที่คุณลืมตาตื่นขึ้นมาเรียกหาผม แล้วระบายสิ่งอันน่ากลัวที่คุณฝันเห็นออกมาให้ผมฟัง ทั้งความตาย และโรคระบาดทั้งหลายนั่น แค่เพราะให้ตัวเองไม่สติแตกไปเสียก่อน!” โจนาห์ส่ายหน้าไปมา


    “คราวนี้คุณบอกว่าผมพยายามทำให้คุณถูกขังอยู่ในบ้านหลังนี้ ผมตั้งใจกักขังไม่ให้คุณหนีไปไหนได้ และผมตั้งใจจะหลอกให้คุณกินสมุนไพรนี่เพื่อฆ่าลูกในท้องคุณ -- และนี่คุณกำลังจะบอกอีกหรือ ว่าผมต้องการจะทำร้ายคุณแบบในฝันนั่น -- ฝันที่คุณบอกผมทั้งน้ำตาเมื่อตอนเช้านั่น!  คุณกำลังจะบอกผมว่า ผมคิดที่จะทำร้ายคุณขนาดนั้น และผมต้องการที่จะแทงคุณให้ตาย แค่เพราะว่าเมื่อตอนค่ำนี้ผมเผลอพลั้งมือทำร้าย และทุบข้อเท้าคุณไปน่ะหรือ -- หากที่คุณพูดเป็นความจริง ผมนี่น่ะหรือ--” เขาหรี่ตามองเธอ “หากที่คุณพูดเป็นความจริง -- ผมจะตามแทงคุณไปทำไม ในเมื่อที่ผ่านมาผมดูแลคุณ ปกป้องคุณจากทุกคนในเมืองนั่น เอวา ผมให้ที่หลบซ่อนคุณแก่บรรดาผู้คนที่เคยไล่ล่า อยากจะเผาคุณทั้งเป็น!”


    เอวานิ่งฟังเขาจนจบ ดวงตาจับจ้องไปยังสีหน้าอันเคร่งเครียดของอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ


    ภาพฝ่ามือที่ทุบสันกรามเธอ เหวี่ยงเธอกระแทกผนัง และแทงเข้าที่หน้าท้องของเธอนั้นฉายชัดขึ้นมาในใจ --


    เสียงฟ้าผ่าดังลั่นขึ้นมาจากทางด้านนอก จนบานหน้าต่างสั่นสะเทือนอย่างน่ากลัว


    “ความฝันที่ฉันบอกคุณเมื่อเช้า มันกำลังจะเกิดขึ้นในตอนนี้ โจนาห์ --” เอวากระซิบ “ตอนที่คุณรู้ว่าฉันรับรู้แล้ว ว่าคุณสามารถทำร้ายฉันได้มากเพียงใด -- และรู้ว่าคุณพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อตัวเองมากแค่ไหน”


    คราวนี้โจนาห์ไม่พูดอะไรออกมา


    “ฉันอยากจะไม่รับรู้ว่ามือคุณเปื้อนเลือดของผู้บริสุทธิ์ไปมากเพียงใด เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คุณปรารถนา -- ฉันอยากจะเชื่ออย่างที่พยายามเชื่อมาตลอด ว่าฉันจำต้องมีคุณ ถึงจะอยู่รอด และมีชีวิตต่อไปได้” เอวาส่ายหน้า “แต่นั่นมันก่อนที่ฉันจะรู้ว่าคุณตั้งใจจะฆ่าลูกฉันทิ้ง โจนาห์ -- นั่นคือสิ่งที่ฉันยอมไม่ได้ และแสร้งทำเป็นไม่เห็นไม่ได้อีกต่อไป”


    “คุณแค่ฝันไป” โจนาห์ตอบกลับเสียงเย็น ชี้นิ้วมาทางเธอ “คุณแค่ฝันไปเท่านั้น เอวา--”


    ดวงตาของเอวาหลุบมองฝ่ามือของอีกฝ่าย “เขาสวมแหวนวงนั้นของคุณ โจนาห์” เธอพูดออกมา “แหวนนิ้วก้อยของคุณสวมพอดีบนนิ้วของเขา ราวกับมันเป็นนิ้วของคุณเองทีเดียว -- เขาเหมือนคุณมากกว่าที่คุณจะนึกได้ โจนาห์ -- เขามีเรือนผมสีแดงเจิดจ้า และมีรอยยิ้มที่มุมปากนั่น --” น้ำเสียงของเธอขาดห้วงไปชั่วขณะ ก่อนจะเปล่งออกมาอีกครั้งว่า “แต่เขากลับมีดวงตาสีเขียวเหมือนกับฉัน”


    ดวงตาสีน้ำตาลของโจนาห์จ้องมองเธอราวกับว่าเธอเสียสติไปแล้ว “คุณว่าอะไรนะ” เขาโพล่งออกมาดังลั่น


    “เขาได้ทุกอย่างจากคุณ ยกเว้นหัวใจดวงนั้น” เอวาย้ำ “เขาได้ทุกอย่างจากคุณ ยกเว้นหัวใจที่ด้านชา และอำมหิตดวงนั้น คุณโกนหนวดเคราอยู่เสมอเพื่อให้ตนเองดูดีในสายตาคนอื่นๆ พยายามวางท่าให้น่าเชื่อถือเพื่อที่จะได้เป็นนักบุญโจนาห์ ที่ได้รับแรงศรัทธา และการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆจากทุกคนในเมืองนั่น แต่จิตใจคุณมันกลับดำมืดจนไม่มีแสงสว่างใดส่องลงไปถึงได้ คุณไม่มีอะไรเหมือนเขาเลย และเขาก็เป็นลูกผู้ชายมากกว่าคุณหลายเท่านัก โจนาห์ เขากล้าปกป้องคนที่เขารัก -- เขากล้าที่จะรักฉัน!!!


    หุบปาก นังตัวดี!!!” โจนาห์ตะโกนสบถลั่น “กล้าดีอย่างไรมาพูดจากับผมแบบนี้!” วูบนั้นเขาดูราวกับบ้าคลั่ง และเสียสติไปชั่วขณะ ร่างสูงก้าวมาประชิดร่างเธอ มือข้างหนึ่งเงื้อมขึ้นสูง


    ทว่าเอวาไม่ได้ถอยหนี หรือก้มหน้าหลบเขา --


    เธอยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น และจ้องมองเขา -- ไม่ขยับหนีแม้สักก้าว


    “ความฝันที่ฉันเล่าให้คุณฟังเมื่อเช้า --” เอวากระซิบ ขณะจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลเข้มตรงหน้า“มันจะเกิดขึ้นในตอนนี้ โจนาห์ ตอนที่คุณอยากจะหยิบมีดด้ามนั้นมาไว้ในมือ” เธอพยักเพยิดไปทางลิ้นชักข้างๆ  “ความตายของฉันเกิดขึ้นแล้วในหัวของคุณตอนนี้ คุณนึกอยากจะกระชากผมฉัน เหวี่ยงฉันเข้ากับกำแพง ทุบสันกรามของฉันด้วยกำปั้น ไล่ล่าฉันจนหมดสภาพ แล้วแทงฉันให้ตายคามือ -- และนั่นคือที่ๆชายชุดดำเคยพยายามเอาชีวิตฉันไป -- บนพื้นห้องนั่งเล่นอันเย็นชื้นนั่น”


    ใบหน้าของโจนาห์แดงก่ำ และสั่นระริก ราวกับอดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาถึงขีดสุด ดวงตาที่จ้องมองเธอนั้นเบิกกว้าง เสียงหอบหายใจดังออกมาอย่างหนักหน่วง ราวกับสัตว์ร้ายภายในร่างเขากำลังบ้าคลั่งจนแทบจะฉีกกระชากร่างเขาออกเป็นเสี่ยงๆได้ หากเขาไม่ได้ลงมือทำในสิ่งที่คิด


    “คุณรู้ว่าฉันพูดถูก” เอวาพยักหน้า “แต่ฉันตัดสินใจว่าฉันจะไม่ให้มันเป็นแบบนั้น ฉันจะไม่ให้คุณแตะต้องฉัน หรือฆ่าฉันในคืนนี้ -- หรือในคืนถัดๆไป โจนาห์”


    เธอจะไม่ยอมตาย เพราะคนแบบโจนาห์  ในเมื่อเธอรอดพ้นจากชายชุดดำมาแล้ว


    เอวาถอยห่างจากร่างสูงตรงหน้า หากแต่ฝ่าเท้าที่ขยับนั้นไม่ได้อ่อนแรง หรือสั่นระริก -- มันอาจจะเซเล็กน้อยจากอาการบาดเจ็บ แต่นั่นคือฝ่าเท้าที่ยืนหยัดแข็งแกร่งได้เป็นครั้งแรกไม่ผิดแน่


    “และครั้งหนึ่ง ฉันเคยฝันเห็นคุณ โจนาห์ และนั่นคือความฝันที่ฉันยังไม่บอกให้คุณรู้”


    โจนาห์จ้องมองเธอด้วยดวงตาแดงก่ำ แรงโทสะวูบหายไป ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวอย่างชัดเจน “ฝันอะไร” เขากระซิบ ก่อนจะเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ “คุณฝันเห็นอะไรเกี่ยวกับผม”


    เอวายกมือจับขอบประตูครัวไว้แน่น ขณะมองร่างของอีกฝ่าย -- “เขาจะมาหาคุณที่นี่ ในบ้านร้างหลังนี้” เธอตัดสินใจบอกกับเขาเพียงแค่นั้น -- เมื่อเห็นภาพของชายชุดดำ ผู้มาพร้อมกับเสียงดังคล้ายโลหะเสียดสีกัน “ไม่มีใครปกป้องคุณได้อีกแล้ว -- นับจากนี้ไป คุณเหลือแค่ตัวคุณเองเท่านั้น --”


    “เอวา” โจนาห์ร้องเรียกเธอ ในทันทีที่เธอเดินหายไปจากขอบประตูครัว “เอวา!”


    ทว่าเอวากลับรู้สึกว่าเสียงนั้นดังมาจากสักแห่งที่อยู่ไกลเกินกว่าที่หูของเธอจะได้ยิน หรือจับใจความได้

    เอวาหมุนตัวเดินมายังประตูบ้าน แล้วเปิดมันออก -- รู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่ามันไม่ได้ลั่นกลอนไว้อีกต่อไป ดั่งเช่นที่เป็นมาตลอดหลายปี -- 


    เธอค่อยๆก้าวเท้าเดินออกไปสู่ความมืด สัมผัสได้ถึงสายฝนที่ตกลงหนัก และสายลมที่โบกพัดกระทบร่างเธออย่างรุนแรง  เธอรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เมื่อสำนึกได้ว่าตนไม่ได้สัมผัสความเย็นของเม็ดฝน หรือความหนาวของสายลมมานานแสนนานแล้ว


    ปลายเท้าของเธอค่อยๆก้าวเดินต่อไปอีกก้าว  -- อีกก้าว -- และอีกก้าว 


    รู้ตัวอีกครั้ง เธอก็พบว่าตนกำลังออกวิ่งสุดฝีเท้า และบ้านที่เธอจากมาหลังนั้นก็หายไปท่ามกลางความมืดเสียแล้ว


    สำนึกนั้นทำให้เธอสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด ราวกับมันเป็นลมหายใจแรก หลังจากที่ไม่ได้หายใจมาเนิ่นนาน  เธอเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นท่ามกลางสายฝน และสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจเต้นอันรุนแรงในอกของตนเอง


    พลันแสงฟ้าแลบก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง -- แล้วเธอก็เห็นร่างสูงร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น -- ตรงที่ไกลออกไปตรงเบื้องล่างของเนินเขาแห่งนี้


    ร่างของเมิฟกำลังยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก -- ใบหน้าแหงนเงยมองเธอมาจากด้านล่าง และสองมือล้วงกระเป๋า ราวกับเฝ้ารอเธออยู่นานแล้ว


    แล้วแสงสว่างก็หายไปพร้อมกับร่างของเขา -- เอวาหยุดฝีเท้าลง เมื่อวิ่งมาจนสุดเนินเขา -- เธอชะเง้อมองลงไปเบื้องล่าง ก้มลงมองเข้าไปในความมืดสลัว ไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรง


    เสียงสายฟ้าฟาดดังลั่น ในตอนที่เธอมองเห็นอะไรบางอย่างเบื้องล่าง ในตำแหน่งเดียวกันกับที่เธอเห็นเมิฟยืนก่อนหน้า


    มันคือเรือเล็กลำหนึ่ง --


    เอวาไต่ลงมาจากเนินเขา ไม่สนใจว่าเนื้อตัวจะเปรอะเปื้อนโคลนมากเพียงใด และก้อนหินจะบาดไปตามผิวเธอมากแค่ไหน -- ทั้งหมดที่เธอสนใจนั้น มีเพียงการไปที่เรือเล็กลำนั้นเท่านั้น


    ในที่สุดเธอก็พายเรือออกมาจากชายฝั่ง ตรงเข้าสู่ความเวิ้งว้างของท้องทะเลอันดำมืด และเต็มไปด้วยคลื่นที่พัดโหมกระหน่ำจากพายุ


    กระนั้นแล้วเธอกลับไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด --


    เอวาคว้าขอบเรือไว้แน่น ในตอนที่คลื่นทะเลโถมซัดเข้าใส่เรือเล็กของเธอ -- เธอเงยหน้ามองไปยังชายฝั่งที่เธอจากมา -- มองเนินเขาที่ถูกซ่อนตัวอยู่ด้านบน และมองเมืองเล็กๆที่อยู่ไกลออกไปจากเนินเขานั่น


    เธอนึกประหลาดใจ เมื่อพบว่าเมืองแห่งนั้นช่างเล็กกระจ้อยร่อยเพียงใด โดยเฉพาะบ้านเล็กหลังนั้น!


    เธอจากที่นั่นมาแล้ว -- เธอบอกตนเอง


    แล้วภาพทุกอย่างก็ดับวูบไป เมื่อคลื่นยักษ์โถมเข้าใส่เธอ


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in