“เขาเป็นมิตรกับลูกค้ามาก เป็นบาร์เทนเดอร์ที่มีความรู้ มีความแปลกใหม่ เฟอร์เฟ็คมาก”
“เหมือนเดินเข้ามาในหนังของ ออเดรย์ โตตู (นักแสดงหญิงชาวฝรั่งเศส) เลย”
“ด้วยมายากลอันน่าทึ่งของนักมายากลผู้เก่งกาจ ทำให้บรรยากาศของบาร์แห่งนี้มีแต่ความสนุก แต่ถ้าคุณอยากแวะมานั่งดื่มเงียบ ๆ บรรยากาศสงบ และแสงไฟสลัวในร้านก็ช่วยให้ค่ำคืนของคุณผ่อนคลายขึ้นได้"
แด่ คอลิน ฟาร์เรล
คุณคือที่สุด
บทที่ 2 น้ำอมฤต และ ปริศนา
"ถ้าหากคนทั้งโลกกลายเป็นศัตรูของคุณ แล้วตอนนั้นคุณเหลือคนเพียงคนเดียวที่คอยเป็นเพื่อน คุณคิดว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร" เมอซิเออร์คริสตอฟเอ่ยถามเอซราอย่างตรงไปตรงมา แม้ในน้ำเสียงจะค่อนไปในทางไม่จริงจังนัก
ชายหนุ่มอเมริกันครุ่นคิดถึงคำตอบครู่ใหญ่ว่าจะตอบเป็นเพื่อน คนในครอบครัว หรือกระทั่งตัวเองถึงจะตรงใจมากที่สุด กระนั้น กลับไม่มีตัวเลือกใดเข้าท่าพอจะสนทนาตอบบาร์เทนเดอร์ชาวฝรั่งเศสได้ ความเงียบจึงเป็นทางออก และปัญหาก็ไม่แคล้วคลี่คลายจากเจ้าของคำถามนั่นเอง
"บาร์เทนเดอร์ไงล่ะ...บาร์เทนเดอร์ไม่มีทางทรยศลูกค้าที่อยู่ต่อหน้าเคาน์เตอร์ได้หรอก"
"อย่างไรก็ตาม มีแค่บาร์เทนเดอร์ที่ถูกเลือกเท่านั้นที่จะสามารถปรุงแก้วสะท้อนตัวตนของลูกค้าได้"
"แก้วสะท้อนตัวตนอย่างนั้นหรือ"
"สิ่งนั้นสามารถช่วยเหลือจิตวิญญาณทื่แตกหัก จิตวิญญาณที่เจ็บปวดและโดดเดี่ยว แม้จะไม่มีเบาะแสอะไรเหลืออยู่เลย"
"มันยากที่จะปิดบังต่อหน้าบาร์เทนเดอร์อย่างนั้นสินะ สิ่งที่เมอซิเออร์ต้องการบอกผม...ไม่ว่ายังไงก็ตาม พวกเขาสามารถมองเห็นลูกค้าในทุกๆด้านได้อย่างแม่นยำใช่หรือไม่"
"ขอโทษที่ต้องพูดเช่นนั้น"
"ขอโทษเช่นกัน ที่ตัวผมดูออกง่ายเหลือเกิน"
"คุณเชื่อตำนานที่ผมเล่าหรือไม่"
บาร์เทนเดอร์เจ้าของหมวกทรงท็อปแฮทกล่าว นิ้วนางด้านขวาที่มีรองร่อยของตาปลาจากการเขย่าเชกเกอร์เลื่อนแก้ว "สโมกกี้ โอลด์-แฟชั่น" ตรงหน้านักเขียนหนุ่ม ค็อกเทลสำหรับสุภาพบุรุษมาดมั่นคล้ายหลุดมาจากนิตยาสารแฟชั่นชื่อดัง ทว่าคงไว้ซึ่งความลึกลับจากกลุ่มหมอกควันที่คอยอำพรางรอยแผลเหวอะหวะไร้ยารักษา บางที เมอซิเออร์คริสตอฟอาจจะหยั่งเชิงให้เขาหาแพทย์ผู้วินิจฉัยโรคได้ตรงจุดอยู่ก็เป็นได้
"ถ้าเรื่องที่คุณเล่าเป็นเรื่องจริง ผมเองก็อยากจะได้ลิ้มรสมันเหมือนกัน คริสตอฟ"
_____________________________________________________________________________________________________
คอลิน ฟาร์เรล บาร์เทนเดอร์หนุ่มชาวไอริชผู้มาพร้อมผมทรง The Rockabilly Undercut ตามสมัยนิยม หนุ่มใหญ่มากประสบการณ์ผู้เคยมีประวัติออกเดินทางทั่วโลกเพื่อจัดสัมมนาและแสดงฝีมือการผสมเครื่องดื่ม จนในปี 2011 เขาได้รับรางวัลสุดยอดบาร์เทนเดอร์ของอเมริกาจากเวทีดิอาจิโอเวิลด์คลาส กระทั่งมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขานมากมาย และในปีนี้เขายังได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 10 บาร์เทนเดอร์ที่ดีที่สุดของโลกประจำปี 2015 ในเทศกาล Tales of The Cocktails อีกด้วย
เอซราประทับใจคอลินจากบทสัมภาษณ์ในนิตยาสาร Imbibe Magazine ที่ตนมีโอกาสได้อ่านช่วงฆ่าเวลารอบรรณาธิการสำนักพิมพ์อยู่ในสตาร์บัคส์กับเครื่องดื่มรสเข้ม "มัคคิอาโต้ร้อน"
แน่นอน แอลกอฮอล์แก้วแรกของคอลินคือ เบียร์ – ด้วยสาเหตุหลักคือ ไอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีเครื่องดื่มประจำชาติเลื่องชื่ออย่าง เบียร์กินเนส ที่สร้างชื่อเสียงมากว่าสองร้อยห้าสิบเจ็ดปี อีกทั้งยังสร้างประวัติศาสตร์ความนิยมกว่าสี่สิบล้านประเทศทั่วโลก โดยมีผู้คนบริโภคเบียร์ชนิดนี้ประมาณสิบล้านแก้วต่อวัน – อันที่จริง อึกแรกที่ได้ลองมาจากเบียร์เอล หลังจากนัดฉลองชัยของสโมสรแชมร็อค โรเวอร์ ที่ลุงของเขายื่นขวดเบียร์ให้ลองดืิ่มร่วมแสดงความยินดี นับจากนั้น คอลินเก็บความสงสัยในรสชาติที่แตกต่างกันของมอลต์ที่ผสมผสานกับพืชฮอพมากกว่าหนึ่งชนิด รวมไปถึงค็อกเทล สปิริต เบียร์ และไวน์ พร้อมกับเปลี่ยนความสนใจที่ตนเคยคิดว่าจะเป็นนักฟุตบอลสโมสรเจริญรอยตามพ่อและลุง เป็นเข้าเรียนที่ European Bartender School ในกรุงดับลิน ก่อนจะเรียนจบในปีสุดท้าย เขาได้รับการทาบทามจาก Venues และ Clubs ระดับห้าดาวมากมาย แต่ด้วยความรักอิสระจึงเลือกที่จะท้าทายด้วยการลงแข่งขันเวทีระดับโลกเพื่อพิสูจน์ฝีมือตนเอง และเลือกลงหลักปักฐานที่นิวยอร์กเป็นที่สุดท้าย หลังจากชีวิตคู่ล้มเหลวถึงสองครั้งสองครา จึงเป็นเหตุให้ครองโสดมาถึงหกปี พร้อมสถานะคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวของลูกชายวัยสิบสามซึ่งเป็นโรค Angel's Man "เจมส์" และลูกชายวัยเจ็ดขวบ "เฮ็นรี่" ผลผลิตทั้งสองที่คอยเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านเขาเองและภรรยาเก่าที่แคลิฟอร์เนีย
"คอลิน คุณช่างเป็นคนที่ทำให้ผมแปลกใจได้อยู่เสมอจริงๆ"
เสียงแหบต่ำเปรยแผ่วขณะนั่งจิบเบียร์เย็นๆ ในบาร์แห่งตำนาน White Horse Tavern ซึ่งเคยเป็นที่นัดพบและกบดานของนักเขียนในช่วงต้นทศวรรษห้าศูนย์ และยังเป็นที่เลื่องลืออีกด้วยว่านักเขียนดัง ดีแลน ธอมัส คือขี้เมาขาประจำที่นี่ อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่เอซราคอแห้ง เขามักจะแวะเวียนมาที่ถ้ำม้าขาวนี้อย่างสม่ำเสมอ นอกจากเบียร์แล้ว ยังได้แลกเปลี่ยนแนวคิดกับนักเขียนท่านอื่นเพื่อประโยชน์เชิงข้อเท็จจริงและสมมติฐาน
ทว่าคืนนี้เอซราไม่ได้จงใจปักหลักอยู่เพียงที่เดียว เขามักจะสนุกกับ Bar Hopping หรือพฤติกรรมดื่มบาร์นั้นต่อบาร์นี้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่ในร้านไหนนานๆ ได้ดิื่มค็อกเทลไม่ซ้ำ ลองรสชาติแปลกใหม่จากบาร์เทนเดอร์ไม่ซ้ำหน้า ราวว่าเสพสมยาพิษแห่งเพศรสแสนหฤหรรษ์เข้าไปแก้วเล่าแก้วเล่า นั่นแหละคือสาเหตุของความสนุกและความเหนื่อยล้าทางสมองที่ทำให้เอซราคิดอะไรไม่ออก ฉะนั้น การข้ามผ่านวิถีนักเขียนผู้เหลวแหลกเพราะสมองอ่อนเปลี้ยจากแอลกอฮอล์ที่เป็นดังซาตาน จึงต้องได้รับการเยียวยาอย่างพิถีพิถันจากน้ำอมฤตของพระเจ้าแทน และพระเจ้าที่จะปลดเปลื้องความอ่อนล้าได้สมบูรณ์แบบจะต้องเป็นบาร์เทนเดอร์ที่ทำให้เขาสยบได้ด้วยหยดเดียวของเหล้า ชาร์ทรุส
"มาลองกันดีกว่าว่าคุณจะทำให้ผมตื่นตะลึงได้หรือไม่ อันที่จริง ผมไม่อยากทำลายสมองซีกจินตนาการด้วยแอลกอฮอล์ผสมเข้มข้นในแก้วช็อตเสียด้วยซี"
"ผมล้าทั้งกายและสมอง คุณจะช่วยผมได้ไหม คอลิน"
_____________________________________________________________________________________________________
เอซราตัดสินใจก้าวเท้าออกจาก White Horse Tavern พุ่งทะยานรองเท้าหนังหัวแหลมผ่านร้านหนังสือ Three Lives & Company ย่าน Lower West Side ของแมนฮัตตัน เพื่อหาที่พึ่งก่อนเวลาเริ่มวันใหม่ เขาเหนื่อยจับใจกับความรู้สึกท้อถอยที่เอาแต่วิ่งหนีสิ่งที่หัวใจเรียกว่ารัก
การผงาดขึ้นเป็นนักเขียนแนวหน้าอีกครั้งหลังจากที่คิดว่าตนได้สูญเสียแรงศรัทธาในอาชีพของตนไป ค่อนข้างเป็นเรื่องยากพอสมควรที่จะพาตัวก้าวข้ามผ่านได้โดยไม่ใช้ตัวช่วย และถนนทุกสายในนิวยอร์กที่เขาเฝ้าหาแรงบันดาลใจก็นำเขากลับมาที่คอลิน แอนด์ ซันส์ อีกครั้งและอีกครั้ง น่าตลกสิ้นดีที่ริมฝีปากสีซีดผิวเป็นทำนองเพลงวัยรุ่นเกาะอังกฤษขึ้นมาดื้อๆ กระนั้น เขากลับคิดว่ามันแทนความรู้สึกของเขาทั้งหมดได้ในตอนนี้ หาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจบิดเบี้ยวโสมมให้กลับมาสะอาด ราวได้ชำระล้างจากโลหิตของเยซู มีเพียงคนเดียวที่ทำได้...
"สวัสดี เอซรา...สภาพเธอเหมือนซากศพในสุสานวู้ดลอว์นเลยนะ" คอลินกลั้วหัวเราะที่ได้แหย่นักเขียนหนุ่มตกอับ ขอบตาสีคล้ำและริมฝีปากแห้งแตกทำให้หนุ่มใหญ่นึกสนุก จนต้องหาคำพูดชวนหัวล้อเลียนอีกฝ่าย
"คุณมีศีลพอจะเป็นนักบุญช่วยคนบาปอย่างผมหรือไม่ล่ะครับ"
"พูดแบบนี้แสดงว่าต้องการทดสอบความดีของฉันอย่างนั้นหรือ"
ร่างหนาคีบก้อนน้ำตาลทรงเหลี่ยมสีขาวลงในแก้วค็อกเทล เปิดขวด Chartreuse Green Liqueur หยดสุรากรั่นดีกรีสูงร้อยละ 69 ลงบนก้อนของหวานจนชุ่ม จากนั้นจึงเคลื่อนแก้วคริสตัลไว้ตรงหน้าชายผู้หมดอาลัยตายอยากที่มองว่าทุกอย่างบนโลกคือศัตรู
"เธอเข้าใจความสัมพันธ์ของหัวใจกับความรักในตัวตนของเธอหรือไม่ เอซรา"
น้ำเสียงนุมนวลเอ่ยถามราวกับชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ หากเต็มไปด้วยปริศนาคลุมเคลือเหมือนทั้งร่างของเอซรากำลังดำดิ่งภายใต้คลื่นน้ำแข็งโหมกระหน่ำ บังคับให้เขาต่อสู้กับความกลัว เพื่อความเจ็บปวดอันแสนเห็นแก่ตัว และมันก็คุ้มค่าทุกๆครั้งเมื่อเขาไขกุญแจความซับซ้อนนั้นได้
"หัวใจที่เรียกร้องเศษซากแห่งตัวตนให้กลับมาเป็นรูปร่าง..."
"เชื่อเถอะว่าเธอเป็นนักเขียนที่สมบูรณ์พร้อมในแบบของเธอ ดื่มแก้วนี้แล้วตอบข้อกังขาในใจเธอดูซี"
รสหวานของน้ำตาลและกลิ่นแอลกอฮอล์ของเหล้าชาร์ทรุสหลอมละลายในลำคอแห้งผาก เอซราพุ่งชนกับความรู้สึกแตกหัก พร้อมกับจมลงไปในตัวตนที่บ่งบอกว่าเขาเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ใดให้สังคมแร้นแค้นอันหลอกลวง
ครั้นคอลินเห็นสีหน้าใกล้ตายรอมร่อของร่างเพรียวในเสื้อตัวโคร่งสไตล์โบฮีเมียนจึงเกริ่นเข้าเรื่องเล่าก่อนนอนเพื่อทำให้เอซราสงบลง
"ชาร์ทรุส อีฟ เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในวัดซึ่งติดกับเทือกเขาแอลป์ในชายแดนด้านตะวันออกของประเทศฝรั่งเศส หรือโดยพระนิกายคาตูซิออง เมื่อปีค.ศ. 1605 – ซึ่งเป็นพระที่ชอบปลีกวิเวก ถือสันโดษ นุ่งห่มขาว และใส่หมวกสีขาวยอดทรงแหลม ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่อยู่ในโบสถ์ใหญ่โตอลังการ แต่อยู่บ้านพักอาศัยหรือสำนักสงฆ์แถบชนบทที่เรียกว่า Charter Houses โดยยึดปรัชญาบวชเพื่อพระเจ้าเบื้องบนเท่านั้น ไม่ติดต่อสัมพันธ์กับมวลชน แต่กลับทำงานหนักเพื่อสังคมส่วนรวม – ผู้ผลิตไวน์และเหล้าได้เก่งเช่นเดียวกับพระนิกายเบเนดิกทีน ทว่าเหล้าที่ผลิตส่วนใหญ่จะสกัดมาจากการรวมพืชสมุนไพร ถึงกับได้รับฉายานามว่าเป็น Herb Liqueur และขั้นตอนการผลิตนั้นทั้งหมดนั้นได้สืบทอดมาจากพระคาตูซิอองรุ่นต่อรุ่น"
"เมื่อนานมาแล้วมีคนผู้หนึ่งได้พยายามข้ามเทิือกเขาแอลป์ในขณะที่ลมหายใจของเขากำลังอ่อนลง แน่นอนว่าคนผู้นั้นคือนักท่องเที่ยวที่ได้เดินทางมาเป็นระยะเวลานาน คนผู้นั้นได้ดื่มชาร์ทรุสที่วัดแห่งนั้น ความหวานของน้ำตาลได้ช่วยให้เขาฟื้นฟูจากความเหนื่อยล้า ส่วนประกอบของพืชทั้งหมดได้ช่วยให้นักท่องเที่ยวเรียกแรงกลับมาได้..."
"เซนส์ดีนี่ คุณกำลังจะบอกว่านักท่องเที่ยวคนนั้นเหมือนพวกร่างล้าสมองพิการอย่างผมหรือ?"
"ประสบการณ์เป็นนักเขียนมานาน ไม่น่าทำให้เธอมองโลกด้านเดียวได้ขนาดนั้นนะ เอซรา"
"ผมอยู่ด้วยการประชดประชันชีวิตตัวเองมาเป็นแรมปี แต่ดูคุณมั่นใจเหลือเกินว่าจะดึงด้านแข็งแกร่งของผมออกมาได้ อย่าลืมว่าคุณเป็นแค่บาร์เทนเดอร์ไม่ใช่นักมายากลหรือพ่อมด คอลิน"
"โอ้ นั่นสินะ...งั้นเธอช่วยฟังนิทานก่อนนอนให้จบแล้วค่อยตัดสินได้หรือไม่"
"ว่าต่อซี ผมมีเวลาให้คอลินทั้งคืน"
"สิ่งที่ฉันจะบอกคือนักท่องเที่ยวคนนั้นไม่สามารถจะจำชื่อนักบวชที่ช่วยชีวิตเขาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถลืมรสชาติของแอลกอฮอล์นั้นได้เลย โดยเฉพาะสิ่งที่หลอมละลายในน้ำตาล ทว่าเพียงแค่นั้น พระที่ช่วยชีวิตชายผู้นั้นก็ภูมิใจล้นเหลือ...มันก็เหมือนกับบาร์เทนเดอร์นั่นแหละ ถึงแม้ว่าลูกค้าจะลืมว่าผู้ที่เป็นคนรังสรรค์งานศิลปะชิ้นเยี่ยมอย่างค็อกเทลรสเลิศนั้นคือใคร หากลูกค้าสามารถจดจำเครื่องดิื่มเพียงแก้วเดียวที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้นมาได้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว"
"จิตวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ที่ถ่ายทอดเป็นตัวอักษรของเธอ แม้ว่านักอ่านคนนั้นจะตามซื้อนิยายของเธอทุกเล่ม แต่นิยายเล่มแรกที่เขาได้จับจองจะเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถลืมได้"
"พูดมากไปแล้ว ไม่มีใครจำนิยายชิ้นแรกของผมได้หรอก กระทั่งตัวตนที่ถ่ายทอดลงไปยังลางเลือน.."
"ฟังฉัน เอซรา..." มือหยาบวางหมับลงบนโหนกแก้มนิ่มทั้งสอง ต่างคนต่างดิ่งลึกในดวงแก้วต่างสีของกันและกัน คอลินพรูลมหายใจยาว ชั่งใจครู่หนึ่งก่อนต่อบทสนทนาเชื่อมโยงกระตุ้นให้เอซราตระหนักรู้
"เธอรู้ว่าการถูกพรากซึ่งแรงอารมณ์คือโศกนาฏกกรรมแห่งชีวิตนักเขียน กระนั้น กลับปฏิเสธไม่ได้เต็มปากเต็มคำว่าลึกๆแล้วการไล่ล่าหาแรงบันดาลใจอันบ้าคลั่งคือยารักษาที่จะทำให้ทั้งโลกเชื่อมตัวตนเข้ากับเธอ เพื่อกลายเป็นความกระจ่างชัดซึ่งกันและกัน"
"คอลิน..." เอซราครางชื่อหนุ่มใหญ่เสียงแผ่ว
"เธอทำตัวเหมือนเป็นขบวนพาเหรดที่เดินไปอย่างไร้จิตใจไม่ได้ตลอดหรอกนะ เอซรา แม้เธอจะแย้งว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามชะตากรรม เลิกสนใจ หรือปฏิเสธที่จะทำให้มันดีขึ้น แต่อย่าลืิมว่ามันจะยิ่งหยั่งรากลึกว่าเมื่อก่อนเธอประสบความสำเร็จมากเพียงใด เธอเป็นคนฉลาด แค่ใช้คอมมอนเซนส์สัมผัส แล้วเธอก็จะรู้ว่าทั้งหมดทั้งมวลที่เธอตามหาเพื่อนำเสนอในนิยายเล่มใหม่คืออะไร มันไม่ยากเลย คนดี"
"ผมคิดว่าผมให้คำตอบตัวเองได้แล้ว"
"ตอบฉันซี พูดให้ฉันฟังชัดๆว่าความหฤหรรษ์ของแรงบันดาลใจเธอคืออะไร"
"คุณไง...คุณเท่านั้นคือความหฤหรรษ์แห่งแรงบันดาลใจของผม"
"...หนังสือเล่มต่อไป ผมขออุทิศให้คุณ คอลิน ฟาร์เรล"
Eventually, my life is back on track because of HIM
FIN.
talk: set NYC ยังคงเขียนอุทิศให้ไรท์เตอร์ท่านหนึ่งเหมือนเดิมนะคะ ยอมรับว่าก็ไม่ใช่คนเขียนฟิคสนุกอะไร แต่คิดว่าคนที่เราเขียนให้คงเข้าใจทุกอย่างที่เราอยากสื่อนะคะ ขอบคุณค่ะ
ป.ล.นานๆทืเจอกันนะคะ สำหรับคู่นี้ดูดพลังเราไปเยอะมาก ไม่แน่ใจว่ามันดีหรือเปล่า อาจจะอ่านแล้วงงหรือน่าเบื่อ แต่นั่นแหละค่ะ นี่คือความพยายามเฮือกสุดท้ายของบทนี้่ 555 Enjoy reading!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in