เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
NYCchocolimechoux
NYC - EYES THROUGH LOVE


  • Title: NYC - EYES THROUGH LOVE

    Pairing: Colin x Ezra

    Notes: By a quirk of fate, the pair met and fell in love. 

    Remark: ฟังเพลงไปด้วยจะเข้าถึงอรรถรสฟิคค่ะ







    นักเขียนและนักท่องโลกระดับตำนาน...


    นิยามแห่งความรุ่งโรจน์ตลอดช่วงชีวิตของเอซรา มิลเลอร์ 

    ทว่าระยะหลังเจ้าตัวกลับประสบปัญหาขาดพลังดึงดูดตนเองเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทุกตัวอักษรจึงเปรียบเสมือนขยะทางอารมณ์ "ไร้แก่นสาร  เน่าเฟะ และว่างเปล่า"


    อย่างไรก็ตาม ความน่าตื่นตาตื่นใจจากลักษณะนิสัยของเอซรา กลับทำให้นักอ่านผู้จงรักภักดีต้องอ้าปากค้าง เมื่อผลงานชิ้นล่าสุดที่ตนตั้งใจเขียนจะกลายเป็นงานชิ้นสุดท้ายที่บอกเล่าเรื่องราวในระหว่างช่วงเวลารวบรวมเศษซากความเป็นตัวเองกลับมา หลังจากหลงอยู่ในดินแดนสนธยาที่ครั้งหนึ่งเคยกดลึกเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดสร้างสรรค์ของเขาจนฝ่อลีบแคระแกร็น  ก่อนจะตีพิมพ์สมบูรณ์เป็นรูปเล่มไปกว่าสามหมื่นก็อปปี้กับสำนักพิมพ์ เพนกวิ้น บุ๊คส์ ลิิมิเต็ด พ่วงความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ด้วยยอดขายอันดับหนึ่งทุกชั้นหนังสือตามร้านใหญ่และเล็ก ไม่นับรวมค่าลิขสิทธิ์ที่ได้จากการแปลเป็นภาษาท้องถิ่นของประเทศอื่นอีกนับไม่ถ้วน รวมถึงยอดรีปรินท์ในปีถัดมา ซึ่งเอซราต้องขอยอมรับเลยว่า เขาสามารถใช้ค่าลิขสิทธิ์ยังชีพไปได้อีกหลายปี กว่าจะต้องกลับมาเขียนทุกอย่างในสมองลงไดอารี่ เพื่อแปลงเป็นตัวอักษรในโปรแกรมไมโครซอฟท์ เวิร์ด อีกครา



    "โดยพรมลิขิตอันน่าประหลาดใจ ทั้งคู่พบเจอและรักกัน"

    ชื่อหนังสือยาวเหยียดราวคำโปรยประโยคแรกเนื้อเรื่องย่อบนปกหลัง กลับสร้างแรงกระทบต่อจิตใจผู้อ่านได้อย่างดีเยี่ยม 

    ด้วยต้องการอุทิศสิ่งที่เป็นรูปธรรมและขอบคุณคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจสรรสร้างประวัติศาสตร์ความรักระหว่าง เอซรา มิลเลอร์ และ คอลิน ฟาร์เรล ผ่านตัวหนังสือและภาพสีทั้งหมดสองร้อยแปดสิบแปดหน้า  เพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงเหตุการณ์จริงในมหานครนิวยอร์กที่เขาแสนจงเกลียดจงชัง







    แด่ คอลิน ฟาร์เรล

    คุณคือที่สุด






    บทที่ 1 บาร์เทนเดอร์ 




    เอซราเกลียดนิวยอร์ก เหตุผลโง่ๆ – นิวยอร์กเกอร์หยาบคาย


    ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าของชนหลากเชื้อชาติหลอมรวมกัน แต่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของเอซรา มิลเลอร์
    คล้ายกับจุดเด่นของมหานครนิวยอร์ก – เมืองแห่งความหลากหลายนับล้านจากคนทุกมุมโลก แต่กลับหลอมรวมให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน


    เอซราไม่ได้ประทับใจอะไรนิวยอร์กมากนัก

    ตั้งแต่แมนฮัตตั้นถึงควีนส์ บรู๊คลินถึงเกาะเอลลิส อีสต์ไซด์ เวสท์ไซด์ ดาวน์ทาวน์ อัพทาวน์ 

    นิวยอร์กก็คือเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง... 

    เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวของคนจากเมืองอื่นที่อยู่ในระยะประชิดตามสถานีรถไฟ ที่จะกลายเป็นมนุษย์นิวยอร์กเฉพาะเวลาเข้ามาทำงานตอนเช้า ครั้นถึงเวลาเลิกงานก็ได้เวลาจับอันเดอร์กราวด์เพื่อไปรับพาหนะที่จอดไว้และขับรถยนต์กลับบ้าน เสาร์-อาทิตย์ใช้ชีวิตฟาร์มสเตย์ แปลงกายเป็นหนุ่มสาวบ้านนอกเยี่ยงคาวบอยในทิโวลี่ เขตเคาน์ตี้ ดัชเชส หมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งมีประชากรเพียงแค่หนึ่งพันกว่าครัวเรือน หรือสถานที่อื่น ที่ไม่ใช่เกาะแมนฮัตตั้น





    7:40 P.M.


    เอซราในชุดเดนิมเนื้อหนาหนาสีเข้มตัวโคร่ง และกางเกงลายกราฟฟิกเข้ารูป สับเท้ารวดเร็วหลบหลีกผู้คนบนถนน 5th Avenue อย่างที่ทำเป็นประจำในทุกค่ำคืน ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำเช่นนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้อย่างไร – เดินเตร็ดเตร่ในเมืองที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึก ตรงกันข้าม ผู้คนแสดงออกแตกต่าง หลายคนเร่งรีบจนเกินจะใส่ใจใครอยู่เสมอ ฉะนั้น เอซราจึงได้ข้อสรุปย้อนแย้ง พาลนึกชิงชังความวิกลที่ให้ผลลัพธ์ไปในทางลบ "เมืองมีความรู้สึก ทว่าจิตวิญญาณของผู้คนนั้นแตกดับ"


    เขาไม่มั่นใจว่าสิ่งที่กลวงโบ๋อยู่ในขณะนี้คืออะไร 

    หรือแม้แต่จะตอบสนองสถานการณ์ไร้แรงต้านนี้ได้เช่นไร

    ในที่สุด เอซราตัดสินใจวกกลับเข้าจุดเริ่มต้นอีกครั้ง 
    "คอลิน แอนด์ ซันส์" ร้านอาหารกึ่งบาร์ย่านดาวน์ทาวน์ เวสท์ไซด์ ชั้นใต้ดิน พิพิธภัณฑ์ M. 


    ขายาวก้าวลงบันไดวนอย่างระแวดระวัง เนื่องจากแสงไฟที่ต่อเชื่อมไปถึงพื้นที่ด้านล่างค่อนข้างสลัว ยืนชั่งใจอยู่หน้าบานประตูไม้โอ๊กครู่ใหญ่ หลายครั้งที่คิดจะไต่ถามเหตุผลว่าทำไมถึงใช้ประตูหนาหนักเช่นนั้น อีกทั้งป้ายชื่อร้านยังเป็นเพลทสีเงินขนาดเล็กไร้ความโดดเด่น ดูแล้วช่างเป็นการปิดกั้นลูกค้ากับบาร์ด้านในเสียเหลือเกิน 


    "คิดจะไปก็ไป คิดจะมาก็มา ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ เอซรา" 

    ร่างเพรียวสะดุ้งเฮือก ตัวแข็งทื่อ ลมหายใจอุ่นร้อนของร่างแกร่งที่ยืินซ้อนหลังอยู่ค่อยๆทำให้ทุกส่วนสัดของเขาชาวาบ ขาสิ้นแรงจะขยับเขยื้อน ทำได้เพียงยืนนิ่งเฉยเป็นหุ่นยนต์ที่รอคำสั่งจากผู้ใช้งานว่าภารกิจต่อไปที่เขาต้องปฏิบัติคืออะไร 

    "คืนนี้มาด้วยคำแนะนำของใครหรือเปล่า" เสียงทุ้มนุ่มดังต่อเนื่อง ดึงเอซราสู่สัมปชัญญะ

    "คำแนะนำ? กี่ครั้งแล้วที่ผมกลับมาตายรังที่นี่ คุณลืมไปแล้วหรือ" 

    "ก็ไม่ใช่แบบนั้นสักทีเดียว ถ้าทำให้ขุ่นเคือง ต้องขออภัย"

    "อัศจรรย์นะ ว่าไหม?" ผู้พูดกล่าวอย่างขมขื่น อย่างไรก็ดี ผู้ฟังเข้าใจความหมายเสมอ

    "กลับมาไม่บอกไม่กล่าว ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนอย่างนั้นใช่หรือไม่" คอลินลากเท้าวนกลับมาอีกฝั่ง ฝังดวงตาคมเข้มเผชิญหน้ากับเอซราผู้กำลังหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมร่างกายถึงได้กลับมาที่นี่โดยอัตโนมัติทุกครั้ง ยามที่ความสิ้นหวังแวะเวียนมาทักทาย

    "หยุดใช้สายตาเหมือนผมเป็นคนไข้ของคุณได้แล้ว"

    "มาซ่อนตัวอีกแล้วหรือ"

    "พูดแบบนั้น แต่คุณเองก็เป็นฝ่ายเลือกลูกค้าเองไม่ใช่หรือ ประตูทางเข้าหนักออกขนาดนั้น"

    "ก็เพราะว่าบาร์เป็นสถานที่ซ่อนตัว น้ำหนักของประตูจึงมากเป็นธรรมดา เช่นเดียวกับป้ายชื่อเล็กและสังเกตยากก็เพื่อต้องการปัดป้องตัวเองออกจากฝูงชนบนถนน เช่นเดียวกับเธอตอนนี้ หลงทางและสับสน โลกภายนอกโหดร้ายเกินกว่าจะรับมือ สถานะที่เป็นอยู่กำลังจะฆ่าเธอทั้งเป็น ที่สำคัญ เธอไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญหน้ากับสีสันที่แท้จริงของเธอด้วยซ้ำ ฉันตอบคำถามในใจเธอครบหรือไม่"

    "ทำไม...คุณ..." เอซรารู้สึกราวลูกธนูปักลงกลางใจ 


    เขาเจอทางตัน? ไม่ เขากำลังดิ่งหน้าผาสู่ห้วงทะเลลึกต่างหาก 

    สายธารแห่งมหาสมุทรทิ่มแทงเขาเป็นแผลลึก ทิ้งร่องรอยน่าสะพรึงบนร่างกายที่หาทางออกไม่ได้


    "เธอกำลังต้องการความช่วยเหลือ ฉันดูไม่ผิดหรอก อีกอย่าง อาชีพของฉันก็ไม่ต่างกับจิตแพทย์นัก"

    "ใช่ ผมรู้ คุณพูดถูก" นักเขียนหนุ่มพรูลมหายใจยาว แสดงสีหน้าเหนื่อยอ่อน "แต่ไม่ได้หนักหนาอะไร"

    "แน่ใจ?"

    "ไม่! ผมโกหก!" เสียงพร่าตวาดลั่น เกรงว่าที่พึ่งสุดท้ายจะตีจาก

    "อืม แล้วยังไงต่อ?"

    "ผมหมายถึงมันมีอานุภาพมากพอ พอที่จะทำให้ผมสูญเสียจิตวิญญาณของนักเขียนและนักท่องโลกไป"

    "ยิ่งใหญ่น่าดู"

    "ผมหมายความแบบนั้นจริงๆ คุณไม่เข้าใจหรือ คอลิน"

    "โอเค เธอมีเวลาหนึ่งชั่วโมงสิบนาทีก่อนร้านเปิด หลังจากนั้น ถ้าจะซื้อเวลาต่อ ขอแนะนำโปรโมชั่นแฮปปี้ อาวร์ส ส่วนลดค่าเครื่องดื่มและค่าปรึกษานอกเวลางานของฉัน"

    "ตกลง ผมจะซื้อมันทั้งหมด ถ้าคุณช่วยผมได้"




    อย่างไรก็ตาม 


    เขาซื่อสัตย์ต่อหัวใจตนเองเสมอว่าเคยหลงใหลการเดินทาง เสาะหาความผจญภัย เรียนรู้วัฒนธรรม 
    บนผนังห้องนอนเต็มไปด้วยโปสเตอร์แผนที่ทวีปและประเทศต่างๆ ตั๋วเครืื่องบิน โปสการ์ด รูปถ่ายทั้งภาพสีและขาวดำ บทสัมภาษณ์ในหน้าแมกกาซีน การ์ดแสดงความยินดี และหน้าปกตัวอย่างหนังสือตั้งแต่เล่มแรกยันเล่มสุดท้ายแปะหราไว้เป็นอนุสรณ์ความสำเร็จ  



    เอซรารู้สึกทุกขณะจิตถึงสัญญาณอันตรายที่จะก่อให้เกิดความหายนะทางอารมณ์ 

    คืนก่อนที่เขาจะปรากฎตัวต่อหน้าคอลิน – วิกฤตครั้งใหญ่ถาโถมเข้าใส่จนแทบสูญสิ้นตัวตน 

    หัวปากกาที่จรดลงบนแผ่นกระดาษซึ่งควรแปลงเป็นตัวอักษรจากความคิดพรั่งพรู กลับกลายเป็นเพียงจุดสีน้ำเงินขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ น้ำหมึกซึมลึกลงใต้เยื่อไม้แผ่นแล้วแผ่นเล่า 

    บทเริ่มกลายเป็นโจทย์ที่เขาตีความไม่ได้ โครงเรื่องในสมุดบันทึกดูราบเรียบเกินกว่าจะกล้าฝืนทนให้บรรณาธิการมือฉมังอ่านมัน เขาฉีกแหล่งอ้างอิงของนิยายเรื่องใหม่ที่รวบรวมเป็นตั้งทิ้งเกลื่อนกลาด จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ตีบตัน พายุแห่งความกล้ำกลืนกัดกินไปทั่วก้อนเนื้่อในอกข้างซ้าย เอซราเพิ่งตระหนักได้ว่าความเพียรที่ทำให้เขามาอยู่ในจุดสูงสุดของบรรดานักเขียนนวนิยายประเภทเดียวกัน ทำให้เขาไม่สามารถก้าวต่อไปได้ เขาได้รับการยอมรับอย่างล้นหลามจากคนอ่านและนักวิจารณ์แถวหน้า แต่สิ่งที่นักเขียนหนุ่มค้นหาอยู่มีเพียงเท่านี้จริงหรือ...




    คอลิน ฟาร์เรล, บาร์เทนเดอร์ตัวพ่อสัญชาติไอริช –  อดึตหนึ่งในสามบาร์เทนเดอร์แห่ง 69 โคลบรู๊ก โรว์ ในลอนดอน – หรือจิตรกรผู้แต่งแต้มสีสันบนเครื่องดื่ม, อาชีพที่หนุ่มวัยกลางคนภูมิใจด้วยศาสตร์และศิลป์ทรงเสน่ห์, สัญลักษณ์ความล้ำลึกและความผ่อนคลายนานัปการ ท่วงท่าที่เป็นมิตร ความเอาใจใส่ดูแลลูกค้าที่มักจะมาพร้อมคำทักทาย ผสานสัมพันธ์ยามเอื้อนเอ่ยไมตรีต่อลูกค้าหน้าบาร์ 

    "ยินดีต้อนรับ มนุษย์นิวยอร์กผู้เกลียดนิวยอร์ก" 

    หนุ่มใหญ่กล่าวทักทายเป็นทางการอีกครั้ง หลังจากลูกค้าคนแรกกดบั้นท้ายลงบนเก้าอี้บาร์สีชาด 

    เอซรานั่งมองขวดเหล้าวางเรียงรายในชั้นโชว์แอลกอฮอล์ราวว่าตนกำลังพินิจสีของสเตนกลาสในโบสถ์ ความพึงใจและความเหนื่อยหน่ายฉายชัดสลับซ้อนจนคอลินจับสังเกตได้ ดังนั้น จึงเริ่มพูดคุยถึงประวัติบาร์เหล้าอย่างย่อ พร้อมกับดวงตาฉ่ำเยิ้มแสนล้าของนักท่องโลกหน้าหวานซึ่งคอยต่อกรอย่างสนุกสนานกับแสงไฟที่ตกกระทบกับสีอำพันในขวดเหล้า และขวดที่อัดในซอกเก็บของ ซึ่งล้วนถูกจัดเรียงตามหมวดหมู่ลำดับก่อนหลังทั้งสิ้น


    "เอซรา เธอเข้าใจความรื่นเริงระหว่างดื่มแอลกอฮอล์แต่ละชนิดมากน้อยแค่ไหน"

    "วิธีสนุกสนานกับการดื่มสุราแตกต่างกันออกไปแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการสังสรรค์ระหว่างเพื่อน การกระซิบกระซาบระหว่างคู่รัก หรือกระทั่งการนั่งดื่มคนเดียวขณะอยู่ในห้วงลึกแห่งความคิด"

    "สุราเปรียบเสมือนบ่อเกิดแห่งเรื่องเล่า และเรื่องเล่าก็เปรียบเสมือนแหล่งที่มาของเครื่องดื่มที่แสดงตัวตนของเธอ"

    "ตัวตนของผมอย่างนั้นหรือ"

    "ใช่ ตัวตนแห่งความเหนื่อยหน่ายที่เธอเล่าผ่านดวงตาเมื่อครู่"

    "ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมต้องก้าวเข้ามาขอความช่วยเหลือคุณทุกครั้ง ทั้งที่คุณไม่ใช่จิตแพทย์"

    พัดลมโคมไฟติดเพดานพัดเอื่อย ช่วยเพิ่มบรรยากาศเบาสบายได้อย่างเหลือเชื่อ แม้เฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งร้านจะดูหนักตาไปบ้าง กระนั้น ความรู้สึกอึดอัดช่างลางเลือนจนเผลอคิดว่ายืนอยู่ท่ามกลางที่โล่ง

    "ให้ฉันเล่าตำนานให้เธอฟังสักเรื่องเถอะ เอซรา" 

    คอลินพูดขณะสังเกตได้ว่า ดวงตาหวานล้ำของคู่สนทนาดื่มด่ำกับประติมากรรมน้ำแข็งรูปแก้วไวน์ประดับมวลดอกไม้บนแท่นไม้ในตู้โชว์

    "เรื่องนี้เป็นตำนานของอังกฤษทางตอนเหนือ เล่าขานกันมาหลายศตวรรษว่า คืนหนึ่งที่เหล่าเทพยดากำลังจัดงานเลี้ยง มีมนุษย์ผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไป ทำให้บรรดาเหล่าเทพแห่งสรวงสวรรค์ตกใจจนวิ่งหนีกันไปหมด เหลือทิ้่งไว้เพียงแก้วใบหนึ่ง และข้อความสำทับที่ว่า "หากท่านทำแก้วไวน์ใบนี้แตก นั่นคือการจากลาสวนอีเดนอันเป็นความสุขนิรันดร์กาล"

    "ผมจำได้ว่าเคยฟังจากบาร์เทนเดอร์คนหนึ่งในปารีส ตำนานแห่งแก้วที่ไม่มีวันแตก" คอลินคลี่ยิ้ม

    "ดังนั้นเพื่อเป็นเกียรติแห่งเทพนิยายในตำนาน ฉันจึงจ้างช่างแกะสลักน้ำแข็งฝีมือดีจากฝรั่งเศส ทำงานศิลปะชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่อนำโชคให้แก่คอลิน แอนด์ ซันส์ – สถานที่ซึ่งเปรียบดังสวนสวรรค์ยุคบรรพกาลแห่งทวยเทพ"

    "คุณต้องการจะสื่อว่าคุณเป็นพระเจ้าอย่างนั้นหรือ" 

    "ไม่ แต่ถ้าเธอต้องการสรุปเช่นนั้น ฉันก็ไม่ขัดข้อง"

    "ว่าไงล่ะ คิดได้หรือยังว่าคืนนี้จะรับค็อกเทลแบบไหน" 

    นักเขียนหนุ่มครุ่นคิดสักครู่ ปิดเล่มเมนูที่อยู่ในมือ ส่งคืินให้บาร์แมนตรงหน้า เปล่งเสียงสั่งชัดเจนถึงสิ่งที่ไม่มีในรายการ

    "ผมขอเมนูพิเศษของคุณแล้วกัน" คอลินพยักหน้ารับรู้ ผละตัวจากเคาร์เตอร์ไม้เชอรี่ไปยังตู้โชว์ขนาดเล็กที่ขุดลึกลงไปเป็นแท่นวางงานศิลป์แสนประณีต มือใหญ่บรรจงนำผลงานชิ้นเอกนั้นออกมา พร้อมทั้งตั้งคำถามชี้นำเอซราให้เปิดใจ

    "บนโลกใบนี้ มีอยู่สองอาชีพที่จะไม่มีวันทรยศลูกค้าเป็นอันขาด..."

    "อาชีพแรกคือ หมอ และ เภสัชกร ส่วนอีกอาชีพหนึ่งคือ บาร์เทนเดอร์

    คอลินพูดขณะนำประติมากรรมน้ำแข็งรูปแก้วไวน์ประดับมวลดอกไม้ออกจากตู้โชว์ เอซราเบิกตาโพลงเมื่อมือหยาบใช้สิ่วแกะสลักน้ำแข็งอย่างเชี่ยวชาญจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งทรงสวยในแก้วโอลด์แฟชั่น   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนุ่มใหญ่ไม่ควรทำลายสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์อันทรงเกียรติแทนคอลิน แอนด์ ซันส์ ต่อหน้าลูกค้าคนใดที่่ก้าวเข้ามาลี้ภัย ณ ที่แห่งนี้

    "ทำไมหมอและบาร์เทนเดอร์จึงไม่เคยทรยศลูกค้า เธอทราบเหตุผลของมันหรือไม่"  

    "คำตอบช่างง่ายดายนัก..." 

    ร่างแกร่งหันหลังเอื้อมหยิบขวดวิสกี้และขวดสปาร์กลิ่ง มิเนอรัล วอเทอร์ ลงจากชั้น ยิ่งนักเขียนหนุ่มพิศดูในระยะใกล้ยิ่งงดงามดุจกระจกแก้วสีในโบสถ์ที่ตนเพิ่งไปสารภาพบาปมาเมื่อเดือนก่อน

    "เพราะทั้งสองอาชีพต้องขายสิ่งที่เป็นได้ทั้งยารักษาโรคหรือยาพิษ เพียงแค่ปรับแปลงสูตรการปรุง" 

    บาร์เทนเดอร์หนุ่มรินน้ำแร่ฟองฟู่ผสมกับวิสกี้ในแก้วที่ตวงไว้แล้ว คนของเหลวด้วยท่าทางสง่างาม ครั้นได้ยินเสียงกระทบระหว่างน้ำแข็งและช้อนบาร์ จิตใจของเอซราก็เต็มตื้นขึ้นอย่างประหลาด ทว่ายังไม่เข้าใจถึงเหตุผลว่าทำไมต้องเป็นเครื่องดื่มเพื่อคำขอโทษ "Water-Mixed"

    "วอเทอร์-มิกซ์ ค็อกเทลสำหรับเธอ" 

    "หมายความว่ายังไง คอลิน"

    "ดื่มก่อนสิ แล้วเธอจะได้คำตอบ" 

    เอซราชะงักทันทีเมื่อปุ่มรับรสเข้าถึงความหวานอ่อนๆของผงทัลค์ผสมธัญพืช ความนุ่มลึกอันแข็งแกร่ง...รสแอลกอฮอล์ซึมซาบสู่ปลายลิ้น แม้กระทั่งน้ำแร่ยังไม่สามารถลดดีกรีความเข้มของวิสกี้ที่ได้ฉายายอดนิยมว่าเป็นเจ้าแห่งการผสมผสาน และนี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มตกหลุมรักค็อกเทลธรรมดาเช่นนี้ 

    "ตอบผมได้ไหม นี่เป็นสูตรเฉพาะตัวของคุณหรือเปล่า ทำไมรสชาติถึงแตกต่างจากทั่วไปนัก"

    "มันหมายถึงเธอนั่นแหละ เอซรา ลูกค้าแสนเหนื่อยหน่ายของฉัน"

    "อันที่จริง รสของวอเทอร์-มิกซ์จะค่อนข้างอ่อนนุ่ม แต่แก้วนี้กลับเข้มข้นติดลิ้น คุณทำได้อย่างไร"

    "น้ำแข็งยังไงล่ะ น้ำแข็งเมื่อครู่เป็นชนิดฮาร์ดไอซ์ที่ไม่ละลายเป็นน้ำและถูกทำลายความเย็นด้วยอุณหภูมิห้อง เพราะฉะนั้น ถึงจะลดสัดส่วนของแอลกอฮอล์ลง ก็จะไม่สูญเสียรสเข้มของวิสกี้เด็ดขาด" 

    "ฮาร์ดไอซ์?"

    "เธอพร้อมจะขอโทษตัวเองหรือยัง"

    "ขอโทษ?"

    "ร่างกายของเธอโรยราจากการต่อสู้กับปีศาจ มันกำลังบงการว่าการกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือสิ่งที่ถูกต้อง ฉันตีความได้จากเท็กซ์ที่เธอพร่ำส่งให้ฉันทุกวันช่วงตีสอง เธอหมดเวลาไปกับการนั่งด่าทอคนในกระจก ตารางชีวิตของเธอรวนเร จิตใจของเธอช้ำชอกมืดหม่น เธอเกลียดรอยยิ้มสว่างไสวของมันยามที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และนักอ่านหมู่มาก ไหนล่ะ ข้อตำหนิติเตียนที่พวกเขาต้องใส่ใจ บ่งบอก ชี้เแนะ ให้เธอหลุดพ้นจากกฎเกณฑ์ตื้นเขิน การเล่าเรื่องสไตล์คลิเช่ งานเขียนของเธอขายได้เพราะมันไร้ลูกเล่น ความแปลกใหม่กลายเป็นข้อจำกัดที่เธอก้าวไม่พ้น เธออยู่บนจุดสุดยอดเสียดฟ้า แต่กลับไร้ซึ่งทิศทางให้เธอก้าวต่อเพื่อพัฒนาตัวเอง"

    หยาดน้ำแห่งความยโสไหลพราก ทุกอย่างที่คอลินพูดคือตัวตนของความเหิมเกริมของเอซราที่เฝ้าบ่อนทำลายตัวตนแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน เขาถูกกระแสความนิยมปะทะเข้าอย่างเกรี้ยวกราด อีกทั้งยังหาญกล้าหยิ่งผยองเกินกว่าจะยอมรับว่าตนโง่งม ขลาดเขลา ไร้จิตสำนึกว่าศิลปะที่ตนสร้างเป็นได้เพียงเรื่องราวดาษดื่นแสนอัปลักษณ์เท่านั้น

    "เกลียดฉันหรือไม่ที่กล้าทำลายตัวตนอันแสนภาคภูมิของเธอขนาดนี้ เอซรา"

    "ความบกพร่องทางอารมณ์กลืนกินตัวผมจนเหวอะหวะ" ชายวัยใกล้สามสิบเจ้าของผลงานหนังสือติดอันดับนิวยอร์ก ไทม์ส เบสท์ เซลเลอร์ หัวเราะร่า "คุณเข้าใจผมอย่างถ่องแท้ คอลิน"

    เอซรายกแก้วดื่มของเหลวเลิศรสอีกครั้ง ความร้อนวูบแผ่ซ่านไปทั่วลำคอ 
    นี่คงเป๋็น "รสชาติแห่งการเกิดใหม่"

    "ผมขอโทษที่เคยปรามาสว่าอาชีพของคุณเป็นคนละแขนงกับจิตแพทย์"

    "งานหลักของบาร์เทนเดอร์คือรับฟังเรื่องราวจากลูกค้า และเครื่องดื่มสูตรเฉพาะสำหรับลูกค้าก็คือยารักษาโรคที่เราตั้งใจปรุงเพื่อเยียวยาความผิิดปกติอันหลากหลายของแต่ละบุคคล ไม่ต่างกับที่เธอเปรียบตัวเองว่าเป็นคนไข้ของฉันหรอก เด็กดี" 

    "เธอรู้ความหมายของคำว่า บาร์เทนเดอร์  หรือไม่"

    "เล่าให้ผมฟังสิ นิทานเรื่องสุดท้ายของคืนวันพุธ"

    "บาร์ หมายถึง คอน หรือราวสำหรับนกเกาะ ส่วน เทนเดอร์ หมายถึง ความอ่อนโยน ฉะนั้น เมื่อรวมกันเป็นบาร์เทนเดอร์จึงแปลคร่าวๆได้ว่า ที่พักพิงอันอ่อนโยน..."

    "โดยปกติแล้ว บาร์ก็เป็นแค่แผ่นไม้เคลือบแล็คเกอร์ที่ใช้สำหรับวางเหล้าเบียร์ แต่เพราะหลังบาร์มีบาร์เทนเดอร์ทำหน้าที่อยู่ ที่พักพิง และ ความอ่อนโยน จึงถือกำเนิดขึ้น"

    "ผมประทับใจอย่างสุดซึ้ง"

    "เอาล่ะ ได้เวลาเปิดร้านแล้ว ฉันขอส่งนายเข้านอนเท่านี้" 

    "จนกว่าจะพบกันใหม่ กู๊ดไนท์ คอลิน"

    "จนกว่าจะพบกันใหม่ ฝันดี เอซรา"


    ริมฝีปากสองคู่ประกบกันอย่างเว้าวอน 


    เอซราเลือกปิดบานประตูแห่งความลับลงในเวลาสี่ทุ่ม รอใช้สิทธิชั่วโมงแห่งความสุขสันต์ในคืนถัดไป










    FIN.



    จบบทที่ 1 แต่จะมีบทต่อไปหรือไม่ ขอดูก่อนนะคะ ว่างๆเจอกันค่ะ #colezra จงเจริญ!
    แรงบันดาลใจมาจากไรท์เตอร์ท่านหนึ่งและพี่สาวของหล่อน พลัส อนิเมะกับซีรี่ส์เรื่อง Bartender ค่ะ





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in