เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Yuuri 優里cinnamon_roll
ความหมายเพลง かごめ (kagome) - yuuri [part 2]
  • อยากจะให้ไปอ่านพาร์ทหนึ่งก่อนนะคะ พาร์ทนี้จะแปลความหมายข้างในใช้เป็นภาษาไทย ตัดภาษาญี่ปุ่นออกไป จะได้อ่านง่ายขึ้นค่ะ

    ในนี้จะเป็นเหมือนทฤษฎีที่มีคนคิดและสิ่งที่เราคิดนะคะ อาจจะคิดต่างออกไปได้ค่ะ

    เราจะแบ่งเป็นท่อนๆนะคะ

    Trigger warning : suicide




    ท่อนแรก : นาทีที่0.00-1.30

    ผมกำหมัดอีกรอบนึง

    ด้วยความโกรธแค้นที่ยังมีอยู่

    จับคอเสื้อของมัน

    และฆ่ามันด้วยแรงทั้งหมดที่มี

    ใบหน้าที่บิดเบี้ยวกระจายไปทั่ว

    เลือดที่สาดกระเด็นทั่วตัวผม

    ถ้ามันมีวิธีที่ถูกกฎหมาย

    ที่ผมสามารถฆ่าตนเองได้

    ผมจะไม่ลังเลที่จะทำมันตอนนี้เลย


    [สมมตินะว่าถ้ามีคนตาย

    พวกเขาก็คงจะขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก

    และในขณะที่พวกเขาเดาะลิ้น เมื่อมองไปยังตารางรถไฟที่ผิดปกติ

    ผมก็ถอนหายใจออกมา]

    เรื่องที่คุณได้จากไป(เสียชีวิต)

    ผมได้รับรู้มาเมื่อวาน

    กำปั้นที่ถูกทิ่มแทงด้วยเศษกระจกนี้

    ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้น มันยังไม่เพียงพอ

    คาโกเมะ คาโกเมะ

    คนที่อยู่ข้างหลังนั้นคือใคร

    ขอตัดมาเท่านี้ก่อนนะคะ จะเห็นว่าตอนแรกเป็นเหตุการณ์ของตัวเอกที่จะต่อยใครสักคนหนึ่ง แล้วอยู่ๆก็บอกว่าถ้าฆ่าตนเองได้ จะฆ่าเลย จะเห็นว่าตรงนี้ค่อนข้างขัดแย้งอย่างงงๆ ตอนแรกตั้งใจจะทำร้ายอีกคนหนึ่ง แล้วอยู่ๆก็อยากจะฆ่าตัวตาย ทำไมล่ะ?

    ต่อมาเป็นการสมมติที่งงๆว่าถ้ามีคนตาย พวกเขาจะเคือง (ใคร ทำไม) ตัวเอกได้แต่ถอนหายใจ แล้วก็ตัดไปบอกว่า รู้แล้วล่ะเรื่องที่คุณจากไป แล้วก็กลับมาที่กำปั้นที่เหมือนว่าจะมาจากตอนแรก

    ถ้าลองไปดูในMV ส่วนใหญ่ภาพจะอยู่ที่ตัวเอกที่นอนบนถนน คนมากมายผ่านไปมา แต่ไม่มีใครสนใจเลย บางคนเตะแล้วเดินผ่านไปเลยด้วย แต่มีบางครั้งที่ตัดไปเหมือนภาพวิว ตึก แต่ก็แปลกที่ส่วนใหญ่ภาพวิวนั้นเกี่ยวกับรถไฟเป็นส่วนใหญ่ พอมาดูในท่อนที่ว่า 'และในขณะที่พวกเขาเดาะลิ้น เมื่อมองไปยังตารางรถไฟที่ผิดปกติ' ก็พอจะเริ่มเดาได้ว่าเหตุการณ์สมมตินั้นคงเกี่ยวกับรถไฟทางใดทางหนึ่ง ลองคิดดูดีๆ คิดว่าทุกคนน่าจะรู้ว่าที่ญี่ปุ่น จะเคร่งครัดเรื่องเวลามากๆ รถไฟก็มาตรงเวลาเป๊ะ แต่การที่'ตารางรถไฟเกิดความผิดปกติ' หรือพูดง่ายๆ คือ รถไฟเลท คงจะต้องมีเหตุอะไรสักอย่าง แล้วประเทศที่เคร่งครัดเรื่องเวลาขนาดนั้น คงเป็นอุบัติเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วตรงข้างหน้าที่มีบอกว่า 'ถ้าสมมติว่ามีคนตาย' คิดว่าหลายคนน่าจะรู้แล้ว ใช่ค่ะ การฆ่าตัวตายโดยกระโดดลงรางรถไฟ 

    พอเรารู้แล้วลองมาแปลท่อนสามบรรทัดนี้ใหม่ จะได้ประมาณว่า 'ถ้ามีคนที่ฆ่าตัวตายโดยกระโดดขวางรถไฟ พวกเขาก็จะขุ่นเคืองเพราะนั่นหมายความว่ารถไฟจะมาเลท ส่วนตัวเอกก็ถอนหายใจกับสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมา' เวลาถ้าเรารู้ว่ามีคนฆ่าตัวตาย อารมณ์ปกติอาจจะปนเปเป็นความตกใจ เศร้า คิดว่าเขาคงต้องทรมานขนาดไหน ถึงเลือกหนทางนี้ แต่จากในเพลงนี้ สิ่งที่พวกเขารู้สึกกลับมีเพียงความเคือง รำคาญที่'ตนเอง'ได้รับผลกระทบ พอลองคิดถึงอันนี้บวกกับในเอ็มวี ที่คนเดินผ่านไปผ่านมาไม่สนใจตัวเอกที่กำลังนอนบนถนน ก็พอจะเดาได้เพิ่มว่าเมสเสจที่ต้องการจะสื่ออาจจะเป็น ความเฉยเมยต่อความทุกข์ของคนอื่น

    ถ้าเรารู้เรื่องนี้แล้ว ลองตัดอันนี้ออกไป ก็จะเหลืือ

    ผมกำหมัดอีกรอบนึง

    ด้วยความโกรธแค้นที่ยังมีอยู่

    จับคอเสื้อของมัน

    และต่อยด้วยแรงที่มีทั้งหมด

    ใบหน้าที่บิดเบี้ยวกระจายไปทั่ว

    เลือดที่สาดกระเด็นรอบตัวผม

    ถ้ามันมีวิธีที่ถูกกฎหมาย

    ที่ผมสามารถฆ่าตนเองได้

    ผมจะไม่ลังเลที่จะทำมันตอนนี้เลย


    เรื่องที่คุณได้จากไป

    ผมได้รับรู้มาเมื่อวาน

    กำปั้นที่ถูกทิ่มแทงด้วยเศษกระจกนี้

    ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้น มันยังไม่เพียงพอ

    คาโกเมะ คาโกเมะ

    คนที่อยู่ข้างหลังนั้นคือใคร


    ลองอ่าน จะพบว่าสองเหตุการณ์นี้สามารถเชื่อมกันได้อย่างพอดี พาร์ทแรกที่ตัวเอกชก'มัน'ไป และพาร์ทที่สองที่หมัดของตัวเอกบาดเจ็บเต็มไปด้วย'เศษกระจก(?)' เอ๊ะ สรุปว่ายังไง

    จริงๆจะต้องมีเรื่องการใช้คำญี่ปุ่นเพิ่มเข้ามานิดนึง ตรงท่อน'ใบหน้าที่บิดเบี้ยวกระจายไปทั่ว' ท่อนนี้ใช้คำว่า バラバラ (คำนี้จะให้ฟีลแบบของกระจายเป็นชื้นๆไปทั่ว ไม่เป็นระเบียบ) เวลาเราต่อยหน้าคน หน้าคนที่โดนต่อยคงไม่กระจายออกมาเป็นชิ้นๆหรอก แล้วทำไมถึงใช้คำนี้ล่ะ

    พอเอาเรื่องคำมารวมกับกำปั้นที่โดนทิ่มด้วยเศษกระจกมาลองคิดดูดีๆ แสดงว่าตัวเอกชกกระจกหรอ แล้ว 'มัน' ที่เหมือนแทนตัวบุคคลล่ะ จะมีใครอยู่ในกระจก

    ในตอนที่ตัวเอกชกกระจก ก็ต้องยืนเข้าหากระจก คนที่อยู่ในกระจกก็มีแค่ตัวเองที่เป็นภาพสะท้อน

    ใช่ค่ะ ตัวเอกชก 'คนที่อยู่ในกระจก' ซึ่งก็คือ ตัวเอง ทุกอย่างก็จะลงล็อกว่าตัวเอกไม่ได้ต้องการฆ่าใครหรอกนอกจากตัวเอง ซึ่งก็คือ'มัน'ที่ถูกแทนในเพลง

    จะได้ว่า [ตัวเอกชกกระจกซึ่งมีภาพสะท้อนของตัวเองอยู่ พอชกไปแล้ว ใบหน้า ที่เคยเป็นภาพสะท้อนจึงแตกออกและกระจายเป็นชิ้นๆ มือที่โดนเศษกระจกทิ่มจึงมีเลือดออก มันคงจะเจ็บมากๆ แต่ถึงอย่างนั้นความเจ็บปวดนี้ก็ยังไม่เพียงพอ]

    ตรง 'ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้น มันยังไม่เพียงพอ' เราคิดว่าน่าจะเปรียบเทียบกับความรู้สึกผิดของเขาในใจหรือก็เปรียบกับความเจ็บปวดที่คุณได้รับ

    แล้ว 'คนที่อยู่ข้างหลัง' คือใครล่ะ อันนี้ก็ติดไปพาร์ทต่อไป

    ท่อนสอง :1.43-2.25

    ทั้งๆที่เลือดและน้ำตากำลังไหลอยู่แท้ๆ

    ใจของผมกลับไม่สามารถเคลื่อนไปไหนได้เลย

    ก็เพราะเคยชินกับที่เคยพังสลายไป

    ผมเลยปล่อยให้พวกเขาบังคับผมได้ตามใจชอบ

    เสียงกรีดร้องของร่างกายที่ดังเอี๊ยด อ๊าดนั้นไม่ได้ถูกรับฟัง

    ความเห็นอกเห็นใจก็หายไป เหลือเพียงพวกเขาที่เมินเฉย

    แค่ปกป้องคนที่รักได้ก็โอเคแล้ว

    คนอื่นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ช่าง นี่น่ะหรือความยุติธรรม

    ช่างเป็นคนที่ตัวเล็กเหลือเกินนะ

    สองบรรทัดแรก จะเป็นความหมายตามนั้นเลย ใจของตัวเอกยังคงเสียใจ ยึดติดกับความตายของคนที่เขารัก

    สี่บรรทัดต่อมา เคยชินกับการพังสลาย พัง ในที่นี้คงไม่ใช่ความหมายตรงตัว แต่เป็นจิตใจ แสดงถึงการที่ไม่ใส่ใจตัวเอง ปล่อยให้สังคมใช้และบังคับตัวเอง"เสียงกรีดร้องของร่างกายที่ทรุดโทรมที่ไม่มีคน'สนใจ'ที่จะฟังมัน ความเห็นอกเห็นใจก็ไม่มี เหลือพวกเขาที่เฉยเมย" อันนี้ก็ตามกับที่เราคิดไว้ที่ท่อนหนึ่ง เรื่อง ความเฉยเมยต่อความทุกข์ของคนอื่นของคนในสังคม

    สามบรรทัดต่อมา คือการขยายเรื่องแนวคิดและมุมมองที่มีของคนในสังคมที่เฉยเมยต่อความทุกข์คนอื่น  เพื่อจะปกป้องคนที่รัก จะต้องเตะคนอื่น คนอื่นบาดเจ็บอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของตนเอง สิ่งนี้ที่พวกเขาคิดคือความยุตืธรรมจริงๆหรอ นอกจากนี้บรรทัดสุดท้ายที่เรียกว่า คนที่ตัวเล็ก เรายังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าหมายถึงอะไร แต่ถ้าเท่าที่ลองคิดดู อาจจะหมายถึงคนที่ขี้ขลาด ทำร้ายคนอื่นเพื่อปกป้องตนเอง หรือเฉยเมยต่อคนที่เป็นทุกข์ที่อยู่ข้างหน้าเรา เพราะเสียผลประโยชน์ตัวเอง กลัวตนเองจะเดือดร้อน

    ท่อนที่สาม : 2.25-2.59

    ถ้าสมมติว่าคุณตายไป


    ผมไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากเสียใจ


    
แม้ว่าความไร้กำลังของผมจะได้รับการพิสูจน์ว่าบริสุทธิ์


    สมองของผมกลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้น


    
แม้ว่าผมจะสารภาพข้างนอกเส้นสีเหลืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ทุกครั้งที่ผมเห็นสิ่งที่สวยงาม


    
สิ่งนั้นกลับเปลี่ยนเป็นสีดำ


    คาโกเมะ คาโกเมะ



    คนที่อยู่ข้างหลังนั้นคือใครกันแน่



     ถ้ายังไม่ลืมในท่อนแรกจะมีพูดถึงการฆ่าตัวตาย ถ้าเราคิดว่าประโยคนี้การตายคือการฆ่าตัวตาย แล้ว'ความไร้กำลัง' คือการที่ไม่สามารถหยุดเขาจากการฆ่าตัวตายได้

    [ถ้าคุณตายไป ผมไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเสียใจ แม้ 'การที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้' จะไม่ผิด แต่ผมก็รู้สึกโกรธแค้นตัวเองในใจ ถึงแม้จะสารภาพไปกี่พันรอบ ความรู้สึกนั้นก็ยังคงอยู่]

    ความรู้สึกก็คือ ความโกรธเคืองกับความไร้กำลังของตนเอง ความรู้สึกผิดที่คั่งค้างอยู่

    ต่อมาจะเป็นสองบรรทัดสุดท้ายซึ่งเป็นรอบที่สองที่มีท่อนของคาโกเมะ ย้อนกลับไปดูและสังเกตจะเห็นว่าความรู้สึกช่วงที่ร้องท่อนนี้เหมือนกัน เสียใจ และรู้สึกผิดกับการตายของคุณ แล้วสรุปว่า'คนที่อยู่ข้างหลัง' คือใครกันล่ะ

    'คนที่อยู่ข้างหลัง' คือสิ่งที่ตัวเอกไม่สามารถมองเห็นได้ เพราะมันอยู่ข้างหลัง

    คนที่อยู่ข้างหลัง เราไม่ได้มีความเห็นตรงกับที่อ่านมาเพราะฉะนั้นจะขอเขียนถึงทั้งสองอันนะคะ ตัวตนคนที่อยู่ข้างหลังเหมือนกัน แต่เหตุผลต่างกัน

    อันที่หนึ่ง แม้ตัวเอกจะทุบกระจกเท่าไหร่ ชกภาพสะท้อนตัวเองเท่าไหร่ ความเจ็บปวดที่ได้มาก็ไม่เท่ากับที่คุณต้องเผชิญ แม้จะสารภาพอีกกี่ครั้ง จะรู้ว่าความไร้กำลังของตนไม่ใช่ความผิด ใจก็ยังจมปลักกับความโกรธ และรู้สึกผิด ถ้ามองมุมนี้ ตัวเอกอาจจะกำลังคิดถึงความตายอยู่ตลอด แต่แค่มองไม่เห็นมัน (อาจจะไม่รู้ตัวว่าคิดถึงมันหรอ) ก็เป็นไปได้ที่คนที่อยู่ข้างหลัง อาจจะเป็นความตาย (อันนี้เราไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่)

    อันที่เราคิด ความรู้สึกของตัวเอก อาจจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้สังเกตว่าคนที่เขารักกำลังเป็นทุกข์ หรือ อาจจะรู้สึกผิดที่เห็นเธอเป็นทุกข์ แต่ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือ ความทุกข์ที่เธอมีน่ะแม้ผมจะทุบกระจกเท่าไหร่ มันก็เทียบไม่ได้ และความไร้กำลังก็คือการที่ไม่ได้สังเกตว่าเธอเป็นทุกข์หรือการไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือเธอ  แต่ทั้งสองกรณีตัวเอกไม่รู้ว่าความตายจะมาหาคนที่เขารัก เพราะฉะนั้นเราคิดว่าตัวเอกมองไม่เห็นความตายที่กำลังเข้ามาหาคนที่เขารัก เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ด้านหลัง คือ ความตายที่ตัวเอกมองไม่เห็นและทำให้ช่วยไม่ทัน


    ท่อนที่สี่ : 2.59-4.20

    ความสุขกำลังมองตัวผมด้วยสีหน้าแบบไหน


    ความสุขกำลังหัวเราะเยาะผมด้วยสีหน้าแบบไหนกัน


    
ขั้นต่ำที่สุดของสิ่งที่จำเป็นเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่คืออะไร


    
สิ่งที่ผมสามารถทำเพื่อคุณได้ มันมีอะไรบ้าง

    เธอที่โอบกอดความรักแล้วมีชีวิตอยู่ กำลังร้องเพลงด้วยสีหน้าแบบไหนกัน


    เพราะผมไม่เคยได้รับสิ่งที่เชื่อถืออยู่เลย


    
ทิ่มแทงสิ่งนั้นและสิ่งนี้ลงไปบนดวงตา ดวงใจของผมก็ได้ล่องลอยออกไป

    ยังไงก็ไม่ต้องการ

    ไม่ต้องการหรอก


    ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในโลกที่ราวกับผมไม่มีตัวตน

    โลกที่แม้ผมจะกระโดดลงไป ก็ไม่มีใครเสียใจ

    
ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวของผมเอง


    แม้จะอยู่ในโคลนก็ตาม


    
สูงขึ้นไปอีก สูงขึ้นไปอีก


    ถ้าบินได้ก็ดีสินะ


    สองบรรทัดแรกจะมีความหมายตามตัว

    
[ขั้นต่ำที่สุดของสิ่งที่จำเป็นเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่คืออะไร

สิ่งที่ผมสามารถทำเพื่อเธอได้ มีอะไรบ้าง] เป็นเหมือนการถามว่าเพื่อให้เธอมีชีวิตต่อแล้ว เธอต้องการสิ่งไหน และผมสามารถทำสิ่งนั้นให้เธอได้ไหม;-; 

    [เธอที่โอบกอดความรักแล้วมีชีวิตอยู่ กำลังร้องเพลงด้วยสีหน้าแบบไหนกัน
 เพราะผมไม่เคยได้รับสิ่งที่เชื่อถืออยู่เลย
] ที่เราคิดไว้มีสองกรณี คือ  เนื่องจากผมไม่เคยได้รับสิ่งที่เชื่อถือ จึงถามเธอที่ใช้ชีวิตอย่างมีความรักว่ามันเป็นยังไงหรอ หรือ เธอที่ใช้ชีวิตอย่างมีความรักรู้สึกอย่างไรกับเพลงนี้หรอ เพราะผมไม่เคยได้รับสิ่งนั้นเลย จึงไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร

    
[ทิ่มแทงสิ่งนั้นและสิ่งนี้ลงไปบนดวงตา ดวงใจของผมก็ได้ล่องลอยออกไป ยังไงก็ไม่ต้องการ ไม่ต้องการหรอก
] สิ่งที่ไม่ต้องการคือดวงตา ทำไมไม่ต้องการ? เหตุผลที่เราคิดได้มีสองอย่าง คือ หนึ่ง เพราะยังไงคนในสังคมก็เมินเฉย ไม่สนใจมามอง และตนเองก็ไม่ได้สนใจจะมองตนเอง เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องการหรอก สอง คนที่อยู่ข้างหลัง ยังไงก็มองไม่เห็น เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องการดวงตาหรอก

    ท่อนสุดท้าย

    ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในโลกที่ราวกับผมไม่มีตัวตน

    โลกที่แม้ผมจะกระโดดลงไป ก็ไม่มีใครเสียใจ

    
ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวของผมเอง


    แม้จะอยู่ในโคลนก็ตาม


    
สูงขึ้นไปอีก สูงขึ้นไปอีก


    ถ้าบินได้ก็ดีสินะ



    [ใช่ ผมกำลังอยู่ในโลกที่แม้ผมจะตาย ก็ไม่มีใครมาร้องไห้ให้ผมหรอก เพราะฉะนั้นผมก็จะอยู่ จะอยู่ในแบบที่เป็นตัวของผมเอง แม้มันจะลำบาก ก็จะอยู่จนมันดีขึ้น]

    เรารู้สึกว่า อีกแง่หนึ่งอาจจะเป็น ไม่มีคนสนใจเมื่อผมตาย = ไม่มีสายตาที่จะคาดหวังผม เพราะฉะนั้นผมก็จะอยู่แบบที่เป็นตัวของผมเอง

    ตรงช่วงนี้จะมีการเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองจาก 僕 (boku) เป็น 俺 (ore) เหมือนเน้นว่าต่อจากนี้จะใช้ชีวิตเป็นตัวของตัวเอง (ดีเทลเพลงเขาเยอะแล้วก็ละเอียดมากเลย ;-;)

    ถ้าบินได้ก็ดีสิน

    เครดิตภาพ มาจากใน MV ด้านบนและเวอร์ชั่นอะคูสติก ทั้งสองเวอร์ชั่นมีในสปอติฟายนะคะ ไปฟังกันได้ค่ะ╰(*´︶`*)╯♡

    แปลจากบทความตรงส่วนท้าย (บทความเดียวกับเครดิตด้านบนคับ) 

    ...

    (พูดถึงช่วงท้ายของเพลง)

    ในโลกที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เมินเฉยต่อคนอื่น การทิ้งอารมณ์(ประมาณว่าเมินเฉย เย็นชามากขึ้น)ก็เกิดขึ้น เพราะแม้กระทั่งกับตัวพวกเขาเอง ยังไม่ใส่ใจตัวเองเลย

    แต่อยู่ดีๆก็มีประโยคที่ว่า ผมก็จะใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวของผมเอง
 ขึ้นมา

    คำพูดที่น่าตกใจยังคงมีต่อไป แต่มันก็เหมือนจุดประกายแสงสว่างที่ตรงนี้มา 

    นี่มันคือเพลงแห่งความหวังไม่ใช่หรอคะที่ทำให้คุณยังอยากที่จะมีชีวิตต่อไปในโลกนี้ที่คุณราวกับไม่มีตัวตนต่อคนอื่นและเสียงของคุณยังไม่ส่งมาถึงคุณ

    เมื่อคุณคิดถึงคนที่มี 'คนที่อยู่ด้านหลัง' เป็นความตาย มันอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของความตั้งใจของคุณจาก ความตายที่คอยเกาะกินคุณ เป็น ความหวังในการใช้ชีวิตต่อไป ก็เป็นได้ (คิดว่าน่าจะหมายถึงเพลงนี้ ที่ตัวเอกมีคนที่อยู่ด้านหลังเป็นความตาย)

    เพลงนี้นั้นสะท้อนพวกเรา เพราะมันไม่เพียงแค่ตรึงหัวใจเพียงภายนอกเท่านั้น แต่มันยังสะท้อนเสียงกรีดร้องของหัวใจที่อยู่ภายในเราด้วย

    เพลง かごめ อาจจะเป็นราวกับผู้ที่ช่วยเหลือคนที่กำลังมีความลังเล หรือกำลังมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก

    ーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーーー
    ปกติเคยได้ยินแต่ว่าในโลกที่แม้เราจะตายไป ก็ไม่มีใครร้องไห้ให้ มันคงเศร้ามากๆแล้วทำให้เราไม่อยากจะอยู่มากขึ้น แต่เพลงนี้กลับบอกสิ่งที่ตรงกันข้าม ถ้าไม่มีใครสนใจคุณ ก็อยู่ในแบบของตัวเองสิ เราว่าอันนี้เป็นสิ่งเล็กๆที่กระทบใจเรามากเลยค่ะ

    (กำลังทยอยแก้คำผิดและภาษาค่ะ ภาษาเละไม่ไหวแล้ว ಥ﹏ಥ)

    ถ้าใครมีความคิดอื่นๆ ก็เขียนบอกได้เลยนะคะ ช่วงท้ายของเพลงเราไม่แน่ใจมากๆเลย
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
exholic (@exholic)
ขอบคุณมากค่ะ