เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
filmtofichoramiji
[LF] Way Down We Go: Part IV (Chris x Cillian, Jack x Tom)
  • Title: Way Down We Go
    Fandom: RPS (Dunkirk Cast)
    Pairing: Chris Nolan x Cillian Murphy, Jack Lowden x Tom Glynn-Carney
    AU: Mafia
    Episode Theme Song: Eyes, Nose, Lips - Taeyang


    Part IV

    ทำไมต้องตอนนี้?

    คาใจ แต่ไม่ได้ถาม

    "ใครจะไปกับนายบ้าง..." 

    พึมพำทั้งบุหรี่ในปาก

    เจมส์มองเจ้านาย "วาตานาเบ้..."
    "แน่ละ" คิลเลียนยักไหล่
    "ไบรอัน เควิน แล้วก็..."
    "โอเค ฉันนึกออกแล้ว" 

    หัวหน้าแก๊งเรดแฮนด์เอาเท้าที่ไขว้กันอยู่ลงจากโต๊ะ รื้อเอกสารการแบ่งอาณาเขตกับพวกเอิร์ลออกมาดู ครุ่นคิด และเอ่ย

    "ฉันจะให้เขตเดิมของไมเคิล เคนที่เราได้มาครึ่งหนึ่งกับนาย"
    "หัวหน้าไม่จำเป็นต้อง—"
    "ถือซะว่าเป็นของขวัญจากฉัน" คิลเลียนตัดบท
    เจมส์ได้แต่ยิ้มรับ "ขอบคุณครับ"

    มือขวาร่างสูงลอบถอนหายใจ
    ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมง่ายขนาดนี้

    หัวหน้าไม่ใช่คนใจร้าย แต่ก็ไม่ใจดีพร่ำเพรื่อเหมือนกัน

    ไม่รู้โชคดีหรือว่า...

    "ผมสัญญาว่าเราจะยังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม เราจะไม่มีวันหักหลังเรดแฮ—"
    "อย่าสัญญาอะไรทั้งนั้น"
    "..."

    มือที่คีบบุหรี่ชี้มายังเขา

    "ฉันเองก็เคยพูดแบบเดียวกันตอนแยกตัวออกมาจากแก๊งของญาติ และอย่างที่นายรู้ ฉันเป็นคนฆ่าเขาเองกับมือ..."
    "..."
    "เพราะฉะนั้น..." คิลเลียนกระซิบ "...อย่า-สัญ-ญา"

    ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไร
    ไม่มีใครทำนายได้ โดยเฉพาะกับวงการนี้

    "แค่...บอกฉันเมื่อนายพร้อมจะไปก็พอ"

    เจมส์พยักหน้ารับออกจากห้องไป

    ทิ้งคิลเลียนไว้ลำพัง
    กับบุหรี่ที่ยังไม่หมดมวนสักที

    ใครกัน

    เขายังคิดไม่ตก

    ใครยุให้นายทำกับฉันแบบนี้

    .
    .

    "แจ็คมันคงติดธุระ รออีกหน่อยนะ"

    แบร์รี่พยายามปลอบ

    "นี่มันครึ่งวันแล้วนะแบร์..."

    เสียงของอนายรินแผ่วจนแทบเรียกได้ว่ากระซิบ เจ้าตัวอยู่ในชุดสูทสีขาวที่แจ็คให้ร้านส่งมาให้ ในโบสถ์เล็กๆ ซึ่ง...บาทหลวงจำต้องรออยู่เพราะแบร์รี่บังคับ และที่ยอมมาเพื่อทำพิธีให้แต่แรก ก็เพราะถูกขู่เข็ญด้วยอำนาจมาเฟียของเอิร์ลเช่นกัน แน่นอนว่าโดยปกติโบสถ์ไม่มีทางยอมจัดพิธีให้กับคู่รักเพศเดียวกันอยู่แล้ว

    "บางทีอาจจะเกิดเรื่อง ให้เรากลับไปดูที่บ้านหรือออฟฟิศแป๊บนะอนาย"

    "แล้วเราต้องรอถึงเมื่อไรเหรอ..."

    เราก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ
    แม้ไม่ได้พูด แต่แววตาร้องบอกเช่นนั้น

    "โอเค...งั้นเดี๋ยวเราไปส่งนายที่บ้านก่อนแล้วกัน..."

    ทำบ้าอะไรอยู่ที่ไหนวะแจ็ค

    .
    .

    "แรงอีก! อีก! มีแค่นี้เหรอ! เอาหน่อย... อย่างนั้น! แขนอย่าตก..."

    คิลเลียนยืนมองทอมมี่ซ้อมมวยให้เด็กหนุ่ม
    ไม่รบกวน รอจนเจ้าตัวสังเกตเห็นเอง

    "อ้าว คิล... แป๊บนะ"

    เขาบอกเด็กให้ไปพัก
    อีกคนจำใบหน้านั้นได้แม้เห็นไวๆ

    "เด็กบ้านเอิร์ล?"
    "หืม" ทอมมี่หันไป "อ้อ ฟินน์...ใช่"

    เจ้าตัวก็จำหัวหน้าแก๊งเรดแฮนด์ได้เช่นกัน
    จึงหันมาทักตามมารยาท ก่อนเดินหายไป

    แววตาคู่นั้น...?

    "ทอมอยู่ไหม"
    "ยังไม่มา เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเวลาซ้อมน่ะ รู้สึกจะเอาดอกไม้ไปเยี่ยมหลุมศพแฮร์รี่ทุกวันก่อนมา..."

    คิลเลียนพยักหน้า

    "มาก็ดี นายต้องดูอะไรนี่หน่อย..."

    ทอมมี่สั่งเด็กคนหนึ่งว่าหากหนูทอมมาแล้วให้ขึ้นไปหา ก่อนเดินนำเพื่อนขึ้นไปยังห้องใต้หลังคา...ที่คริสพักฟื้นจากการถูกยิงอยู่หลายวัน โดยมีคิลเลียนคอยดูแล 

    "..."

    แพขนตาหนากระพริบสั่น

    ยากนัก...การต้องมองเห็นมันในตอนนี้ 

    ต้องทนรับ...ซึมซับละอองความทรงจำซึ่งซ่อนตัวอยู่ทุกมุมห้อง อบอวลไปทั่วทุกอณูในอากาศ

    เสียงพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตแต่ละฝ่าย
    เสียงหัวเราะที่เคยตายจากเขาไปนาน
    เสียงหัวใจอันด้านชาซึ่งกลับมาเต้นอีกครั้ง

    ทุกอย่างสะท้อนก้องไปมาซ้ำๆ อยู่ในนั้น
    โดยเฉพาะ...คำขอร้องของเขา

    'ถ้าตอนนี้ ผมพร้อมจะรับคุณไปแล้วล่ะครับ...'

    คุณหมายความอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า?
    ผมไม่รู้ และอาจไม่มีวันได้รู้เลยก็ได้

    "คิล"

    ทอมมี่สะกิด 
    ชี้ให้เขาดูปืนซุ่มยิงระยะไกลบนหลังตู้

    "อะไร เดี๋ยวนี้เจ้าของค่ายมวยต้องใช้ไรเฟิลป้องกันตัวกันแล้วหรือ..."

    คิลเลียนแซว แต่เพื่อนขำไม่ค่อยออก

    "มองจากหน้ายิมมันเห็นชัดมาก เลยต้องไปเก็บลงมาก่อนตำรวจหรือใครจะเจอเข้า—"
    "เดี๋ยว หมายความว่ายังไง เห็นจากไหน"
    ทอมมี่ชี้ไปทิศตรงข้าม "หลังคาบ้านฝั่งโน้น ที่นายเก็บไอ้มือปืนได้วันนั้นไง..."

    เขายื่นหน้าเข้าไปสำรวจใกล้ๆ

    "ปืนเถื่อน ขูดลบเลขทะเบียน เหมือนขโมยของทางการมา..."

    แปลก...ถ้าวันนั้นมือสังหารเป็นคนของไมเคิล เคน ก็ไม่น่าใช้ปืนแบบนี้ ตาเฒ่านั่นมีสายลำเลียงอาวุธสงครามนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นของตัวเอง ถ้าเขาจำไม่ผิดน่ะนะ หรือจะใช้มือปืนรับจ้างเพื่อกลบร่องรอยอีกที? ตรวจสอบย้อนกลับไปคงไม่ยากนัก คริสเตียน เบลต้องรู้อะไรบ้าง

    "พ่อครับ มีอะไรจะคุยกับผมเหรอ"

    ทอมตามขึ้นมาพอดี

    "มาดูนี่ก่อน..."

    เด็กหนุ่มแทรกใบหน้าไปตรงกลางระหว่างไหล่ของพ่อกับครูฝึกมวยของตน ลงท้ายด้วยการแทรกตัวเข้าไปพินิจพิเคราะห์ปืนอย่างละเอียดใกล้ชิด

    รุ่นนี้...?

    เขารีบถอดซองกระสุน
    เทออกมาดูเพื่อความแน่ใจ

    "นี่ปืนใครฮะ..."
    "คนที่ลอบยิงพ่อกับ...เขา...วันนั้นน่ะ"
    คิลเลียนตอบ ก่อนถาม "ทำไม"
    "พ่อ..." ทอมหันมามอง "นี่กระสุนแบบเดียวกับที่เจอในตัวแฮซ..."

    ถ้ามือปืนเป็นพวกเอิร์ล...?
    เป้าสังหารในวันนั้นก็ต้องเป็นเขา

    คิลเลียนหันหาทอมมี่ทันที "เดี๋ยวให้คนมาเก็บปืนไป ตอนนี้ขอฉันคุยกับลูกเดี๋ยว..."
    "นี่บ้านเค้านะ" ทอมมี่งึมงำบ่นคนขี้สั่ง แต่ก็ยอมกลับลงไป ซ้อมมวยให้เด็กต่อ

    "เราไม่เคยเจอศพมือปืนใช่ไหม?"
    ทอมพยักหน้า "พอรู้เรื่องตอนเช้าวันเซ็นสัญญา ผมให้เจมส์สั่งคนไปเก็บกวาดแล้ว มีคราบเลือดจริง แต่ไม่มีร่างมัน"
    "ตอนนั้นเราคิดว่าคนของไมเคิลคงรอเก็บอยู่ก่อน เผื่อตัวนักฆ่าทำพลาด..."
    "แต่ถ้ามือปืนเป็นคนเดียวกับที่ยิงแฮซ หมอนั่นก็ต้องเป็นแบร์รี่ ซึ่งยังไม่ตายนะครับ"
    คิลเลียนยักไหล่ "นั่นก็อธิบายได้ว่าทำไมไม่เจอศพ หรือไม่อย่างนั้นก็อาจเป็นคนอื่น แต่ใช้ปืนแบบเดียวกัน"

    ทอมวางกระสุนลงข้างปืน
    ลูบริมฝีปากเล่นอย่างเผลอไผล

    "พ่อก็ไม่คิดว่าแจ็คสั่งใช่ไหม..."

    สั่นศีรษะ "เขาสั่งยิงลูกแต่แรก แปลว่าอยากทำให้พ่อเจ็บมากกว่าอยากให้พ่อตาย แต่ถ้าเป็นแบบนั้น..."

    "แล้วใครสั่ง?" ทอมจบประโยค

    ใครในเอิร์ลจะได้ประโยชน์หากเขาตาย?

    "จริงสิ พ่อมีเรื่องจะถาม ช่วงหลังมานี้เจมส์เป็นยังไง" 
    ทอมเลิกคิ้ว "เป็นยังไงหมายถึงอะไรครับ"
    "ได้คบค้าใครใหม่ที่เราไม่รู้จักไหม หรือแอบไปไหนนอกตารางนัดหรือเปล่า"
    "ทำไมถามแบบนั้นล่ะครับ"
    "เจมส์มาขอแยกตัวไปจากเราน่ะสิ"

    ลูกชายทำหน้าแปลกใจก่อนค่อยๆ แปรเปลี่ยน

    "อะไร นึกอะไรออก?"

    ทอมมองหน้าคนเป็นพ่อ

    "วันก่อนเจมส์หายไปในเวลางาน..."

    .
    .

    มีคนมาปล่อยเขาออกไปในตอนค่ำ

    กลายเป็นว่าทอมจ้างเจ้าของบาร์ให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนกว่าจะหมดวัน เพราะอย่างนั้นจึงไม่มีใครสนใจเสียงตะโกนร้องให้ช่วยจนคอแทบแห้งสลายกลายเป็นผุยผงของแจ็คเลย เขาใช้เวลาแก้มัดมือออกจากเข็มขัดอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็ออกจากห้องที่ล็อคคล้องแม่กุญแจเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี

    แจ็คแวะไปที่โบสถ์เป็นแห่งแรก
    แม้ลึกๆ รู้ดีว่าไม่มีใครบ้ารอนานขนาดนั้น

    ไม่แม้แต่คนใจดีอย่างอนายริน

    เขาตรงไปที่บ้านของคนรักหลังรีบรุดออกจากโบสถ์ พบแบร์รี่เตร็ดเตร่อยู่หน้าประตู

    "แกหายไปไหนมาวะ"
    "เรื่องมันยาว นายอยู่ใช่ไหม"
    "เดี๋ยวฉันขึ้นไปตามให้"
    "ฉันไปเอง..."

    แบร์รี่ขยับเข้ามาขวางในฉับพลัน
    แม้ตัวเล็กกว่าเจ้านาย แต่เขาไม่ถอยแน่

    "อนายอาจจะหลับแล้ว ฉันบอกจะเฝ้าให้ ถ้าแกมาตอนเขาหลับแล้วไม่ต้องปลุก เพราะงั้นแกรออยู่ข้างล่างก่อน..."
    แจ็คขบกรามเบาๆ "ฉันเป็นเจ้านายแกนะ"
    "นี่นอกเวลางาน และอนายก็เป็นเพื่อนฉัน"
    "..."
    "เตรียมคำอธิบายไว้ดีๆ ด้วยล่ะ"

    .
    .

    นายยอมลงมาพบ

    เขาสั่งให้แบร์รี่ไปรอในรถ
    แต่อนายรินคว้ามืออีกฝ่ายไว้

    "อยู่นี่แหละ...เป็นเพื่อนเรา..."

    คนรักของเขา ดึงแบร์รี่ลงไปนั่งข้างๆ

    แจ็คไม่พอใจ แต่ไม่อยู่ในฐานะจะโวยวาย

    "ตกลงว่ามีอะไรจะคุยกับเรา"
    "นาย...เราขอโทษเรื่องวันนี้ เรามีปัญหา..."
    "ให้เดานะ เป็นความลับอีกใช่ไหม" 

    อนายรินสวนขึ้นทันควัน
    เสียงเบา แต่ผลข้างเคียงหนัก

    เจ็บลึกเหลือเกิน

    "นาย—"
    "เรื่องที่บ้าน...บอกไม่ได้..." นัยน์ตากลมโตหลุบมองมือซ้ายเขาแวบหนึ่ง "แหวนก็ยังไม่ได้ถอด..."
    "..."
    "เราต้องเอาอะไรมาเชื่อใจแจ็คเหรอ เราอยากเชื่อนะ แต่เราทำไม่ไหวแล้ว..."

    น้ำเสียงนุ่มหวานเครือสั่น แบร์รี่ได้แต่ลอบมองคนที่บีบมือตนใต้โต๊ะเงียบๆ ด้วยความสงสาร ช่วยได้เพียงแค่ปล่อยให้เล็บของเจ้าตัวจิกลงมาบนผิวเนื้อเขาจนพอใจ ให้มีหนทางระบายความอัดอั้นบ้างสักทาง เพราะเพื่อนคนนี้ไม่มีวันโวยวายออกมาเหมือนใคร คงมีแต่จะหลบไปร้องไห้ให้น้ำตาไหลหมดตัวไปเอง

    "เราจะบอกความจริงทุกอย่าง ถ้านายยังอยากฟัง..."

    แจ็คกระซิบ เอื้อมมือใหญ่ออกไป
    หมายเชยคางมนขึ้น แต่ใบหน้านั้นหันหลบ

    "เราฟังอยู่"

    ชายหนุ่มเริ่มต้นอย่างตะกุกตะกัก เล่าถึงเหตุผลที่ต้องสวมแหวน เล่าเรื่องสัญญาสมรสให้ฟัง เล่าว่าตนถูกทอมหักหลัง ไม่เซ็นใบหย่าให้ตามที่สัญญา และถ้าเขาถอดแหวนเอง จะถูกแก๊งเรดแฮนด์มาตามราวีอย่างไร 

    "แล้วระหว่างที่อยู่บ้านเดียวกัน..."
    "ครับ?"
    "แจ็คไม่ได้นอนกับเขาใช่ไหม..."

    ใบหน้าของเอิร์ลชาวาบ
    ราวกับถูกน้ำแข็งสาดกลางฤดูหนาว

    "ช่วงนั้นเรามานอนบ้านนายทุกวัน จำได้ไหม..."
    "แล้ววันที่ไม่ได้มา? แล้ววันที่แบร์บอกว่าแจ็คติดประชุม?"
    "..."
    "อย่าโกหกเรานะ..."

    ราวกับใครมากระชากกล่องเสียงไปจากลำคอ

    คำสารภาพของแจ็คเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ

    "นาย..."

    เรียกชื่อด้วยน้ำเสียงแบบนั้น
    คำตอบมันชัดเจนหมดแล้ว

    อนายรินเงยหน้าขึ้นมองคนรักทั้งน้ำตา
    คนรัก...ที่กำลังจะกลายเป็นเพียงอดีต

    "เราไม่อยากเห็นหน้าแจ็คอีก"

    ร่างสูงคุกเข่าลงขอร้องอ้อนวอนแต่มันไม่ช่วยอะไร

    โสตประสาทเขาไม่ได้ยินเสียงใด
    นอกจากหัวใจที่แตกสลายของตัวเอง

    มันไม่ใช่แค่เพราะแจ็คไม่ซื่อสัตย์

    แต่เพราะเขารู้ว่าแจ็คไม่ใช่คนแบบนั้น แจ็คที่เขารู้จักไม่ใช่คนเจ้าชู้ ไม่เคยสนใจใคร ทั้งที่เป็นคนมีฐานะมีหน้าตาทางสังคม เพียบพร้อมทุกอย่าง มีแต่คนรายล้อมเข้ามาให้เลือกมากมาย แต่แจ็คกลับเลือกคนธรรมดาอย่างเขา และไม่เคยเหลียวมองใครอื่นเลยสักนิด

    ใครคนนั้นต้องมีอะไรสักอย่างที่เขาไม่มี
    ถึงทำให้แจ็คนอกใจเขาได้

    และแม้อีกฝ่ายจะยังขอร้องให้เขากลับไป
    แต่นัยน์ตาคู่นั้นก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

    คนหมดรัก มันดูไม่ยากขนาดนั้นหรอก

    "แบร์...พาแจ็คกลับบ้านเถอะ"

    อนายรินกระซิบบอกคนข้างกาย

    "แล้วอย่าให้เขา...มาเหยียบที่นี่อีก"

    .
    .

    กรุ๊ง กริ๊ง

    เสียงโมบายดังขึ้น
    ประตูเปิด กลิ่นควันลอยฟุ้ง

    "ในนี้ไม่อนุญาตให้สูบบุหรี่นะครับ โอ๊ะ..." 
    เจ้าของร้านเงยหน้าขึ้น "คุณเมอร์ฟี ขอโทษครับ เชิญตามสบาย แหะ"

    คิลเลียนพ่นควันขาวออกมาอีกครั้ง

    "สวัสดี มาร์ค"
    "จะรับอะไรดีครับ"
    ส่ายหน้า "ขายดีไหม"
    "ก็เรื่อยๆ เหมือนเดิมครับ..." ไรแลนซ์ตอบไปชงชาให้ลูกค้าโต๊ะอื่นไป 

    "จะว่าไปช่วงนี้พวกคุณผลัดกันมาเข้าร้านผมหลังจากไม่มาเสียนานนะเนี่ย..."

    คิลเลียนยืนพิงเคาน์เตอร์ "หมายถึง?"
    "อ้อ ก็วันนี้คุณมา วันก่อนนั้นก็เจมส์..."
    "งั้นเหรอ..."
    "ครับ"

    มาร์คยกชากับขนมไปเสิร์ฟให้ลูกค้าที่รออยู่ แล้วเดินกลับมาสนทนาต่อ เจ้าตัวเป็นคนช่างคุยอยู่แล้ว เขาแทบไม่ต้องถามอะไรมากมาย

    "นึกไปก็แปลกดี ผมไม่ยักรู้ว่าเจมส์รู้จักกับคริส"

    !

    "คริส?"
    "ขาประจำโต๊ะตัวนั้นที่คุณชอบมานั่งไงครับ เห็นว่ากลับมางานศพน้องชายฝาแฝด แอนดรูว์น่ะ คุณก็รู้..."

    คิลเลียนหายใจกระตุก

    "เขามานั่งคุยกันเป็นชั่วโมง เรื่องเครียดๆ อะไรไม่รู้สิ..."

    บังเอิญหรือ?

    คิลเลียนรู้จักโลกใบนี้และคริส โนแลนดีเกินกว่าจะเชื่อเรื่องบังเอิญ

    .
    .

    นอกจากอนายรินแล้ว
    ทอมก็ไม่มองหน้าเขาเช่นกัน

    เสื้อผ้าข้าวของยังคงอยู่ แต่เจ้าตัวไม่ได้กลับมานอนบ้านนี้อีก ไม่อยู่กินอาหารเช้า หรือกลางวัน หรือเย็น ไม่ยอมพูดกับเขา ไม่มีคำอธิบายอะไรให้ ไม่ว่าจะขอร้องด้วยไม้อ่อน หรือขู่บังคับด้วยไม้แข็งก็ตาม
    ไม่มีนัยน์ตาท่าทีเสน่หาเหมือนก่อนนั้นราวกับทุกอย่างเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง

    เช้านี้ เจ้าตัวเดินผ่านแจ็คที่นั่งนิ่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารไป ด้วยหมดความอดทนกับสงครามประสาท เขาจึงยอมเป็นฝ่ายทลายกำแพงลง

    "อย่าทำแบบนี้กับฉันได้ไหม..."

    อย่าทำเหมือนทุกอย่างเป็นความผิดเขา

    "ฉันเสียพ่อ เสียคนรัก...ฉันไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว..."

    ใคร...ที่หมายถึงนาย

    คนที่หลอกลวงกันคนที่ใจร้ายเลือดเย็นใส่
    แต่ฉันก็ยัง...

    "..."
    ไร้ซึ่งวาจาโต้ตอบ
    แต่อย่างน้อย...ยังหยุดฟัง

    ยิ่งกว่านั้น ขยับเข้ามาหา
    ลูบเรือนผมสีฟางด้วยสัมผัสอ่อนโยน

    "เจ็บมากใช่ไหม..."

    แจ็คหลับตาลง พยักหน้ารับ
    กลืนน้ำลายอย่างขมขื่น

    ดวงหน้าสวยโน้มลงมา
    เกือบเกยลงบนไหล่ 

    ที่ข้างหูเขา...เจ้าตัวกระซิบ

    "ดี...นั่นแหละที่ผมอยากให้คุณรู้สึก"

    ร่างสูงเหยียดตัวขึ้นจากโต๊ะ
    คว้าทันเพียงข้อแขนเรียวข้างหนึ่ง

    บีบแรงไม่ให้ดิ้นหลุด
    กลับถูกอีกมือสวนเข้าใบหน้า

    ฟึ่บ

    คมมีดกรีดเฉือนโหนกแก้มจนเลือดไหลซิบ

    "..."

    เอิร์ลหนุ่มหน้าหันราวกับถูกตบ

    ลอบมองสายนาฬิกาข้อมือซ่อนใบมีดที่เปื้อนโลหิตของตนด้วยนัยน์ตาแห้งแล้ง ได้แต่หัวเราะเย้ยหยันตัวเองในใจ กล้าดียังไง...ไปตอแยกับยอดนักฆ่าแห่งเรดแฮนด์

    "ถ้าขืนคุณแตะต้องตัวผมอีก..."

    ทอมเอ่ยเสียงเรียบ
    เย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำค้างกลางเหมันต์

    ที่ผ่านมา...คงเป็นแค่ละครทั้งหมดจริงๆ

    "ทำไม...ทอม อย่างน้อยนายก็ควรบอกฉันสักคำ..."

    แฮร์รี่เป็นใคร
    เขาไปทำให้หมอนั่นตายเมื่อไร

    ทำไม...เขาต้องชดใช้ด้วยหนทางนี้

    "ก็ได้..."

    ทอมพึมพำ เฉยชา ถอนหายใจ
    ไม่มีแม้แต่ความสงสารเวทนา

    "สองทุ่มคืนนี้ เจอกันที่เรดเทอร์เทิล"

    มีแต่ความว่างเปล่า
    และว่างเปล่าเท่านั้น

    .
    .

    "หมายความว่ายังไง บ่อนถูกปิด"

    คิลเลียนทวนคำของพอล แอนเดอร์สัน
    ผู้ไม่รู้จะหาคำอธิบายดีกว่านี้ได้ยังไง

    "ก็ถูกปิดน่ะครับ ตำรวจ—"
    "แล้วตำรวจที่เราจ่ายเงินเดือนไว้ล่ะ"
    "คือ...การจับกุมครั้งนี้ทำโดยตำรวจที่ไม่ได้รับเงินเราทั้งทีมครับ ไอ้สารวัตรคนนี้—"
    "เท่ากับมีคนรู้ว่าตำรวจคนไหนเป็นของเราบ้าง?"
    "ทำนองนั้น..."

    คนเป็นหัวหน้าเงียบไป ครุ่นคิด

    "รู้ไหมว่าในจำนวนนั้นมีตำรวจของพวกเอิร์ลรึเปล่า?"
    พอลส่ายหัวน้อยๆ "ไม่ครับ แต่พอมีทางสืบได้ ไอ้โจมันสนิทกับพวกเอิร์ลอยู่บ้าง หัวหน้าสงสัยพวกนั้นเหรอ..."
    "จัดการเลย รู้อะไรเพิ่มรายงานฉันทันที"

    มือซ้ายรับคำสั่ง ลุกขึ้น

    "เดี๋ยว พอล"
    "ครับ"
    "ไอ้สารวัตรที่ว่านี่ใคร"
    "สารวัตรดิคาปริโอน่ะหรือครับ เพิ่งย้ายมาเดือนก่อน ข่าวว่าไม่มีใครซื้อเขาได้"

    พอลคว้าเสื้อโค้ท จากไป
    คิลเลียนนั่งจมในห้วงคิดของตัวเอง

    ทำไมถึงได้รู้สึก...สังหรณ์ใจ...

    ราวกับทุกอย่างกำลังจะพังทลายลงมา?

    .
    .

    ลิลี่ ออฟ เดอะ วัลเลย์ช่อใหม่ถูกนำมาแทนที่ช่อเก่าในทุกวัน

    เขาไม่รู้จะใช้ดอกไม้อะไรในตอนนั้น และอนายรินก็แนะนำเจ้าดอกเล็กๆ รูปทรงระฆังแสนบอบบางพวกนี้มาให้ เมื่อรู้ทีหลังว่าความหมายของมันอ่อนหวานเพียงใด เลยยิ่งรู้สึกว่ามันเหมาะจะใช้เป็นดอกไม้สำหรับเยี่ยมแฮร์รี่ สไตลส์...

    คนที่เติมเต็มชีวิตเขาให้สมบูรณ์
    และทำให้มันขาดหายเมื่อจากไป

    "เขาเจ็บปวดเท่าที่ฉันต้องการแล้ว แฮซ..."

    ทอมพึมพำนั่งลงคุยกับป้ายหินในสุสาน

    "...แต่มันไม่ช่วยให้ฉันเจ็บน้อยลงเลย"

    มือเล็กรีบปาดน้ำตาทิ้งลวกๆ

    "บางทีฉันน่าจะฆ่าคนรักของเขาทิ้งซะ แต่ลึกๆ ในใจฉันคงรู้ดี... ต่อให้เขาเจ็บมากกว่าแค่ไหน ความเจ็บปวดของฉันก็ไม่มีวันลดลง..."

    เพราะสาเหตุความเจ็บปวดของเขา
    คือการสูญเสียคนที่รักที่สุดไป

    ความแค้นสะสางได้
    คนผิดชดใช้ได้

    แต่ความเจ็บปวดก็ยังคงอยู่

    ไม่มีอะไรทดแทนได้เมื่อใครสักคนต้องตาย  เมื่อเสี้ยวชีวิตของเราขาดหายไป มันเป็นความรู้สึก...ทรมาน สาหัสเกินกว่าใครจะเข้าใจ ทุกอย่างกลายเป็นสีเทา ไม่มีอะไรจะให้ความสุขเราได้อย่างแท้จริงอีกแล้ว ซ้ำร้าย เมื่อมองย้อนกลับไปขุดค้นลิ้นชักความสุขในวันวาน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันกับใครคนนั้นก็ได้กลับกลายเป็นละอองยาพิษ...กระจายตัวอยู่ในทุกอณูอากาศ จำเป็นต้องสูดเข้าไป แต่ยิ่งหายใจลึกเท่าไร ยิ่งจะขาดใจมากขึ้นเท่านั้น

    โลกไม่มีวันเหมือนเดิม มันอาจยังมีมุมที่สวยงาม แต่จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกครั้ง

    ไม่มีวัน

    และมันเปลี่ยนตัวตนของเรา
    เปลี่ยนหัวใจ

    "นายคิดว่าฉันต้องใช้เวลานานเท่าไร...แฮซ"

    กว่าฉันจะก้าวเดินต่อไปได้
    กว่าฉันจะยอมให้อภัยตัวเอง

    "ฉันไม่น่าเลือกนายเป็นบอดี้การ์ดของตัวเองเลย..."

    .
    .

    ตกบ่าย
    โรงกลั่นเหล้าเถื่อนของเขาถูกปิด

    ฝีมือสารวัตรคนเดิม 

    คิลเลียนไม่คิดว่าอยู่ๆ ตำรวจที่ไหนจะรุกไล่ปิดกิจการใต้ดินของเขาเพราะเกิดขยันขึ้นมาเฉยๆ เช่นเดียวกับที่ไม่คิดว่าอยู่ๆ เจมส์จะอยากแยกตัวออกไปตั้งแก๊งของตัวเองทันทีทันใดหลังจากได้พื้นที่ทำกินในย่านแถบลอนดอนใต้ตอนบนมาจากไมเคิล เคน

    เขาออกคำสั่งให้คนสืบประวัติสารวัตรคนนี้ทันที ได้ความว่าเป็นอเมริกัน แต่อยู่อาศัยและถือสัญชาติอังกฤษมานานแล้ว ไม่เคยรับสินบน ไม่มีอะไรน่าสงสัย

    บางทีอาจจะแค่ได้คนวงในคาบข่าวไปส่ง

    ทุกคนในเรดแฮนด์เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน อย่างไรเขาก็ไว้ใจ ถ้าจะมีใครทรยศก็อาจเป็นคนฝั่งเอิร์ล เพราะเมื่อรวมอำนาจ แบ่งปันทรัพยากร ข้อมูลบางอย่างย่อมมีสิทธิ์รั่วไหลถ่ายเทระหว่างสององค์กรอยู่บ้าง

    ทุกอย่างวกกลับไปที่พวกเอิร์ล

    คิลเลียนพยายามหยุดคิด แต่ทำไม่ได้ เขาไม่อยากพาตัวเองไปไกลถึงจุดที่จะสงสัยใครคนนั้น จึงได้แต่หลับหูหลับตาคลำทางต่อไปทั้งที่ยังมืดแปดด้าน เขาตรวจสอบกับคริสเตียน เบลแล้ว เจ้าตัวยืนยันว่าไมเคิล เคนไม่เคยสั่งฆ่าเขาหรือคริส นั่นแปลว่าความเป็นไปได้ที่นักฆ่าเป็นคนของพวกเอิร์ลสูงขึ้นอีกเป็นเท่าทวี

    เอิร์ลอีกแล้ว
    ทำไม?

    ก๊อก ก๊อก

    เสียงเคาะประตูกระชากเขาหลุดจากภวังค์

    "เข้ามา"

    โจแทรกตัวเข้ามาอย่างรีบลน
    เหงื่อโชกร่างราวเพิ่งวิ่งผ่านนรก

    "หัวหน้าครับ...คอ..."
    คิลเลียนขมวดคิ้ว "หายใจก่อน"

    "คอก...แฮ่ก...คอกเจ้าคริส...ไฟไหม้ครับ"

    นี่มันวันห่าเหวอะไรกันวะ !

    .
    .

    คอกถูกไฟไหม้ กลอนประตูพัง

    เจ้าม้าแสนรักคงไม่อาจพังกลอนด้วยลักษณะที่เหมือนใช้เครื่องมือทุบแบบนี้ได้แน่ รูปการณ์ราวกับมีคนตั้งใจพังกลอนไว้ ก่อนจุดไฟเผา เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าคริสจะตกใจเตลิดและพุ่งพังผ่านประตูออกมาได้

    แต่เพื่ออะไร?

    "ไม่มีใครเห็นอะไรเลยหรือไง"

    คิลเลียนกุมขมับ
    มองเขม่าควันดำรอบคอกแล้วยิ่งหัวเสีย

    โจสั่นศีรษะ "คนเฝ้าถูกวางยานอนหลับครับ มันเองก็เกือบสำลักควันไฟตายกว่าจะตื่น ดีที่มีสติพอจะสาดน้ำดับทันก่อนเสียหายไปมากกว่านี้"

    "แต่ม้าฉันก็ยังหายไปอยู่ดี"

    หัวหน้าพูดเสียงเรียบ
    แต่บรรยากาศรอบตัวน่ากลัวนัก

    "ผมให้คนเคาะถามบ้านแถวนี้ กับส่งทีมเข้าไปในป่าใกล้ๆ แล้ว อาจยังเตลิดไปได้ไม่ไกล—"
    "แกไม่เห็นเหรอโจ..."

    คิลเลียนชี้ไปยังทุ่งหญ้าว่างเปล่ากว้างไกล

    "อะไรครับ"
    "รอยเท้าน่ะ"

    โจเลิกคิ้ว เดินออกไปอีกเพื่อมองหา

    "ไม่นี่ครับ"
    "ก็นั่นน่ะสิ"

    คนเป็นลูกน้องลองตรองดูตามที่หัวหน้าคิดให้ทัน จึงเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง

    "ถ้าเจ้าคริสวิ่งหายไป ก็ควรจะมีรอยเท้า..."

    ไม่มีรอยเท้า
    ไม่มีศพม้า

    ต้องมีใครสักคนพามันขึ้นพาหนะไป

    .
    .

    "คุณเมอร์ฟีใช่ไหมครับ ผมลีโอ..."

    บ่อนถูกปิด
    โรงกลั่นเหล้าถูกปิด
    ม้าตัวโปรดหายไป

    เขาไม่มีอารมณ์คุยกับตำรวจตอนนี้

    "..." 

    คิลเลียนนั่งเงียบ กระดกเหล้าเข้าปาก สูบบุหรี่ เหล้าอีกแก้ว สูบอีกหนึ่งควัน ตามด้วยเหล้าอีกแก้ว... ไอ้หมอนี่ก็ยังไม่ไป

    "เครียดหรือครับ"
    "..."
    "เพราะกิจการสองที่ถูกปิดในวันเดียวหรือเปล่า"

    ตึง! คิลเลียนวางแก้วเหล้าเสียงดัง

    ยิ้มบาง "คุณพูดเรื่องอะไร"
    "บ่อนกับโรงเหล้าไง..."
    "ไม่เห็นจำได้ว่ามีกิจการแบบนั้น ผมขายส่งอาหารกระป๋อง เครื่องสำอาง เนื้อกวาง..."

    กระดกเหล้าใสเข้าปากอีกแก้ว
    ลีโอนาร์โดยกยิ้มมุมปาก

    "เอาเถอะ ผมไม่ได้มาเรื่องนั้นหรอก"
    "ไม่ต้องมาเลยสักเรื่องน่าจะดี" คิลเลียนพึมพำ ยังไม่แม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่ายสักเสี้ยววินาทีตั้งแต่เข้าบาร์มา

    "คืองี้นะ สายที่เชื่อถือได้ของผมแจ้งมาว่ามีมือสังหารหมายหัวคุณอยู่..."

    คิลเลียนหันขวับมองลีโอเป็นครั้งแรก

    "แล้วมาบอกผมทำไม"
    สารวัตรยักไหล่ "เป็นหน้าที่ผมที่จะป้องกันการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญาอยู่แล้ว ไม่ต้องขอบคุณ"
    "แบบว่า...คุณมาที่นี่เพื่อคุ้มครองผม?"

    พึมพำ หัวเราะประชดประชัน

    "เอาเป็นว่า ถ้าเห็นใครที่หน้าตาดูเป็นฮังกาเรียนเดินเข้ามาก็อยู่ให้ห่างไว้แล้วกัน..."

    คิลเลียนเหล่มอง สูบนิโคตินเข้าปอด
    ลีโอไม่ถือสาที่เจ้าตัวพ่นควันใส่หน้า

    "...พวกนี้มันชอบตั้งใจให้ดูเป็นการทะเลาะวิวาท"

    งั้นหรือ? พอดีจริงๆ...
    ตอนนี้อารมณ์เขาพร้อมจะวิวาทอยู่แล้ว

    ฉับพลัน ใครคนหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา

    "ทอมมี่ มาพอดี มารู้จักสารวัตรลีโอเร็ว..."

    คิลเลียนเดินเข้าไปโอบหลังเพื่อนซี้
    ลากมาเจอกับคุณตำรวจ แนะนำเสร็จสรรพ

    กระซิบกระซาบ

    "ช่วยเอามันไปไกลๆ ตีนฉันหน่อย ขอบใจมาก"

    .
    .

    ฟินน์ ไวท์เฮดยืนมองเหตุการณ์ที่บาร์จากในตู้โทรศัพท์สาธารณะบนฝั่งตรงข้ามถนน

    "สารวัตรเข้าไปแล้วครับ..."

    เขาพูดให้สั้นที่สุด
    นิ่ง รออีกสักพัก

    "คุณฮาร์ดี้เพิ่งเข้าไปครับ..."

    นิ่ง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    เตรียมวางหู

    แต่ยั้งไว้ทัน
    ได้รายงานอีกประโยค

    "ผู้ชายฮังกาเรียนก็เข้าไปแล้วเหมือนกันครับ มีคนติดตามสองคน..."

    .
    .

    คิลเลียนได้ยินเสียงฝีเท้าผู้มาใหม่
    แต่ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร

    ต่างจากลีโอกับทอมมี่ที่หันไปมอง

    ร่างสูงโปร่ง
    โครงหน้าคมสัน
    จมูกงองุ้ม
    รอยสักที่คอ

    ทุกอย่างตรงกับโปรไฟล์

    เจ้าฮังกาเรียน
    หรือชื่อจริงเอเดรียน โบรดี้

    "นั่นเขา" ลีโอพึมพำ ยกเบียร์ดื่ม
    ทอมมี่ยกแก้วตนขึ้นชน แกร๊ง
    "คุณไม่ต้องห่วงคิลหรอกครับ..." เขากระซิบ 

    เมื่อเห็นสารวัตรเริ่มอยู่ไม่สุข

    "...กังวลแทนพวกมันดีกว่า"

    ...

    "ที่ว่างไหม"

    เอเดรียนถามถึงเก้าอี้ตัวข้างๆ
    คิลเลียนไม่ได้มอง "ไม่ว่าง"
    "ไม่เห็นมีใครนั่งนี่"
    "แล้วถามทำหอกอะไร"

    อีกฝ่ายคิ้วกระตุก แต่ยังทน
    เอาขาคร่อมเก้าอี้ ทิ้งตัวลงนั่ง

    สั่งเครื่องดื่ม

    "นี่บาร์ของนายเหรอ..."
    "รู้แล้วจะถามทำไม"
    "ปากดีเหลือเกินนะ" คิลเลียนหัวเราะในลำคอ "เบลจ่ายนายเท่าไร ฉันให้นายสามเท่า เก็บแรงไว้นับเงิน ไม่ต้องเหนื่อยหาเรื่อง"
    "เงินน่ะเรื่องเล็ก บุญคุณต่างหากเรื่องใหญ่"

    แค่เสี่ยงทายดูเล่นๆ ไม่คิดว่าจะถูก

    นี่แปลว่าเบลส่งนักฆ่ามาปลดแอกตัวเอง หวังเอากิจการของไมเคิล เคนคืน นี่อาจแปลได้อีกเช่นกัน ว่านักฆ่าในคืนฝนตกนั่นไม่ใช่คนของเคน ก็ถ้าเคนชุบเลี้ยงมือสังหารที่ทำงานโดยอำพรางคดีว่าเป็นการทะเลาะวิวาทจนเลยเถิดเพื่อกลบเกลื่อนเงื่อนงำ การวางแผนลอบยิงกันซึ่งหน้าในครั้งนั้นก็หลุดแบบแผนไปเต็มๆ

    มืออาชีพไม่ทำกันแบบนั้น

    "ทีนี้ จะลงมือกันสักทีหรือยัง"

    เพล้ง!

    สิ้นคำ เจ้าฮังกาเรียนคว้าขวดเหล้าฟาดกับขอบเคาน์เตอร์ แล้วสวนแทงเขาในฉับพลัน

    คมขวดแก้วกรีดสะบักหลังกระชากเลือดออกไปจากร่างคิลเลียน ทิ้งรอยแผลเหวอะหวะเป็นทางยาว ฟางเส้นสุดท้ายของคนที่อารมณ์ไม่ดีมาทั้งวันขาดผึง โขกหน้าผากตนเข้ากับหัวฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง ก่อนยื้อยุดฉุดมือที่ยังถือปากฉลามของมันไว้ บิดหักข้อมือนั้นให้ปลายแหลมเจาะเข้ากับคอของคนถือเอง

    แผลยังไม่ลึกพอเพราะลูกน้องมันเข้ามารุมล็อคตัวเขาไว้

    คิลเลียนกระแทกศอกเข้าท้องคนข้างหลัง บิดแขน หมุนครึ่งตัว ทุ่มมันข้ามไหล่ กระทืบหน้าด้วยโทสะจนได้ยินเสียงดั้งหักดังกร๊อบ เขาก้มหลบหมัดของอีกคนที่เหวี่ยงมา ดึงเก้าอี้มาใช้ ฟาดเข้ากลางลำตัวของมัน ซ้ำอีกครั้งที่หัวกระทั่งมันล้ม

    เงื้อเก้าอี้ขึ้นสูง

    ฉึก!

    ขาเก้าอี้ข้างหนึ่งแทงตาหมอนั่นยุบลงไป
    เขาขยี้ซ้ำ โลหิตและเนื้อสมองซ่านกระเซ็น

    "นี่มันเกินไป..." ลีโอพึมพำ
    คิลเลียนกำลังป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ
    ทอมมี่รีบคว้าแขนปรามอีกฝ่ายไว้
    "คุณไม่อยากเสียสมองอีกคนหรอก..."

    เอเดรียนเข้าไปหลบหลังเคาน์เตอร์ระหว่างเป้าหมายง่วนกับการกระทืบหน้าลูกน้องคนที่นอนดั้งหักของเขา ให้รายละเอียดทุกส่วนที่เหลือบนใบหน้าหักตามไปด้วย เขาไล่บาร์เทนเดอร์ออกไป ควานหาอุปกรณ์ช่วยที่แหลมคมพอจะจบชีวิตอีกฝ่าย แย่หน่อยก็ตรงที่เปิดขวดไวน์คือสิ่งใกล้เคียงสุดเท่าที่จะหาได้

    และตอนนี้แววตาอาฆาตก็พุ่งตรงมาที่เขาแล้ว

    คิลเลียนไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ คว้าขวดปากฉลามที่เจ้านักฆ่าทิ้งไว้ ไม่สนว่ามันจะบาดมือของตน ขว้างมันใส่เอเดรียน เฉียดหัวคนก้มหลบทันไปเพียงนิด เขากระโจนข้ามเคาน์เตอร์ไป สวนหมัดลุ่นๆ เข้าใส่...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เอเดรียนยอมให้อีกฝ่ายชกตนอยู่พักใหญ่เพื่อล็อคเป้า และแทงเกลียวเปิดขวดไวน์เข้าแผงอกบอบบางฝั่งซ้าย

    เขาดิ้นหลบ แผลถากพาดผ่านเหนือหัวใจ
    ไวเท่าความคิด คว้าแขนข้างนั้นไว้ได้ทัน

    กระทุ้งเข่าสวนขึ้นไป พร้อมกับดึงข้อแขนเจ้าฮังกาเรียนลงมา แรงกระทำสวนทิศประสานงา ณ กึ่งกลางจนกระดูกที่แข็งแรงร้าวหนัก ศัตรูร้องลั่น เขากระแทกซ้ำอีกครั้ง...อีกครั้ง...แล้วบิดสุดแรง

    กรอบ! กระดูกขาวหักครึ่งทะลุขึ้นมา
    กล้ามเนื้อสองฝั่งขาดวิ่น โลหิตหลั่งทะลัก

    แวบหนึ่งที่สบนัยน์ตาคู่โตสีเยือกเย็นนั้น
    เอเดรียนเห็นสัตว์ป่าร้องร่ำกระหายเลือด

    อั่ก!

    คิลเลียนดันคมกระดูกแขนที่หักทะลุขึ้นมานั่น สวนเข้าหัวใจของมันเอง 

    เอเดรียนสำลักเลือดเพียงครั้ง ตาค้าง สิ้นลมโดยเฉียบพลัน

    พอได้ระบายความหงุดหงิด ก็มีสติขึ้นเล็กน้อย ประสาทสัมผัสเริ่มกลับมาทำงาน รับรู้ความเจ็บปวดจากบาดแผลถูกแทงอีกครั้ง ทรุดตัวลงตรงข้ามเจ้านักฆ่า นึกสงสารมันขึ้นมา

    แกแค่มาผิดวันเท่านั้นเอง

    "คิล! เป็นไงบ้าง..."

    ทอมมี่รีบรุดเข้ามาพยุง ตามด้วยลีโอ

    พอเห็นหน้าสารวัตรเท่านั้น 
    ความคลุ้มคลั่งก็ทำงานขึ้นมาอีก

    "ใครส่งข่าวให้คุณ!"

    คิลเลียนกระโจนใส่นายตำรวจ
    เริ่มลงไม้ลงมือกับเขาอีกคน

    ใครบอกเรื่องบ่อน เรื่องโรงเหล้า
    ใครเตือนเรื่องนักฆ่าฮังกาเรียน

    ไม่ใช่เขาใช่ไหม
    อย่าเป็นเขาเลย

    "คิลเลียน หยุดนะ คิลเลียน..."

    เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูดังก้องกังวานซ้ำไปมา
    คนตัวโตรวบร่างเขาออกไปจากตัวลีโอ

    ร่าง...ละเลงไปด้วยเลือด...ที่ไม่ใช่ของตน
    แต่เขาก็ยังสวมกอดมันไว้โดยไม่รังเกียจ

    "นิ่งซะ...นิ่งนะครับ..."

    แต่...คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

    "ชู่ว..."

    คริสกอดคนตัวเล็กไว้แน่น
    จนเจ้าตัวหยุดอาละวาด

    มาได้ยังไงกัน

    .
    .

    แจ็คมาถึงเรดเทอร์เทิลก่อนเวลานัด

    ทอมจองโต๊ะไว้ให้ แต่ยังไม่มา กระทั่งเซ็ตอาหาร —ที่เจ้าตัวคงสั่งไว้— เสิร์ฟจนครบ อีกฝ่ายจึงได้ปรากฏกายในความเงียบงัน แผ่บรรยากาศความเยือกเย็นออกมาจนเขาไม่กล้าถามอะไร ปล่อยให้เจ้าตัวเริ่มรับประทานอาหารไปตามใจ เอาแต่นั่งมอง

    "กลัวมียาพิษหรือไง"

    โดนตอกแบบนั้นเข้า เขาจึงเริ่มกินบ้าง

    "พวกนี้เป็นเมนูบ้านๆ ก็จริง แต่เป็นเมนูโปรดของเขาทั้งหมด..."

    ทอมเริ่มเปิดปาก

    "หลังละครเวทีวันนั้น ผมจองโต๊ะตัวนี้ไว้ สั่งอาหารเซ็ตนี้ไว้ กะเซอร์ไพรส์เขา เขาเกลียดเซอร์ไพรส์นะ อันที่จริง แต่ผมมั่นใจว่าเขาจะชอบของขวัญจากผม..."

    เอิร์ลได้แต่นั่งเงียบ รับฟัง
    ไม่ถาม รอให้เรื่องราวเฉลยตัวมันเอง

    รู้แน่แต่เพียง...น้ำเสียงมีความสุข แววตาทอประกาย กับรอยยิ้มอ่อนละมุนตลอดเวลาที่เล่า ทำให้แจ็ครู้สึกได้ว่า 'เขา' สำคัญต่อทอมมากเพียงใด

    แค่นั้นก็เจ็บจนพูดไม่ออกแล้ว

    ทอมวางมีดและส้อมลง "คุณก็เห็น ผมไม่จำเป็นต้องมีบอดี้การ์ดด้วยซ้ำ..."

    เห็นชัดกับสองตามาแล้วจริงๆ

    "...ครอบครัวเขาลำบาก พ่อไม่สบาย น้องหลายคนต้องเรียนหนังสือ แต่เขาไม่ยอมรับเงินช่วยเหลือจากผมเปล่าๆ ยังไงก็ต้องทำงานแลก ผมอยากให้เขาอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา เลยต้องจ้างไว้เป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว"

    คำนั้นกระตุ้นความทรงจำส่วนลึกในสมองที่เขารับรู้ไปผ่านๆ และลืมเลือนอย่างรวดเร็วขึ้นมาอีกครั้ง

    แบร์รี่บอกว่างานพลาด เพราะบอดี้การ์ดปกป้องทอมเอาไว้...ถ้าอย่างนั้น...?

    "ผมมันโง่เอง เอาแฮร์รี่มาอยู่ข้างกาย ในตำแหน่งที่อันตรายที่สุด..."

    หัวใจของชายหนุ่มแทบพลิ้วปลิวไปกับน้ำเสียงหวีดหวิวปานจะขาดใจนั่น ทอมก้มหน้า หลุบตาต่ำ แต่เปลวเทียนสีทองส่องแสงสลัวพอให้มองเห็นว่าน้ำใสหยดหนึ่งได้ร่วงลงมาจากแก้วตาดวงนั้น

    มือเล็กจิกผ้าปูโต๊ะแน่นไม่รู้ตัว
    แต่เมื่อมือใหญ่เอื้อมออกไปหา

    เจ้าตัวก็ชักมันหนีไป

    อีกฝ่ายคงขยะแขยงเขามากเหลือเกิน
    ที่ผ่านมา...ต้องกล้ำกลืนฝืนทนแค่ไหนกัน

    เพียงเพื่อจะแก้แค้น

    "ผมรู้จักเขามาตั้งแต่จำความได้ ดูแลกันและกันมาตลอด เขาแค่เป็นคนปากหนัก และผมก็ไม่เคยบอกเขา... จนวันนั้นที่ผมเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว แต่เพราะคุณ..."
    "ฉันไม่ได้ตั้งใจ..."
    "ใช่ คุณตั้งใจจะฆ่าผม แต่แล้วยังไงล่ะ คนที่ตายก็ยังเป็นเขา..."

    ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ ผลลัพธ์ก็เกิดขึ้นแล้ว
    ความเจ็บปวดของผู้สูญเสียเป็นของจริง

    ทอมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเป็นครั้งแรก คราบธารโศกจากนัยน์เนตรสีครามยังเปียกชื้นอยู่บนแก้ม มองเห็นได้เป็นทาง

    "เขาไม่มีวันได้ยินคำว่ารักจากผมอีกแล้ว คุณเข้าใจความเจ็บปวดนั้นไหม ไม่มีอีกแล้ว...ตลอดกาล"
    ทุกการกระทำมีความเสี่ยงที่จะผิดพลาดคลาดเคลื่อน ถ้ารับผลข้างเคียงไม่ได้ก็ไม่ควรตัดสินใจสุ่มสี่สุ่มห้าแต่แรก

    แจ็ค ลาวเดนควรได้เรียนรู้เรื่องนั้น

    "มันก็เพราะพ่อนายฆ่าพ่อฉันก่อน ฉันเจ็บไม่เป็นหรือยังไง"

    ทอมแค่นหัวเราะ
    กะแล้วว่าต้องประโยคนี้

    "แล้วผมได้ทำอะไรให้คุณหรือยัง..."
    "..."
    "คุณสั่งฆ่าผมเพื่อให้พ่อผมเจ็บ คุณก็ต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะกระจายความแค้นออกไป คุณเหวี่ยงไฟไม่ระวัง ก็ต้องเจอแบบนี้..."

    ทอมใช้นิ้วเปล่าดับเทียนบนโต๊ะ

    "คุณเล่นกับไฟ ก็ต้อง...มอดไหม้แบบนี้"

    ร่างเล็กถูสองนิ้วที่ถูกเผาด้วยเทียนเข้าหากันเบาๆ ก่อนลุกจากเก้าอี้ หนีเขาไปอีกครั้ง แจ็คยังไม่เข็ด คว้าข้อแขนทอมเอาไว้

    "ถ้าฉันเจ็บปวดจนสาแก่ใจนายแล้ว เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม..."

    คำพูดของเอิร์ลทำเอาทอมหันขวับ
    มองร่างสูงด้วยแววตากึ่งสมเพช

    "เป็นบ้าไปแล้วหรือไง..."

    หลังจากทุกอย่างที่เขาทำเนี่ยหรือ

    ทอมบิดแขนตนออกจากมือแกร่ง
    พึมพำความในใจ ตอกย้ำ

    "แม้แต่หน้าคุณผมยังไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ"

    .
    .

    ร่างในอ่างน้ำแน่นิ่งราวกำลังหลับใหล

    ไม่ขยับ ไม่ลืมตา แค่นอนพักอยู่เฉยๆ ศีรษะเกยขึ้นมากับขอบอ่าง น้ำในนั้นคลุ้งคาวกลิ่นเลือดอยู่จางๆ ทั้งจากของเจ้าตัวและที่ไม่ใช่ คริสกำลังไล่ใช้ฟองน้ำถูทำความสะอาดคราบของเหลวแข็งกรังสีแดงคล้ำทั่วร่างเปลือยเปล่าขาวเนียนนั้นออกไปทีละนิด รู้ดีว่าหากให้อาบเอง คงไม่ระวังแผลที่เขาอุตส่าห์ตามหมอมาเย็บ

    "ขอมือหน่อยได้ไหมครับ..."

    คิลเลียนไม่ขยับ

    แต่ไม่ได้ว่าอะไรเมื่อคริสจุ่มมือลงในน้ำ ดึงเอามือข้างซ้ายของเขาขึ้นไป บรรจงขัดผิวซีดขาวราวหิมะของแต่ละนิ้ว ไปจนถึงซอกเล็บซึ่งเกล็ดเลือดแทรกซึมเข้าไปฝังตัวอยู่ 

    "..."

    เสียงลมหวีดหวิวพลิ้วเข้ามาทางช่องระบาย
    ตามด้วยเสียงฝนกระหน่ำเท ไม่บอกกล่าว

    พระพิรุณร่ำไห้โปรยปรายเฉกเช่นคืนนั้น
    ที่เด็กเลี้ยงม้ากับคุณชายหวนคืนกันและกัน

    "ทำไม..."
    "..."

    คิลเลียนเปล่งเสียงเป็นครั้งแรก
    คริสยังถูฟองน้ำกับมือเล็ก แต่ตั้งใจฟัง

    "...วันนั้น...คุณไปโทร...ข้างนอก"

    ราวกับเด็กน้อย...นึกได้ทีละคำ

    คริสเม้มปาก "ผมออกไปธุระ...ไม่ได้ตั้งใจจะโทรหาคุณหรอกครับ แต่ห้ามไม่ไหว"

    "...ไม่ได้ตั้งใจ..."

    คิลเลียนเหม่อลอย ทวนคำ

    ไม่ได้ตั้งใจ...ไปเก็บงานหรอกหรือ?
    แค่คิดเท่านั้น ไม่ได้ถามออกไป

    คริสเดินอ้อมอ่าง นั่งลงทำความสะอาดมือขวาของเขา บรรจงกับการระวังแผลแก้วบาดบนฝ่ามือนั้น เจ้าตัวเงียบไปอีกครั้ง ไม่นาน...คริสย้ายไปนั่งท้ายอ่าง เอ่ยขอให้ยกเท้าขึ้น อีกฝ่ายทำเช่นเดิม ไม่ตอบ แต่ยอมให้เขาช้อนเรียวขาขึ้นจากน้ำแต่โดยดี

    แกล้งดีดนิ้วเท้า
    น้ำกระเด็นใส่คนตัวโต

    คริสหลุดยิ้มเอ็นดู "อารมณ์ดีแล้วหรือครับ"
    คิลเลียนลืมตาขึ้นมอง ไม่ยิ้ม ไม่ตอบ

    จ้องมองเจ้าหมีนั่งใช้ฟองน้ำลูบไล้ผิวนุ่มลื่นบริเวณขาของตน มือใหญ่ที่ประคองข้อเท้าเขาเอาไว้นุ่มนวลจนแทบไม่รู้สึก คริสละเอียดลออกับทุกอณู ทุกซอกมุม ตาตุ่ม สันส้น ไปจนนิ้วเท้า เล็บเท้า...

    วักน้ำขึ้นชะล้างอีกครั้ง
    ก้มหน้าลงไปใกล้

    คิลเลียนตกใจจนเผลอกระตุกเบาๆ
    แต่คริสไม่หยุด ยังยื้อข้อเท้าเขาไว้

    "..."

    ประทับจุมพิตแผ่วเบาลงไป

    ริมฝีปากแดงๆ ขยับงึมงำ "เพี้ยน..."
    คนได้ยินยิ้มรับ วางเท้าข้างนั้นลง

    มือประคองข้อเท้าอีกข้างขึ้นมาแทน
    เริ่มต้นทุกกระบวนการซ้ำตั้งแต่ต้นจนจูบ

    เวรเอ๊ย

    คิลเลียนรู้สึกร้อนวูบ ทนไม่ไหว
    ไถลตัวมุดลงไปใต้น้ำ

    "ไม่ได้นะครับ..."

    คริสร้อง ถลันเข้าไปดึงเจ้าตัวขึ้นมาทันที ร้อนรนเอื้อมหยิบผ้าขนหนูสะอาดมาซับแผลที่อกและสะบักหลังให้ น้ำเสียงแบบหมีดุๆ ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง

    "ถ้าแผลไม่หายจะทำยังไง..."

    คิลเลียนกัดปากล่าง ยิ้มเผล่

    "ก็ให้คุณพยาบาลไปเรื่อยๆ..."

    พูดเอง ลมหายใจก็เหมือนจะหยุดเอง

    "..."
    "จะไปเมื่อไร..."
    "อีกสองสามวันครับ"

    คิลเลียนแหงนหน้าเกยขอบอ่าง 
    มองแรง "สอง หรือสาม"
    คริสวางผ้าขนหนูลง กระซิบ "...สอง"

    เขาเดินไปหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาให้คนที่กำลังลุกขึ้นจากอ่าง กางมันออก เสหน้าหนี ไม่มองระหว่างเจ้าตัวสอดแขนแต่ละข้าง กับสวมมันเข้าไป 

    คิลเลียนสะกิดคริสกลับมา
    ทั้งที่ยังใส่ไม่เรียบร้อย

    "ผูกให้หน่อย..." 

    พยักเพยิดลงไปที่สายรัดเสื้อคลุม

    "...ขยับแขนไม่ได้ เจ็บ"

    คนตัวโตรีบกระชับเสื้อให้คลุมปิดแผ่นอกขาวๆ แล้วรัดเชือกที่เอวให้ ชายผ้ายาวเลยลงมาเกือบถึงเท้าเจ้าตัว เพราะมันเป็นเสื้อคลุมของเขา...

    "อย่างกับชุดราตรี" คิลเลียนพึมพำ

    เฮ้ย...

    ร้องอุทานแทบไม่ทัน
    อยู่ๆ ก็ถูกช้อนตัวขึ้นจากพื้น

    "เดี๋ยวเดินสะดุดล้มทับแผลครับ..."

    คริสอ้าง อมยิ้มบาง
    อุ้มคนตัวเล็กไปวางบนเตียง

    ชุดนอนชุดหนึ่งพับเรียบร้อยอยู่บนนั้น

    "ชุดของผมตอนเด็กๆ คุณน่าจะใส่ได้นะ"

    คิลเลียนกางออกทาบกับตัว "เด็กกี่ขวบเนี่ย ตัวใหญ่ขนาดนี้
    "คริสหัวเราะ "แต่งตัวไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปเอาผ้าพันแผลมาเปลี่ยนให้"
    "ช่วยแต่งตัวก่อนสิ...ก็บอกว่าใช้แขนไม่ถนัดไง"

    คริสจะทำอะไรได้นอกจากตกลง

    แต่งตัวเรียบร้อย ได้เวลาทำแผลใหม่
    ต้องปลดกระดุมแหวกเสื้อลงมาอีก

    คุณหมีหูแดงตลอดเวลาที่ปิดผ้าก๊อซ
    เสร็จสรรพ รีบดึงเสื้อเจ้าตัวขึ้น ห่มผ้าให้

    จะปล่อยนอนพัก ก็ดั้น...มารั้งไว้

    "เตียงตั้งกว้างนะ..."

    อ่า...

    "..."

    คริสยอมปีนขึ้นไปซุกตัวใต้ผ้าห่มด้วยกัน
    คิลเลียนพลิกตัวนอนคว่ำ เกยอกกว้าง

    แบบนี้จะได้ไม่นอนทับแผลด้วย

    "..."

    ปลายนิ้วมนไล้สันจมูกโด่งลงมาอย่างสั่นเทา กลุ่มผมนุ่มคลอเคลียเกลี่ยไล้ใต้คางและคอของคนตัวโตอยู่ไม่ห่าง ได้ยินเสียงอวัยวะในอกซ้ายข้างใต้ตนระรัวลั่นรุนแรง

    "ก่อนดาวหางลับขอบฟ้าไป..."
    "..."
    "ถ้าอธิษฐาน...จะเป็นจริงไหม"

    ไร้สุ้มเสียง คริสเพียงพยักหน้าช้าๆ

    "งั้น..." เสียงนุ่มกระซิบ
    "ขอให้ได้อยู่ด้วยกันนานที่สุด..."

    หวังน้อยจังนะครับ

    บางที ถ้าอธิษฐานขออยู่ด้วยกันตลอดกาล
    ดาวหางอาจบันดาลให้เป็นจริงขึ้นมาก็ได้

    .
    .

    แจ็คยังตามทอมมาถึงที่รถ

    ปิดประตูที่เขาเพิ่งเปิด
    กางกรงแขนกั้น...กักขังเขาไว้

    เคลื่อนร่างสูงใหญ่เข้าประชิด

    "ฉันอาจจะเป็นบ้า ใช่...แต่ฉันห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้"
    "สมองส่วนไหนของคุณยังไม่เข้าใจอีก ว่าที่ผ่านมา...ผมหลอกล่อให้คุณมีอะไรด้วย เพื่อให้อนายรินทิ้ง
    คุณเท่านั้น..."

    เพื่อให้เขาสูญเสียคนรักเช่นเดียวกัน
    แต่ในทางที่เจ็บปวดต่างกัน

    ไม่ตาย...แต่มองหน้ากันไม่ติด
    ต้องหลบลี้หนีหน้า ค้างคาใจไปตลอดชีวิต

    สมองของแจ็คเข้าใจดีทุกอย่าง
    แต่หัวใจมันไม่ได้ทำงานแบบเดียวกัน

    หัวใจคนเรามันซับซ้อน...ยากเย็นกว่านั้น

    เพราะแม้รู้ว่าร้อยทั้งร้อยคือคำโกหก
    ส่วนหนึ่งลึกๆ ข้างในมันก็ยังหวัง

    ว่าจะมีสักเศษเสี้ยว...ที่เป็นความจริง

    "ฉันอาจจะเลวที่นอกใจอนายริน...แต่มันก็เป็นเพราะฉันมีหัวใจ..."

    หัวใจมนุษย์ธรรมดาที่ถูกจับมากระทำย่ำยี
    ล่อลวงด้วยเสน่ห์มนตรา ปรนเปรอตัณหา

    ปลุกปั่นปั้นความสัมพันธ์จอมปลอม
    เพลิดเพลินระเริงเล่น...กับความรู้สึก

    ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ โน้มลงไป
    ริมฝีปากจรดใกล้ กระซิบ...จนมันสัมผัส

    "นายล่ะ...ไม่มีเลยหรือยังไง..."

    หัวใจ...?

    ร่างสูงบดเบียดเสียดกายกลืนเข้าหลอมรวมกับร่างเล็ก ส่งมือใหญ่เลื่อนไปข้างหลัง จับล็อคท้ายทอยอีกฝ่ายให้แหงนหน้ารับรสจูบอันแสนเศร้าเว้าวอน ยิ่งคนถูกรุกรานไม่ขัดขืนก็ยิ่งรุกไล่ แต่ไม่ว่าจะส่งความปรารถนาล้วงลึกลงไปแค่ไหน ให้ไปมากเท่าไร

    ก็ไม่มีสิ่งใด...ตอบรับกลับมา

    "มีสิ..."

    หัวใจ...

    "แต่มันไม่มีอะไรหลงเหลือให้คุณแล้ว"

    เพราะอย่างนี้ ถึงได้นิ่งเฉยยอมให้ล่วงล้ำ
    เพราะอย่างนี้ ถึงไม่ตอบรับ ไม่ผลักไส

    เพราะไม่รู้สึกอะไร

    "ต่อให้คุณจูบผมอีกพันครั้ง ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้"

    หัวใจดวงนี้ ถูกฝังไปพร้อมกับแฮร์รี่แล้ว

    ทอมยืนยันคำพูดด้วยการรั้งใบหน้าหล่อเหลาลงมาจุมพิตอีกครั้ง นุ่มนวล...อ่อนหวาน...ทว่ารุนแรงต่อหัวใจ ทั้งอ่อนโยน...โหยหา...เกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นเพียงแค่คำลวงหลอก

    "อะไรก็ตามที่คุณคิดว่าเกิดขึ้นระหว่างเรา...เอิร์ล...มันไม่จริง"

    จูบนี้ก็ไม่จริง?
    ทำไม...ถึงเก่งนัก

    หรือที่แยกไม่ออก...

    เป็นเพราะเขาโง่...ยอมให้หลอกเอง

    .
    .

    ไม่เคาะประตู บุกรุกเข้ามานั่งตรงข้าม
    คริสมองคนตัวเล็กลอดแว่นตา

    "ตื่นแล้วหรือครับ"

    ก้มลง อ่านเอกสารในมือต่อ
    ขยับปากกา ขีดเขียนลงไป

    คิลเลียนหน้ายู่ ปากยื่นหนักขึ้นไปอีก
    งอแงเหมือนเด็กสิบหกคนนั้นที่เขาจำได้ดี

    "ไหนว่าจะอยู่ด้วยกันไง..."

    คริสลูบปาก ใช้ความคิด
    ก่อนจะโดนฟาด ก็ยิ้มออกมา

    "สุดท้ายแล้วครับ จะได้ไปแล้ว..."

    เขาต้องจัดการทุกอย่างในองค์กรให้เรียบร้อยก่อนไป เพื่อช่วยให้เอิร์ลคนปัจจุบันบริหารงานได้อย่างมั่นคงกับอาณาเขตที่เพิ่มขึ้น คิลเลียนนั่งรอจนเบื่อ ไอ้เอกสารแผ่นสุดท้ายนั่นก็ยังไม่เสร็จธุระกับคริสเสียที

    "คริส"
    "..."
    "คริส..." 

    คิลเลียนลากเสียงยาว
    ยังไม่มีการตอบรับ

    คนกำลังจดจ่อสมาธิกับการตรวจแผนงานขั้นสุดท้าย ไม่รู้ตัวว่าตัวร้ายกำลังคืบคลานข้ามโต๊ะทำงานมา

    รู้ตัวอีกทีแผ่นกระดาษก็ถูกดันจนติดปาก
    ...ด้วยริมฝีปากของอีกคน

    "..."

    กระดาษถูกดันแนบเข้ามาอีก คิลเลียนปีนขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ สองมือประคองใบหน้าของคนบ้างานให้เงยขึ้นรับจูบ...ผ่านกระดาษแผ่นบาง

    "จะไปได้หรือยัง..." ถามเสียงเข้ม
    "แต่..."

    จูบปิดปาก ไม่ยอมให้ปฏิเสธ
    คริสดึงเอกสารออกจากหน้า

    ราวกับ...ถูกพระจันทร์สีฟ้าร่ายมนตร์สะกด

    "ไปก็ไปครับ..."

    .
    .

    ใครจะไปคิดว่าคุณดาวหางจะพามาถึงนี่
    นั่งเรือ ข้ามน้ำข้ามทะเล มายังไอร์แลนด์

    คอร์ก...บ้านเกิดเขา ที่ที่ทุกอย่างเริ่มต้น

    "จริงจังเหรอคริส..."

    ต้องให้ทุกอย่างจบลงที่นี่ด้วยหรือยังไง

    "ทำไมจะไม่ล่ะครับ"

    เป็นผู้ชายที่ทำให้ประหลาดใจได้เสมอจริงๆ

    คริสพาตัวเองและเขาเที่ยวเล่นไปรอบๆ ตัวเมือง ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากสมัยก่อนมากนัก ต่างคนต่างก็จากที่นี่ไปไกลยี่สิบกว่าปี แทบไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้ว มันคล้ายกับการเที่ยวชมเมืองที่ทั้งคู่ไม่รู้จัก 

    สิ่งเดียวที่พวกเขารู้จักในเมืองนั้น...
    คือกันและกัน

    มันก็ดีไปอีกแบบ

    ช่วยกันสร้างความทรงจำใหม่ๆ ขึ้นมา
    จะได้มีอะไรให้หวนนึกถึงไปอีกสักสิบปี

    ภาพสองเราช่วงวัยเด็กมันถูกใช้ในการคิดถึงคุณมายี่สิบห้าปีจนแทบไม่มีอะไรหลงเหลือให้ขุดรื้อขึ้นมาชมซ้ำแล้ว

    แชะ

    "คริส" 

    คิลเลียนพึมพำกึ่งดุ "ไปเอามาจากไหน"
    "ร้านขายของมือสองเมื่อกี้น่ะครับ"

    ยิ้มแก้มกลม รอให้ฟิล์มพิมพ์ภาพเจ้าตัวออกมา คนในรูปชะเง้อดูอย่างสนใจ แต่มือใหญ่ชูมันขึ้นเหนือศีรษะ จนอีกฝ่ายเอื้อมไม่ถึง

    "ภาพยังไม่ขึ้นครับ"
    "มันไม่รอนานขนาดนั้นซะหน่อย"
    "อีกพักหนึ่งจริงๆ..."
    "ถ่ายรูปผมไม่ขออนุญาต จ่ายเงินมาด้วย"
    "ขูดรีดเก่งจังเลยนะครับ"
    คิลเลียนเลิกคิ้ว "คิดว่าผมทำมาหากินอะไรมาตลอดชีวิตล่ะ"

    ก็ถูกของเขา...

    "แล้ว...ไม่คิดจะเลิกบ้างหรือครับ"

    คนตัวเล็กหยุดเดิน
    คริสแทบอยากกัดลิ้นตัวเอง

    คิลเลียนเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่พูด

    "..."

    หยุดทำให้ผมสงสัยมากไปกว่านี้ได้ไหม
    แค่นี้ก็ทนหลอกตัวเองจะไม่ไหวอยู่แล้ว

    "ผมขอโทษ..."
    "ขอโทษทำไม"

    พึมพำ ไม่ใส่ใจลากแขนคนตัวโตให้ไปต่อ 

    .
    .

    เป็นอีกคืนที่ทอมไม่ได้กลับบ้าน

    แจ็ครู้สึกเหมือนถูกทรมานซ้ำๆ ในทุกวัน เสื้อผ้าข้าวของของร่างเล็กยังอยู่ที่เดิม เจ้าตัวยังกลับมาวนเวียน แต่ไม่เคยนอนค้าง ไม่เคยอยู่ ทว่าก็ไม่ยอมหย่าและย้ายออกเช่นกัน ถ้าอีกฝ่ายทิ้งกันไปเลยทุกอย่างมันคงง่ายกว่านี้

    เขาเดาว่าทอมคงอยู่ออฟฟิศ
    และก็ถูก

    ไม่มีใครอยู่ในนั้นแล้วนอกจากทอม ผู้กำลังดูแลทั้งองค์กรแทนคนเป็นพ่อ ร่างสูงเคลื่อนกายใต้เงาจันทร์ สืบเท้าเข้าใกล้ ลอบมองคนตัวเล็กที่หลับใหลคาเก้าอี้ทำงานของตนเอง

    ค่อยๆ แง้มประตูออก
    เงียบเชียบ

    "..."

    ขยับ แต่ไม่ตื่น 

    ชายหนุ่มกระซิบ "ทอม..."
    เขย่าไหล่ใต้เสื้อเชิ้ตเบาๆ...หลับสนิท

    แจ็คถือวิสาสะช้อนร่างเจ้าตัวไปจัดให้นอนสบายขึ้นที่โซฟาตัวยาว ในห้องไม่มีหมอน เขาจึงทิ้งตัวลงนั่ง ประคองศีรษะของทอมขึ้นมาหนุนตักตน เส้นผมสีฟางซีดอ่อนกว่าของเขาพลิ้วตกลงปรกเปลือกตา

    นิ้วยาวเกลี่ยปอยผมนั้นขึ้นทัดหูเจ้าตัว

    "..."

    แจ็คพิจารณาทุกรายละเอียดอย่างชิดใกล้
    ใบหน้างดงามดูไร้เดียงสายามหลับใหล

    ดวงตาคู่นั้น
    จมูกโด่งรั้น
    ริมฝีปากหยักสวย

    ทั้งหมดที่เคยได้สัมผัส หยั่งรากลึกลงในจิตใจอย่างไม่อาจลบลืม แจ็คไม่อาจหาเหตุผลได้เลยว่าทำไม และหากเป็นเพียงความลุ่มหลง เหตุใดเมื่อรู้ความจริงแล้วเขาจึงไม่ถือโทษโกรธแค้น ไม่เกลียดคนคนนี้ให้สาสมกับที่โดนลวงหลอก

    ปลายนิ้วเรียวมนเหล่านั้น

    ยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสยามมือเล็กกุมมือของเขาเอาไว้ มันไม่เพียงหยุดเขาจากอาการวิตกจนกัดเล็บ แต่ยังปลอบประโลมจิตใจได้ดีนัก

    หลังมือแกร่งขยับระมัดระวัง
    คลอเคลียมือเล็กเพียงผิวเผิน

    ตอนนี้ทุกสัมผัส...กลับแผดเผาราวเปลวไฟ
    มอดไหม้ ทำลายจิตใจเขาให้วอดวาย

    '...มันไม่จริง' — คำนั้นยังก้องกังวานชัด

    ทุกอย่างช่างมีความหมายกับฉันเหลือเกิน
    แต่ไม่ใช่กับนาย...ไม่มีเลย

    ราวกับลมฝนที่ผ่านมาชั่วคราว

    ความสัมพันธ์อันแสนสั้นราวกับฝัน
    ชุ่มฉ่ำโปรยปราย รินรดชโลมใจ

    ก่อนเหือดแห้งแทรกซึมลงธรณี เลือนหาย
    หลงเหลือเป็นเพียงความทรงจำ

    แต่ฉันจะเป็นอิสระจากนายได้ยังไง

    "..."

    ถ้าในนิทราอันโดดเดี่ยวนั้น...
    นายยังกุมมือฉันเอาไว้แบบนี้

    .
    .

    "หนาว..."

    อากาศเย็นลงครั้นย่ำสนธยา

    คิลเลียนถูมือตัวเองเข้าด้วยกัน ก่อนเอามันกอดอก คนตัวโตคล้องสายกล้องโพลารอยด์ไว้รอบคอ คลายผ้าพันคอไหมพรมของตนออกมาพันให้ร่างเล็กบางนั้นแทน 

    "ขอโค้ทด้วย..."

    นิ้วเล็กๆ เอื้อมไปแกะกระดุมเสื้อโค้ทตัวยาวของคริสออก คุณชายของเขาได้แต่ก้มมอง อมยิ้มเอ็นดู 

    แต่เจ้าตัวไม่ได้ถอดมันออกไป
    กลับซุกตัวเข้ามากอดเขาในโค้ทแทน...

    "ไม่อายคนหรือครับ"

    คริสกระซิบ ปิดเสื้อสองฝั่งเข้าหากัน
    กอดคนในนั้นไว้หลวมๆ

    "ไม่มีใครรู้จักเราสักหน่อย..."

    คิลเลียนงึมงำ ซุกหน้าลงไปอีก
    จะอ้อนเก่งเกินไปแล้ว

    พลัน...เสียงหวีดหวิวก็กลับแผ่วพลิ้วเข้าโสตประสาท คริสนึกว่าตนหูฝาด แต่ยิ่งเงี่ยฟังยิ่งมั่นใจ เสียงสะอื้นเงียบๆ ดังมาจากคนในอ้อมแขน ที่ฝังใบหน้าลงมาคงเพราะแบบนี้สินะ

    "เป็นอะไรครับ"

    กลัว

    คิลเลียนเม้มปาก เงยหน้าขึ้น
    ทำเหมือนไม่มีอะไร

    "กลับบ้านได้ไหม..."

    บ้านหลังนั้น

    คฤหาสน์ริมทะเลกับคอกม้าที่เด็กชายคิลเลียนเคยอาศัยชายคา

    คนตัวเล็กถอนร่างออกจากอ้อมแขนอบอุ่น 
    คริสสละเสื้อโค้ทของตนให้อีกฝ่ายสวมไว้

    "ได้สิครับ"

    .
    .

    สะพานหินเป็นจุดที่เคยใช้เวลาด้วยกันบ่อย

    แค่ยืนมองท้องทะเล รับไอแดดอุ่นลม
    มองนกนางนวลบินลับขอบฟ้า

    ไม่ต้องมีอะไรทำก็ได้
    แค่ซึมซับกันและกันก็พอ

    "ร้องไห้ทำไมครับ..."

    คริสถามย้อนไปถึงตอนอยู่ในเมือง
    คิลเลียนสั่นหัว "ไม่มีอะไร"
    "คิลเลียน..."
    "หยุดเรียกชื่อผมสักที"
    "..."

    คนตัวโตเม้มปาก เก็บเสียง

    "คุณกลับมาทำไมกันแน่..."

    พยายามสลัดความคิดมาทั้งวันแล้วก็ยังไม่หลุด ทั้งที่อยากใช้เวลาช่วงสุดท้ายก่อนจากกันอย่างมีความสุขที่สุด แต่ก็ทำไม่ได้เพราะคำถามที่ค้างคาใจ

    เพราะคำตอบที่ลึกๆ ข้างในรู้ดี
    แต่จนวินาทีสุดท้าย ก็ยังพยายามปฏิเสธ

    เพราะทั้งที่ดูเหมือนกลับมาให้รัก มาเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย มาทำชีวิตอันแสนว่างเปล่าให้มีความหมายขึ้นอีกครั้ง แต่สิ่งที่แฝงตัวซ่อนเร้นอยู่ภายใต้กลับเป็นเจตนาอันไม่อาจคาดเดา

    คริสส่งมือปืนมาลอบยิงกันในคืนนั้น
    คริสโน้มน้าวให้เจมส์แยกแก๊งออกไป
    คริสบอกตำรวจให้ปิดบ่อนและโรงเหล้า

    คริสเป็นคนเดียวนอกจากทอมและคนดูแลคอกที่รู้ว่าเขามีม้าอยู่บนที่ดินนอกตัวเมือง และต่อมาม้าของเขาก็หายไป

    คิลเลียนค่อนข้างมั่นใจ เพราะไม่มีใครในเอิร์ลจะมีอำนาจสั่งการทุกอย่างและฉลาดรอบรู้เท่าคริสอีกแล้ว

    "คุณบอกว่าคุณไม่โกรธเรื่องที่ผมฆ่าน้องชาย แต่ที่คุณทำคือค่อยๆ พรากทุกอย่างในชีวิตของผมไป..."

    คริส โนแลนไม่สบตาเขา
    จ้องทะเลอันเวิ้งว้างกว้างไกล

    ง่ายกว่ามองทะเลสีจางในดวงตาคู่นั้นนัก

    "ปฏิเสธมาสิ อย่าเงียบแบบนี้ ไม่งั้นก็แค่พูดมาเลยว่าคุณไม่ได้รักผม..."
    "..."
    "มองผม คริส"

    เจ้าของชื่อยอมหันกลับมา
    สายตายังอ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลง

    ทุกอย่างพร่ามัว...อ่านไม่ได้ ไขไม่ออก

    "ผมอยากให้คุณหลับตา..."

    พระจันทร์สีฟ้ามองคริสอย่างสับสน

    "ลอง...จินตนาการถึงโลกที่มีแค่เรา ชีวิต...ที่มีแค่คุณกับผม ชอบความคิดนั้นไหมครับ คุณคิดว่ามันเป็นไปได้ไหม..."
    "..."
    "ถ้าผมบอกว่ามีทางหนึ่งที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน ไม่ต้องพรากจากกันอีก เราจะขีดเขียนดวงชะตาของตัวเองขึ้นใหม่..."

    ไม่ต้องให้ฟ้าหรือใครกำหนด

    "คุณ...จะเชื่อใจผมได้ไหม"

    หลังจากทั้งหมดที่คุณทำน่ะหรือ?
    หลังจากโกหก หลอกลวง ให้ตายใจ

    คิลเลียนกัดริมฝีปาก
    ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง

    สายตาทอดมองมือใหญ่ที่ยื่นออกมารอ

    ...

    จากยอดหอประภาคาร
    วิสัยทัศน์แลเห็นคริสได้ถนัด

    แต่คิลเลียนที่เป็นเป้าหมายถูกบังด้วยเสาไฟบนสะพาน

    "..."

    นัยน์ตาของเด็กหนุ่มจรดลงส่องลอดกล้องเล็งปืนอีกครั้ง ผ่อนลมหายใจ เฝ้ารอจังหวะให้คิลเลียนก้าวเดินออกมาข้างหน้า เข้าไปหาคริสที่ยื่นมือรออยู่

    นิ้วเรียวเตรียมสอดเข้าโกร่งไก

    หายใจ

    ...

    และแม้ไม่รู้อะไรเลย

    ไม่รู้...หากยอมเชื่อใจ จะต้องเจ็บอีกไหม
    ไม่รู้...หากร่วงลงไป คุณจะคว้าผมไว้รึเปล่า

    หัวใจดวงนี้ก็มีจุดอ่อนคือคุณมาแต่ต้น
    เพียงแค่คุณเอ่ยปาก...อะไรก็ยอม

    "..."

    ขาเล็กขยับออกไปหา ทีละก้าว
    เนตรสีครามซีดใต้ฟ้าอึมครึมจับจด...

    ดวงตาของคุณที่มองเพียงแต่ผม
    จมูกของคุณที่หายใจให้ผมซึมซับ
    ริมฝีปากของคุณที่ส่งยิ้มอ่อนโยนชโลมใจ

    ยิ้มให้ผมอีกได้ไหม...

    ยิ้มให้...






    .

    .






    ปัง!







    TBC
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
a wallflower girl (@polypor)
ขม ขมมากๆเลยค่ะ ตัวละครสีเทาหมดเลย คุณนักกฏหมายก็แอบร้ายนะคะ ไม่รู้ตอนนี้จะสมน้ำหน้าเอิร์ลดีมั้ย ทิ้งเค้ามาเพื่อมาโดนทิ้งต่อ วงวารก็ได้