เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าเมื่อเราไปเมืองสิงค์ ( in 2015)SnapDiary
Chapter07-ท่องราตรีที่มีแต่เรา


  • เมื่ออาบน้ำเสร็จ ไม่รู้เพราะอะไร ผมจึงรู้สึกไม่อยากขัดจังหวะการนอนของน้องรูมเมท

    อาจเพราะเสียงกรนที่ดังไปทั่วห้องกำลังบอกว่า น้องเค้าได้เดินทางเข้าสู่ช่วงการหลับลึกแบบขั้นสุด การปลุกกลางคันแบบนี้ อาจจะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพน้องแน่ๆ ปล่อยให้เค้ารู้สึกตัว ตื่นขึ้นมาอาบน้ำเองจะดีกว่า


    อีกอย่าง เมื่อได้ความเย็นจากสายน้ำชำระร่างกาย ความสดชื่นก็กลับมาหาผมอีกครั้ง พอไม่ง่วง แบบนี้ การนอนฟังเสียงกรน คงไม่ดีเท่ากับ การออกไปสำรวจเมืองยามราตรี หรอกเน๊อะ


    มีหนังสือไกด์บุ๊คเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่านบอกว่า “เวลาไปเที่ยว นอนให้พอประมาณ แล้วจงพาตัวเองออกมาเจอโลกใบใหม่ที่ไปเยือน” โอเคๆ ผมเห็นด้วย จึงเริ่มเก็บของลงกระเป๋า แต่พอเก็บไปเก็บมา ก็บอกตัวเองว่า “มึงจะเก็บไรเยอะแยะ ไปเดินเล่นใกล้ๆ แถวนี้เอง” เมื่อคิดได้อย่างนั้น ผมจึงคว้าแต่มือถือ พาสปอร์ต กับกระเป่าตังค์ แล้วพาตัวเองออกมาจากห้อง (กล้องฝากน้องผู้หญิงชาร์จแบต ไม่เคาะรบกวนเค้าน่าจะเป็นการดี)


    เมื่อเดินลงมาถึงล็อบบี้ พนักงานกะดึกก็ส่งยิ้มให้ พร้อมส่งคำทักทาย แปลความหมายได้ว่า “ ยูต้องการอะไร ที่ห้องมีปัญหาอะไรหรือไม่” ผมตอบกลับไปว่า “โนว์ๆ ไอแค่ นอนไม่หลับ ว่าจะออกไปเดินเที่ยวแถวนี้เสียหน่อย” พนักงานส่งยิ้มกลับมาอีกครั้ง ผมที่กำลังอยากฝึกภาษาอังกฤษ เลยบอกตัวเองว่า มึงไม่ควรจบการสนทนาง่ายๆ แบบนี้นะเว้ย...โอกาสมาถึงแล้ว..ยิงคำถามกลับไปด่วนเลย


    ประเภทคำถามง่ายๆ ก็ได้ เช่น แถวนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรีมั้ย หรือแบบ ผมควรไปนั่งดื่มชิวๆที่ไหนอะไรแบบนี้ ถ้าผมจะไปย่านเกลังตอนนี้ ต้องไปวิธีไหนบ้างอะไรทำนองนี้

    เอาล่ะเริ่มได้…

    ฟิ้ว.ววววววว.ววววว


    ความว่างเปล่าวิ่งเข้ามาแทนความคิดในหัว ความเป็นจริงคือ ใบ้แดกอ่ะ คิดรูปประโยคภาษาไม่ออก เลยได้แต่ส่งยิ้มกลับไป แล้วเดินออกมาจากที่ตรงนั้นเงียบๆ

    แฮร่!!!


    เมื่อเปิดประตูออกมาก็พบกับท้องถนนอันเงียบเชียบยามราตรี ผมมองซ้ายที ขวาที ไม่รู้จะไปทางไหน เลยตัดสินใจ เลี้ยวขวาตามความเคยชิน เดินมาเรื่อยๆ ก็เจอสี่แยก และหากเลี้ยวขวาอีกทีก็จะเจอป้ายรถเมล์ที่กรุ๊ปเราขึ้นลงรถประจำ ผมเลยลองเลี้ยวซ้าย ไปทางใหม่ เดินชิวๆไปตามถนนที่มีแสงไฟสว่างไสว(รู้สึกปลอดภัยกว่าเดินบ้านเราจริงๆนะ)


    ผมเดินมาไกลพอควร ก็พบกับย่านราตรีแถวนี้ มองแวบแรกในระยะไกล มันมีลักษณะเป็นห้องแถวเรียงต่อกัน เป็นร้านกึ่งผับ กึ่งบาร์ (มั้งนะ) อารมณ์ประมานร้านแถวถนนพระอาทิตย์บ้านเรา มีกลุ่มคนยืนอยู่หน้าร้านพอประมาณ ชายสองคนกำลังยืนสูบบุหรี่คุยกัน เห็นกลุ่มควันลอยในอากาศเหนือหัวพวกเขาจางๆ


    ผมเดินตรงไปที่นั่น อยากเข้าไปเห็นใกล้ๆ คิดในใจ หากเจอร้านที่เหมาะ นั่งสัมผัสบรรยากาศริมถนนได้ ก็จะลองนั่งเล่น ดื่มอะไรซักแก้วซักขวด แต่เมื่อเข้าใกล้ระยะที่เห็นรายละเอียดเยอะขึ้น พบว่า ทุกร้าน เป็นร้านแบบห้องแถวก็จริง แต่ทุกร้านมีประตูกั้นเสียงและคนมิดชิด ไม่รบกวนภายนอก เข้าใจว่า...ที่นี่คงห้ามสูบบุหรี่ในร้าน ชายสองคนที่ผมเพิ่งเดินผ่านมา จึงออกมาพ่นควันริมถนน


    เมื่อได้คำตอบแบบนี้ ก็เปลี่ยนใจ คงไม่มีอะไรดีไปกว่า การล้วงมือถือออกเก็บภาพบรรยากาศไว้ แล้วเดินต่อไป...

    บนถนนที่ไกลออกจากร้านรวง ผู้คนเริ่มบางตา เดินมาช่วงเวลาหนึ่ง จึงเหลือผมคนเดียว ผมหันหลังกลับไปมองด้านหลัง แล้วก้มลงมองเท้าที่ยืนนิ่งบนพื้นผิวถนน


    สูดหายใจ ยืนนับนาทีที่ผ่านไป แล้วบอกตัวเองว่า การได้อยู่ ได้เดินคนเดียวในถนนต่างแดนแบบนี้ มันให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลยเน๊อะ มันว่างเปล่าแต่ไม่เหงา เบาหวิวในความรู้สึกแต่ไม่โดดเดี่ยว ได้ปล่อยเรื่องราวงานการที่ยุ่งเหยิง วางปัญหาที่แบกไว้ชั่วครู่ ได้คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก้าวเดินไปบนถนนที่เราไม่คุ้นชิน

    เฮ้!!!!! สบายใจจัง


    ผมยิ้มให้กับช่วงเวลานี้ของตัวเอง แล้วเดินเลี้ยวซ้าย วนกลับโรงแรม เดินมาไม่กี่ร้อยเมตร ผมก็เห็นป้ายรถเมล์ในความสลัว แสงไฟยังคงส่องถึงที่นั่งไร้ผู้คน แล้วความคิดผมก็วนกลับมาคิดถึงใครคนหนึ่ง(อีกแล้ว) คนที่เงาของเธอและผมเคยทาทับไปบนถนนด้วยกันในคืนฝนตก ฝนในคืนนั้นรุกรานให้เราวิ่งหาที่หลบ จนเจอป้ายรถเมล์ที่หนึ่ง ที่ตรงนั้นเราสอง ยืนนับนาที รอคอยให้เม็ดน้ำจางหายไปจากฟ้า


    จนกระทั้ง....


    ผมรีบสลัดความคิดนี้ทิ้งไป แล้วหยุดเปิดกูเกิ้ลแมพ ในแอพบอกให้เลี้ยวขวา เข้าหาถนน ไม่ซิ เรียกว่าตรอกหรือ ซอยเล็กๆ ดีกว่า ผมเดินตามทางชี้บอก เข้าสู่ตรอกนั้น..เดินผ่านร้านรวงต่างๆที่ปิดประตูเงียบ มีเพียงแสงไฟจากโคมกระดาษที่ บางบ้านยังนิยมแขวนไว้ให้คนเดินผ่านไปมาพอเห็นทางเดิน


    ผมเดินเรื่อยๆมาจน พบกับ เซเว่นข้างโรงแรม เฮ้! มาถูกทางแฮะ กูเกิ้ลแมพทำงานไม่ผิดพลาดอ่ะ

    ผมเก็บมือถือเข้ากระเป๋า แล้วเดินตรงเข้าหาเซเว่น


    กิจกรรมหนึ่งที่ผมชอบทำในยามที่ออกเดินทางไปต่างประเทศคือ การสำรวจเซเว่นบ้านเค้า (โห.. เขียนยังกะไปมาเยอะ จริงคือ 3 ประเทศเอง) เมื่อกลางวันและหัวค่ำ การมากับกรุ๊ป ทำให้กิจกรรมที่ว่านี้ ทำได้ไม่สะดวกนัก ผมจึงอยากใช้ช่วงเวลาก่อนเข้านอน สำรวจเซเว่น ให้ครบทุกซอกทุกมุม


    เมื่อเปิดประตูเข้าไป พนักงานเซเว่นทักทาย อย่างเป็นกันเอง ผมยิ้ม ให้เขาแล้วเดินดูโน่น นี่ นั่น หยิบแล้ววาง วางแล้วหยิบ จนพนักงานคงสังเกตเห็นความผิดปรกติ จึงเดินมาถาม ผมล้วงเอาพาสปอร์ตให้เค้าดู แล้วบอกว่าเป็นนักท่องเที่ยว(เด้อ) ขอเลือกของนานหน่อย พนักงานคงจะไม่เข้าใจ หรือไม่ก็ การเรียงรูปประโยคของผมอาจผิด เขาเลยถามกลับมาว่า...ผมหาอะไรอยู่ ที่ใช้เวลาหาอยู่นาน


    ผมเลยตอบส่งเดทไปว่า แชมพู เฮดแอนด์โชว์เดอร์ (ที่บ้านกูหายากมาก ที่นี่ไม่มีแน่ๆ) พนักงานยิ้ม แล้วชี้ไปที่ชั้นแชมพู เฮดแอนด์โชว์เดอร์ ขวดภาษาไทย ยืนยิ้มให้อยู่บนชั้นวาง


    เอ๋า! ทำไมที่นี่หาง่ายจัง มีขายด้วย


    ผมยิ้มให้พนักงาน ดูราคาที่ข้างขวด แพงใช่เล่น เลยทำทีเป็นเลือกขวดสีโน่น นี่ นั่น แล้วก็วางมันกลับที่เดิม

    เมื่อการณ์ออกมาเป็นเช่นนี้ ผมคงใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน เลยตัดสินใจ เข้าหามุมที่คุ้นเคย ใช่แล้วครับ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หลากรสชาติ วางเรียงรายอยู่บนชั้นนั่นแหละ ที่ผมเดินตรงเข้าหา


    มาถึงบ้านเค้า ถ้าไม่ลองลิ้มรส มาม่าที่เขามี ถือว่ายังมาไม่ถึง นี่เป็นคติประจำใจ ที่ยึดถือมาตลอด การเดินทางของผม(เอ้า! ดนตรีมา!)


    ผมตัดสินใจเลือกรสอาหารประจำชาติ ของบ้านเค้า ไม่นานมาม่ารสลักซา ก็มาอยู่ในมือผม ความอุ่นของถ้วย รอยยิ้มพนักงาน น้ำโซดาโทนิคกระป๋องที่เย็นชื่นใจกับ บรรยากาศที่เป็นใจแบบนี้ เราควรหาที่นั่งซดให้ถึงรสมาม่ายามดึก


    ผมบอกตัวเอง แล้วพยายามมองหา ม้านั่งแถวหน้าเซเว่น 

    ไม่มี! บ้านเค้าไม่มีที่นั่งชิวหน้าเซเว่นแบบบ้านเรา ผมหันซ้ายไปทางโรงแรม


    ที่หน้าโรงแรมก็ไม่มี เอ๋... หรือที่นี่ เขาไม่นั่งชิวริมถนนกัน ฮึ!

    เมื่อไม่มีที่นั่ง ผมเดินพลางซดพลาง จนมาจบด้วยการยืนพิงเสาหน้าทางเข้าโรงแรม ไหล่อิงผนัง มือนึงถือถ้วย มือนึงจับตะเกียบ คีบเส้นมาม่าขึ้นมาดูด ซดน้ำ

    อา....แซ่บจัง


    ผมมองดูบรรยากาศรอบๆ ไอร้อนของมาม่า ลอยผ่านม่านตา แล้วมโนว่า ตัวเองเป็นเหลียงเฉ่าเหว่ยในหนังของเฮียหว่อง กำลังมโนได้ที่ ก็ได้ยินเสียงเบรกรถหน้าโรงแรม


    ผมหันไปทางต้นเสียง ประตูรถแท็กซี่เปิดออก ผู้หญิงคนหนึ่ง ก้าวลงมาจากรถ เธอมองไปรอบๆ แล้วมองมาที่ผม พร้อมยิงคำถาม “ ยู คอล มี ? “


    แล้วสิ่งที่ผมสงสัยว่าทำไม หน้า โรงแรมไม่มี ม้านั่ง รวมถึง หน้าเซเว่น แล้วก็ รอบๆ ที่นี่ถึงไม่มีที่นั่งคอย


    ผมได้คำตอบแล้ว....


    ผมยิ้มให้เธอ และพร้อมกับการส่ายหัว เธอดูท่าทางหัวเสีย แล้วหันกลับไปบอกแท็กซี่ให้รอหน่อย...


    เวลาผ่านไป ครูหนึ่ง เธอยังยืนรอใครคนหนึ่งอยู่...


    ผมจึงตัดสินใจ ทิ้งถ้วยมาม่า น้ำซุบรสลักซา หกลงพื้น ผมไม่สนใจ รุดไปดึงแขนเธอ แล้วดึงเธอขึ้นรถ 

    บอกแท็กซี่ โก!

    เฮ้ย!!! เดี่ยวก๊อนนนน กลับมา มโนไปไกลแล้ว....


    ผมดึงตัวเองกลับมาจากภาพจินตนาการเมื่อครู่ พร้อมหันกลับไปเจอภาพความจริง ฝรั่งคนหนึ่งเปิดประตูโรงแรมออกมา พร้อมกับยกมือขอโทษเธอที่ทำให้รอนาน เธอยิ้ม ดูอามรณ์ดีขึ้น ทั้งสองเปิดประตูเข้าไปที่ห้องโดยสาร ไม่นานแท็กซี่ก็เคลื่อนตัวออกไป ทิ้งกลุ่มควันจางๆ ไว้เบื้องหลัง


    ผมหันกลับมาสนใจถ้วยมาม่าของตัวเอง บรรจงคีบเส้นที่เหลือรวบให้อยู่ในคำเดียว คำสุดท้ายถูกส่งเข้าปาก ซดน้ำซุบหมดถ้วย ตามด้วย โทนิคโซดารสซ่า....


    อา....ได้รสชาติจังคืนนี้


    ผมทิ้งทุกอย่างที่หมดลงไว้ที่ถังขยะหน้าโรงแรม แล้วเดินเข้าหาประตู


    นอนดีกว่า...คืนนี้มโนมาเยอะแล้ว....


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in