เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าเมื่อเราไปเมืองสิงค์ ( in 2015)SnapDiary
Chapter-06 -- เหนื่อย หิว ถึงคิวกินข้าวมันไก่ --



  • ในขณะที่เรากำลังเดินไปศูนย์อาหาร ที่ตั้งอยู่บริเวณเดียวกัน ผมคุยกับน้องที่ช่วยกันวางโปรแกรมการเที่ยวครั้งนี้ว่า เราหลุด(ไปไม่ทัน)สถานที่สำคัญที่หนึ่ง คือ”น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง” เราจะไปกันวันไหนดี หรือจะวกกลับมาเก็บในวันกลับ(ก่อนขึ้นเครื่อง) กินข้าวเสร็จแล้ว... จะไปที่เดินเล่นแถวๆ คลาร์ก คีย์ ต่อหรือเปล่า


    ฟิ้ว...วววววว....ไร้เสียงตอบรับจากทุกคน


    ผมหันไปมองน้องๆ แต่ละคนนั้นออกอาการ ตาละห้อยด้วยความเหนื่อยและหิว มีเพียงขาเท่านั้นที่ถูกสั่งการว่า จงก้าวต่อไปให้ถึงที่กินข้าว- ผมมองภาพนั้นแล้วลองคำนวณเวลาคร่าวๆ- เราขึ้นรถทัวร์จากขอนแก่นตอน 22. 00 น. ถึงสนามบินดอนเมืองตอนตี4 ล้างหน้าล้างตารอขึ้นเครื่อง ตอน6.30 น มาถึงที่นี่ ก็เที่ยวต่อ ได้กินข้าว 1 มื้อ จนกระทั่งตอนนี้หากเป็นเวลาที่ไทยก็ราว 20.00น. พลังงานในร่างกายคงถูกงัดขึ้นมาใช้จนเจียนจะหมด



    เอาล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ ผมว่า..เราไม่ควรจะสนใจอะไรทั้งนั้น สถานที่ไหนที่พลาดไป ไม่เป็นไร ค่อยว่ากันทีหลัง ขออย่างเดียว วันนี้เราจะต้องไม่พลาด”ข้าวมันไก่สิงคโปร์”



    ศูนย์อาหารที่กำลังจะไป ไม่อยู่ในรีวิวใดๆที่อ่านมา แต่เราเห็นตอนเดินผ่านช่วงจะไปสะพานเกลียว (Helix Bridge) และเดาเอาว่า น่าจะมีข้าวมันไก่ รวมถึงอาหารหลายๆ อย่างให้ชิม (ผมกลับมาหาข้อมูลทีหลัง พบว่า ที่นี่ชื่อ ศูนย์อาหาร Makansutra Gluttons Bay )


    เมื่อเราทั้งสี่มาถึง ที่นั่งกินแบบชิวๆมองเห็นวิวริมอ่าวนั้นเต็ม เลยเดินเข้าไปข้างใน ภาพที่เห็นก็เหมือนกับศูนย์อาหารทั่วไป คือ บริเวณโดยรอบประกอบด้วยร้านรวงต่างๆมากมาย มีโต๊ะเก้าอี้อยู่ตรงกลางไว้ให้เลือกนั่งตามใจชอบ เราคงมาถูกช่วงเวลาที่ทุกคนต้องการอาหารลงท้อง โต๊ะทุกที่ทั้งด้านในและนอกจึงเต็ม



    ผมมองไปที่ป้ายรูปอาหารของแต่ละร้าน ไม่รู้เพราะเค้าถ่ายรูปได้ดี สวยงาม หรือเพราะหิว จึงมองทุกอย่างน่ากินไปหมด

    กวาดสายตารอบเดียวก็มองออกว่า อาหารจานเด็ดของศูนย์อาหารนี้คือ “ข้าวมันไก่” เพราะมีอยู่แทบจะทุกร้าน ความยากในตอนนี้คือ แล้วเราจะเลือกร้านไหนดี ผมหันไปปรึกษาน้องๆได้ความว่า ต่างคนต่างสุ่มเลือกร้านและอาหารที่อยากกินคนละอย่างสองอย่าง “แล้วเอามากินด้วยกันดีกว่าเน๊อะ” ทุกคนเห็นด้วย


    ก่อนแยกย้ายไปซื้อ โชคก็เป็นของเรา มีฝรั่งกลุ่มหนึ่ง ลุกออกจากโต๊ะพอดี ด้วยความเร็วที่ฝึกฝน และสั่งสมประสบการณ์มาจากการช่วงชิงโต๊ะที่โรงอาหารมหาลัย ผมจึงได้โต๊ะก่อนนักท่องเที่ยวชาวจีนเพียงเสี้ยวนาที

    จากนั้น ...ผมเสียสละ เฝ้าโต๊ะ(จริงๆ ยังคิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไร)ให้น้องๆไปเลือกซื้ออาหารตามใจชอบก่อน


    เวลาผ่านไปไม่นาน...ทุกคนก็ได้อาหารกลับมา รวมทั้งผม ที่ใช้สูตรเดิมๆว่า...หากคนมุงร้านไหน ร้านนั้นจะอร่อย(โดยเลี่ยงร้านที่ทัวร์จีนกำลังมุง) ผมซื้อข้าวมันไก่ แบบแยกข้าวมา 1 ชุด (ตามรูป ที่พนักงานเชียร์อาหารหน้าร้านแนะนำ)กับ ผัดเส้นหมี่สีเหลือง ซึ่งเดาว่าคงเป็น ผัดหมี่ฮกเกี้ยน


    พอวางอาหารลงครบก็พบว่า....

    ทุกคนคิดเหมือนกันเป๊ะ บนโต๊ะอาหารของเราจึงประกอบด้วย ข้าวมันไก่(แบบแยกไก่) 4ชุด ผัดหมี่ฮกเกี้ยนทะเล1จาน ดีที่...น้องคนหนึ่ง สั่ง ตับไก่สับมาแกล้มด้วย อาหารมื้อนี้จึงมาเลี่ยนมันไก่มากนัก

    (เอ...ตับที่สับในจานก็ตับไก่นะ ไม่เลี่ยนหรอ?)



    จากการลิ้มรสข้าวมันไก่คำแรก แบบยังไม่ฟันธงสรุป (เพราะยังไม่ได้กินร้านที่คนไทยว่าเด็ด) ผมว่า...รสชาตินั้นไม่ต่างจากข้าวมันไก่บ้านเรามากนัก ต่างกันหน่อยก็คือ ไก่เค้าจะนุ่มกว่า ข้าวคล้ายๆกัน แต่น้ำจิ้มนี่ซิ ทั้งสองชนิด(แบบซีอิ้วดำ กับแบบหวานเหมือน น้ำจิ้มไก่) ล้วนไม่ถูกปากผมเลย รู้สึกว่ามันหวานและเลี่ยนไป (อยากเติมพริก กระเทียม ขิงสับมากๆ)


    เราสี่ คนพูดคุยเกี่ยวกับรสอาหารในช่วงแรกที่ได้ชิม ไม่กี่นาทีถัดมา ก็ไร้เสียงตอบรับจากทุกคน เราต่างก้มหน้าก้มตากินด้วยความหิว อาหารหมดภายในอีกไม่กี่นาทีต่อมา


    เรามองไปรอบๆ อีกครั้ง แน่นอนว่า..นั่นคือการมองหาอาหารจานต่อไป การเบิ้ลครั้งถัดมาบางคนลองเปลี่ยนร้าน ผมก็เช่นกัน ที่ไม่รู้จะเปลี่ยนไปลองเมนูไหน เลยเปลี่ยนมากิน ข้าวมันไก่อีกร้านที่เล็งไว้ ผลก็คือ รสไม่ต่างมากนัก ปิดท้ายด้วยตับไก่สับ และ ผัดหมี่ฮกเกี้ยนที่ตัวเองซื้อเอง ต้องรับผิดชอบกินให้หมดเอง (ไม่อร่อยเลย จืดชืดมาก)


    มื้อนี้จบด้วยการ นับจานที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ พร้อมคำอุทานของทุกคนว่า....โห..กินเยอะ อิ่มจัง หมดตังค์เยอะมั้ยนะ ไหนลองนับดิ๊ (ราคาอาหารที่นี่เริ่มที่ 7 SGD)


    ผมคำนวณเงินที่จ่ายไป มื้อนี้ ตกคนละ 300 กว่าบาท


    เอาล่ะ อิ่มหมีพีมัน เอ้ย อิ่มข้าวมันไก่ กันขนาดนี้แล้ว ผมคาดว่า เรี่ยวแรงคงกลับมาหาทุกคนไม่น้อย เลยลองถามว่า"จะไป ไหนกันต่อไหม?" " สนใจเดินเล่นย่าน คลาร์ก คีย์ หรือเปล่า?"


    ผิดคาดครับ ทุกคนตอบกลับมาว่า..."เหนื่อย ง่วง เรากลับกันเถอะพี่ "


    จากนั้น เราทั้งสี่ เดินย้อนกลับทางเดิม เพื่อไปสถานี MRT ที่ใกล้จุดที่เราอยู่มากที่สุด ระหว่างทาง เราแวะนั่งพักตรงเวทีการแสดงที่ยื่นเข้าไปในอ่าว ที่ตรงนั้นมีการแสดงของวงดนตรีวงหนึ่ง ที่มีชาวต่างชาติให้ความสนใจอยู่มากเลยทีเดียว



    เสียงเพลงบรรเลงทำให้เราหยุดดูและฟังช่วงหนึ่ง แล้วก็ชวนกันไปต่อ และในระหว่างที่เรากำลังเดินเพลินๆ น้องคนหนึ่งก็มากระซิบผมว่า...”พี่ๆ ข้าศึกบุก อ่ะ” ผมหันไปยิ้มให้ “เชิญไปสู้รบกับมันในห้องน้ำเลย “ ตามสบาย “เดี๋ยวนั่งรอที่นี่”

    เราที่เหลือ3คน เลยได้นั่งรอน้องคนนั้นไปรบ ตรงทางเดินริมอ่าว ไปพลางๆ


    เมื่อไม่มีอะไรทำ ผมเลยผมนั่งมองท้องฟ้า แสงไฟ มองตึกเรือ ผู้คน มองโน่น นี่ นั่นไปเรื่อย สูดหายใจลึกๆ เก็บเอาอากาศบ้านเค้าให้เต็มอิ่ม พอหันไปหาสองคนข้างๆ ก็เห็นน้องเค้าฟุบหลับในท่ากอดเข่าแล้ว...

    ในขณะที่คิดว่าจะสะกิดปลุกน้องเค้า หรือจะลุกไปตามคนที่เข้าห้องน้ำดี ก็ได้ยินเสียงดนตรี 

    “ แต่น.นนนนน...แต้น.นนนนน!!!” พร้อมๆกับเสียงปรบมือของผู้คนแถวนั้น เมื่อหันไปทางอ่าวต้นเสียง ก็พบกับการแสดง แสงสี เสียง ที่มาจากตึกเรือ( Wonder Full-Light & Water - Marina Bay Sands) ผมร้อง เฮ้ย!!! พร้อมกับปลุกน้องๆ ขึ้นมาดู



    โห..ลืมไปเลยนะเนี่ย ว่ามีการแสดงนี้อยู่ คิดในใจ โชคดีจังที่น้องเค้าปวดหนัก ไม่งั้นเราคงพลาดการแสดงชุดนี้

    เราสามคน นั่งชมและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ผมพยายามโทรไลน์หาน้องคนที่อยู่ในห้องน้ำ เผื่อเค้าจะทำธุระเสร็จทันออกมาได้ดูชม ปรากฏว่า น้องเค้ารับสายตอนการแสดงจบลงพอดี



    เมื่อคนที่เพิ่งสู้กับข้าศึกเสร็จ เดินออกมาจากห้องน้ำ เธอปาดเหงื่อไปหนึ่งหน พร้อมกับคำบ่นบ่นอุบอิบ ว่าตัวเองนั้นมาไม่ทันการ เราทั้งสาม ทำอะไรไม่ได้ นอกจากส่งยิ้มและคำขอบคุณ ที่การรบของเธอครั้งนี้ทำให้เราได้ชมการแสดง

    อิ อิ...


    “โอ้ย...เสียดายอ่ะพี่ มีอีกรอบตอนไหนนะ” เธอถามผมด้วยความเสียดาย

    “อีกประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ รอไหวมั้ย “ ผมตอบ

    “หรือจะไปเดิน คลาร์ก คีย์ รอ” อีกคนเสนอ

    “ไม่เอาอ่ะ เหนื่อยแล้ว... กลับก็ได้ ฮุ๊!!! “ เธอบอกแบบปลงๆแล้วเดินนำกลุ่มไป


    อย่างที่ใครคนหนึ่งว่าไว้ “การเดินทางขากลับ จะรู้สึกเร็วกว่าขามาเสมอ” เช่นกัน ผมรู้สึกว่า เราทั้งสี่ ใช้เวลาไม่นานก็ถึงสถานที MRT เราขึ้นรถไฟมาโผล่ที่ Dakota จากนั้นก็ข้ามสะพานลอย มารอรถเมล์ที่ป้ายฝั่งตรงข้าม ไม่กี่นาที รถก็มา

    รถเมล์วิ่งไปเรื่อยๆ เมื่อถึงป้าย ก็หยุด ประตูเปิดออกให้ผู้โดยสารลงตามปรกติ แต่ครั้งนี้คนขับไม่เคลื่อนรถออกไปเหมือนเคย


    เอ..มีอะไรหรือเปล่านะ?


    ผมมองไปทางด้านหน้ารถ เห็นพี่คนขับเปิดประตูลงจากที่นั่ง เขาเดินอ้อมมาตรงประตูด้านข้างรถ แล้วยกแผ่นรองที่ฝังตัวตรงพื้นทางออกขึ้น เขาเลื่อนมันออกมาชิดกับขอบฟุตบาท มันกลายเป็นทางเลื่อนลง ให้น้องผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งรถเข็นอยู่บนรถเมล์ เคลื่อนรถลงจากรถเมล์สู่ทางเท้าอย่างง่ายดาย จากนั้นแผ่นสไลท์ทางลงก็ถูกพับกลับเข้าที่เดิม(ผมถ่ายรูปทันช่วงนี้) คนขับรถเมล์ ก็เดินอ้อมตัวรถ เข้าสู่ที่นั่ง แล้วเคลื่อนรถออกไปตามปรกติ

    ผมหันไปมองตามน้องที่นั่งรถเข็นคนเมื่อครู่ที่ริมถนน เธอมาคนเดียว แล้วก็ดูมั่นใจที่จะใช้ชีวิตที่นี่อย่างปรกติสุข



    ผมมองภาพที่เห็นตรงหน้า แล้วคิดถึงตอนหาข้อมูลเขียนงานที่ทำให้ได้ค่าจ้างมาเที่ยวที่นี่ ในนั้นบอกว่า สิงคโปร์เป็นเมือง อารยสถาปัตย์(Universal Design)อันดับต้นๆของเอเชีย ภาพที่เห็นเมื่อครู่ทำให้พบคำตอบแล้วว่า นี่แหละ ของจริง ตามหนังสือว่าไว้


    รถเคลื่อนตัวออกห่างจากเธอบนรถเข็น ผมมองเธอจนลับสายตา แล้วกลับมาคุยกับน้องที่นั่งข้างๆว่า ถ้าเป็นที่บ้านเราคนขับรถเมล์เขาจะมีเวลาลงมาทำอะไรแบบนี้มั้ยนะ


    ไม่มีคำตอบในคำถามนั้น เหมือนว่ามันลอยหายไปกับอากาศเมื่อครู่นี้


    รถวิ่งต่อไปจนถึงป้ายที่เราจะลง คนที่เดินบนทางเท้าริมถนนยังพอมีให้เห็น ไม่เยอะพลุกพล่าน ชวนให้นึกว่าเป็นเวลายามดึก ทั้งๆที่เพิ่งจะ 4 ทุ่มนิดๆ (ตามเวลาท้องถิ่น)


    เมื่อเราทั้งสี่ลงจากรถเมล์ ทุกคนออกอาการเดินแบบถ่านอ่อน แบตจะหมดอยู่รอมร่อ ร่างแหลกไร้แรงแบบนี้ คงพร้อมทะยานสู่เตียงนอนแล้วแน่ๆ


    เราเดินเลี้ยวซ้ายมาไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงหน้าโรงแรม และสะกิดเตือนกันว่า ทุกคนควรเข้าเซเว่นซื้อน้ำเปล่าก่อน เพราะในตู้เย็นที่โรงแรมเค้าคิดตังค์นะ เราใช้เวลาไม่นานในเซเว่นเพื่อซื้อของใช้ส่วนตัว จากนั้นก็นัดหมายเวลากันสำหรับเช้าวันรุ่งขึ้น แล้ว แยกย้ายกันที่ล็อบบี้


    เมื่อถึงห้อง ผมกับน้องรูมเมท พุ่งเข้าหาเตียงนอนตัวเองทันที ต่างคนต่างเกรงใจ บอกให้อีกฝ่ายอาบน้ำก่อนเลย เดี๋ยวเสียสละอาบทีหลังเอง


    เหมือนเวลาหายไปเสี้ยวนาทีหนึ่ง ผมรู้สึกตัวอีกที ก็ได้ยินเสียงกรนของน้องรูมเมทแล้ว...

    ไม่น่าเชื่อว่า เวลาที่หายไปนั้น คือ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง


    โอเค....คงต้องเป็นผมแล้วล่ะ ที่จะอาบน้ำก่อน


    เสร็จแล้ว...ค่อยปลุกน้องรูมเมท ให้ลุกขึ้นอาบน้ำ ก่อนเข้านอนอีกครั้งละกัน

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in