เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เวิ่นอนิเมะ มังงะ เว็บตูนEverblue
[Anime] Jujutsu Kaisen: ZERO บอกเล่าเดอะมูฟวี่จากอนิเมะโอนลี่คนหนึ่ง
  • Contains spoiler 100%

    โปรดระวังสปอยล์

    เปิดเผยจุดสำคัญของ movie 0 + Jujutsu Kaisen season 1 


    วันนี้ขอมาแบบสั้นๆ แล้วกันค่ะ เรื่องมันมีอยู่ว่า เราไปดู Jujutsu Kaisen: Zero มา เลยอยากจะมาเวิ่นเว้อถึงซักหน่อย แต่ด้วยความที่เราไม่ได้เรียนด้านฟิล์มแล้วก็ด้านการวิจารณ์หนังมา รีวิวนี้ก็จะเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ เลยค่ะ5555 ไม่ได้มีด้านเทคนิคอะไรเท่าไหร่ ขอให้อ่านให้สนุกค่ะ





    เรื่องย่อ


    อคคตสึ ยูตะ เป็นเด็กหนุ่มที่มีวิญญาณคำสาปพลังมหาศาลติดตามตัว วิญญาณคำสาปนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นโอริโมโตะ ริกะ เพื่อนสมัยเด็กของยูตะเองที่จากไปโดยอุบัติเหตุต่อหน้าต่อตา ยูตะเชื่อว่าเขาถูกริกะสาปด้วยปณิธานก่อนตาย "สัญญานะว่าโตขึ้นเราจะแต่งงานกัน" การมีวิญญาณคำสาปอยู่ด้วยทำให้ยูตะทุกข์ทรมานและพยายามโดดเดี่ยวตัวเองจากคนอื่น จนมีอยู่วันหนึ่ง ยูตะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงในโรงเรียน เหตุเกิดจากวิญญาณคำสาปริกะที่ทำร้ายพวกที่เข้ามารังแกยูตะจนนองเลือด เมื่อเรื่องนี้เข้าไปถึงหูของฝั่งผู้ใช้คุณไสย ทำให้ยูตะต้องโดนตัดสินโทษประหารอย่างลับๆ แต่ด้วยความช่วยเหลือของโกโจ ซาโตรุ ทำให้ยูตะรอดพ้นการประหารนั้นและเข้าเรียนในโรงเรียนไสยเวทย์โตเกียว


    มหาเวทย์ผนึกมาร Jujutsu Kaisen


    คนที่เข้าไปดูในโรงน่าจะรู้ดีกันอยู่แล้วว่าภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องนี้เป็นภาคก่อน (prequel) ของมหาเวทย์ผนึกมาร Jujutsu Kaisen เรื่องและภาพโดย Akutami Gege แอนิเมชันโดยสตูดิโอ MAPPA และกำกับโดยผู้กำกับชาวเกาหลีคุณ Park Sunghoo ฉายครั้งแรกเมื่อซีซั่น Fall 2020


    ด้วยความเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนเนื้อหาหลัก 1 ปี ทำให้ตัวละครที่เป็นนักเรียนปี 1 ในภาคหลักทั้งสามคนอย่างยูจิ โนบาระ และเมงุมิไม่ได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ยังไงก็ตาม เราก็ยังได้เห็นตัวละครที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยในรีวิวนี้เราจะเน้นแก๊งนักเรียนปีหนึ่งของโรงเรียนไสยเวทย์แห่งโตเกียว ยูตะ มาคิ โทเงะ และแพนด้าเป็นพิเศษค่ะ เนื่องจากเราค่อนข้างชอบการแสดงสายสัมพันธ์ของพวกเขากับยูตะซึ่งเป็นตัวเอกของภาคนี้มากๆ เรียกได้ว่าก้าวข้ามข้อจำกัดทางด้านเวลาของการเป็นภาพยนตร์ไปเลย


    สามสหายบวกหนึ่ง


    เราน่าจะคุ้นเคยสามสหายปีสองของโรงเรียนไสยเวทย์โตเกียวกันอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้รู้แบคกราวน์ตัวละครมาบ้าง อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เนื้อเรื่องนี้เป็นเนื้อหาภาค 0 เรื่องก็จะมีการอธิบายเรื่องราวของตัวะครโดยย่อมาให้เราเข้าใจด้วยอยู่ดีค่ะ ซึ่งในจุดนี้ทำให้เราคิดว่าต่อให้คุณจะไม่เคยดูมหาเวทย์ผนึกมารที่เป็นเนื้อเรื่องหลักมาก่อน คุณก็สามารถมาดูมูฟวี่เรื่องนี้และเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายๆ เลยค่ะ การมาดูมูฟวี่ภาค 0 ก่อน แล้วค่อยดูภาคหลักก็เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจเหมือนกันนะ!


    ในช่วงต้นเรื่องจะเล่าตอนที่ยูตะเพิ่งเข้าโรงเรียนไสยเวทย์และต้องออกไปปฏิบัติภารกิจคู่กับเพื่อนร่วมชั้น ในช่วงแรกเราก็คิดว่าคงจะเป็นการปูพื้นฐานตัวละครและช่วงฝึกฝน a.k.a. training arc ทั่วไปอยู่เหมือนกัน แต่ที่ไหนได้ กลายเป็นว่าเป็นการปูพื้นความสัมพันธ์ที่ดีมากเลยค่ะ



    มาคิ - เริ่มแรกมาคิกับยูตะเหมือนว่าจะไม่ค่อยลงรอยด้วยกันเท่าไหร่ เหตุผลหนึ่งคือคนที่ถูกสาปอย่างยูตะดันเข้ามาเรียนที่โรงเรียนไสยเวทย์ซะเอง แถมวิญญาณคำสาปที่ติดตัวมาดันทรงพลังขนาดนี้ด้วย อีกเหตุผลหนึ่งเป็นนิสัยของยูตะเอง มาคิบอกว่ายูตะท่าทีเหมือนคนเสแสร้งเป็นคนดี ทำตัวเหมือนผู้เคราะห์ร้ายทั้งที่จริงเป็นฝ่ายได้รับการปกป้อง


    เอาจริง ขอสารภาพว่าความรู้สึกตอนนั้นรู้สึกไม่เห็นด้วยหน่อยๆ ค่ะ แต่ก็เข้าใจได้ที่มาคิจะคิดอย่างนั้น มาคิเป็นคนของตระกูลเซนอิง ตระกูลไสยเวทย์ที่มีพลังมาก แต่เธอดันเกิดมาเป็นคนส่วนน้อยของตระกูลที่ไม่มีพลังเวทย์ใดๆ อยู่เลย ตลอดมาคนที่เป็นฝ่ายโดนกระทำมาตลอดพอมาเห็นเหตุการณ์ที่ซ้อนทับกันขึ้นมาถ้าเป็นเราในขณะนั้นก็คงจะอดเปรียบเทียบกับความโชคร้ายของตัวเองไม่ได้


    ในตอนที่มาคิกับยูตะต้องจับคู่กันเพื่อเข้าไปปัดเป่าคำสาปในโรงเรียน มาคิได้กระตุ้นให้ยูตะเป็นฝ่ายเรียกราชินีคำสาปริกะออกมาก่อนเป็นครั้งแรก นั่นเป็นจุดเปลี่ยนนึงในชีวิตของยูตะเลยก็ว่าได้ หลังจากเหตุการณ์นั้นยูตะก็ได้ทำตัวสมกับเป็นนักเรียนของโรงเรียนไสยเวทย์อย่างเต็มตัว เรียนรู้การบีบอัดพลังใส่อาวุธ รวมไปถึงฝึกซ้อมการต่อสู้ป้องกันตัวกับมาคิ


    ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ที่เกโทบุกโรงเรียนไสยเวทย์ บทสนทนาระหว่างยูตะและมาคิเป็นอะไรที่อบอุ่นหัวใจมาก ในขณะที่ตอนอยู่กับตระกูลเซนอิง มาคิถูกมองว่าเป็นตัวล้มเหลว ถูกตั้งคำถามว่าทำไมเธอถึงเกิดมา แถมยังบอกให้คนอื่นอย่าเป็นแบบลูกสาวคนนี้อีก ยังไม่นับที่เกโทบอกว่าเขาว่ากันว่ามาคิเป็นกากเดนของตระกูลเซนอิงอีกนะ แต่ในตอนนี้ ยูตะกลับเป็นคนที่บอกว่าชื่นชมและอยากจะเป็นอย่างเธอ พอถึงซีนนี้รู้สึกดีใจไปกับมาคิด้วยจริงๆ 



    โทเงะ - ในตอนแรกนั้นยูตะก็ค่อนข้างทำตัวไม่ถูกกับโทเงะเหมือนกัน เนื่องจากเขาเป็นผู้ใช้วาจาคำสาปทำให้ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำอื่นได้นอกจากคำที่เกี่ยวกับข้าวปั้น แต่สองคนนี้จะได้ทำความเข้าใจกันมากขึ้นตอนไปทำภารกิจด้วยกันแล้วถูกขังไว้ในม่านพลังซ้อนของเกโท


    สถานการณ์ของโทเงะและยูตะค่อนข้างจะมีความคล้ายกันค่ะ เหมือนอย่างที่ยูตะพูดไว้ในตอนต้นว่า  "อยากจะขังตัวเองเอาไว้ไม่ต้องเจอใคร" เพราะถ้าหากไม่ทำอย่างนั้น ริกะก็จะทำร้ายคนอื่นอีก ทางฝั่งโทเงะก็เหมือนกัน เขาไม่สามารถพูดแบบปกติกับคนอื่นได้เลย ไม่อย่างนั้นวาจาคำสาปก็จะทำงาน


    เพราะงั้นด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ภายนอกจะดูไม่น่าเข้าหา แต่โทเงะก็เป็นฝ่ายที่เป็นห่วงยูตะมาตั้งแต่ต้น ความรู้สึกของยูตะที่ต้องการโดดเดี่ยวตัวเอง ในตอนนี้คงไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกไปมากกว่าโทเงะอีกแล้ว พอทั้งสองคนได้มาต่อสู้ร่วมกันแบบนี้ ทำให้รู้สึกเชื่อได้เลยว่าต่างฝ่ายต่างสนิทใจกันมากยิ่งขึ้น



    แพนด้า - แพนด้า...ก็คือแพนด้าค่ะ55555 ในภาคนี้เราจะไม่ได้ลงลึกรายละเอียดกับแพนด้ามากเท่าไหร่นัก แต่เรียกได้ว่าแพนด้าก็เป็นอีกตัวละครที่เรียกรอยยิ้มให้ได้ไม่เปลี่ยนเลยค่ะ


    นอกจากนี้ เรายังมองว่าแพนด้าเป็นกาวใจของแก๊งเพื่อนอีกด้วย อย่างยูตะกับมาคิเอง แพนด้าก็ออกตัวชงแรงเหลือเกิน (ฮา) ส่วนกับโทเงะ ก็เป็นแพนด้าอีกเหมือนกันที่ช่วยบอกกับยูตะเรื่องความเป็นมาของโทเงะและเรื่องที่โทเงะเองก็เป็นเพียงคนใจดีที่เป็นห่วงยูตะ


    เพราะฉะนั้น ถึงบทแพนด้าจะไม่เยอะมากเท่าคนที่เหลือ อีกทั้งส่วนใหญ่จะปรากฏตัวออกมาในฐานะ comedic relief มากกว่า แต่แพนด้าเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้เลยค่ะ ไม่งั้นความสัมพันธ์ตั้งแต่ตอนแรกที่พวกเขาเพิ่งรู้จักกันยันตอนที่ยูตะฟิวส์ขาดท้ายเรื่องขณะต่อสู้กับเกโทที่ทำร้ายเพื่อนของเขา คงไม่ให้ความรู้สึกที่ต่อติดกันขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะการปูพื้นฐานความสัมพันธ์ของทั้งสี่ที่ทำได้ดีเลย


    ยูตะ - ริกะ


    ความสัมพันธ์ระหว่างยูตะและริกะเป็นตัวชูโรงของมูฟวี่เรื่องนี้เลยค่ะ สำหรับเราทุกซีนที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของสองคนนี้ และทุกครั้งที่เห็นริกะทำอะไรบางอย่างเพื่อยูตะ เราจะรู้สึกอิมแพคมาก เรื่องจะเล่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ในลักษณะที่สอดแทรกในเนื้อเรื่องมาเป็นระยะๆ เราจะได้รู้จักกับริกะในฐานะคำสาประดับพิเศษก่อน พร้อมด้วยความรู้สึกยึดติด ปกป้องยูตะจนทำร้ายคนที่มุ่งร้ายต่อเขา จากนั้นจึงค่อยขยายเรื่องราวว่าสองคนนี้เคยสัญญาอะไรกันเอาไว้ ริกะตายได้ยังไง ไปจนถึงการเฉลยปมในตอนท้าย เรียกได้ว่าคลายความสงสัยของเราที่มีมาตั้งแต่แรกว่า คำสาปคืออะไร ทำไมยูตะถึงถูกสาป ทำไมวิญญาณคำสาปริกะถึงได้มีพลังมหาศาลขนาดนั้นทั้งที่ก็เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา แล้วทำไมยูตะถึงพัฒนาความสามารถไปได้เร็วถึงขนาดนั้น 


    แต่อย่างที่เราบอกค่ะ เราชอบการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนไสยเวทย์รุ่นนี้เป็นพิเศษ เลยทำให้ค่อนข้างประทับใจการเล่าเรื่องของทางฝั่งนั้นมากกว่าการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างยูตะและริกะนิดนึง ในขณะที่เรารู้สึกว่าการเล่าเรื่องทางนั้นสามารถทำได้พอดีกับเวลา แต่กับทางฝั่งนี้ค่อนข้างรู้สึกว่าจะดำเนินเรื่องเร็วไปหน่อยค่ะ เลยยังมีความรู้สึกว่าน่าจะขยี้กว่านี้ได้อีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงรู้สึกประทับใจมากเหมือนเดิมนะ เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนแพ้ความสัมพันธ์ประเภทนี้อยู่แล้วค่ะ และเส้นเรื่องของทั้งสองคนก็น่าสนใจมากด้วย เราชอบฉากที่ริกะกับยูตะช่วยกันต่อสู้กับเกโทตอนท้ายมากค่ะ แอนิเมชันทำได้ดีมากทั้งภาพ เสียงพากย์ และเสียงดนตรี


    ว่ากันตามจริง ความเป็นมาของยูตะนั้นค่อนข้างจะคล้ายคลึงกับยูจิเลยค่ะ เรื่องเริ่มที่ทั้งสองคนถูกตัดสินให้ประหารชีวิต แต่ก็ได้โกโจเข้ามาช่วย และได้เข้าเรียนที่โรงเรียนไสยเวทย์โตเกียว เราว่าเป็นเรื่องคู่ขนานที่ตั้งรายละเอียดมาดีสมกับเป็นตัวเอกในแต่ละเนื้่อเรื่องของตัวเอง เราตั้งตารอ Jujutsu Kaisen ซีซั่นต่อๆ ไป รวมไปถึงตอนที่ยูตะจะได้ปรากฏตัวในเนื้อเรื่องหลักแทบไม่ไหวเลยค่ะ
    ในตอนท้ายหลังช่วง End Credit ของหนัง เราจะได้เห็นโกโจที่ดูเหมือนจะมาตามหายูตะอีกด้วย เราพอได้ยินผ่านๆ มาบ้างว่ายูตะน่าจะได้ปรากฏตัวในเนื้อเรื่องหลัก แต่พอเห็นแบบนี้ก็ยิ่งอยากรู้ค่ะว่าโกโจมาหายูตะทำไม แล้วยูตะจะปรากฏตัวในรูปแบบไหน

    โกโจ - เกโท

    (ขออนุญาตเขียนชื่อว่าเกโทตามชื่อซับไทยที่ดูค่ะ)

    ขอสารภาพก่อนนะคะ ว่าเราดูเนื้อเรื่องหลักมาตั้งแต่ฉายครั้งแรก แล้วก็ไม่ได้กลับไปรีวอชอีก อะไรๆ ก็เลยหลงลืมไปบ้างตามกาลเวลา เพราะฉะนั้น ความรู้ใหม่ที่เราเพิ่งรู้สดๆ ร้อนๆ เลยคือหนึ่ง อ๋อ จุดประสงค์หลักของเกโทเป็นอย่างนี้เองสินะ และสอง อ้าว เกโท ความจริงคือนาย gone ไปแล้วเหรอ แบบ ฮะ? นี่ฉันพลาดอะไรไปในเนื้อเรื่องหลักหรือเปล่า5555555


    อุดมคติของโกโจและเกโทเรียกได้ว่าคนละขั้วกันเลยค่ะ ก่อนอื่น คนที่ดูภาคหลักมา เรารู้กันอยู่แล้ัวใช่ไหมล่ะว่าโกโจค่อยข้างมีความเป็นครูสูงมาก ที่ยูจิยังไม่ถูกประหารก็เพราะอะไร ก็เพราะโกโจช่วยเอาไว้ ในกรณีของยูตะเองก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าภายนอกจะเป็นคนทีเล่นทีจริง (ที่เรียกเสียงหัวเราะในโรงไปได้พอสมควร) ในขณะเดียวกันก็มีเจตนารมณ์แรงกล้าอย่าง “จะไม่ยอมให้พวกคนแก่ๆ นั่นมาทำลายชีวิตวัยรุ่นของพวกเด็กๆ หรอก” คาร์แรคเตอร์นี้ของโกโจเป็นอะไรที่ชัดเจนมาตั้งแต่ภาคหลักแล้ว แต่พอได้เห็นอีกครั้งหนึ่งในภาคนี้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่า พ่อหนุ่มคนนี้เป็นคนมั่นคงดีจังเลยน้า อีกน่ะค่ะ


    ส่วนเกโท เขาคนนี้มองคนที่ไม่สามารถใช้คุณไสยได้เป็นพวกต้อยต่ำ พูดง่ายๆ คือไม่ได้คนพวกนี้เป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำ แต่มันคือพวกลิง เกโทต้องการสร้างโลกที่มีแต่ผู้ใช้คุณไสยขึ้นมา เอาจริง พวกตัวร้ายในอนิเมะหรือหนังที่มีแนวคิดแบบนี้อาจพบเห็นได้บ่อยค่ะ แต่จะมีการเล่าเรื่องและมิติตัวละครที่แตกต่างกันออกไป อย่างธานอสใน infinity war หรือสึคาสะใน  DR.STONE ก็มีจุดมุ่งหมายกำจัดคนส่วนหนึ่งที่ไม่จำเป็นต่อโลก (ในมุมมองของเขา) ออกไปเหมือนกัน แต่ด้วยมิติตัวละครจะทำให้ trope นี้สร้างเสน่ห์และความยูนีคของตัวละครในเรื่องนั้นๆ ขึ้นมาค่ะ


    สำหรับเกโทคนนี้ เราก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าก่อนหน้านี้เขามีความบาดหมางหรือความเจ็บปวดอะไรกับพวกคนที่ไม่ได้ใช้คุณไสยหรือเปล่า แต่มองดูเอาจากอดีตของสองสาวนักเรียนม.ต้นที่เขาบอกว่าเป็นครอบครัวของตัวเองแล้ว (แน่นอนว่าคำว่าครอบครัวนี้เป็นการเปรียบเปรย) ก็ทำให้เราสันนิษฐานไปเองก่อนว่า เขาน่าจะเห็นความเลวร้ายและการแบ่งแยกผู้ใช้คุณไสยออกเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งมาก่อน จึงทำให้เขามาถึงจุดนี้ค่ะ


    มีประโยคนึงของเกโทที่เราค่อนข้างอิมแพคในตอนท้ายเรื่องอยู่ด้วยค่ะว่า "ฉันเองก็ไม่ได้เกลียดคนของโรงเรียนไสยเวทย์หรอกนะ" เราว่าเป็นการเพิ่มความเป็นมนุษย์ให้ตัวละครนี้ได้ดีมากเลยค่ะ


    สำหรับความสัมพันธ์ของสองคนนี้ เป็นอะไรที่น่าสนใจดีค่ะ เหมือนที่โกโจบอกว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิท (ที่สุดหรือคนเดียวนะ จำไม่ค่อยได้) และตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น แม้ทั้งสองฝ่ายจะกลายมาเป็นฝ่ายตรงข้ามกันแล้วก็ตาม ดูจากความคิดของโกโจว่าเกโทจะไม่ฆ่าเด็กนักเรียนของเขา เรียกว่ายังมีความเชื่อใจและรู้จักกันดีเลยค่ะ 


    แอนิเมชันและเพลงประกอบ


    แอนิเมชันเสมอต้นเสมอปลายค่ะ แต่ทุกฉากแอคชันอลังการประทับใจมาก ไม่ว่าจะเป็นฉากแอคชันของมาคิ ของโทเงะ ของยูตะ ของนานามิ (คนนี้มาน้อยแต่มากของจริง นึกว่าจะไม่ได้เห็นคุณนานามิซะแล้ว กรี๊ดดดด) ส่วนหนึ่งนอกจากแอนิเมชันที่ลื่นไหลแล้ว เพลงประกอบคือขาดไม่ได้เลย เรียกได้ว่าซาวด์โปรดิวเซอร์ปล่อยของกันตั้งแต่นาทีแรกยันนาทีสุดท้ายกันจริงๆ


    แต่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือฝีมือการพากษ์เสียงของคุณฮานาซาวะ คานะ เจ้าของเสียงริกะ ทุกครั้งที่ราชินีคำสาปกรีดร้องขึ้นมาทำเอาเราขนลุกไปหลายรอบเชียวค่ะ เราว่ามันยากมากเลยที่จะพากษ์ตัวละครที่คอนทราสกันในบุคลิกขนาดนี้ วิญญาณคำสาปริกะเสียงต้องให้ความรู้สึกที่น่าขนลุก แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องให้ความรู้สึกที่น่าเอ็นดูอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังต้องพากษ์เสียงตอนที่ตัวละครยังเป็นโอริโมโตะ ริกะ ซึ่งให้ความรู้สึกว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่สดใสธรรมดาๆ ทั้งหมดนี้คุณฮานาซาวะทำให้เราแยกช่วงเวลาของตัวละครได้เห็นภาพมาก


    โดยส่วนตัวชอบเพลงปิดมาก เรารู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่าเพลงประกอบจะเป็นของ King Gnu แต่ไม่ได้คิดว่าจะมีสองเพลงค่ะ เราจำเพลงเร็วได้จาก PV ที่ปล่อยออกมาก่อน (อีก PV นึงไม่ได้ดู) แต่เพลงช้านี่คือเซอร์ไพรส์มาก แล้วเราก็ชอบมากด้วย พอดีเป็นคนแพ้เพลงแนวนี้ (ช่วงนี้ติด 白日 ของวงเดียวกันอยู่มากๆ ด้วย) สำหรับเนื้อเพลงเราชอบมากทั้งสองเพลงค่ะ แต่ละท่อนแต่ละไลน์นี่คือความรู้สึกของยูตะชัดๆ ทั้งๆ ที่เป็นตอนที่ End Credit ขึ้น และสมองเราไม่ค่อยจะโฟกัสกับอะไรแล้วนะ แต่พอได้ยินกับเห็นเนื้อเพลงก็ดึงความสนใจเราไปได้หมดเลยค่ะ มันดีมากจริงๆ เรียกได้ว่านึกภาพเพลงอื่นมาประกอบนอกจากนี้ไม่ออกอีกเลยค่ะ


    สำหรับชื่อเพลง เพลงช้าคือ 逆夢 (sakayume) และเพลงเร็วคือ 一途 (ichizu) ค่ะ สามารถฟังกันได้ทางแอพสตรีมมิ่งทุกช่องทางเลย






    เมื่อวันศุกร์เราได้ข่าวว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไปกว่าสิบล้านบาทในไทยแล้วทั้งที่เพิ่งฉายรอบปกติไปได้แค่เพียงไม่กี่วัน (Updated วันจันทร์ตอนนี้ 50 ล้านแล้ว!) โดยส่วนตัวเรายินดีด้วยมากค่ะ เพราะเราค่อนข้างประทับใจการดูหนังในครั้งนี้มาก


    ใครที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ คุณคือคนที่ดูมาแล้วหรือคนที่ยังไม่ดูแต่ไม่กลัวสปอยล์ (ฮา) สำหรับใครที่ยังไม่ดู เราแนะนำมากๆ ค่ะ ถ้าเข้าไปดูด้วยตัวเองจะรู้สึกเลยว่าแอนิเมชันกับเสียงมันดีมากจริงๆ ต่อให้อ่านมังงะมาแล้วก็น่าจะยังคงเพลิดเพลินไปกับหนังได้ง่ายๆ ค่ะ มูฟวี่เรื่องนี้น่าจะอยู่ในโรงไปอีกสักพักหนึ่งแต่รีบไปดีกว่า ค่าตั๋วก็น่าจะลดลงไปเยอะด้วย (สำหรับโรงธรรมดาน่ะนะ) นอกจากนี้ก่อนไปดูก็เช็คโปรโมชันและส่วนลดกันนะคะ โดยส่วนตัวเราไปดูมาโดยใช้โปรโมชันค่ายมือถือราคาลดไปกว่าครึ่งหนึ่งเลยค่ะ อุดหนุนแอนิเมชันถูกลิขสิทธิ์กันด้วยน้า


    ………………

    ………….

    …….

    ….



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in