เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Here in my Heart...ได้ยินไหม หัวใจบอกว่ารักApril's girl
Here in my Heart ได้ยินไหม...หัวใจบอกว่ารัก 4
  •                เพราะว่าเมื่อคืนมัวแต่คิดกังวลไปต่างๆ นานา บวกกับนั่งเขียนบันทึกอยู่จนดึก เช้าวันต่อมาชนม์นิภาจึงตื่นสายกว่าเมื่อวานเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าที่โต๊ะอาหารเช้ามีคุณภัสสรนั่งอยู่เพียงคนเดียว ซึ่งพอเห็นหน้าหลานสาว ท่านก็รีบบอกเล่าแกมบ่นถึงลูกชายให้ฟังทันทีว่า

    “วันนี้พีทโดนตามตัวเข้าไร่ไปตั้งแต่เช้าแล้วจ้ะ เห็นว่าชาพันธุ์ใหม่ที่สั่งมามีปัญหาอะไรสักอย่าง ป้ายังไม่ทันถามรายละเอียดก็รีบขึ้นรถไปกับวศินซะแล้ว จะบอกให้รอเชรีก่อนก็เลยไม่ทัน ตั้งใจว่าวันนี้จะให้พาเชรีไปเที่ยวดูในไร่แท้ๆ” คุณภัสสรถอนใจเฮือกด้วยท่าทางเสียดาย ไม่วายหันมาถามคนฟังอย่างเอาใจใส่ว่า “เชรีอยากเที่ยวไร่หรือเปล่าล่ะลูก ถ้าอยากไป เดี๋ยวป้าเรียกให้ใครเอารถไปส่งได้นะจ๊ะ”

    “อย่าเลยค่ะป้าภัส วันนี้ไม่ได้เที่ยวไร่ก็ไม่เป็นไร เชรีเดินเล่นอยู่แถวๆ นี้ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวรีบบอกก่อนที่ผู้เป็นป้าจะลงมือทำอย่างที่พูด เพราะอันที่จริงรอบบริเวณบ้านนี้ไปจนถึงส่วนของรีสอร์ทก็น่าจะเพียงพอให้เธอเดินเล่นเพลินๆ ได้ทั้งวันอยู่แล้ว อีกอย่างการที่ไม่ต้องเจอกับพีรัชสักพักก็น่าจะดีกับเธอมากกว่าด้วย

    ...ก็เธอยังไม่มั่นใจเลยนี่นาว่าจะมองหน้าเขาได้สนิทแค่ไหน เพราะงั้นวันนี้ยังไม่ต้องเจอกันน่ะดีแล้ว

    “ถ้าอย่างนั้นเชรีไปเดินเที่ยวที่รีสอร์ทกับป้ามั้ยล่ะจ๊ะ เดี๋ยวสายๆ ป้าว่าจะไปนั่งตรวจบัญชีแล้วก็เดินดูงานสักหน่อย” ผู้อาวุโสเอ่ยปากชวน ซึ่งชนม์นิภาก็ตอบตกลงทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดว่า

    “ไปค่ะ”

    “งั้นเอาบัวตองไปอีกคนก็แล้วกัน จะได้คอยอยู่เป็นเพื่อนเชรีตอนที่ป้าทำงานด้วย...ว่าไง อยากไปไหมบัวตอง” ประโยคท้ายนายหญิงแห่งไร่ปภัสสรหันไปเอ่ยกับเด็กสาวที่นั่งพับเพียบอยู่ตรงริมประตู ที่พอได้ยินคำถามก็เงยหน้าขึ้นยิ้มแต้ ตอบเสียงใสว่า

    “อยากเจ้า”

    “แม่เลี้ยงถามแบบนั้นก็เข้าทางบัวตองมันสิเจ้า ยิ่งชอบเที่ยวอยู่ เผลอทีไรก็ชอบแอบหนีไปรีสอร์ทบ้าง แอบเข้าไร่บ้างประจำอยู่แล้ว” ป้าฟองจันทร์ฟ้องอย่างหมั่นไส้หน้าตาเบิกบานของหลานสาว ส่งผลให้คนถูกฟ้องรีบร้องประท้วงเสียงหลงว่า

    “โอ๊ย ป้าฟองจันทร์หาความ บัวตองไม่ได้แอบหนีไปนะเจ้า...แม่เลี้ยง บัวตองช่วยงานป้าเสร็จแล้วถึงได้ขอไปต่างหาก”

    “ขอตอนไหนฮึ ป้าไม่เห็นเคยรู้เรื่องเลย” คนเป็นป้าย้อนอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนที่ผู้เป็นเจ้านายจะยุติศึกระหว่างป้าหลานลงด้วยการตัดบทอย่างรู้ทัน จนเด็กสาวได้แต่ยิ้มเจื่อนอย่างเถียงไม่ออกว่า

    “เราขอตอนที่ป้าเขาไม่ได้ยินล่ะสิบัวตอง ซนแล้วยังเจ้าเล่ห์อีกนะเรา”

    “ก็แค่ไม่กี่ครั้งเองเจ้า แต่บัวตองไม่ทำอีกแล้ว ต่อไปจะขอตรงๆ เลยเจ้า” สารภาพเสียงอ่อยแล้วเจ้าหล่อนก็หันไปส่งยิ้มประจบให้หญิงสาวที่ตลอดเวลานั่งมองการปะทะคารมของสองป้าหลานอย่างขบขัน ก่อนรีบเสนอตัวเหมือนกลัวแม่เลี้ยงของไร่จะเปลี่ยนใจว่า

    “คุณเชรีอยากเดินดูตรงไหน อยากรู้อะไร ถามได้ทุกอย่างเลยนะเจ้า เดี๋ยวบัวตองเป็นไกด์ให้เอง”

    “ขอบใจจ้ะ ถ้างั้นก็รบกวนหน่อยนะ ไกด์บัวตอง” ชนม์นิภาตอบปนหัวเราะด้วยประโยคที่เรียกรอยยิ้มกว้างจากสาวน้อย ในขณะที่คุณภัสสรกับป้าฟองจันทร์ต่างก็พากันส่ายหน้า ก่อนที่ฝ่ายหลังจะบ่นพึมพำอย่างอ่อนใจแกมระอาว่า

    “ทะเล้นนักเชียวแม่คนนี้นี่”

    หลังจากทานมื้อเช้าที่กลายเป็นมื้อสายเสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงได้สะพายกระเป๋าคู่ใจเดินตามผู้เป็นป้าไปที่อาคารต้อนรับของรีสอร์ท ซึ่งเป็นเรือนครึ่งไม้ครึ่งปูนทรงยาว ด้านหน้าเป็นห้องโถงหลังคาสูงสำหรับต้อนรับแขก ถัดมาจึงเป็นห้องอาหารที่มีทั้งส่วนที่เป็นห้องกระจกและชานระเบียงกว้างสำหรับรับอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก ส่วนชั้นลอยนั้นเป็นห้องทำงานของคุณภัสสร

    เนื่องจากการปรากฏตัวพร้อมกับเจ้าของสถานที่ที่แสดงออกถึงความสนิทสนมและเอ็นดูเธออย่างเห็นได้ชัด รวมกับคำแนะนำที่ว่า ‘นี่เชรี หลานสาวฉันเองจ้ะ’ และการมีเจ้าถิ่นอย่างบัวตองคอยตามติดอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้พนักงานทั้งรีสอร์ทพร้อมใจกันบริการและให้ความช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่...ชนิดที่นักเขียนสาวอดรู้สึกไม่ได้ว่ามากจนเกินไปด้วยซ้ำ

    เมื่อคุณภัสสรขอตัวเข้าห้องทำงานไปหลังจากฝากฝังให้สุชาดา ผู้จัดการรีสอร์ทสาวใหญ่ช่วยดูแลชนม์นิภาแทนตัวแล้ว ฝ่ายนั้นก็เสนอที่นั่งพักผ่อนพร้อมของว่างให้อย่างกระตือรือร้น จนเธอต้องรีบปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่ายังอิ่มมาจากมื้อเช้า และพอบอกว่าอยากขอลงไปเดินดูแปลงดอกไม้รอบๆ อีกฝ่ายก็แทบจะพาเธอเดินลงไปด้วยตัวเอง ทำเอาคนที่ได้รับการดูแลนึกอยากจะถอนใจให้กับความยึดมั่นในคำสั่งที่เหล่าบริวารมีต่อผู้เป็นป้าของเธอนัก เพราะไม่ว่าจะกี่คนก็มาแบบเดียวกันหมด

    “คุณสุอย่าลำบากเลยค่ะ เดี๋ยวเชรีให้บัวตองพาไปก็ได้ ว่าแต่แถวนี้เดินดูได้ทั้งหมดเลยใช่ไหมคะ มีตรงไหนที่ห้ามเข้าบ้างหรือเปล่า” หญิงสาวไม่ลืมถามเพื่อความแน่ใจ และก็ได้รับคำตอบอย่างเต็มอกเต็มใจว่า

    “เดินได้หมดแหละค่ะคุณเชรี จะเดินไปจนถึงโซนบ้านพักตรงเนินเขาก็ยังได้ แต่อาจจะต้องระวังเวลาถ่ายรูปแถวนั้นหน่อยนะคะ เพราะว่าแขกของเราอาจจะต้องการความเป็นส่วนตัว ถึงตอนกลางวันส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีใครอยู่ห้องพักกันก็เถอะ” ตอนท้ายไม่วายเสริมด้วยท่าทางเกรงใจเมื่อเห็นกล้องขนาดเล็กในมือคนฟัง ซึ่งเธอก็รีบรับปากก่อนเดินลงจากเรือนมาว่า

    “เชรีจะระวังค่ะ ขอบคุณที่เตือนนะคะ”

    บริเวณรอบๆ เรือนรับรองรายล้อมไปด้วยแปลงดอกไม้เมืองหนาวที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างสวยงาม มีทั้งดอกทิวลิป ไฮเดรนเยีย แกลดิโอลัสหลากสี และดอกไม้อีกหลายชนิดที่เธอเคยเห็นแต่บอกชื่อไม่ถูก จึงต้องคอยถามคนงานที่นั่งรดน้ำพรวนดินอยู่บริเวณนั้นแทน ซึ่งทุกคนก็ให้ความร่วมมือตอบคำถามเป็นอย่างดี...แต่ที่พบเห็นอยู่ทั่วไปมากที่สุดก็คือกุหลาบหลากหลายพันธุ์ จนบางจุดดูเหมือนเป็นสวนกุหลาบขนาดย่อมเลยทีเดียว

    แล้วภาพอาคารที่เป็นรูปทรงผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างตะวันออกกับตะวันตก ท่ามกลางผืนหญ้าสีเขียวและแปลงดอกไม้สีสันสดใส โดยมีทิวเขาสลับซับซ้อนและท้องฟ้ากว้างเป็นฉากหลัง ก็ปรากฏอยู่ในกล้องที่ชนม์นิภาถ่ายเก็บไว้อย่างชื่นชม...มั่นใจแล้วว่าเหตุการณ์ในนิยายที่เธอจะเขียน จะต้องเกิดขึ้นในสถานที่ที่มีรีสอร์ทแห่งนี้เป็นต้นแบบอย่างแน่นอน

    นักเขียนแต่ละคนอาจจะมีวิธีไม่เหมือนกันในการเก็บรวบรวมความคิดและความทรงจำเอาไว้เป็นข้อมูล แต่สำหรับเธอเลือกที่จะใช้ทั้งการถ่ายภาพสิ่งที่เห็นด้วยตาและจดบันทึกเรื่องราวเพื่อที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นงานเขียนควบคู่กันไป

    หลังจากเดินถ่ายรูปวิวอยู่พักใหญ่จนพอใจแล้ว หญิงสาวก็เปลี่ยนจากไกด์สาวน้อยที่คอยเดินตาม ชี้ชวนให้ดูโน่นนี่พลางเล่าว่าตรงไหนเป็นอะไรให้ฟังเจื้อยแจ้วตามประสาให้กลายมาเป็นนางแบบในรูปถ่ายของเธอบ้าง...ถึงแม้ว่าฝีมือการถ่ายภาพของหญิงสาวจะไม่ถึงขั้นดีเลิศไปทุกองค์ประกอบก็จริง แต่เพราะถ่ายจากมุมมองของเธอที่นึกเอ็นดูอีกฝ่ายอยู่แล้วเป็นทุน ภาพที่ออกมาจึงดูน่ารักจนเจ้าตัวถึงกับถลามาเกาะแขนเธออย่างลืมตัวแล้วชื่นชมว่า

    “คุณเชรีถ่ายรูปเก่งจังเลย ถ่ายยังไงให้ออกมาได้แบบนี้ล่ะเจ้า บัวตองดูสวยกว่าตัวจริงตั้งเยอะ”

    “ก็บัวตองน่ารักอยู่แล้วนี่นา แถมฉากก็สวยออกอย่างนี้ จะออกมาไม่สวยได้ยังไงล่ะ” คนถ่ายตอบยิ้มๆ ก่อนบอกอย่างใจดีว่า “เอาไว้เดี๋ยวฉันส่งรูปให้...ไม่สิ เดี๋ยวอัดมาให้เลยดีกว่า ถ้าไม่มีเวลาเข้าไปในเมืองก็รอฉันกลับกรุงเทพก่อน แล้วจะส่งตามมาให้ทีหลังนะ”

    พอจบประโยคนั้น หน้าบานๆ ของคนฟังก็หุบลงเล็กน้อยเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้จะอยู่ที่นี่ตลอดไป เพราะถึงแม้ว่าจะเพิ่งได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน แต่บัวตองก็เกิดความคุ้นเคยกับอีกฝ่ายขึ้นมาตามประสาเด็กที่ไม่เคยมีผู้หญิงวัยใกล้เคียงกันเป็นต้นแบบมาก่อน พอเจอแล้วก็เลยออกอาการติดแจเอามากๆ อย่างที่เห็น ก่อนที่เด็กสาวจะเปลี่ยนประเด็นด้วยการออกปากเล่าไปเรื่องอื่นแทนเหมือนไม่อยากพูดถึงหัวข้อนี้ต่อ

    “ขอบคุณเจ้า...ที่จริงบัวตองก็อยากถ่ายรูปให้คุณเชรีบ้าง แต่กลัวว่าจะออกมาไม่สวย เอาไว้คุณเชรีขอให้คุณพีทถ่ายให้ดีกว่านะเจ้า คุณพีทก็มีกล้องแบบนี้เหมือนกันแต่ตัวใหญ่กว่า นานๆ ถึงจะเห็นเอาออกมาถ่ายเล่นสักที...แต่คุณพีทถ่ายรูปสวยนะเจ้า รูปที่ใส่กรอบติดอยู่ในห้องนั่งเล่นนั่นก็ฝีมือคุณพีท”

    “อ๋อ รูปนั้นเองเหรอ” ชนม์นิภานึกถึงภาพพระอาทิตย์ขึ้นกลางหุบเขาที่ขยายใหญ่ติดอยู่กลางผนังห้องนั่งเล่นที่เธอแอบสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น ด้วยสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ขณะกำลังโผล่พ้นขอบฟ้าที่เริ่มแปรสีจากชมพูเรื่อเป็นสีส้มสว่างขึ้นตามลำดับ...ไม่คิดมาก่อนเลยว่าภาพนั้นจะเป็นฝีมือของพีรัช

    “สวยใช่ไหมเจ้า คุณพีทน่ะทำอะไรก็ได้หมดทุกอย่าง แถมเก่งด้วยนะเจ้า” บัวตองเอ่ยถึงเจ้านายหนุ่มอย่างชื่นชมจนออกนอกหน้า ในขณะที่หญิงสาวฟังแล้วก็นึกขำคนพูดจนอดแกล้งขัดคอไม่ได้

    “ชมเกินไปหรือเปล่าเนี่ย ฉันว่าบัวตองเข้าข้างเจ้านายมากกว่ามั้ง”...ก็คนอะไรจะสมบูรณ์แบบไปหมดขนาดนั้น

    “เปล่านะเจ้า ป้าฟองจันทร์ก็บอกว่าคุณพีทเก่งเหมือนพ่อเลี้ยง...คุณพ่อคุณพีทที่เสียไปแล้ว ท่านเคยไปเรียนเมืองนอก พอกลับมาก็มาพัฒนาที่ดินแถวนี้ทำเป็นสวนเป็นไร่ จนเจริญเหมือนทุกวันนี้ไงเจ้า” เด็กสาวยืนยันตามข้อมูลที่รับรู้มา ก่อนเล่าต่อว่า “แต่น่าเสียดายที่พ่อเลี้ยงมาเสียไปซะก่อนเพราะอุบัติเหตุรถชน ตอนนั้นคุณพีทกำลังเรียนปริญญาโทปีสุดท้ายก็เลยต้องกลับมาจัดการปัญหาในไร่ทางนี้ พอเรียบร้อยแล้วถึงกลับไปเรียนต่อจนจบ”

    “ว่าแต่ทำไมบัวตองรู้ละเอียดนักล่ะ ตอนนั้นน่าจะยังเด็กๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอ” นักเขียนสาวเลิกคิ้วถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ยิ่งคนเล่าดูท่าทางภักดีกับเจ้านายขนาดนั้น จะฟังอะไรก็คงต้องเผื่อใจเอาไว้บ้างว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด แต่เจ้าหล่อนก็ตอบอย่างชัดเจน แถมยังอ้างอิงไปถึงแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้มากกว่าว่า

    “ตอนนั้นบัวตองเพิ่งสิบสองเจ้า ยังจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ที่มารู้ทีหลังก็เพราะป้าฟองจันทร์เล่าให้ฟังเจ้า”

    “อย่างนี้นี่เอง” ชนม์นิภาพยักหน้ารับอย่างพอเข้าใจ ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อ หวังออกห่างจากเรื่องของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของไร่คนปัจจุบันให้มากที่สุด แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะห่างได้สักแค่ไหน ในเมื่อเธอก็ยังเดินอยู่ในที่ของเขาแบบนี้

    “ฟังดูแล้วคุณลุง...เอ้อ พ่อเลี้ยงของบัวตองท่านก็เก่งจริงๆ นะ ที่ดินผืนใหญ่ขนาดนี้ ใช้เวลาไม่กี่สิบปีก็ทำให้กลายเป็นไร่อันดับต้นๆ ของจังหวัดได้”

    “ใช่เจ้า ป้าเคยเล่าว่าตอนพ่อเลี้ยงอยู่เมืองนอกก็เรียนเรื่องทำสวนทำไร่นี่แหละเจ้า ส่วนที่ดินเกือบทั้งหมดก็เป็นมรดกท่านทั้งนั้น แต่ถ้ามีคนเดือดร้อนเอามาขายให้ พ่อเลี้ยงก็ซื้อไว้แล้วยังให้เขามาทำงานด้วยอีก คนแถวนี้ถึงได้นับถือท่านกันมาก...ที่จริงก็นับถือกันมาตั้งแต่สมัยเจ้าย่าของคุณพีทแล้วล่ะเจ้า”

    “เดี๋ยวก่อนนะบัวตอง เจ้าย่านี่หมายถึงว่าท่านเป็นเจ้าจริงๆ งั้นเหรอ...เจ้าทางเหนือเลยเนี่ยนะ” หญิงสาวอ้าปากค้างอย่างตกใจ ความจริงก็เคยได้ยินอยู่บ้างว่าปัจจุบันเชื้อสายเจ้าทางเหนือนั้นแตกแขนงไปอยู่ในหลายตระกูลและยังเป็นที่เคารพนับถือกันอยู่มาก หากก็ไม่คิดว่าจะมีคนหนึ่งในนั้นอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้

    “ใช่เจ้า แต่ท่านไม่ได้แต่งงานกับเจ้าด้วยกัน มาแต่งกับปู่คุณพีทที่เป็นพ่อค้าใหญ่ พ่อเลี้ยงกับคุณพีทก็เลยเป็นคนธรรมดา ไม่ต้องเรียกนำหน้าว่าเจ้าแล้ว” บัวตองอธิบาย ก่อนขยายความต่ออย่างติดลมว่า “แบบนี้มีอยู่เยอะนะเจ้า อย่างคุณก้อง เพื่อนคุณพีทก็เหมือนกัน จริงๆ ทั้งสองคนเป็นญาติห่างๆ กันด้วย แต่ก็ห่างมากจนแทบจะนับญาติกันไม่ถูกแล้ว เดี๋ยวเย็นนี้คุณเชรีก็ได้เจอเจ้า”

    “บัวตองนี่รู้เยอะจังนะ ป้าฟองจันทร์เล่าให้ฟังหมดนี่เลยเหรอ หรือเราไปแอบฟังเขามากันแน่เนี่ย” คนฟังแกล้งล้ออย่างนึกขบขันคนที่เล่าสารพัดเรื่องได้เป็นฉากๆ ราวกับอยู่ในเหตุการณ์จริง...ถึงบางครั้งจะเห็นว่าเจ้าหล่อนดูพูดจาเป็นผู้ใหญ่เกินตัวเพราะความที่อยู่กับผู้สูงวัยกว่ามาตลอด แต่บัวตองก็ยังมีความซื่อใสตามประสาเด็กอยู่ไม่น้อย เมื่อยอมรับตามตรงพร้อมกับเสียงหัวเราะเจื่อนๆ ว่า

    “ก็รวมๆ กันน่ะเจ้า”

    “นึกแล้วเชียว” ชนม์นิภาพยักหน้ายิ้มๆ ตอนนั้นเองที่สองสาวต่างวัยเดินมาถึงศาลาพักร้อนที่ตั้งอยู่บนเนินหญ้าเตี้ยๆ ตรงทางเข้ามีซุ้มกุหลาบเลื้อยพันอยู่ เช่นเดียวกับรอบศาลาที่เป็นแปลงกุหลาบสีออกชมพูหลากหลายเฉด ส่งกลิ่นหอมหวานไปทั่วบริเวณ...เรียกให้เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเก็บภาพอย่างอดใจไม่ไหวอีกครั้ง ก่อนที่ร่างบางจะเดินเข้าไปแตะมือกับดอกกุหลาบรูปกลมเหมือนถ้วยสีครีมอมชมพูที่มีกลีบดอกตรงกลางซ้อนกันแน่น เป็นพุ่มเลื้อยอยู่ตรงซุ้มทางเข้า ดูสวยแปลกตาจนเธออดถามอย่างอยากรู้ไม่ได้

    “กุหลาบตรงนี้สวยจัง พันธุ์อะไรบัวตองรู้ไหม”
    หากคำตอบที่ได้รับกลับเป็นเสียงทุ้มๆ ของคนที่เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมาปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้…




                   “พันธุ์ Evelyn ครับ เป็นกุหลาบพุ่มกึ่งเลื้อย เลยนิยมปลูกกับซุ้มหรือหลัก ส่วนตรงนี้พันธุ์ Jubilee Celebration”

    ร่างสูงที่มาหยุดยืนอยู่ไม่ไกลให้คำตอบเรียบๆ ก่อนจะก้มลงแตะกุหลาบดอกใหญ่ทรงกลมสีชมพูเข้มที่มีกลีบเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ไล่สีจากเข้มไปอ่อนที่ชั้นนอกสุดซึ่งออกดอกบานเป็นพุ่มอยู่ตรงริมทางเดิน แทนคำบอกว่าเป็นพันธุ์ที่เขาพูดถึง ขณะที่ชนม์นิภาอึ้งไปเล็กน้อยอย่างไม่ทันตั้งตัว กว่าจะตั้งสติตอบเขาได้ก็ผ่านไปหลายวินาที

    “ชื่อเพราะดีจัง มีความหมายมั้ยคะ”

    “Evelyn นี่ผมก็ไม่แน่ใจความหมายนะ แต่คิดว่าน่าจะมาจากชื่อเจ้าของกุหลาบนั่นแหละ” พีรัชตอบด้วยท่าทางครุ่นคิด หลังจากทบทวนความรู้ที่มีอยู่ครู่หนึ่ง “ส่วนชื่อ Jubilee Celebration ก็มาจาก Golden Jubilee...งานฉลองครองราชย์ครบ 50 ปีของควีนอังกฤษองค์ปัจจุบัน”

    ดวงตากลมโตกะพริบรับอย่างตื่นใจกับสิ่งที่ได้รับรู้ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปพิจารณากลีบดอกของ Jubilee Celebration ที่ชายหนุ่มอธิบายว่ามีความเรียงซ้อนกันไม่แน่นเท่ากับพันธุ์ Evelyn ใกล้ๆ แล้วจึงเกิดสะดุดตาเข้ากับกุหลาบดอกใหญ่ กลีบตรงกลางที่พับซ้อนกันหลายชั้นเป็นสีชมพูระเรื่ออมส้มจาง ออกดอกเป็นพุ่มส่งกลิ่นหอมจัดอยู่ข้างร่างสูงพอดี...และก่อนที่จะรู้ตัว เธอก็โน้มร่างเข้าใกล้ เอื้อมมือไปแตะกลีบดอกที่กำลังบานสวยอย่างเบามือเมื่อเอ่ยถามอย่างสนใจว่า

    “แล้วต้นนี้ล่ะคะ พันธุ์อะไร”

    ดวงตาดำคมทอดมองใบหน้าเนียนใสของคนที่ขยับเข้ามาใกล้จนแทบจะชิดกับแขนเขาอย่างลืมตัว...เกือบชะงักไปเหมือนกันกับความชิดใกล้ที่ไม่คาดฝันนั้น ก่อนที่เขาจะรวบรวมความคิดที่กำลังจะกระจัดกระจายให้เข้าที่อย่างรวดเร็ว เมื่อตอบด้วยเสียงเรียบนุ่มตามปกติว่า

    “Abraham Darby ครับ เป็นกุหลาบอังกฤษที่นิยมปลูกกันมากเพราะว่าออกดอกดกตลอดทั้งปี เห็นสีคล้ายๆ กันอย่างนี้ แต่ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่ากลีบดอกแน่นกว่า Evelyn กลิ่นก็หอมไม่เหมือนกัน”

    “จริงด้วยค่ะ ต้นนี้กลิ่นจะหอมแรง...สดชื่น แต่ต้นนั้นจะออกหอมหวานๆ กว่า” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย กว่าจะรู้ตัวว่ายืนใกล้เขามากก็ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาสบตาคมในระยะเกือบประชิด จนต้องรีบหลบตากลับไปให้ความสนใจกับดอกกุหลาบอีกรอบอย่างเร่งด่วน ก่อนจะค่อยๆ ขยับออกห่างพลางเฉไฉกลบเกลื่อนไปว่า

    “นี่พี่พีทรู้จักดอกไม้ทั้งสวนเลยหรือเปล่าคะ ชี้ตรงไหนก็เห็นตอบได้ไปหมด มีอะไรที่ไม่รู้บ้างไหมคะ”

    “ก็มีเยอะนะ ถ้าเป็นดอกไม้อย่างอื่นผมก็คงบอกได้ไม่หมดหรอก แต่เรื่องกุหลาบนี่พอจะรู้อยู่บ้างเพราะเคยช่วยพ่อปลูก ตอนหลังก็ไปหาหนังสือมาอ่านเพิ่มเองด้วย” ชายหนุ่มตอบนิ่งๆ ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อเห็นชนม์นิภาเบิกตาโตเหมือนไม่อยากจะเชื่อ

    “พี่พีทเนี่ยนะคะ...ปลูกกุหลาบ”

    เพราะภาพชายหนุ่มในชุดสูทแบบนักธุรกิจเต็มตัวที่เจอในวันแรกยังคงติดตา ถึงแม้ว่าการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าคล้ายๆ กับเมื่อวานจะทำให้เขาดูเข้าถึงได้มากขึ้นก็จริง แต่ภาพที่พีรัชลงไปนั่งขุดดินปลูกต้นไม้เป็นชาวสวนก็ยังดูขัดแย้งเกินไป จนไม่ว่ายังไงเธอก็ยังจินตนาการไม่ออกอยู่ดี

    “แค่ช่วยปลูกครับ ส่วนใหญ่พ่อเป็นคนลงมือเอง” ร่างสูงแก้คำพูดให้ถูกต้อง นัยน์ตาคมฉาบรอยยิ้มจางๆ เมื่อสบตาคู่ใสแฝงแววใคร่รู้ของคนฟัง ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องที่แม้ว่าจะเป็นความทรงจำดีๆ ของครอบครัว แต่ตลอดมาเขาสงวนเก็บเอาไว้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เคยคิดที่จะเปิดเผยให้ใครฟังมาก่อน...จนกระทั่งวันนี้

    “พ่อผมชอบปลูกต้นไม้ ดอกไม้...ปลูกได้ทุกอย่าง แต่ที่ชอบมากเป็นพิเศษก็คงจะเป็นดอกกุหลาบ ส่วนแม่ไม่ค่อยปลูกต้นไม้เอง แต่ชอบสีชมพู พ่อก็เลยเลือกปลูกแต่กุหลาบสีชมพูไว้ตรงนี้”

    หญิงสาวฟังแล้วก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ เมื่อนึกภาพผู้ชายมาดขรึมตรงหน้าลงมือช่วยบิดาปลูกดอกไม้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักให้กับผู้เป็นมารดา ซึ่งกว่าจะปลูกได้ขนาดนี้ทั้งพ่อทั้งลูกก็คงต้องใช้เวลาและความพยายามไปไม่น้อย

    ...มิน่า ถึงได้รู้ดีนักว่าต้นไหนพันธุ์อะไร ที่แท้ก็เพราะแบบนี้นี่เอง

    “คุณลุงโรแมนติกจังเลยค่ะ ปลูกกุหลาบให้ป้าภัสทั้งสวน น่ารักมากๆ เลย นึกว่าจะมีอยู่แต่ในนิยายซะอีกนะคะเนี่ย” ร่างบางเอ่ยอย่างชื่นชม ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อความคิดบางอย่างผ่านเข้ามา “เชรีขอจดเรื่องนี้เอาไว้เผื่อเป็นไอเดียเขียนนิยายได้มั้ยคะ พี่พีทว่าป้าภัสจะว่าอะไรหรือเปล่า”

    แต่พอเหลียวหากระเป๋าสะพายที่บัวตองรับอาสาถือเอาไว้ให้ตอนที่เธอถ่ายรูปก่อนหน้านี้เพื่อจะหยิบสมุดบันทึก ชนม์นิภาก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าทั้งคนถือและกระเป๋าของเธอต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ และก็เป็นพีรัชที่ช่วยเฉลยให้ราวกับรู้ว่าเธอกำลังสงสัยอะไรอยู่

    “บัวตองไปได้สักพักแล้วล่ะ คงจะกลับไปช่วยเตรียมมื้อกลางวัน เพราะนี่ก็เที่ยงกว่าแล้ว”

    หญิงสาวจึงก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองบ้าง ก่อนจะนึกถึงความแปลกใจที่เห็นเขาที่นี่ในตอนแรกขึ้นมาได้

    “จริงด้วย เห็นป้าภัสบอกว่าพี่พีทโดนตามตัวไปตั้งแต่เช้า แล้วเรื่องที่ไร่เรียบร้อยแล้วเหรอคะ”

    วินาทีนั้นทั้งคนถามและคนถูกถามต่างก็ไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าการพูดคุยระหว่างที่เดินเคียงคู่กันไปนั้นกลายเป็นเรื่องธรรมชาติเหมือนกับเป็นความคุ้นเคยที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน เมื่อเขาตอบเรื่อยๆ ว่า

    “ยังหรอกครับ เพิ่งจะย้ายต้นชาแปลงที่มีปัญหาเสร็จ เดี๋ยวตอนบ่ายต้องกลับไปสำรวจแปลงอื่นต่อ”

    จากประโยคนั้น เธอจึงได้รู้ว่าเพราะคนงานที่มีหน้าที่ดูแลโรงเพาะพันธุ์ต้นชาในตอนเช้า สังเกตเห็นว่ามีจุดสีน้ำตาลแกมเหลืองปรากฏขึ้นบนใบอ่อนของต้นกล้าชาสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งสั่งเข้ามาเมื่อไม่กี่วันก่อนและกำลังอยู่ในระหว่างรอนำไปลงดิน จึงรีบแจ้งวศิน ผู้จัดการไร่ ซึ่งรายงานต่อมาที่พีรัชทันที เขาจึงรีบเข้าไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง เพราะถ้าหากว่าเกิดจากการที่ต้นชาติดโรคก็ต้องทำการแยกต้นออก เผากำจัดใบที่เป็นโรคทิ้ง และยังต้องดำเนินการป้องกันไม่ให้ต้นอื่นๆ เกิดติดโรคตามไปอีกด้วย

    “แปลว่าตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมคะ” ฟังจากน้ำเสียงคนเล่าที่ยังดูปกติดี แสดงว่าเรื่องนี้คงไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ และชายหนุ่มก็ยืนยันให้รู้ว่าเป็นอย่างที่คิดเมื่อเขาตอบว่า

    “คิดว่าอย่างนั้นนะ ถือว่าโชคดีที่เจอเร็วแล้วก็เป็นแค่ไม่กี่ต้น ถ้าไม่อย่างนั้นคงเสียหายหนักกว่านี้ ตอนนี้นอกจากพ่นยาให้ต้นที่เหลือแล้วก็คอยสังเกตอาการ ส่วนแปลงอื่นนายศินไปดูเมื่อเช้าแล้วไม่เจออะไร แต่เดี๋ยวผมว่าจะเข้าไปดูเองอีกที”

    ตอนนั้นเองที่สองหนุ่มสาวเดินกลับมาถึงเรือนรับรองของรีสอร์ทโดยใช้เวลาน้อยกว่าที่คาด เนื่องจากเจ้าถิ่นพาเดินลัดทางอย่างคนคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างดี ก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องอาหารที่คุณภัสสรนั่งรออยู่ที่โต๊ะติดกระจกตรงมุมห้องพร้อมกับชายหนุ่มอีกคนที่ชนม์นิภาไม่เคยเห็นหน้า แต่เขาก็ส่งยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตรมาให้ ก่อนที่เธอจะได้รับคำตอบเมื่อฝ่ายนั้นบอกกับบุตรชายทันทีที่มาถึงว่า

    “พีท แม่ชวนวศินทานข้าวกลางวันด้วยกันนะ เห็นว่าตอนบ่ายจะเข้าไร่ชากันอีก ทานเสร็จแล้วจะได้ไปกันเลย ไม่ต้องเสียเวลา ว่าแต่สองคนนี้ยังไม่เคยเจอกันใช่ไหมจ๊ะ” หลังจากหันมาถามหลานสาวที่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แล้วผู้อาวุโสก็แนะนำว่า “เชรี นี่วศิน ผู้จัดการไร่ของเราจ้ะ ส่วนทางนี้...หนูเชรี หลานสาวฉันที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้นี้ไง”

    “สวัสดีค่ะ เชรีขอเรียกว่าพี่วศินนะคะ” หญิงสาวเป็นฝ่ายยกมือทำความเคารพก่อนด้วยรอยยิ้ม เพราะคะเนแล้วว่าอีกฝ่ายน่าจะมีวัยใกล้เคียงกับพีรัช ทำเอาผู้จัดการไร่หนุ่มรีบรับไหว้แทบไม่ทัน ก่อนที่เขาจะตอบรับยิ้มๆ ว่า

    “ตามสบายเลยครับคุณเชรี”

    “มากันครบแล้ว งั้นก็ทานข้าวกันเถอะจ้ะ” คุณภัสสรพยักหน้าให้พนักงานที่ยืนรออยู่ทยอยกันยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟ ขณะที่บัวตองก็ค่อยๆ ยอบตัวเดินเอากระเป๋ามาส่งคืนให้ชนม์นิภาเช่นกัน ทำให้เธอได้จังหวะเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเข่นเขี้ยวเล็กน้อยว่า

    “ไหนบอกว่าจะเป็นไกด์ให้ฉันไงบัวตอง แล้วอยู่ๆ ทำไมถึงทิ้งกันได้ล่ะ หันมาอีกทีก็หายตัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้”

    เด็กสาวกะพริบตาปริบอย่างจ๋อยๆ ก่อนจะให้คำตอบปนแก้ตัวตามประสาซื่อ หากเพราะห้องอาหารในเวลานี้ค่อนข้างเงียบสงบ เนื่องจากแขกส่วนใหญ่มักจะออกไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมอยู่นอกรีสอร์ทมากกว่า เสียงใสแจ๋วของเจ้าหล่อนจึงดังชัดเจนไปทั่วทั้งโต๊ะว่า

    “บัวตองไม่ได้ตั้งใจนะเจ้า ก็คุณเชรีถามยาก บัวตองไม่รู้จะตอบยังไง แต่เห็นคุณพีทตอบได้แล้วก็คุยกันเพลิน บัวตองเลยกลับมารอที่นี่ก่อน เพราะรู้ว่าเดี๋ยวคุณพีทก็พาคุณเชรีกลับมาเอง”

    “อ๋อ ที่แม่ให้ไปตามน้องแล้วหายไปนาน ก็เพราะแบบนี้เองเหรอ” แม่เลี้ยงแห่งไร่ปภัสสรปรายตามองบุตรชายที่หน้าเก้อไปเล็กน้อย แต่ยังคงวางมาดนิ่งได้ตามนิสัย ในขณะที่ชนม์นิภาหน้าร้อนวูบ แทบไม่กล้าสบตาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หากยังไม่ทันได้เบนเรื่องออกไปให้ไกลตัวอย่างที่ตั้งใจ คุณภัสสรก็หันมาถามยิ้มๆ...ปิดทางหนีของเธอเสียสนิท

    “ว่าแต่คุยเรื่องอะไรกันล่ะลูก”

    “คือ...เชรีอยากรู้เรื่องกุหลาบน่ะค่ะ พี่พีทก็เลยอธิบายให้ฟัง” หญิงสาวพยายามตอบให้สั้นที่สุด โดยเลือกข้ามรายละเอียดของเหตุการณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นไป และผู้สูงวัยก็ทำเป็นมองไม่เห็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นของทั้งสองฝ่าย เมื่อพยักหน้ารับเนิบๆ อย่างเข้าใจ

    “จริงสิ เชรีอยากได้ข้อมูลไปเขียนนิยายนี่นะ ถ้าอย่างนั้นถามพี่เขาก็ถูกแล้วล่ะ...ที่จริงก่อนจะมาที่นี่เชรีก็เคยบอกว่าอยากไปเที่ยวในไร่อยู่ไม่ใช่เหรอจ๊ะ พรุ่งนี้ก็ให้พี่พีทพาไปสิ จะได้เที่ยวแล้วก็เก็บข้อมูลไปด้วยเลย ว่าแต่ตอนนี้ในไร่มีอะไรน่าเที่ยวบ้างนะวศิน” ประโยคท้ายคุณภัสสรหันมาถามคนที่นั่งเป็นผู้ชมอยู่เงียบๆ เหมือนขอเสียงสนับสนุน ซึ่งเขาก็เหลือบมองไปทางเจ้านายหนุ่มทีหนึ่ง ก่อนจะเสนอด้วยรอยยิ้มว่า

    “พรุ่งนี้คุณพีทกับผมจะเข้าไร่ชา ไปดูตรงส่วนที่ปลูกชาน่ะครับ...คุณเชรีสนใจอยากลองไปเก็บใบชาดูมั้ยล่ะครับ เห็นแขกของรีสอร์ทก็ชอบไปดูไปถ่ายรูปกัน คิดว่าน่าจะสนุกดี”

    ชนม์นิภายังไม่ทันได้ตอบอะไร มือเล็กๆ ของเด็กสาวที่ยังนั่งแอบอยู่ข้างตัวก็ยื่นมาเกาะหมับเข้าที่แขน พร้อมกับเสียงใสๆ ที่บอกอย่างกระตือรือร้นว่า

    “เก็บใบชาสนุกนะเจ้า คุณเชรี...ไปกันเถอะเจ้า บัวตองก็อยากไปอีก ขอบัวตองไปด้วยคนนะเจ้า”

    คุณภัสสรมองหน้าแม่ตัวดีที่เผลอหลุดปากยอมรับว่าเคยไปมาแล้วอย่างคาดโทษแกมขบขัน ก่อนจะฉวยโอกาสนั้นรวบรัดทั้งบุตรชายและหลานสาวโดยไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ปฏิเสธเหมือนเคย

    “ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้นะ...บัวตอง พรุ่งนี้ฉันอนุญาตให้เราตามคุณเชรีไปได้ แต่ห้ามซน ห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะให้ป้าเราเป็นคนลงโทษ เข้าใจไหม”

    “เข้าใจเจ้า แม่เลี้ยง” เจ้าของชื่อรับคำอย่างเรียบร้อย แต่ดวงตาฉายแววตื่นเต้นดีใจจนปิดไม่มิด ไม่ทันสังเกตว่าวศินดูเหมือนจะมีสีหน้าปั้นยากเล็กน้อย ในขณะที่คนถูกจัดแจงให้มีผู้ติดตามยังคงคิดหาเหตุผลมาคัดค้านไม่ทัน จึงจำต้องยอมรับแผนการของผู้เป็นป้าอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง พร้อมๆ กับความสงสัยที่ว่า...ทำไมยิ่งเวลาผ่านไป ระหว่างเธอกับพีรัชกลับดูเหมือนจะยิ่งห่างไกลจากคำว่า ‘ไม่เกี่ยวข้องกัน’ ออกไปมากขึ้นทุกที…




                   บ่ายวันนั้นหลังจากจัดการงานเอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณภัสสรก็ชวนหลานสาวออกไปนั่งพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศด้านนอก ชนม์นิภาเลยถือโอกาสสอบถามเรื่องของสวนกุหลาบที่ได้รับรู้มากึ่งขออนุญาตไปด้วยในตัว ซึ่งผู้แก่วัยกว่าก็ถึงกับอมยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายเมื่อรู้ว่าเธอได้ยินเรื่องนี้มาจากใคร

    “แหม นี่พีทเล่าให้เชรีฟังเหรอจ๊ะ”...ก็ปกติลูกชายคนนี้แค่จะง้างปากให้พูดอะไรสักคำยังยากเลย แต่นี่ถึงกับเล่า ‘เรื่องนั้น’ ให้หญิงสาวตรงหน้าฟังด้วยตัวเอง ดูท่าทางสิ่งที่ท่านแอบหวังไว้อาจจะกลายเป็นจริงขึ้นมาในไม่ช้านี้ก็เป็นได้

    คิดอย่างครึ้มอกครึ้มใจแล้วแม่เลี้ยงแห่งไร่ปภัสสรก็ออกปากเล่าถึงที่มาของศาลาหลังน้อยและสวนกุหลาบว่าสามีผู้ล่วงลับเป็นคนสร้างให้เนื่องในโอกาสที่แต่งงานกันมาครบยี่สิบห้าปี และยินดีให้เธอนำเรื่องนี้ไปใช้เป็นไอเดียเขียนนิยายได้ตามสบาย ก่อนจะเสริมต่อยิ้มๆ ว่า

    “ตอนนั้นพีทปิดเทอมกลับมาเยี่ยมบ้านพอดี ก็เลยโดนพ่อเค้าลากตัวไปด้วย สองคนพ่อลูกช่วยกันปลูกอยู่หลายวันเลยล่ะกว่าจะเสร็จ หลังจากนั้นพอคุณลุงเสีย พีทก็ให้เก็บที่ตรงนั้นเอาไว้เหมือนเดิม บอกว่าเป็นสิ่งที่พ่อเค้าตั้งใจทำให้ป้า ก็เลยไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไร...ถึงจะพูดน้อยเหมือนพ่อไปหน่อย แต่ลูกชายป้าก็น่ารักเนอะ เชรีว่ามั้ย”

    เจอประโยคคำถามที่เหมือนบังคับคำตอบกลายๆ แบบนั้นเข้าไป คนฟังเลยได้แต่คลี่ยิ้มตอบ ก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาจดบันทึกลงในสมุด หลบเลี่ยงการออกความเห็นเกี่ยวกับชายหนุ่มที่เริ่มสร้างความหวั่นไหวแปลกๆ ในหัวใจมากขึ้นทุกวันไปจนได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยแนบเนียนเท่าไหร่นักก็ตามที

    โชคดีที่คุณภัสสรไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบอะไร แต่กลับยิ้มแย้มเปลี่ยนเรื่องชวนคุยไปถึงมารดาของเธอแทน ทำให้หญิงสาวค่อยโล่งใจจนกลับมาพูดคุยเป็นปกติได้อีกครั้ง

    “เสียดายที่ครั้งนี้ดามาด้วยกันไม่ได้ เห็นว่าติดทริปเกษียณของพ่อเชรีใช่ไหมจ๊ะ จะไปกันวันไหนนะ”

    “พรุ่งนี้ค่ะ เมื่อคืนตอนเชรีโทรไปยังวุ่นวายเก็บกระเป๋ากันไม่เสร็จเลยเพราะว่าไปกันนานเป็นอาทิตย์ เห็นว่าจะไปเที่ยวแถวอีสานแล้วก็ข้ามไปลาวต่อด้วย”

    “งั้นเหรอ เอ้า งั้นก็ปล่อยให้พ่อกับแม่เค้าเที่ยวกันไป เชรีก็อยู่เที่ยวกับป้าทางนี้แหละนะ...ว่าแต่หนูพริม เพื่อนเชรีเค้าจะตามมาวันไหนจ๊ะ ป้าจะได้บอกฟองจันทร์ให้จัดห้องเตรียมไว้” ผู้อาวุโสถามอย่างใจดี เนื่องจากชนม์นิภาได้บอกท่านไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเพื่อนสนิทจะตามขึ้นมาเที่ยวด้วย หากเพราะตอนนั้นหญิงสาวผู้มาเยือนยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะจัดให้เธอพักด้วยกันที่บ้าน จึงรีบตอบอย่างเกรงใจเพราะไม่อยากรบกวนเจ้าของสถานที่ไปมากกว่านี้

    “พริมจะมาอาทิตย์หน้าค่ะ แต่ป้าภัสไม่ต้องจัดห้องเพิ่มหรอกนะคะ ให้พริมนอนกับเชรีก็ได้ ห้องที่ป้าภัสจัดให้ก็นอนกันได้สองคนสบายๆ อยู่แล้ว”

    “เอาอย่างนั้นก็ได้จ้ะ” คุณภัสสรพยักหน้ารับยิ้มๆ อย่างตามใจ ก่อนจะหันมาทางบัวตองที่นั่งฟังตาใสอยู่ข้างๆ แล้วออกปากให้เด็กสาวกลับไปช่วยงานผู้เป็นป้าที่บ้านได้เมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเข้าบ่ายจัดแล้ว

    “วันนี้คุณก้องกับเพื่อนจะมาทานข้าวเย็นด้วย เรารีบกลับไปช่วยฟองจันทร์เถอะบัวตอง เดี๋ยวกับข้าวจะเสร็จไม่ทัน”

    ฟังแล้วชนม์นิภาก็นึกสนุก อยากจะเข้าครัวไปดูวิธีการทำอาหารเหนือแท้ๆ เผื่อจะได้สูตรลับกลับไปฝากผู้เป็นมารดาบ้าง แต่พอทดลองทำเข้าจริงกลับพบว่าแม้กระทั่งเด็กอย่างบัวตองก็ยังทำครัวได้คล่องแคล่วกว่า

    “เชรีไม่ค่อยได้เข้าครัว ทำได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้วจ้ะ”

    “คุณเชรีหั่นช้า แต่หั่นออกมาสวยกว่าบัวตองเยอะเลยนะเจ้า”

    “ใช่เจ้า แบบนี้หัดบ่อยๆ เดี๋ยวก็คล่อง แล้วป้าฟองจันทร์จะสอนให้นะเจ้า”

    สามเสียงช่วยกันปลอบใจอย่างพร้อมเพรียง สุดท้ายหญิงสาวก็เลยได้แต่ช่วยหยิบจับอะไรเล็กๆ น้อยๆ กับลงมือทอดซี่โครงหมูออกมาหนึ่งจาน ก่อนจะถูกไล่ให้กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อที่จะได้มาทานข้าวเย็น

    แต่เมื่อเดินออกมาจากห้องพักในชุดใหม่ เข้าไปในห้องอาหารที่เชื่อมต่อกันกับห้องนั่งเล่น ร่างบางกลับพบว่าในห้องนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งไขว่ห้าง พลิกนิตยสารช้าๆ อยู่บนโซฟาด้วยท่าทางของคนที่คุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างดีอยู่เพียงคนเดียว ก่อนที่เขาจะหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นมองเธอทันทีอย่างคนที่มีปฏิกิริยาไว แล้วใบหน้าคมเข้มก็ระบายยิ้มกว้าง เมื่อเขาลุกขึ้นพร้อมกับเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายก่อนราวกับรู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นใคร

    “คุณคงเป็นหลานสาวของคุณป้าภัสสร ผม...กลทีป์ เป็นเพื่อนนายพีทครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”


    คุยกันท้ายตอน
    เนื่องจากว่าวันนี้มีฉากที่เกิดขึ้นในสวนกุหลาบ ก็เลยอยากจะนำภาพดอกกุหลาบที่เขียนถึงไว้ในเรื่องมาให้คนอ่านได้ดูกันด้วยนะคะ





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in