เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Here in my Heart...ได้ยินไหม หัวใจบอกว่ารักApril's girl
Here in my Heart ได้ยินไหม...หัวใจบอกว่ารัก 2
  •                ...ไม่จริงน่า เนี่ยเหรอ...พี่พีท…

    ชนม์นิภาเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ภาพของชายหนุ่มทำงานสมบุกสมบันในไร่ที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยผู้ชายหน้าขรึมนัยน์ตาคมในชุดสูทเรียบกริบ และมาดที่ดูเหมือนน่าจะนั่งเซ็นเอกสารอยู่หลังโต๊ะทำงานมากกว่า หากก็แน่ใจว่าไม่ผิดคน เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้แล้วเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูคล้ายคำถามได้โดยที่ไม่ต้องมีคำลงท้ายเลยแม้แต่คำเดียว ราวกับรู้อยู่แล้วว่าเจ้าของชื่อนั้นต้องเป็นเธอ

    “...ชนม์นิภา”

    “สวัสดีค่ะ...พี่พีท” หญิงสาวยกมือไหว้ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยชื่อคนตรงหน้าช้าๆ...ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เธอถึงเกิดรู้สึกขึ้นมาว่าคำเรียกนั้นฟังดูใกล้ชิดเกินไป...เกินกว่าที่จะใช้เรียกผู้ชายคนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้าที่จะได้พบกัน เธอยังพูดชื่อเขาได้อย่างคล่องปากอยู่เลยแท้ๆ

    ดูเหมือนริมฝีปากหยักได้รูปจะขยับยิ้มบางๆ เมื่อพีรัชรับไหว้ ก่อนจะจางหายไปเมื่อเขาเอื้อมมือมาดึงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเธอไปไว้ข้างตัวเสียเองแล้วตอบว่า

    “สวัสดีครับ...แล้วก็ขอโทษ ที่ปล่อยให้รอนาน”

    ประโยคนั้นทำให้คนฟังนึกขึ้นมาได้ว่าความจริงแล้วเขาก็ยืนอยู่ตรงนี้มาตั้งนาน และก็น่าจะเห็นเธอตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ แต่กลับปล่อยให้ยืนรอจนนึกว่าคอยเก้อ ความข้องใจและนิสัยที่ตรงไปตรงมาเป็นนิจจึงทำให้ชนม์นิภาตัดสินใจถาม

    “พี่พีทเห็นเชรีตั้งนานแล้วใช่ไหมคะ แล้วทำไมถึงไม่ทักล่ะคะ”

    คนถูกถามดูเหมือนจะยิ้มนิดๆ อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ในดวงตาสีดำสนิทฉายแววประหลาดใจปนทึ่งจางๆ เมื่อเขาเอ่ยตอบด้วยประโยคที่ทำให้ร่างบางต้องอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง

    “แม่ผม...ป้าภัสของคุณบอกแค่ว่าให้มารับ ‘น้องเชรี’ ลูกสาวของน้าดา ฟังจากที่แม่ผมพูดแล้วเหมือนคุณเป็นเด็กอายุไม่ถึงสิบแปด ผมก็เลยไม่คิดว่าจะใช่”

    ...อะไรนะ...โอ๊ย ป้าภัสน่ะ...ไปพูดยังไงให้เขาเข้าใจแบบนั้นได้ล่ะเนี่ย

    ยังไม่ทันที่เธอจะได้อธิบายความจริง อีกฝ่ายก็เอ่ยต่อเรียบๆ แต่ส่งผลให้คนฟังถึงกับอ้ำอึ้งอย่างพูดไม่ออกว่า

    “ผมเห็นแล้วล่ะว่าเข้าใจผิด แต่ดูเหมือนคุณก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเป็นใคร ใช่ไหม”

    ...จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ก็เคยได้ยินแต่ชื่อนี่นา แถมเขายังไม่เหมือนภาพที่เธอคิดไว้เลยสักนิดด้วย

    “ก็ใช่ค่ะ เชรีเองก็ผิดเหมือนกัน งั้นตกลงว่าเราหายกันนะคะ” หญิงสาวพยักหน้ายอมรับความผิดอย่างไม่มีข้อแก้ตัว ก่อนจะรีบปัดเรื่องนั้นทิ้งไปเพราะไม่อยากนึกถึงความขายหน้าของตัวเองอีก หากไม่ลืมตีขลุมให้กลายเป็นการตกลงร่วมกันของทั้งสองฝ่าย เขาจะได้ไม่มาแอบโทษเธอทีหลัง แล้วก็ต้องโล่งใจที่พีรัชยอมตกปากรับคำง่ายๆ

    “ตกลงครับ เราจะได้ไปกันสักที ป่านนี้ป้าภัสของคุณรอแย่แล้ว” ว่าแล้วเขาก็จัดการลากกระเป๋าเดินทางของเธอเดินนำออกไป โดยที่เจ้าของกระเป๋าทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องเดินตามไปอย่างไม่มีทางเลือก

    ...และไม่มีทางรู้เลยว่าสถานการณ์ระหว่างเธอ กับคนที่ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงยังคิดว่าคงไม่มีเรื่องให้ต้องยุ่งเกี่ยวกันมากนักอย่างเขา...จะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดไว้...

    แต่ยังไม่ทันจะถึงทางออก ร่างสูงที่เดินนำก็พลันหยุดชะงัก เมื่อแว่วเสียงทักอย่างยินดีจากคนที่เดินนำขบวนชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งสวนเข้ามา ทำเอาหญิงสาวที่กำลังเหลือบมองรอบข้างเพลินๆ ถึงกับชะงักฝีเท้าตามแทบไม่ทัน

    “อ้าว คุณพีรัช บังเอิญจริงๆ จะไปไหนล่ะ หรือว่าเพิ่งกลับมา” ประโยคท้ายเสริมขึ้นเมื่อสังเกตเห็นทิศทางการเดินของคนถูกถาม ซึ่งเลือกตอบเรียบๆ แบบไม่เจาะจงรายละเอียด ก่อนถามกลับตามมารยาทว่า

    “ผมมาทำธุระให้คุณแม่ แล้วพ่อเลี้ยงล่ะครับ จะไปไหน”

    “อ๋อ เปล่าๆ ผมมารับท่านรัฐมนตรีเกษตรน่ะ ท่านจะมาตรวจงาน ผมพอจะคุ้นเคยกับท่านอยู่บ้างก็เลยมารอรับ” เจ้าของเสียงตอบปนหัวเราะนั้นเป็นชายวัยกลางคนร่างสันทัด ผิวคล้ำแดด ใบหน้าอวบอูมไม่มีอะไรโดดเด่นนอกจากดวงตาเรียวรีที่เป็นประกายกลิ้งกลอก เหมือนเจ้าตัวกำลังคิดคำนวณอะไรในใจอยู่ตลอดเวลาทั้งที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่อย่างนั้นแหละ

    ...เนี่ยนะพ่อเลี้ยงเมืองเหนือ อยากให้ยัยพริมมาเห็นจริงจริ๊ง ดูสิว่าจะยังอยากให้เธอเอามาเขียนเป็นพระเอกอยู่อีกไหม ชนม์นิภาแอบคิดในใจ รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเหลือบมองมาที่เธอด้วยความใคร่รู้แวบหนึ่ง ก่อนที่จะหันกลับไปให้ความสนใจกับคู่สนทนาต่อ

    พีรัชพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงรับรู้ แต่ไม่ต่อความอะไร หากก่อนที่เขาจะได้ขอแยกตัวจากมา พ่อเลี้ยงเดชาก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน

    “ผมกำลังคิดว่าอีกวันสองวันจะแวะไปหาคุณกับคุณภัสสรที่ไร่อยู่พอดี...จะไปบอกข่าวสักหน่อยว่าเจ้าของที่ข้างๆ คุณเขาตกลงขายให้ผมแล้ว ตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้วนะ อาจจะมีเรื่องต้องขอรบกวนทางไร่ปภัสสรบ้าง หวังว่าคุณพีรัชคงไม่รังเกียจ”

    “ในฐานะเพื่อนบ้าน ผมยินดีครับ” ชายหนุ่มตอบรับอย่างสุภาพ แต่ความสงสัยในจุดประสงค์ของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาลองตั้งคำถามเพื่อหยั่งท่าทีของฝ่ายนั้นไปด้วยว่า “พ่อเลี้ยงจะย้ายไปอยู่ที่นั่นเหรอครับ”

    “ก็คงไม่ถึงกับย้ายไปอยู่เลยหรอก อาจจะแค่ไปๆ มาๆ แต่ต้องรอสร้างบ้านให้เสร็จก่อน ก็คงจะอีกพักใหญ่เลยล่ะ...บ้านพักตากอากาศน่ะ” พ่อเลี้ยงเดชาหัวเราะเสียงดังอย่างเปิดเผย ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างจริงจังขึ้นว่า “ผมชอบแถวนั้นนะ ที่ติดภูเขา บรรยากาศดี โดยเฉพาะตรงท้ายไร่ของคุณ ได้ยินว่ามีน้ำตกธรรมชาติอยู่ด้วยนี่ใช่ไหม...บอกตรงๆ ว่าผมสนใจที่ตรงนั้นมากนะ ตอนนี้ก็ยังสนใจอยู่”

    ผู้แก่วัยกว่าหยุดเหมือนประเมินท่าทีของคนฟัง เมื่อเห็นว่าพีรัชยังคงนิ่งก็หย่อนประโยคสุดท้ายด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร หากไปไม่ถึงแววตาว่า

    “ถ้าหากว่าคุณไม่ได้คิดจะทำอะไร แค่เก็บเอาไว้เฉยๆ ไม่สู้ขายให้ผมน่าจะมีประโยชน์กว่านะ ว่าไหม คุณพีรัช”

    เจ้าของไร่ปภัสสรคลี่ยิ้มน้อยๆ ดวงตาดำคมประสานกับฝ่ายตรงข้ามโดยไม่หลบ เมื่อตอบด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทไม่เปลี่ยนแปลงว่า

    “ตอนนี้ผมยังไม่คิดก็จริง แต่อนาคตยังไม่ทราบ เพราะฉะนั้น...ขอบคุณสำหรับข้อเสนอนะครับพ่อเลี้ยง แต่ผมขอยืนยันอีกครั้ง ว่าผมไม่ขาย...ขอตัวก่อนนะครับ ผมต้องไปแล้ว” พูดจบแล้วชายหนุ่มก็ก้มศีรษะนิดๆ แทนคำอำลา ก่อนจะเบี่ยงตัวแตะข้อศอกชนม์นิภาที่ได้แต่ยืนเป็นผู้ชมอยู่เงียบๆ ให้เดินออกไปพร้อมกัน แม้จะเห็นว่าพ่อเลี้ยงเดชายืนหน้าตึง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยอย่างไม่พอใจอยู่เบื้องหลังก็ตาม แต่เขาถือว่าได้ให้คำตอบที่ชัดเจนเพียงพอแล้ว ถ้าหากอีกฝ่ายยังไม่เข้าใจก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรของเขาอีก




                   ร่างบางเหลือบมองคนข้างๆ ที่พอเดินพ้นจุดนั้นมาก็ปล่อยมือที่แตะข้อศอกเธอไว้เบาๆ แต่ก็ไม่ได้เดินนำหน้า ทิ้งระยะห่างออกไปเล็กน้อยเหมือนในตอนแรกอีก โดยพยายามไม่คิดถึงความอบอุ่นที่ทิ้งรอยจางๆ ไว้ที่แขน ถึงแม้ว่าในใจจะยังคงสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กลายเป็นผู้ชมแบบไม่ได้ตั้งใจอยู่เมื่อครู่นี้ก็ตาม

    แต่ในเมื่อพีรัชเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงและวางตัวเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชนม์นิภาก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน เพราะถึงยังไงเธอกับเขาก็เพิ่งเจอกัน ไม่ได้มีความสนิทสนมมากพอที่จะเข้าไปรับรู้ปัญหาของเขาอยู่แล้ว

    ดังนั้นตลอดเส้นทางบรรยากาศภายในรถเก๋งตระกูลยุโรปคันงามจึงมีแต่ความเงียบ เนื่องจากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของนั้นดูเหมือนจะทุ่มเทสมาธิอยู่กับการบังคับยานพาหนะเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ผู้โดยสารสาวก็เอาแต่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่สนใจคนข้างๆ เหมือนกัน

    ชนม์นิภาแอบโทษว่าที่เธอเป็นแบบนี้ก็เพราะความผิดคาดยามแรกเจอ เมื่อพบว่าเขาไม่ใช่ ‘พี่พีท’ คนที่เธอเคยคิดไว้ แต่กลับกลายเป็นคนที่ส่งผลให้เธอเกิดความรู้สึกแปลกๆ ได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าคนที่ก่อผลกระทบดังกล่าวให้กับเธอก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน...

    เพราะพีรัชเองก็ไม่แน่ใจนักว่าถ้าหาก ‘น้องเชรี’ ของมารดาเขาเป็นเพียงแค่เด็กสาวจริงๆ...ไม่ใช่หญิงสาวที่แม้จะมีใบหน้าเนียนใสและนัยน์ตากลมโตกระจ่างเหมือนตาเด็ก แต่กลับมีความกล้าหาญและตรงไปตรงมามากพอที่จะตั้งคำถามในแบบที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจปนทึ่งน้อยๆ อย่างช่วยไม่ได้เลยคนนี้...เขาจะรู้สึกต่างไปจากนี้ไหม

    จนกระทั่งรถเคลื่อนออกจากตัวเมืองไปตามเส้นทางที่เริ่มไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ ภาพเทือกเขาที่เรียงตัวสลับซับซ้อนเป็นฉากอยู่ภายนอกก็ทำให้หญิงสาวที่นั่งนิ่งมาตลอดทางเผลอขยับไปเกาะกระจกอย่างลืมตัว และร่างสูงที่ดูเหมือนว่าไม่ได้ละสายตาจากเส้นทางตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเอ่ยปากถามได้ทันทีว่า

    “เป็นอะไรไป เมารถหรือเปล่า”

    “เปล่าค่ะ เชรีแค่อยากดูวิวชัดๆ เฉยๆ”

    อาจเป็นเพราะน้ำเสียงแฝงแววตื่นเต้นและรอยยิ้มสดใสที่เหมือนกับส่งให้เขาด้วยความเผลอตัว ที่ทำให้คนมองนิ่งไปนิด ก่อนจะถามต่อเหมือนไม่ได้ตั้งใจ

    “เคยมาเชียงใหม่มั้ยครับ”

    “ไม่เคยค่ะ ที่จริงป้าภัสก็เคยชวนตั้งหลายรอบแล้วนะคะ แต่ก็ติดโน่นติดนี่ตลอด เลยไม่มีโอกาสได้มาสักที” ตอบไปแล้วชนม์นิภาก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ทำเป็นวางเฉยใส่เขามาได้ตั้งนาน เลยแก้เก้อด้วยการถามกลับว่า “อีกไกลมั้ยคะว่าจะถึงรีสอร์ท”

    “ถ้าขับประมาณนี้ก็อีกไม่ถึงชั่วโมง แต่ก่อนจะถึงตัวรีสอร์ทต้องผ่านไร่ก่อน” คำตอบนั้นทำเอาคนฟังหันขวับมาจ้องเขาตาใสอย่างสนใจ

    “ไร่อะไรคะ...ชา กาแฟ หรือว่าไร่ผลไม้”

    “สตรอว์เบอร์รีครับ ไร่ชากับกาแฟจะอยู่ตรงเชิงเขาอีกด้านหนึ่ง ต้องขับรถอ้อมไปอีก แต่ตอนนี้อาจจะยังไม่เห็นอะไร เพราะว่าเราเพิ่งเอาต้นสตรอว์เบอร์รีลงปลูกในแปลง กว่าจะออกดอกก็ประมาณเดือนพฤศจิกา แล้วค่อยเริ่มเก็บผลกันตอนเดือนธันวา” เจ้าของไร่หนุ่มอธิบาย

    หลังจากนั้นเมื่อรถแล่นผ่านทางเข้าที่มีป้ายไม้ขนาดใหญ่เขียนชื่อไร่และรีสอร์ทด้วยตัวหนังสือสีขาวเล่นหางอย่างสวยงาม มาจนถึงแปลงสตรอว์เบอร์รีที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง พีรัชก็ชะลอรถลงเล็กน้อยเพื่อให้คนที่เกาะกระจกมองได้เห็นชัดๆ ก่อนจะพารถแล่นตรงไปยังส่วนของรีสอร์ทที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน

    จากอาคารต้อนรับซึ่งเป็นเรือนไม้กึ่งปูนประดับด้วยหินก้อนใหญ่ แต่หลังคาเป็นทรงล้านนาประยุกต์ ชนม์นิภามองเห็นแปลงดอกไม้เมืองหนาวที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เรื่อยไปจนถึงบริเวณบ้านพักที่มีลักษณะคล้ายกันแต่หลังย่อมกว่า กระจายตัวเกาะกลุ่มไล่ขึ้นไปบนเนินเขา โดยมีทางเดินที่ทำจากหินสกัดเชื่อมถึงกัน

    เมื่อเจ้าของสถานที่พารถอ้อมไปด้านหลังของอาคารต้อนรับ บ้านสองชั้นหลังใหญ่บนเนินสูงซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ลงตัวระหว่างไม้ หินก้อนใหญ่เรียงสลับสี และกระจก ในแบบที่เรียกว่าทรง contemporary แต่ประยุกต์ให้เป็นเอกลักษณ์ด้วยการติดกาแลที่หน้าจั่วก็ปรากฏสู่สายตาของหญิงสาว และตรงระเบียงหน้าบ้านนั้นเองที่คุณภัสสรยืนรออยู่

    “เชรี ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เป็นยังไงบ้างลูก” หลังจากรับไหว้แล้วผู้อาวุโสก็ตรงเข้ามากอดร่างบางอย่างเอ็นดู ก่อนออกปากซักไซ้ไล่เลียงอย่างไม่รอช้าว่า “แล้วนี่ไปยังไงมายังไงกันจ๊ะถึงได้ไม่เจอพี่เขา...พีท เราไปช้าใช่ไหม ปล่อยให้น้องรออยู่ได้ยังไงตั้งนานน่ะฮึ”

    ประโยคท้ายหันไปไล่เบี้ยลูกชายที่เดินตามมาห่างๆ จนคนที่อยู่ร่วมเหตุการณ์อดไม่ได้ ต้องช่วยแบ่งเบาความผิดมาครึ่งหนึ่ง

    ...ก็ตกลงไว้ว่าหายกันแล้วนี่นา จะปล่อยให้เขาโดนว่าคนเดียวก็ยังไงอยู่

    “ไม่ใช่นะคะป้าภัส คือ...เชรีก็หาพี่พีทไม่เจอเหมือนกัน ก็เลยกลายเป็นว่าต่างคนต่างรอ...แค่นั้นเองค่ะ”

    คุณภัสสรเห็นว่าพอพูดจบสองหนุ่มสาวก็หันไปสบตากันแวบหนึ่ง เธอจึงเลิกคิ้วนิดๆ ก่อนจะทำเป็นเออออรับคำ พลางจูงมือหลานสาวเข้ามาในบ้านเหมือนไม่ทันได้สังเกตอะไรทั้งสิ้น

    “งั้นเหรอจ๊ะ เอาเป็นว่าเจอกันก็ดีแล้วล่ะนะ...แล้วนี่เชรีเหนื่อยหรือเปล่า นั่งรถมาตั้งไกล เดี๋ยวป้าให้เด็กพาไปที่ห้องพักก่อนดีกว่านะ จะได้ล้างตาล้างตาแล้วค่อยมาทานข้าวเย็นกัน” ว่าแล้วคุณภัสสรก็หันไปเรียกเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่ยืนรออยู่ไม่ไกล สั่งให้พาหญิงสาวไปที่ห้องพักสำหรับแขก แล้วชิงให้เหตุผลปนเกลี้ยกล่อมก่อนที่ชนม์นิภาจะได้เอ่ยปากค้านว่า “เชรีพักที่บ้านนี้แหละนะลูก อย่าไปพักที่รีสอร์ทเลย ป้ารับปากแม่เขาไว้แล้วว่าจะดูแลหนูอย่างดี ถ้าขืนปล่อยให้เชรีไปอยู่คนเดียวอย่างนั้น ดารู้เข้าคงโกรธป้าแย่”

    “แต่...เชรีไม่อยากรบกวน…” เสียงใสเอ่ยอุบอิบอย่างลังเล ก่อนเผลอตัวเหลือบมองเจ้าของบ้านอีกคนด้วยสายตาไม่แน่ใจ หากก็ไม่เห็นว่าเขาจะคัดค้านอะไร หรืออาจเป็นเพราะพีรัชรู้ดีกว่าเธอว่าถึงค้านไปก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยคุณภัสสรจัดการสรุปทุกอย่างลงภายในประโยคเดียว

    “ไม่รบกวนเลยจ้ะ ป้าดีใจจะแย่ที่เชรีจะมา อยู่เป็นเพื่อนป้าที่นี่แหละนะ พี่พีทเขาก็ไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกัน”

    ไม่กี่นาทีต่อมา ชนม์นิภาจึงพบตัวเองอยู่ในห้องพักที่ตกแต่งอย่างน่าสบายด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อน เตียงนอนขนาดควีนไซส์คลุมด้วยผ้าปูสีขาวและผ้าห่มสีน้ำตาลอ่อน ดูอบอุ่นภายใต้แสงไฟสีนวลที่แม่สาวน้อยผู้แนะนำตัวเองว่าชื่อ ‘บัวตอง’ เดินนำมาเปิดไว้ให้ ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าในกระเป๋าของหญิงสาวออกมาเรียงใส่ตู้อย่างคล่องแคล่ว ทำเอาเจ้าของรีบออกปากห้ามแทบไม่ทัน

    “ไม่ต้องหรอกบัวตอง ฉันทำเองได้”

    “ไม่ได้เจ้า แม่เลี้ยงสั่งให้บัวตองดูแลคุณเชรีอย่างดี ให้บัวตองช่วยเถอะนะเจ้า” ฝ่ายนั้นตอบด้วยท่าทางกระตือรือร้น จนคนฟังนึกอ่อนใจกับความห่วงใยเกินเหตุของผู้เป็นป้า สุดท้ายเมื่อห้ามปรามไม่ได้เธอก็เลยลงมือช่วยเก็บไปด้วยโดยไม่สนใจเด็กสาวที่ร้องปฏิเสธเสียงหลง

    “ช่วยกันจะได้เสร็จเร็วๆ ไง บัวตองจะได้ไปทำอย่างอื่นต่อ” ชนม์นิภาว่า แต่สาวน้อยกลับส่ายหน้าตอบ

    “ไม่มีอะไรให้ทำแล้วเจ้า บัวตองช่วยป้าฟองจันทร์ทำกับข้าวจนเสร็จหมดแล้ว เหลือแค่ยกมาขึ้นโต๊ะ ป้าฟองจันทร์ทำคนเดียวได้”

    จากประโยคนั้นทำให้เธอได้รู้ว่าเจ้าชื่อที่ถูกเอ่ยถึงคือป้าแท้ๆ ของบัวตอง ซึ่งเป็นคนดูแลบ้านให้คุณภัสสรและเคยเลี้ยงพีรัชมาตั้งแต่เด็กๆ ส่วนตัวบัวตองเองก็อาศัยอยู่ในไร่ปภัสสรมาตั้งแต่เกิด เนื่องจากพ่อแม่ของเจ้าหล่อนก็เคยทำงานอยู่ในไร่นั่นเอง

    “แต่พ่อกับแม่รถชนตั้งแต่บัวตองยังเล็กๆ ป้าฟองจันทร์ก็เลยเอาบัวตองขึ้นมาเลี้ยงบนตึกน่ะเจ้า” เด็กสาวอธิบายเสียงใส ก่อนเล่าต่อว่าคนงานในไร่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่อยู่มาตั้งแต่บิดาของพีรัชมาบุกเบิกพื้นที่แถบนี้ตั้งแต่เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ส่วนรีสอร์ทนั้นเพิ่งสร้างขึ้นทีหลัง เนื่องจากเห็นว่าเพื่อนฝูงคนรู้จักที่มาเยี่ยมบ้านต่างก็ชื่นชอบบรรยากาศของที่นี่กันทุกคน

    “เรียกว่าจงรักภักดีกับไร่นี้กันมาทุกรุ่นเลยว่างั้นเถอะ” หญิงสาวสรุปอย่างล้อๆ ด้วยความที่ปกติเธอก็เข้ากับคนง่ายจนเป็นนิสัยอยู่แล้ว พอมาเจอเข้ากับความช่างพูดช่างคุยอย่างน่าเอ็นดูของแม่สาวน้อยก็เลยอดพูดคุยสนิทสนมด้วยไม่ได้ หารู้ไม่ว่ากลายเป็นทำให้อีกฝ่ายยิ่งชมชอบเธอมากขึ้นกว่าเดิม

    ...คุณเชรีอาจจะไม่ใช่คนสวยจัด แต่เธอก็น่ารัก แถมยังท่าทางมีน้ำใจ ไม่เหมือนแขกสาวๆ บางคนของแม่เลี้ยงที่ดูถือเนื้อถือตัว ไม่เคยมีใครลดตัวลงมาพูดจาเล่นหัวกับบัวตอง แต่จะว่าไปนอกจากคุณเชรีก็ยังไม่เคยมีใครที่แม่เลี้ยงชวนมาค้างที่บ้านนี้มาก่อนเหมือนกัน

    “ใช่เจ้า แม่เลี้ยงกับคุณพีทใจดี ใครมีลูกก็ส่งเรียนหนังสือ ใครป่วยก็พาไปรักษา...ทุกคนรักแม่เลี้ยงกับคุณพีทกันทั้งนั้นแหละเจ้า” บัวตองพาซื่อตอบด้วยท่าทางภูมิใจ ชนม์นิภาเลยได้แต่ส่ายหน้าอย่างขำๆ ให้กับลูกจ้างตัวอย่างที่ชื่นชมเจ้านายจนออกนอกหน้าซะเหลือเกิน

    หลังจากที่ได้ล้างหน้าล้างตาจนสดชื่นแล้ว หญิงสาวก็เดินตามบัวตองไปยังห้องอาหารที่ผนังด้านหนึ่งกรุด้วยกระจกบานใหญ่ มองเห็นแสงไฟจากบ้านพักของรีสอร์ทเป็นจุดสีส้มเล็กๆ กระจายตัวอยู่ไกลออกไป เมื่อเห็นว่าคุณภัสสรนั่งประจำที่อยู่ตรงหัวโต๊ะอาหารตัวยาวขนาดสิบที่นั่งเรียบร้อยแล้ว โดยมีลูกชายคนเดียวนั่งอยู่ทางขวามือ ร่างบางจึงต้องเดินไปนั่งลงตรงซ้ายมือของเจ้าของบ้านพลางเอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า

    “ขอโทษนะคะที่เชรีมาช้า”

    “ไม่เป็นไรจ้ะ ตาพีทก็เพิ่งลงมาเมื่อกี้นี้เอง” ผู้อาวุโสตอบอย่างอารมณ์ดี ชนม์นิภาจึงเหลือบมองไปทางคนที่ถูกเอ่ยถึงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มเองก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เสื้อสูทกับเนกไทถูกถอดออกไปแล้ว และใบหน้าคมคายก็ดูสดใสขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเหมือนได้ผ่านการพักผ่อนมาแล้วเช่นกัน

    คุณภัสสรชักชวนหลานสาวให้ทานอาหารที่จัดมาเป็นสำรับแบบทางเหนือแท้ๆ ซึ่งนอกจากอาหารหน้าตาคุ้นเคยอย่างแกงฮังเล ไส้อั่ว และน้ำพริกอ่องแล้ว ก็ยังมีลาบคั่วและแอ็บปลา ที่เจ้าถิ่นอธิบายว่าเป็นการนำเนื้อปลามาคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง ก่อนจะห่อด้วยใบตองแล้วนำไปปิ้ง ก่อนจะชี้นิ้วสั่งลูกชายว่า

    “เราอยู่ใกล้ ตักให้น้องหน่อยสิพีท เห็นมั้ยนั่นว่าหนูเชรีเอื้อมไม่ถึง”

    ชนม์นิภาเลยได้แต่ถือช้อนค้าง มองพีรัชที่เลิกคิ้วน้อยๆ แต่ดวงตาฉายแววขบขันเมื่อเข้าใจเจตนาของมารดา ก่อนจะเอื้อมมือตักอาหารที่ว่ามาใส่ในจานเธอด้วยมาดนิ่งขรึมตามปกติ แถมด้วยลาบคั่วที่อยู่ใกล้มือเขาอีกอย่าง ทำเอาผู้เป็นแม่ถึงกับยิ้มกว้าง

    “แอ็บปลากับลาบหมูคั่วครับ”

    “ลองชิมดูสิจ๊ะ เชรีน่าจะยังไม่เคยทานล่ะมั้ง แต่ฝีมือฟองจันทร์รับรองได้ว่าอร่อย ป้าทำเลี้ยงแขกทีไรมีแต่คนติดใจกันทั้งนั้น”

    เจอคำเชิญชวนทั้งทางตรงและทางอ้อมเข้าไปแบบนั้น หญิงสาวเลยได้แต่ยิ้มรับ แต่เมื่อลองทานแล้วก็พบว่าอร่อยจริงอย่างคำโฆษณา จึงเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มเลยไปให้ถึงคนทำที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่กับหลานสาวตรงริมประตู บอกอย่างจริงใจว่า

    “อร่อยมากเลยค่ะ”

    ฝ่ายนั้นเลยยิ้มปลื้ม ทำท่าจะเข้ามาเติมข้าวให้อีกจนเธอต้องรีบห้ามไว้ก่อน เพราะแค่นี้ก็เต็มจานไปหมดแล้ว เมื่อรวมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งเวลาบังเอิญสบตาดำคมของคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม จึงทำให้ชนม์นิภาค่อนข้างจะอิ่มเร็วกว่าปกติ

    โชคดีที่หลังจบมื้ออาหารคุณภัสสรปล่อยให้เธอไปพักผ่อนโดยไม่รั้งไว้ บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันอีกทีว่าเธออยากไปเที่ยวที่ไหนบ้าง หญิงสาวจึงกลับเข้าห้องพักซึ่งอยู่ชั้นล่างค่อนไปทางด้านหลังของตัวบ้าน มีบัวตองเดินตามมาช่วยจัดที่นอนให้ ก่อนย้ำว่าถ้าอยากได้อะไรตอนดึกๆ ก็ไปเคาะเรียกเจ้าหล่อนได้แล้วจึงออกจากห้องไป

    หลังจากโทรไปรายงานตัวกับมารดาว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ร่างบางก็เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะออกมาในชุดเสื้อกางเกงนอนขายาวเนื้อหนานุ่ม เพราะคุณภัสสรเตือนไว้แล้วว่าตอนกลางคืนอากาศที่นี่จะเย็นจัดเนื่องจากอยู่บนภูเขาสูง ขณะที่กำลังคิดว่าคืนนี้เธอจะลองเปิดหน้าต่างนอนดีไหม ดวงตากลมโตก็สังเกตเห็นว่าห้องนี้มีประตูกระจกเปิดออกไปสู่ระเบียงโล่งที่มองเห็นวิวเทือกเขาด้านหลังได้อย่างชัดเจน

    ถึงแม้ว่าในยามค่ำคืนทางฝั่งนี้จะมืดสนิท นอกจากแสงโคมอ่อนๆ ที่เสาริมระเบียงแล้วก็ไม่มีแสงไฟอย่างอื่นอีก เนื่องจากห้องของเธออยู่คนละทิศกันกับตัวรีสอร์ท แต่ในยามเช้าวิวทางด้านนี้ก็น่าจะสวยไม่น้อย ชนม์นิภาทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ยาวริมระเบียง สูดอากาศเย็นสดชื่นท่ามกลางความเงียบอยู่นานพักใหญ่ จนเริ่มรู้สึกหนาวจึงตัดสินใจกลับเข้าห้อง

    ...ไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นไม่นาน ร่างสูงของใครอีกคนก็ก้าวออกมายืนพิงราวระเบียงชั้นสองที่อยู่เยื้องกันกับห้องของเธอพอดี




                   เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้พีรัชที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำในชุดนอนขมวดคิ้วเล็กน้อย...ไม่ใช่ด้วยความสงสัยว่าปลายสายเป็นใคร ในเมื่อคนที่รู้เบอร์ส่วนตัวของเขาและโทรมาหาในเวลาแบบนี้ได้นอกจากมารดาก็น่าจะมีอยู่คนเดียว แต่ที่เขาแปลกใจก็คือหมอนั่นโทรมาทำไมมากกว่า

    “มีอะไร ก้อง เรื่องด่วนหรือไงถึงได้โทรมาตอนนี้”

    “เออ ด่วน แต่ไม่ใช่เรื่องฉันนะ...นายต่างหากที่ต้องตอบคำถามฉันด่วนเลย” กลทีป์ตอบทันควัน ก่อนบ่นต่อด้วยถ้อยคำที่ทำให้คนฟังขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “วันนี้มีแต่คนมาถามเรื่องนายจนฉันหูชาไปหมดแล้ว แถมฉันก็ดันไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง เพราะงั้นนายต้องเล่ามาให้หมดนะเว้ยพีท”

    “ถ้านายไม่บอกก่อนว่ามันเรื่องอะไรแล้วฉันจะตอบได้ไหมล่ะ” พอเจอเขาย้อนไปแบบนั้น อีกฝ่ายก็เลยตั้งคำถามตรงๆ แต่ส่งผลให้เขาชะงักไปอย่างคาดไม่ถึงว่า

    “มีคนบอกว่านายเดินควงแขนกับผู้หญิงปริศนาที่สนามบินวันนี้ จริงหรือเปล่าวะ”

    “อะไรนะ...ไปได้ยินมาจากไหน”

    “พวกคุณหญิงคุณนายเขาพูดกันน่ะสิ พอถามกันเองแล้วไม่ได้คำตอบ สุดท้ายก็เลยมาลงที่ฉันนี่ไง” เจ้าของโรงแรมหนุ่มตอบ ก่อนเล่าต่อด้วยน้ำเสียงเซ็งจัดว่าเมื่อตอนค่ำเขาไปร่วมงานเลี้ยงครบรอบการก่อตั้งของโรงเรียนสตรีชื่อดังประจำจังหวัดเป็นเพื่อนมารดาซึ่งเรียนจบมาจากที่นั่น เนื่องจากศิษย์เก่าหลายท่านต่างก็มีชื่อเสียงอยู่ในวงสังคมในฐานะภรรยาของนักธุรกิจหรือผู้มีตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่น งานนี้จึงเหมือนกับเป็นงานสังคมขนาดใหญ่งานหนึ่งนั่นเอง

    ที่จริงแล้ววันนี้คุณภัสสรเองก็ได้รับเชิญไปร่วมงานเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในฐานะศิษย์เก่า แต่เธอก็เป็นผู้บริจาคเงินให้กับโรงเรียนมาหลายปี และยังรู้จักสนิทสนมกับบรรดาคุณหญิงคุณนายศิษย์เก่าหลายคน แต่เธอก็เลือกปฏิเสธไปด้วยเหตุผลว่าไม่สะดวกเดินทางเข้าเมือง

    ส่วนกลทีป์ที่ถูกมารดาชักชวนแกมบังคับให้ไปเป็นเพื่อนนั้นยอมตกลงเพราะหวังว่าอาจจะได้พบปะพูดคุยกับลูกสาวหลานสาวที่ติดตามอดีตศิษย์เก่าทั้งหลายมาร่วมงานเช่นเดียวกัน แต่กลับกลายเป็นว่าถูกคุณหญิงคุณนายเหล่านั้นผลัดกันเข้ามาซักถามเรื่องของพีรัชจนแทบไม่ได้สานสัมพันธ์กับใคร พอกลับถึงบ้านได้จึงรีบต่อสายหาเพื่อนสนิทเพื่อขอคำอธิบายทันที

    “ตกลงมันยังไงกันวะ สาวปริศนาที่ว่านี่เป็นใคร รู้ไหมว่าเขาแตกตื่นกันใหญ่เพราะที่ผ่านมานายไม่เคยมีข่าวกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน อยู่ๆ ก็มาเดินควงแขนกันกลางสนามบิน ฉันก็ได้แต่ตอบว่าไม่รู้...ไม่รู้ จนเมื่อยปากไปหมดแล้วเนี่ย”

    เมื่อฟังจบพีรัชก็นึกรู้ว่า ‘ผู้หญิงปริศนา’ คนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหญิงสาวที่เขาไปรับมาเมื่อตอนบ่าย พร้อมๆ กับที่เดาได้ว่าคงมีใครสักคนบังเอิญตาดีเห็นตอนที่เขาแตะแขนชนม์นิภาหลังจากพูดคุยกับพ่อเลี้ยงเดชาแล้วนำไปพูดต่อ เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้นเองว่าจากการ ‘แตะแขน’ กลับเพิ่มระดับกลายเป็น ‘ควงแขน’ ไปได้ยังไง

    “เขาเป็นลูกของเพื่อนสนิทแม่ฉัน ฉันก็แค่ไปรับเขามาที่รีสอร์ทแทนแม่ คนที่เห็นก็พูดกันไปเรื่อย” ชายหนุ่มสรุปด้วยน้ำเสียงแฝงแววหงุดหงิดเล็กน้อย ที่การกระทำของเขาถูกพูดถึงเกินเลยไปไกลกว่าที่เป็น...ไม่ใช่เพราะคนที่ตกเป็นข่าวคู่กันคือชนม์นิภา ในขณะที่กลทีป์ตอบรับอย่างเข้าใจ ก่อนจะออกปากเตือนแกมเย้าว่า

    “ก็คิดอยู่ว่าเรื่องซุบซิบพวกนี้เชื่อถือไม่ได้ แต่ตอนนี้นายก็กลายเป็นข่าวไปเรียบร้อยแล้วว่ะพีท ยังไงก็ทนรำคาญหน่อยนะเพื่อน”

    “ช่างเถอะ ช่วงนี้ฉันไม่ได้เข้าเมืองอยู่แล้ว ถ้าไม่มีอะไร เดี๋ยวเจอเรื่องใหม่เขาก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นกันเอง” พีรัชตอบอย่างพยายามไม่คิดอะไรมาก เพราะเชื่อว่าข่าวลือย่อมมีอายุการใช้งานของมัน ถ้าหากว่าเขาอยู่เฉยๆ ไม่มีคนพูดถึง ไม่นานเรื่องก็คงจะเงียบไปเอง

    “ก็คงงั้นแหละ...เออ ฉันเกือบลืมไปอีกเรื่อง” พอจบปัญหาค้างคาใจแล้ว กลทีป์ก็เปลี่ยนเรื่องอย่างนึกขึ้นได้ว่า “งานนี้ฉันเจอไอ้เต้ด้วยนะ มาเป็นเพื่อนแม่เหมือนกัน...นายจำได้ไหมพีท คนที่เรียนห้องเดียวกับเราจนถึงมอสามแล้วก็ไปสอบตำรวจน่ะ”

    “จำได้...ไอ้เต้ที่ชอบมาขอให้ฉันไปบอกนายว่ากรุณาแบ่งเวลาเล่นเกมกับจีบสาวโรงเรียนสตรีมาช่วยทำงานกลุ่มด้วย” ชายหนุ่มตอบปนหัวเราะเมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อออก

    อติรุจ หรือเต้ในเวลานั้นเป็นคนจริงจัง กล้าคิดกล้าพูดอย่างที่ไม่มีใครแปลกใจเมื่อต่อมาเจ้าตัวจะเลือกไปสอบเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่เพราะบังเอิญว่าที่นั่งอยู่ใกล้กัน ฝ่ายนั้นจึงมักถูกอาจารย์จับมาทำงานกลุ่มเดียวกันกับเขาและกลทีป์อยู่เสมอ ช่วงแรกๆ ที่เจอฤทธิ์ความเจ้าสำราญของกลทีป์ที่เริ่มฉายแววมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้วเข้าไป อติรุจก็ยังเอ่ยปากเตือนด้วยตัวเองอยู่ แต่พอนานๆ เข้าก็ยอมแพ้แล้วมาขอให้เขาเป็นคนช่วยพูดแทน

    อันที่จริงพีรัชรู้ดีว่าเพื่อนสนิทเขาไม่ใช่คนเหลวไหลโดยนิสัย ลึกๆ แล้วกลทีป์สามารถรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ดี เห็นได้จากผลการเรียนที่ไม่เคยตกจากระดับที่เจ้าตัวรักษาไว้ได้มาตลอด เพียงแต่บุคลิกภายนอกออกจะติดเล่นไปหน่อยเท่านั้น

    และ ‘คนไม่ช่วยงานเพื่อน’ ในวันนั้นก็หัวเราะลั่น ตอบกลับอย่างคนที่มีอารมณ์ขันเสมอว่า

    “ใช่ แล้วนายเชื่อไหมว่าพอเจอหน้ากัน มันก็ทักฉันเรื่องนี้ทันทีเลย ยังจริงจังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”

    “แล้วหมอนั่นยังเป็นตำรวจอยู่หรือเปล่า” ข่าวคราวสุดท้ายที่ได้รับรู้คืออติรุจสอบติดตำรวจสมความตั้งใจ ในขณะที่เวลาต่อมาเขากับกลทีป์ก็ไปเรียนต่อต่างประเทศกันทั้งคู่ หลังจากนั้นจึงแทบจะไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนเก่าๆ อีกเลย

    “เป็น เพิ่งได้เลื่อนยศเป็นผู้กองหมาดๆ ก่อนจะย้ายกลับมาประจำที่นี่แหละ” อีกฝ่ายตอบได้ทันทีอย่างผู้รู้จริง ก่อนเสริมต่อว่า “มันบอกว่าตอนนี้กำลังตามคดีอะไรสักอย่างอยู่ เห็นมันถามถึงนายด้วยนะ บอกว่าว่างๆ อาจจะมาหาที่ไร่”

    “แล้วเต้มันได้บอกหรือเปล่าว่ามีเรื่องอะไร” พีรัชแปลกใจ เพราะถึงจะไม่เคยมีปัญหาขัดแย้ง แต่เขากับอติรุจก็ไม่ได้สนิทสนมจนถึงขั้นไปมาหาสู่กันมาก่อน

    “ไม่ได้บอกว่ะ ฉันถามแล้ว แต่มันบอกว่าอยากมาคุยกับนายเอง”

    “งั้นก็บอกมันว่าให้มาได้เลย ช่วงนี้ฉันไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว” เจ้าของไร่หนุ่มตัดสินใจ นึกสงสัยว่าฝ่ายนั้นมีเรื่องอะไรจะคุยกับเขา ในขณะที่เพื่อนสนิทอาสาเป็นคนโทรนัดให้ เนื่องจากเพิ่งแลกนามบัตรกับอติรุจมาวันนี้เอง

    “เอาเป็นวันศุกร์นี้ก็แล้วกัน ฉันว่างพอดี จะได้มาพร้อมกับไอ้เต้ด้วยเลย อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะคุยอะไรกับนาย...คิดถึงกับข้าวฝีมือป้าฟองจันทร์ด้วย” กลทีป์สรุป ไม่วายเสริมท้ายอย่างหวังผลเล็กน้อย จนคนฟังต้องรับปากอย่างพอคาดเดาเหตุการณ์ได้ว่า

    “เดี๋ยวจะบอกป้าฟองจันทร์ให้ รายนั้นถ้ารู้ว่าคุณก้องจะมาคงดีใจ เตรียมของโปรดไว้ให้เหมือนเคยนั่นแหละ”

    หลังวางสายจากเพื่อนแล้วพีรัชก็ยังยืนรับลมอยู่อีกพักใหญ่ ด้วยความคิดหลากหลายที่ว่ายเวียนอยู่ในหัว แต่ก่อนจะตัดสินใจกลับเข้านอน สายตาก็เผลอเหลือบไปทางห้องพักแขกที่อยู่ด้านล่างแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่ร่างสูงจะหันกลับเข้าห้อง...ทิ้งภาพห้องที่เงียบสนิท มีเพียงแสงไฟจางๆ เหมือนเจ้าของห้องเข้านอนแล้วลืมปิดเอาไว้เบื้องหลัง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in