เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ยืนงงในดงหนังสือchisanucha sr.
หากสมองของฉันไม่ได้ฟั่นเฟือน - ยามาชิโระ อาซาโกะ (โอตสึ อิจิ)
    • หากสมองฉันไม่ได้ฟั่นเฟือน
    • แปลจากหนังสือ: 私の頭が正常であったなら
    • ผู้เขียน: ยามาชิโระ อาซาโกะ (โอตสึ อิจิ)
    • ผู้แปล: พรพิรุณ กิจสมเจตน์
    • สำนักพิมพ์: Humming Books



    หากสมองของฉันไม่ได้ฟั่นเฟือน คือหนังสือรวม 7 เรื่องสั้นของโอตสึ อิจิ ที่เขียนในนามปากกาชื่อว่ายามาชิโระ อาซาโกะ คำนำของสำนักพิมพ์บอกว่ามีธีมเรื่องมาจากการสูญเสียและการเกิดใหม่ บอกตามตรงว่าตอนแรกก็ไม่ได้สนใจสนใจคำนำ หนังสือเล่มนี้พรีออเดอร์ไปก่อนจะอ่านเรื่องย่ออีกว่าเป็นเรื่องสั้นเกี่ยวกับอะไร ด้วยความชอบส่วนตัวที่ติดตามงานเขียนของโอตสึ อิจิมาตลอด รู้สึกว่าสไตล์การเขียนของเขาไปกับเราได้ ถ้าเรื่องใหม่ได้เอามาแปลไทยก็จะรีบซื้อทันที และเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ผิดหวังเลย

    ในเรื่องสั้นทั้ง 7 เรื่องนี้มีคำโปรยย่อ ๆ ที่ข้างหลังปกหนังสือตามนี้

    แม่ผู้ทำความรักที่มีต่อลูกหล่นหาย 
    นักเขียนผู้หมดสิ้นเรื่องราวที่อยากเขียน 
    หญิงผู้ถูกอดีตสามีพรากชีวิตลูกน้อยไปต่อหน้าต่อตา
    คู่รักผู้สามารถหยั่งรู้อนาคตโดยแลกกับความทรงจำ
    สองสามีภรรยาผู้ถูกรบกวนชีวิตประจำวันเพราะจู่ ๆ มองเห็นวิญญาณ
    เด็กสาวผู้พลาดพลั้งชีวิตในอุบัติเหตุ
    ไก่ประหลาดที่แม้คอขาดก็ยังมีลมหายใจ

    คำโปรยข้างหลังปกทำให้เราสงสัยว่าเรื่องไหนเป็นของเรื่องไหน เพราะเรื่องมันไม่ได้เรียงตามลำดับแบบนี้ พออ่านจนจบแล้วถึงจะรู้ ซึ่งเราจะพูดถึงทีละเรื่องตามลำดับที่เขาเรียงมาในหนังสือไม่เรียงตามคำโปรยหลังปก(แล้วเขียนมาทำเพื่อ)



    นวนิยายแสนสั้นที่สุดของโลก

    นวนิยายแสนสั้นที่สุดในโลกเป็นเจ้าของคำโปรยด้านหลังปกที่เขียนว่า สองสามีภรรยาผู้ถูกรบกวนชีวิตประจำวันเพราะจู่ ๆ มองเห็นวิญญาณ ที่ตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องผีแบบสั้น ๆ พออ่านไปแล้วก็รู้ว่า อ่าว ไม่ใช่ ทีหลังอย่าสะเหล่อเดาไปก่อนอีกล่ะ ที่จริงชื่อเรื่อง นวนิยายแสนสั้นที่สุดของโลก มาจาก "For sale: baby shoes, never worn" นวนิยายขนาดสั้นที่มีเพียง 6 คำ เคยอ่านมาว่าเฮมิงเวย์เป็นคนเขียน แต่ก็เพิ่งรู้ตอนอ่านเรื่องนี้ว่าจริง ๆ แล้วเคยปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ตั้งแต่เฮมิงเวย์ยังไม่ได้เขียนนิยาย งงมาก ใครแกงใคร หรือเฮมิงเวย์นั่งไทม์แมชชีนกลับไปเขียนทีหลังก็ไม่รู้ ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือนวนิยายที่สั้นที่สุดของโลก ดูเผิน ๆ ก็เหมือนจะไม่มีอะไร แต่จริง ๆ ในคำ 6 คำนั้นมันมีความเศร้าแฝงอยู่ในตัวหนังสือ ที่อ่านแล้วสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย ไม่น้อยเลย คือมาก ๆ เลยแหละ

    ประกาศขาย รองเท้าทารก ไม่เคยใช้ / ความหมายสั้น ๆ ที่อ่านแล้วแอบจุก คำถาม มันเกี่ยวอะไรกับสองผัวเมียในเรื่องที่มองเห็นวิญญาณ ก็ต้องตอบว่าเกี่ยวเต็ม ๆ เพราะสองผัวเมียนี้เป็นพวกเจอผีแล้วต้องตามล่าหาความจริง แทนที่จะโทรไปเดอะโกส เรดิโอ ความสนุกคือเราได้หาความจริงไปพร้อมกับตัวละครในเรื่องที่พยายามจะสืบให้ได้ว่าวิญญาณที่มาตามติดตัวเองเป็นใครมาจากไหน แต่สืบไปสืบมาดันเจอคดีฆาตกรรมซะงั้น

    สปอย ไม่รู้จะพูดถึงเรื่องนี้ยังไงถ้าไม่สปอย บอกตรงๆ เพราะชื่อเรื่องมันน่าสงสัยมาก อ่านไปซักตอน หลาย ๆ คนคงเดาได้ว่าสองผัวเมียนี่ต้องเคยสูญเสียลูก พออ่านไปเรื่อย ๆ ก็เออ ใช่จริงด้วย เฉลยตั้งแต่ตอนสอง เราชอบตอนที่ทั้งสองคุยกันว่าวิญญาณมนุษย์เงินเดือนปริศนานี่ติดมากับส่วนไหน ของที่ซื้อ หรืออยู่ในภายในร่างกายตัวเอง แล้วทำไมผีตานี่มันถึงค่อย ๆ หายไป เรื่องนี้เปรียบเทียบวิญญาณกับเซลล์ ว่าพอถึงเวลาเซลล์ในร่างกายก็จะถูกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ครั้งหนึ่งวิญญาณเคยติดผสมอยู่ในเซลล์ของร่างายสองผัวเมียนี่ทำให้มองเห็นผี แต่พอเซลล์มันเทิร์นโอเวอร์(ตอนเจอคำนี้ในนิยายบอกตรง ๆ ว่างงมาก ต้องไปหาอ่านเพิ่ม เสียดายตังค่าคอร์สไบโอบีมที่เคยเรียนตอนมัธยมฉิบหาย) ก็เลยทำให้สองผัวเมียนี่เห็นผีจางลง ๆ เราชอบที่โอตสึ อิจิโยงเรื่องนี้กับเรื่องที่เคยสูญเสียลูกเข้าหากันได้อย่างลงตัว เข้ากับธีมหลักของหนังสือมาก การสูญเสีย = สูญเสียลูกไป การเกิดใหม่ = เจอผีจนคิดได้ว่าถึงเซลล์จะมีการผลัดเปลี่ยนแต่ก็ยกเว้นเซลล์สมอง ปลอบใจตัวเองได้ว่า ลูกยังอยู่กับเรา คิดบวกไปอีก ชอบๆ


    หัวอยู่ไหน ไก่เดินหา

    เรื่องของเด็กผู้หญิงที่แอบเลี้ยงไก่ประหลาด ไม่มีหัว ซึ่งไก่ในเรื่องที่ถูกยกขึ้นมาเล่าถึงและคิดว่าโอตสึ อิจิน่าจะได้ไอเดียมาจากไก่ตัวนี้แหละ มันชื่อไมค์ ไม่ใช่ไมค์ ภิรมพร แต่เป็นไมค์ ไก่มหัศจรรย์ที่เคยมีชีวิตอยู่ได้ถึง 18 เดือนแม้ว่ามันจะไม่มีหัว ตอนแรกนึกว่าเรื่องแต่ง แต่ไปหาดูละเจอจริง ๆ และเจอด้วยว่าที่ไทยก็มี ซึ่งโอตสึ อิจิไม่น่าจะเจอข่าวของไทย เพราะถ้าไอเดียจากข่าวนี้เป็นของไทย เนื้อเรื่องจะเป็นเปลี่ยนจากการอยากมีชีวิตรอดของไก่เป็นการขอเลขเด็ดจากชาวบ้านที่พบเจอมากกว่า

    ฟูโกะสูญเสียพ่อแม่(อยู่ดี ๆ ก็กลับเข้าเรื่อง) ทำให้ต้องไปอยู่กับน้าใจร้าย ซึ่งยัยน้านี่แหละที่เป็นคนสับคอไก่หลานตัวเองแล้วเอาไปซ่อน น่าจะเพราะเห็นหลานรักไก่ตัวนี้มาก หรือไม่ชีก็อยากกินต้มยำไก่บ้าน ที่พีคคือ อีไก่ตัวนี้แทนที่มันจะตาย มันก็ไม่ตาย ฟูโกะเลยแอบเลี้ยงไว้ ซึ่งจู่ ๆ วันหนึ่งเพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งย้ายมาใหม่ฮีก็ดันไปเห็นเข้าเลยช่วยกันเลี้ยง บอกตรง ๆ ว่าตอนอ่านคิดว่าจะเป็นเรื่องรักใส ๆ ไม่ก็มิตรภาพของเพื่อนที่ช่วยกันเลี้ยงไก่ไม่มีหัว แต่พออ่านไปถึงรู้ว่าไม่ใช่ละ บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าสะเหล่อเดา 

    เราคิดว่าโอตสึ อิจิพยายามจะเปรียบเทียบชีวิตฟูโกะกับไก่ไม่มีหัว ความอยากมีชีวิตรอดทำให้มันผ่านพ้นเรื่องห่าเหวในชีวิตมาได้ ขณะอ่านเรารับรู้ได้ถึงความอยากมีชีวิตอยู่ของฟูโกะมากทั้งที่เธอทั้งโดนน้าทุบตี โดนเพื่อนร่วมห้องรังเกียจ ไม่ต่างจากไก่ไร้หัว 

    สปอย มีคำพูดนึงในเรื่องที่ชอบมาก 'น้าพรากสิ่งสำคัญไปจากชีวิตหนูเสมอ แต่มีสิ่งเดียวที่น้าเอาไปไม่ได้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจหนู น้าไม่มีวันแย่งไปได้เด็ดขาด' ฟูโกะพูดไว้ตอนที่ถูกอีน้าใจอำมหิตขังเอาไว้ในกรงข้างนอก เราว่าอีน้านี่มันเป็นประสาทนะ เหมือนมันไม่อยากเห็นหลานตัวเองมีความสุข อยากเห็นฟูโกะทรมาน ร้องไห้ ตอนที่มันจับหลานไปขังแล้วหลานไม่ร้องไห้ ชีเลยโกรธมาก ๆ ตอนนี้เราชอบฟูโกะสุด การตามหาหัวของไก่อาจจะเป็นเป้าหมายในมีชีวิตอยู่ มันเลยออกตามหาเรื่อย ๆ ไม่ยอมตาย ฟูโกะก็เหมือนกัน ในความรู้สึกเราสิ่งสำคัญของฟูโกะถูกตัดออกไปโดยอีน้าตั้งนานแล้ว แต่ก็พยายามอดทน มีชีวิตอยู่ต่อ รอให้พายุผ่านไป การเกิดใหม่ในเรื่องนี้เราว่าจะหมายถึงชีวิตฟูโกะหลังจากโดนอีน้าทำร้าย เราว่าส่วนหนึ่งที่นางคิดแง่บวกได้ก็น่าจะตกตะกอนมาจากการเจอเพื่อนใหม่แล้วก็ตอนที่เลี้ยงไก่ไม่มีหัวนี่แหละ 

    สุดท้ายขอมอบเพลงนี้ให้แก่ฟูโกะ 




    SF น้ำเมา


    เป็นชื่อเรื่องที่งงอีกละ เรื่องนี้ตอนแรกคิดว่าคือเจ้าของคำโปรย นักเขียนผู้หมดสิ้นเรื่องราวที่อยากเขียน ซึ่งไม่ใช่จ้า ล้มอีกแล้ว อ่านมาเป็นเรื่องที่สามแล้วยังไม่เข็ดอีก จะเดาทำไม แต่เอาจริง ๆ เปิดเรื่องมาใคร ๆ ก็คิด เพราะตัวละครที่ดำเนินเรื่องเป็นนักเขียนนิยาย เปิดเรื่องด้วยการที่ฮีไปคุยกับรุ่นน้องสมัยมหาลัยเรื่องการเขียนนิยาย ฟิลแนะนำจากซอนเบนิมร่วมค่าย ให้กำลังใจรุ่นน้องที่กำลังจะเดบิวต์ โดยการต่อยอดจากพล็อตเดิม แนวทางการดำเนินเรื่อง ซึ่งอีรุ่นน้องก็แปลก ๆ แต่ตอนนั้นฮีคิดว่า เออพวกนักเขียนรุกกี้ ความคิดแปลก ๆ 

    เรื่องย่อนิยายที่รุ่นน้องคนนั้นมาเสนอก็เป็นแนวไซไฟ ทะลุมิติ ย้อนเวลาอะไรทำนองนั้น ซึ่งตัวที่จะทำให้เดินทางย้อนเวลาได้ไม่ใช่ลิ้นชักในห้องโนบิตะ แต่เป็นเหล้าที่ผสมขึ้นมามั่ว ๆ ผ่านไปซักพักอีรุ่นน้องนี่ติดต่อมา กลับมามีชีวิตใหม่ใช้ชีวิตแบบเศรษฐีฮาราจุกุ นิยายที่เขียนขายดีหรอ เปล่า จริง ๆ เรื่องที่ฮีเอามาเล่าบอกจะเขียนนิยายนั่นอะ เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับแฟนนาง นางใช้ประโยชน์ตรงนี้มาให้แฟนบอกผลแทงม้า ต๊าชมาก เราก็เคยคิดแบบนี้แหละว่าถ้าเดินทางข้ามเวลาได้จะไปบอกเลขรางวัลที่1ตัวเองแล้วก็ซื้อหวยชุดจุก ๆ ไปเลยซัก 18ใบ

    อะไรก็ตามที่เล่นเกี่ยวกับอนาคตมันจะต้องมีผลกระทบอยู่แล้ว เรานึกถึง butterfly effect ทฤษฎีที่พูดถึงผลกระทบจากการขยับปีกของผีเสื้อ แรงกระเพื่อมใต้ปีกของแมลงตัวเล็กอาจค่อยผลที่ร้ายแรงได้ เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เพราะแฟนของตารุ่นน้องนี่จู่ ๆ ก็เห็นภาพตอนแฟนตัวเองเลือดท่วมอยู่กลายห้อง อีรุ่นน้องก็กลัวตายดิ เลยพยายามหาทางเอาตัวรอดว่าอนาคต ง่าย ๆ คือนางพยายามจะเปลี่ยนอนาคตเพราะไม่อยากตายอะ แต่สุดท้ายก็นั่นแหละ ผลที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงมาก จริง ๆ ถ้าไม่ทำอะไรเลย อยู่นิ่ง ๆ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้อะ บอกตรง ๆ ว่าไม่ค่อยเรื่องที่เล่าเกี่ยวกับเวลาเท่าไหร่ เพราะงง แต่เรื่องนี้เข้าใจง่าย ซึ่งเข้าใจถูกมั้ยก็ไม่รู้เหมือนกัน คิดว่าถ้าเอาไปคุยกับคนอื่นแล้วมันมีคนคิดอีกแบบ เราก็คงกลับไปไม่เข้าใจเหมือนเดิม งง ฮ่าๆๆๆ เรื่องนี้ชอบตอนจบเพราะมันพีคดี ส่วนการสูญเสียกับการเกิดใหม่ในเรื่องคืออะไรก็ไม่รู้ พยายามคิดละ แต่คิดได้แบบสลับกันคือเกิดใหม่(สูตรเหล้าที่ทำให้ข้ามเวลา) ก่อนแล้วค่อยสูญเสีย(ข้ามเวลามากไปจนเกิดเรื่อง) มั้งนะ เดา



    จักรวาลใต้ผืนผ้าห่ม


    เรื่องนี้คือเรื่องเจ้าของคำโปรย นักเขียนผู้หมดสิ้นเรื่องราวที่อยากเขียน ที่แท้จริง ตอนอ่านไม่ได้คิดอะไรเลย เข็ดแล้ว พยายามปล่อยใจสบาย ๆ สนุก ๆ เปิดเรื่องด้วยการคุยกันของนักเขียน ซึ่งในกลุ่มก็มีทั้งนักเขียนทั่วไป มีชื่อเสียงขึ้นมาหน่อยไปจนถึงดังมาก ๆ และก็มีคนนึงในวงเหล้าที่เป็นอดีตนักเขียนอดีตเจ้าของรางวัลคนนึงที่งานก็ไม่ได้ขายดีมาก แต่นักวิจารณ์ชอบเพราะอ่านยากดี ตัวละครที่ดำเนินเรื่องก็ชอบงานของฮีมาก ถึงกับชมไว้ว่าวรรณศิลป์เป็นเลิศ สร้างโลกใบใหม่ในนวนิยายด้วยจิตวิญญาณของจิตกร ทั้งที่เคยเป็นนักเขียนสุดปังขนาดนั้น แต่ปัจจุบันฮีเขียนงานไม่ได้เลย ในเรื่องเรียกอาการนี้ว่าติดหล่ม ตัวละครที่ดำเนินเรื่องบอกว่าคนเป็นนักเขียนใคร ๆ ก็เคยติดหล่ม แต่ตาคนนี้ติดหล่มมาหลายปีจนอาจจะต้องวางปากกาแล้วด้วยซ้ำ  จนกระทั่งฮีไปซื้อผ้าห่มมือสองมาทำให้ได้เจอกับโลกใหม่และกลับมาเขียนงานเป็นเรื่องสั้นอีกครั้ง

    เรื่องนี้ไม่สปอย อยากให้คนที่ไม่ได้อ่านไปหาอ่านเอาเองว่าฮีเจออะไรใต้ผ้าห่ม เราคิดว่าเห็นการสูญเสียและเกิดใหม่ในเรื่องนี้แบบชัดเจนที่สุดแล้ว นักเขียนที่หมดเรื่องราวอยากเขียนก็คือสูญเสียสิ่งที่เคยมีไปละ แต่ได้เกิดใหม่อีกครั้งก็คือฮีกลับมาเขียนงานได้หลังเจอจักรวาลใต้ผ้าห่ม แล้วก็สูญเสียไปอีกครั้งเพราะฮีไม่ออกจากจักรวาลนั้น นักเขียนเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่อ่อนไหวมาก การเจออะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มาช่วยจุดไฟในงานเขียนหลังมอดไปหลายปี มันน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้หมกมุ่นได้ไม่ยาก จนบางทีก็ไม่รู้ตัวอะว่ามากเกินไป กลายเป็นเราจมอยู่กับสิ่งนั้นแล้วดิ่งลงไปเรื่อย ๆ ตอนอ่านเราเลยนึกถึงริวโนะสุเกะ อาคุตางาวะ นักเขียนที่เขียนเรื่องสั้นได้ดีมาก เก่งมากๆๆๆคนนึง แต่พอเจอปัญหาชีวิตก็ทำให้เขียนนิยายต่อไปไม่ได้อีกสุดท้ายก็จบชีวิตลง ซึ่งตอนจบของเรื่องนี้ก็ไม่ได้เหมือนริวโนะสุเกะหรอก เราแค่คิดว่าชีวิตเขาคล้าย ๆ กัน

    อ่านเรื่องของริวโนะสุเกะ อาคุตางาวะ คนเขียนราโชมอนและเรื่องสั้นอื่น ๆ ได้ที่ https://thepeople.co/akutagawa-ryunosuke/


    จมน้ำบ่อโศก

    เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องนึงที่สะเทือนอารมณ์มาก ๆ แบบให้เป็นที่ 2 เลย มันสับสนมากตอนอ่าน ไม่ใช่ว่าเขียนงงนะ แต่หมายถึงพอตัวละครมันสับสน เราก็สับสนไปด้วย เรื่องนี้คือเจ้าของคำโปรยหลังปกที่ว่า แม่ผู้ทำความรักที่มีต่อลูกหล่นหาย เรื่องย่อ ๆ คืออดีตของผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยรวมหัวกับเพื่อนแกล้งเพื่อนร่วมห้องจนเพื่อนฆ่าตัวตาย ต่อมาพอโตขึ้นเพื่อนทุกคนก็ทยอยมีลูก แต่ลูกที่เกิดมากลับหน้าเหมือนเพื่อนที่ตายไปกันหมด สุดท้ายเพราะทนเห็นไม่ไหวเลยฆ่าลูกตัวเองตายทุกคน

    ปัญหามันเริ่มหลังจากนี้แหละ ตัวละครจะทำยังไงถ้าลูกของตัวเองที่เกิดมาหน้าเหมือนเพื่อนคนนั้น จะทำแบบเดียวกับที่เพื่อนตัวเองทำมั้ย จะรักลูกได้หรือเปล่า จะรู้สึกเกลียดลูกตัวเองมั้ยเวลามองหน้าแล้วทำให้นึกถึงเรื่องราวที่อยากลืมในอดีต เราว่าการที่โอตสึ อิจิเอาเรื่องนี้มาโยงเข้ากับเรื่องแม่ลูก มันเลยเป็นการเล่นกับประเด็นความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวได้ดีมาก ๆ การตั้งคำถามว่าแม่รักเราหรือเปล่า เรารักแม่หรือเปล่า เพราะว่าบางคนถึงจะให้กำเนิดลูกออกมาก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรักลูกตัวเองอะ ยิ่งพอต้องมาอยู่ด้วยกันแล้ว ความต่างของวัยที่ห่างกันมาก ๆ มันก็ไม่แปลกนะที่บางครั้งเราจะไม่ชอบนิสัยบางอย่างของคนในครอบครัว คือเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ที่คนเราจะรู้สึกแบบนั้น แต่มันอยู่ที่ว่าเรารักกันมากพอที่จะปรับความเข้าใจกันมั้ย อยากจะปกป้องมั้ย ยังเป็นห่วงกันมั้ย นั่นอาจจะเป็นความหมายที่แท้จริงของครอบครัวที่เราได้จากเรื่องนี้ 

    การสูญเสียในเรื่องนี้เราไม่ได้มองถึงเพื่อนร่วมห้องที่การฆ่าตัวตายแล้วพยายามกลับมาเกิดใหม่เป็นลูกของคนที่เคยแกล้งตัวเอง แต่เรามองตัวละครที่ดำเนินเรื่องนี่แหละ ชีเคยสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีกับแม่ไปช่วงนึงเพราะไม่เข้าใจกัน จนชีตั้งคำถามว่าแม่เคยรักชีบ้างมั้ย มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ชีเริ่มทำตัวต่อต้านแม่ แล้วแม่ก็ไม่ชอบชีเหมือนกันที่ชอบมองด้วยสายตาดูถูกอะ แต่พอวันนึงชีได้เป็นแม่เอง โตขึ้น ชีก็เริ่มเข้าใจแม่ตัวเอง เปิดใจคุยกัน ชีเลยตั้งใจว่าจะรักและดูแลลูกของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อชดเชยทั้งเรื่องราวของตัวเองที่ไม่ได้มีช่วงเวลาดี ๆ กับแม่และเพื่อนของชีที่ฆ่าลูกตัวเองก่อนที่จะได้เลี้ยงได้ลองรักลูกจริง ๆ อะ ก็เหมือนชีได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในบทบาทของแม่เอง 


    หากสมองของฉันไม่ได้ฟั่นเฟือน

    เรื่องสั้นที่ได้อยู่บนปกหนังสือเรื่องนี้มันมีอะไรพิเศษนะ แต่พออ่านไปอ่านมาอะ ก็เข้าใจว่าทำไมถึงได้อยู่บนปก คิดว่าน่าจะเลือกจากเรื่องที่สะเทือนใจที่สุดนะ เพราะเรื่องบอกเลยว่ายืน1 ใครที่จิตใจอ่อนไหวอ่านไม่ได้แน่ ๆ เพราะมันสะเทือนใจมากกกกก เอางี้ คำโปรยด้านหลังคือ หญิงผู้ถูกอดีตสามีพรากชีวิตลูกน้อยไปต่อหน้าต่อตา เนี่ย แค่คำโปรยก็คือไม่ไหวแล้วปะ

    ทุกอย่างในเรื่องนี้มันอ่านแล้วอ่อนไหวไปหมดแล้ว มันเป็นการสูญเสียที่เห็นภาพชัดมาก แล้วตัวละครที่เป็นแม่ในเรื่องก็จมอยู่กับสูญเสียตรงนั้นจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า เรื่องนี้ไม่อยากเขียนอะไรถึงมากเลยเพราะมันเศร้าอย่างเดียวจริง ๆ เรื่องย่อมันคือแม่เนี่ยเป็นเมียที่ถูกผัวปิตาทำร้ายทุกวัน จนชีขอหย่า คิดว่าเรื่องจะจบก็ไม่จบเพราะอีผัวเก่าดันแค้น อยู่ดี ๆ ก็ลากลูกไปจนโดนรถชนตายคาที่ทั้งคู่ ชีก็เลยจมอยู่กับความเศร้า โทษตัวเองบ้างล่ะที่คะยั้นคะยอให้ลูกไปเจอพ่อเพราะคิดว่าไม่มีอะไร ชีก็อยู่อย่างคนเลื่อนลอยทั้งเรื่อง จนกระทั่งว่าอยู่ดี ๆ ก็ได้ยินเสียงเด็กเรียก 

    สปอย เราชอบมากที่สุดท้ายตัวละครยอมรับความจริงแล้วเดินหน้าต่อ เหมือนกับว่าการช่วยชีวิตหนึ่งของตัวเองมันทดแทนความรู้สึกผิดที่นางช่วยลูกตัวเองไม่ทัน แล้วการพูดคุยกับเด็กที่เหมือนลูกก็ได้เยียวยาตัวเองไปในตัว มันเป็นการเกิดใหม่ที่แท้จริง เรื่องนี้เห็นภาพชัดมากจริง ๆ ไม่แปลกใจละว่าทำไมถึงได้อยู่บนหน้าปก ยิ่งมันอยู่ต่อจากเรื่องก่อนหน้า ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่ลูกเหมือนกันนะ เหมือนเราถูกบิ้วมาเรื่อย ๆ แล้วก็โดนดึงสุด ๆ ตอนอ่านเรื่องนี้อะ



    ราตรีสวัสดิ์ เด็กน้อยทั้งหลาย


    เรื่องสั้นเรื่องสุดท้าย เราว่าอีsf น้ำเมา กับจักรวาลใต้ผ้าห่มแฟนตาซีแล้วนะ เรื่องนี้ไปสุด ขึ้นไปถึงโลกสวรรค์ แต่ก็ชอบแหละที่เขาเล่าเรื่องของสวรรค์ว่ามันเป็นเหมือนโรงหนัง ที่ตอนตายเราก็จะมานั่งดูหนังชีวิตตัวเอง พออ่านเรื่องนี้จบก็มานั่งคิดว่า ถ้าตอนตายได้ไปนั่งดูหนังแบบนี้ เทวดาที่นั่งข้างๆขำชีวิตเราจนตกเก้าอี้แน่นอน 

    เรื่องนี้มีจุดพีคนิดหน่อย นิดหน่อยจริง ๆ คือเดาได้ ไม่ได้แบบตกใจ แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มาอยู่เป็นเรื่องลำดับสุดท้าย การเรียงลำดับเรื่องสั้นมีความหมายอะไรรึเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่ถ้าให้ลองคิดดูเล่น ๆ เราว่าเรื่องนี้มันปลอบใจคนอ่านได้ดีมาก เราชอบโควตนึงในเรื่องที่บอกว่า 'ต่างคนต่างมีเส้นทางชีวิตของตน ทุกชีวิตเอ่อล้นด้วยความสุข ขณะเดียวกันก็ท่วมท้นด้วยความเศร้า' ก็ถือว่าจบได้อบอุ่นหัวใจอะ เทียบกับเรื่องที่ผ่านๆมาคือไม่ค่อยมีจุดให้สะเทือนอารมณ์เท่าไหร่ เหมือนโอตสึ อิจิกำลังเมตตาเรา ก็เลยใส่เรื่องเบา ๆ มาให้ ปิดหนังสือเล่มนี้ไปแบบไม่ต้องนั่งเหม่อ อ้าปากหวอ


    เรียงลำดับตามความชอบ 

    หัวอยู่ไหน ไก่เดินหา > จมน้ำบ่อโศก > นวนิยายแสนสั้นที่สุดของโลก > หากสมองของฉันไม่ได้ฟั่นเฟือน > จักรวาลใต้ผ้าห่ม > SF น้ำเมา > ราตรีสวัสดิ์ เด็กน้อยทั้งหลาย

    ดูจากการเรียงลำดับก็รู้เลยนะคะว่าชอบความเจ็บปวด ชอบทรมาน


    ถึงจะชอบแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน แต่รวม ๆ แล้วรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ของโอตสึ อิจิก็ยังเป็นอีกงานของเขาที่เราชอบมาก ๆ อยู่ดี ถ้าเทียบกับเล่มอื่น ๆ อะนะ เราว่าอันนี้ไม่ใจร้ายเกินไป(ล่ะมั้ง) อาจจะด้วยธีมหลักที่บอกว่าเป็นการสูญเสียและเกิดใหม่อะ ถึงแม้ว่าช่วงแรกของเรื่องมันก็จะพูดถึงความสูญเสีย แต่สุดท้ายเราจะได้เหมือนคำปลอบใจแล้วก็ได้หายเศร้า ไม่ก็ได้คิดอะไรบางอย่างไปพร้อมตัวละครอะ โดยเฉพาะเรื่องหัวอยู่ไหน ไก่เดินหา ใครจะรู้ วันนึงเราอาจจะกลายเป็นไก่ไม่มีหัวก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมาเราก็อยากจะเดินตามหาหัวของตัวเองแล้วมีชีวิตอยู่ต่อไป เหมือนกับที่ไก่และฟูโกะในเรื่องไม่ยอมแพ้ 



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in