เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
YOUNG MASTER #MINNOninezexsky
18
  • Note : เคนส์ สเปนเซอร์ = จองอู 








    เช้านี้ในเดอะฮิลล์ดูค่อนข้างจะสดใสกว่าหลายวันที่ผ่านมาไม่มากก็น้อย รุ่งอรุณในยามเช้าตรู่ประดับไปด้วยแสงแดดอ่อนๆ ที่กระทบกับต้นไม้เขียวขจี หยดน้ำสีใสที่ร่วงหล่นมาจากเมฆฝนสีทะมึนในหลายต่อหลายวันที่ผ่านมา ยังคงเกาะเรียงตัวตามกิ่งใบพอให้มองแล้วรู้สึกชุ่มฉ่ำไปตามความชุ่มชื้นของธรรมชาติ




    เสียงหายใจหนักๆของสัตว์ใหญ่ที่กำลังเดินวนไปมากันให้น่าปวดหัว ภาพของเกรย์วูล์ฟที่บ้างก็ยังคงนอนหมอบนิ่ง บ้างก็กำลังเล่นไล่งับกันตามประสา คงเป็นภาพที่เคยชินสำหรับเชส ไทเลอร์ ที่มักจะออกมาแวะเวียนดูการ์เดียนของตัวเองเป็นประจำ ความนุ่มจากขนสีขาวสะอาดของร็อคกี้ยังคงถูไถอยู่ตามต้นขาของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ เมื่อเกรย์วูล์ฟตัวแสบนั้นพยายามจะส่งสัญญาณว่าตัวเองนั้นหิวแล้ว 




    "เห็นหน้ากันก็หิวขึ้นมาเลยหรือร็อคกี้?" เชสเอ่ยก่อนที่จะเอื้อมมือไปลูบขนที่แผงคอของร็อคกี้ พลางมองเกรย์วูล์ฟตัวอื่นที่ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ไกลจากตัวเอง แน่นอนว่าเกรย์วูล์ฟที่สงบเสงี่ยมมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นชาลีซึ่งนอนหมอบมองเชส ไทเลอร์ อยู่ตลอด 

     



    ถ้าจะพูดให้ถูกก็คงต้องบอกเลยว่าร็อคกี้น่ะไม่ค่อยจะได้มาอยู่รวมกับการ์เดียนตัวอื่นเสียเท่าไหร่ นับตั้งแต่ไทเลอร์ปล่อยให้มันไปตามเฝ้าเลสลีย์คนเล็ก ตลอดทั้งคืนร็อคกี้นั้นก็จะเฝ้าอัลฟ่าแดนเหนืออยู่หน้าห้องอย่างไม่ขาดตกบกพร่องในหน้าที่ หากว่าเช้าเมื่อไหร่ล่ะก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นเจ้าตัวขาวนี่นอนอยู่ตรงนั้นอีก และเหตุผลที่ว่าก็คงเป็นเพราะไทเลอร์ที่มักจะตื่นแต่เช้าตรู่นั่นเองที่ทำให้ร็อคกี้นั้นปลดประจำการตัวเองอย่างไม่ต้องรอให้เชสต้องบอกกล่าว




    "ไม่ต้องหวังให้ฉันปล่อยเทรย์เสียให้ยากน่าร็อคกี้" เมื่อไม่สามารถร้องขออาหารจากไทเลอร์ได้ ไอ้ตัวแสบในหมู่การ์เดียนก็พาลเดินไปวนอยู่รอบๆเทรย์ที่ถูกล่ามไว้แทน ซึ่งไทเลอร์เองก็รู้จักนิสัยการ์เดียนของตัวเองมากพอที่จะไม่หลงกลปล่อยให้เจ้าสองตัวนี้เข้าคู่กัน อีกอย่างนี่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่โจชัวจะมาให้อาหารเจ้าพวกนี้ด้วยเช่นกัน




    ราวกับว่าร็อคกี้สามารถเข้าใจในสิ่งที่คนเป็นนายพูดได้ มันถึงได้ยอมเลิกออดอ้อนเชสแล้วเดินไปหาเทรย์โดยที่ไม่วายที่จะหันก้นให้เจ้านายตัวสูง ซึ่งก็นับว่าเป็นการกระทำที่น่าหมั่นไส้ไม่หยอกที่ร็อคกี้ก็มักจะแสดงอยู่บ่อยๆ เมื่อถูกเชสขัดใจ ทั้งความดื้อดึงและเอาแต่ใจของวูล์ฟด็อกตัวขาวนี่ล่ะที่ทำให้มันกลายเป็นตัวป่วนของฝูงอย่างน่าไม่เชื่อ 




    หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ส่ายหัวกับการกระทำของร็อคกี้ ก่อนจะกลับมาสนใจชาลีที่นอนหมอบนิ่งมองตัวเองเงียบๆ ยามที่ไทเลอร์นั้นเดินเข้าไปใกล้มันก็ส่ายหางของตัวเองเป็นการตอบสนองคนเป็นเจ้าของมัน แต่ทว่าสายตาของชาลีที่มองไทเลอร์ในตอนแรกนั้นกลับมองเลยไปทางด้านหลังซึ่งมีใครอีกคนนั้นเดินเข้ามาใหม่ 




    ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าให้ได้ยิน จะมีก็แค่กลิ่นประจำตัวนั้นที่ทำให้ไทเลอร์รับรู้ว่าผู้ที่มาใหม่นั้นคือใคร กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของดอกกุหลาบซึ่งเป็นตัวแทนของชนชั้นสูงที่ไทเลอร์นั้นได้กลิ่นจนเคยชิน จะเป็นใครได้นอกเสียจากอัลฟ่าแดนเหนือ...




    "มาไม่ให้สุ้มให้เสียงแบบนี้ ไม่กลัวเจ้าพวกนี้มันบ้างหรือ?" ไทเลอร์ยังคงทรุดลงนั่งยองๆรูปขนตามช่วงลำตัวของชาลีในขณะที่ปากหยักขยับสนทนากับคนตัวขาวซีดซึ่งอุ้มเจ้าเกรย์วูล์ฟตัวจ้อยอยู่ในอ้อมแขน 




    ก้อนขนปุยในอ้อมแขนแอชเชอร์เองเมื่อได้เห็นพวกการ์เดียนก็เอาแต่จะตะกายออกจากอ้อมแขนเสียให้ได้ จนปากบางนั้นเอ่ยดุเกรย์วูล์ฟเสียงเบาๆ 



    "ไม่เอาน่าเซเบอร์.." หัวคิ้วสวยขมวดชนเข้าหากันหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่อร็อคกี้นั้นเดินเข้าไปหา และพยายามจะเล่นกับเจ้าเกรย์วูล์ฟตัวจ้อยจนอัลฟ่าแดนเหนือเริ่มรู้สึกคิดผิดที่พาเจ้าเซเบอร์ออกมา 




    "ปล่อยลงมาเถอะ ธรรมชาติของสัตว์มัน.."  เชสแนะคนตัวขาว ดวงตาคู่สวยสบตากับไทเลอร์ชั่ววินาทีก่อนที่จะตัดสินใจปล่อยเซเบอร์ให้ลงมาเดินเล่นบนพื้น ซึ่งเจ้าก้อนขนปุยนั่นก็ถูกร็อคกี้ไล่ต้อนเสียยกใหญ่ ล้มบ้าง เดินบ้าง ก่อนจะเข้าไปในวงล้อมของเกรย์วูล์ฟตัวอื่นๆที่พากันสนใจกับเจ้าตัวน้อยนั่น 



    "ถ้าเซเบอร์โดนกัดขึ้นมา ฉันจะโทษนาย" แอชเชอร์ เลสลีย์ คาดโทษหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ไว้ก่อนที่จะละสายตาจากสัตว์สี่ขามาที่ทรูอัลฟ่าหนุ่ม 




    "ฉันให้นายเลี้ยงมันเป็นเกรย์วูล์ฟไม่ใช่วูล์ฟด็อกนะเลสลีย์..."  ไทเลอร์เอ่ยติคนตัวขาวอย่างอดไม่ได้ "หากมันโตขึ้นกว่านี้เห็นทีว่าคงต้องให้แยกกับนายเสียบ้าง"




    "ยกให้ฉันแล้ว นายมีสิทธิอะไรกันไทเลอร์" แอชเชอร์ตอบเสียงขุ่น "อีกอย่างที่ฉันกลัวก็เพราะเซเบอร์ยังเด็ก" 




    "ทำอย่างกับเลี้ยงลูกไปได้" ไทเลอร์ว่าพลางสิ่งยิ้มมุมปากให้กับเลสลีย์ "ถ้ามีลูกขึ้นมา แบบนี้ไม่หวงแย่หรือ?"




    "พูดบ้าอะไรของนาย.. ฉันก็เลี้ยงเซเบอร์ตามที่สมควรเลี้ยง มันเกี่ยวกันตรงไหน" อัลฟ่าแดนเหนือพ่นคำพูดออกมารัวๆ โดยที่ใบหูขาวนั่นขึ้นสีแดงจัด 




    "ฉันก็แค่หยอกเล่น แต่ดูท่าทางนายจะจริงจังเสียเหลือเกิน..." 




    "แล้วมันใช่เรื่องมาพูดเล่นหรือยังไง?" ใบหน้ารูปสลักบึ้งตึงขึ้นมานิดๆ พลางยืนกอดอกมองทรูอัลฟ่าแดนใต้ที่เอาแต่ส่งยิ้มให้ตัวเองไม่ยอมเลิก




    "ฉันเองก็ยังอยากมีลูกอยู่นะเลสลีย์"  สายตาเรียบนิ่งที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์นั้นจดจ้องมองใบหน้ารูปสลักไม่วางตา ซึ่งมันก็นับว่าเป็นการกระทำที่โจ่งแจ้งในเจตนาเสียจนทำให้แอชเชอร์ เลสลีย์ ที่ยืนฟังอยู่ถึงกับเดินหันหลังหนีไปในทันที ราวกับไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนเจ้าเล่ห์ที่คอยจะต้อนตัวเองให้จนมุม 




    กลิ่นหอมอ่อนๆของแอชเชอร์ เลสลีย์ เจือจางหายไปในอากาศหลังจากที่เจ้าตัวเดินหายเข้าไปในบ้าน ทิ้งไว้ก็แต่เจ้าของฝูงเกรย์วูล์ฟที่ยังคงยกยิ้มมุมปากไม่เลิก เพียงแค่ไทเลอร์เอ่ยหยอกเย้าแค่นั้นก็ทำให้อีกฝ่ายอดรนทนไม่ได้จนต้องเดินหนี  หลังจากเมื่อคืนที่ได้พูดคุยกันมากขึ้นแอชเชอร์ เลสลีย์เองก็ดูจะโอนอ่อนลงไม่มากก็น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะทำให้ทั้งคู่สามารถอยู่ใกล้ชิดกันได้มากนัก 




    เพราะนอกเสียจากที่ไทเลอร์จะไม่ได้สูดดมความหอมของอัลฟ่าแดนเหนือที่สมควรจะนอนเคียงข้างกายแล้ว เจ้าตัวยังต้องนอนมองเพดานห้องไปค่อนคืนเพราะกลิ่นของอัลฟ่าแดนเหนือซึ่งติดอยู่บนผืนเตียงและผ้าห่มของตัวเอง  




    ทางด้านเลสลีย์คนเล็กที่เดินหนีเข้ามาในบ้านก็ได้แต่ยืนสงบสติของตัวเองเพื่อไล่ประโยคหลอนหูที่ฝังหัวจากไทเลอร์ออกไป แต่ทว่ามันก็ยากเสียจนคนตัวขาวนั้นยกมือขึ้นมาขยี้ผมตัวเองเบาๆด้วยความรู้สึกงุ่นง่าน ทั้งสายตาและการกระทำของไทเลอร์มันกำลังทำให้แอชเชอร์ เลสลีย์รู้สึกไม่สามารถเป็นตัวของตัวเอง 




    จูบร้อนผ่าวที่ประทับลงบนข้อเท้าเมื่อวานนั้นยังคงติดตราตรึงจนยากที่จะลบสัมผัสพวกนั้นออกไปได้  ไม่เชื่อก็คงต้องเชื่อแล้วล่ะว่าไทเลอร์นั้นรู้ดีเสียเหลือเกินว่าควรทำอย่างไรให้เขาโอนอ่อนโดยที่นั่นไม่ใช่การฝืนใจตัวเอง  




    คนที่เคยอยู่สูงมาตลอดย่อมไม่มีทางที่จะยอมให้ตัวเองตกต่ำและนั่นก็คือแอชเชอร์ เลสลีย์... 







    อาหารเช้าในโรงอาหารประจำหน่วยวันนี้ดูท่าจะชื่นมื่นกว่าเสียทุกวัน เมื่อหัวหน้าหน่วยไทเลอร์นั้นเดินเคียงคู่มากับอัลฟ่าแดนเหนือเจ้าของผิวขาวซีดที่ใครๆต่างก็จดจำได้ดีตั้งแต่แรกเห็น  ใบหน้ารูปสลักที่ถึงแม้จะเรียบนิ่งที่ยังคงความน่ามอง ย่อมสามารถดึงดูดให้ทั้งอัลฟ่าและเบต้าในหน่วยลอบมองเงียบๆ 




    และนั่นก็รวมไปถึงรีส เบลเลอมอนท์ ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วด้วยเช่นกัน.. อัลฟ่าผมสีเพลิงสบตาหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ในเสี้ยววินาที ก่อนที่ไทเลอร์จะเปลี่ยนวิถีการก้าวเดินของตัวเองไปอีกทางเพื่อหลีกเลี่ยงรีส เบลเลอมอนท์ และนั่นก็ทำให้คนถูกเมินถึงกับหัวเราะหึในลำคอด้วยความขบขันในตัวของน้องชายตัวเอง




    "นายจะเดินอ้อมทำไมกันไทเลอร์?" คนตัวขาวที่ถูกดึงให้เดินตามมาเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจในตัวทรูอัลฟ่าหนุ่มที่อยู่ๆก็เปลี่ยนทางเดินกะทันหัน ทั้งที่กำลังจะถึงจุดที่เชอร์ชิลและคาร์ลินกำลังนั่งอยู่แล้วเชียว 




    "เดินตามมาเถอะน่า" คนผิวสีแทนตอบสั้นๆ 




    "แปลกคน" ถึงอย่างนั้นแอชเชอร์ก็ทำได้แค่เพียงบ่นอีกฝ่ายนิดหน่อยเท่านั้น กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยเข้าจมูกในยามที่ท้องกำลังร้องแบบนี้ ยังไงก็ย่อมสำคัญกว่าเรื่องอื่นเป็นไหนๆ 




    "ฉันนึกว่านายจะไปนั่งกับเบลเลอมอนท์เสียอีก" 




    ทันทีที่ทรุดตัวลงนั่งร่วมกับเชอร์ชิล คาร์ลิน และเมอร์เรย์ แพทย์หนุ่มอัลฟ่าก็เอ่ยปากถามอย่างไม่อ้อมค้อมเสียจนหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์มองหน้านิ่ง 




    "จริงๆถ้านายไปนั่งก็ไม่มีใครว่าหรอกนะเมอร์เรย์" ไทเลอร์ตอกกลับด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย 




    "หงุดหงิดอะไรขนาดนั้นกัน หรือเพราะว่าเมื่อวานโดนขัดกลางคัน" เมอร์เรย์ลากสายตามาหยุดที่อัลฟ่าแดนเหนือซึ่งกำลังนั่งละเลียดอาหารตรงหน้าตัวเองอย่างไม่สนใจใครบนโต๊ะอาหาร 




    "มองหน้าฉันทำไมกัน?" หลังจากที่กลืนอาหารจนหมด คนถูกมองก็เอ่ยปากถามเอริคในทันที  "ฉันยังไม่ลืมนะว่าเมื่อวานนายทิ้งฉันไว้ที่นั่น"




    "ใครทิ้งนายกัน อยู่ๆนายก็หายไปกับกลุ่มคน.." เมอร์เรย์ยกเหตุผลมาอ้าง ซึ่งนั่นก็คงไม่ได้ช่วยให้แอชเชอร์คล้อยตามแต่อย่างใด 




    "ฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด มันก็เห็นกันอยู่ว่านายตั้งใจปล่อยฉันไว้ตรงนั้น" อัลฟ่าแดนเหนือว่าพลางส่งสายตาที่คาดโทษนายแพทย์หนุ่มเต็มที่ ซึ่งเชอร์ชิลที่นั่งอยู่ด้วยก็ได้แต่ยิ้มแห้งกับบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร แตกต่างจากโจชัว คาร์ลินที่ยังนั่งกินอาหารต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สา 




    "น่าเสียใจที่นายไม่เชื่อฉัน.." ท่าทางของเมอร์เรย์ที่ไม่ได้รู้สึกตามที่พูด ดูแล้วก็ชัดเจนเสียเหลือเกินว่าตั้งใจแค่ไหนที่ปล่อยให้แอชเชอร์ต้องไปเผชิญหน้าเมื่อวาน 




    "เชื่อฉันเถอะว่านายไม่ควรไว้ใจเมอร์เรย์" ลูฟอดพูดไม่ได้ เมื่อวานตัวของอัลฟ่าตัวสูงก็กระวนกระวายแทบแย่ที่เห็นอัลฟ่าแดนเหนือนั้นไปอยู่กลางวงล้อมที่กำลังเดือดของเชส ไทเลอร์ และ รีส เบลเลอมอนท์ 



    "พูดแบบนี้ฉันก็เสียหายแย่สิลูฟ ปรักปรำกันอย่างนี้เลยหรือ" 




    "อย่าคิดว่าฉันจะไม่เห็นนายยืนหลบมุมอยู่น่าเมอร์เรย์" เชอร์ชิลตัวสูงพูดตามตรงจนทำให้แพทย์หนุ่มยอมสงบปากสงบคำ แต่ก็ยังไม่วายพูดให้เรียกสายตาที่แทบจะกินเลือดที่เหนือของไทเลอร์




    "อย่างน้อยเลสลีย์ก็ช่วยห้ามคนที่กำลังคลั่งได้ จริงไหมล่ะ?" 




    "ถ้าคิดได้ขนาดนี้ ก็ควรเอาเวลาไปรักษาคนเจ็บจะดีกว่านะริค" เชสที่ทนฟังมาสักพักเอ่ย "อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่ธุระกงการของนายที่จะมาวุ่นวาย" แม้จะดูเป็นคำพูดที่ค่อนข้างไร้เยื่อใยและไม่ไว้หน้า แต่นี่ล่ะก็คือเชส ไทเลอร์ ที่คนในหน่วยต่างคุ้นชินดี 




    "หวังดีแท้ๆ..." 




    "หวังดีอะไรของนายกัน ถ้าเกิดเบลเลอมอนท์ไม่ยอมหยุดง่ายๆ นายก็น่าจะรู้ว่าใครที่จะเดือดร้อน" ไม่ใช่เลสลีย์แน่นอนที่ต้องตกที่นั่งลำบาก เพราะยังไงเสียคนที่ต้องรับผิดชอบก็คงไม่พ้นไทเลอร์ 




    "เราควรหยุดพูดเรื่องนี้เสียที ในเมื่อมันไม่มีปัญหาอะไรก็ให้มันจบที่เมื่อวาน" เชสปรามทั้งเชอร์ชิลและเมอร์เรย์ก่อนที่ทั้งคู่จะได้โต้เถียงกันไปมากกว่านี้  "นายเองก็ด้วยเลสลีย์ เมื่อวานอาจจะเป็นโชคดีของนาย แต่ครั้งหน้าโชคคงไม่เข้าข้างนายเสมอไป"




    "คนแดนใต้นี่ดีแต่ใช้กำลังหรือยังไง" เลสลีย์คนเล็กเอ่ยเหน็บอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะแสร้งสนใจอาหารตรงหน้าตัวเองแทนสายตาดุของเชส ไทเลอร์ที่กดดันตัวเองจนนิ่งเงียบกันไปทั้งโต๊ะ




    "แน่นอนว่าเราไม่ได้สักแต่ปากพูดเหมือนคนอีกฝั่ง.." 





    "!!" 





    คำว่ากระทบกระแทกที่ออกมาจากปากไทเลอร์นั้นทำให้เลสลีย์ถึงกับนิ่งไป เขาคิดผิดจริงๆที่อ้าปากต่อล้อต่อเถียงกับไทเลอร์ แม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งแอชเชอร์และเชสจะไม่ได้เหมือนเดิมเช่นดังก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะลดความปากร้ายลงเลยสักนิด 




    "บอกให้คนอื่นหยุด แต่นายต่างหากที่กำลังทำให้มันไม่จบนะเชส" เชอร์ชิลตัวสูงเอ่ยเตือนเพื่อนของตัวเองในทันทีเมื่อเห็นท่าไม่ดี มันก็อาจจะถูกที่เชส ไทเลอร์ ดูจะโอนอ่อนลงมากับเลสลีย์กว่าเดิม แต่ถ้ารู้จักเชสมากพอล่ะก็ เลสลีย์เองก็คงต้องยอมรับด้วยว่าผลกระทบของคำพูดของตัวเองนั้นย่อมสะท้อนกลับมาไม่มากก็น้อย




    "มันก็ถูกอย่างที่ไทเลอร์ว่า..." เลสลีย์ว่าด้วยน้ำเสียงปกติ หากเป็นแต่ก่อนเขาก็คงค้านหัวชนฝาไปเสียแล้วกับคำพูดของไทเลอร์ หากลองย้อนคิดดูดีๆในตอนนี้มันก็เป็นตัวเขาเองที่เปิดปากเหน็บอีกฝ่ายก่อนด้วยซ้ำ ถึงได้โดนย้อนกลับมาให้จุกเล่นๆ ซึ่งนั่นมันก็สมเหตุสมผลไม่น้อยในความเป็นจริง




    เชอร์ชิลได้แต่เกาหัวตัวเองแกร่กๆ ด้วยความงงงวยกับอัลฟ่าแดนเหนือและเพื่อนของตัวเอง ถึงแม้เชสจะดูอารมณ์ไม่ดีสักเท่าไหร่ในวันนี้แต่แวบนึงนั้นอัลฟ่าตัวสูงก็ยังคงเห็นนิ้วมือของเพื่อนตัวเองนั้นพรมนิ้วลงกับโต๊ะ ซึ่งนั่นก็มักจะเป็นท่าทางที่เชสมักแสดงออกมายามที่เจ้าตัวกำลังรู้สึกถูกอกถูกใจบางอย่างและกำลังขบคิดหาวิธีในหัว




    "รีบกินเสียทีเถอะลูฟ วันนี้นายต้องออกไปข้างนอกไม่ใช่หรือ" เป็นโจชัวที่เอ่ยเตือนสติลูฟอีกครั้ง เมื่อเห็นเจ้าอัลฟ่าตัวสูงนั่นยังคงเอาแต่มองไทเลอร์และเลสลีย์สลับไปมาจนไม่ยอมแตะต้องอาหารตรงหน้าเสียที




    "นายไม่รู้สึกบ้างเลยหรือว่ามันแปลกๆ" ลูฟกระซิบบอกโจชัวที่นั่งข้างๆ ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ไม่ค่อยอยากจะสนใจอะไรเท่าไหร่นั้นเลือกที่จะรับฟังเพียงอย่างเดียวแล้วปล่อยให้ลูอิส เชอร์ชิล ขบคิดจนปวดหัวไปคนเดียว 




    "นายสิแปลกคน" โจชัวว่า




    "ไม่ช่วยกันคิดแล้วยังจะมาว่ากันอีก เชื่อเขาเลย.." ลูฟบ่นกระปอดกระแปดตามประสาคนที่ถูกเมิน สุดท้ายเจ้าตัวก็ได้แต่จำใจกินอาหารตรงหน้าต่อโดยไม่สนใจสองคนที่เป็นประเด็นก่อนหน้า 




    จวบจนเป็นเมอร์เรย์ที่ลุกออกไปเสียก่อนเพราะต้องไปตรวจดูอุปกรณ์ต่างๆในหน่วยรักษาพยาบาล ตามด้วยโจชัวที่ขอตัวไปให้อาหารการ์เดียนตามหน้าที่ปกติของตัวเอง คงเหลือก็แต่เพียงหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ที่ยังคงนั่งกอดอกมองอัลฟ่าแดนเหนือที่ยังคงละเลียดอาหารตรงหน้าด้วยท่าทางน่ามอง ส่วนเชอร์ชิลตัวสูงนั้นก็ลุกเดินออกไปคุยกับคนในหน่วยที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไปไม่ใกล้ไม่ไกล 





    "นายไม่ไปทำงานหรือไงไทเลอร์?" คนตัวขาวเลิกคิ้วสูงเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นอีกฝ่ายมองหน้าตัวเองอยู่ 





    "ฉันก็รอนายอยู่นี่ไง.." 




    "รอฉัน?" เลสลีย์ถึงกับร้องถามเสียงหลง ปกติแล้วเขาทั้งคู่แทบจะต่างฝ่ายต่างทำกิจวัตรประจำวันของตัวเอง ไทเลอร์มีงานในหน่วย ส่วนเลสลีย์เองก็มักจะติดสอยห้อยตามโจชัวหรือไม่ก็ลูฟอยู่แทบทุกครั้ง "รอทำไมกัน.."





    "อยู่เฉยๆเสียสักสองสามสัปดาห์จะดีกับตัวนายมากกว่า" และนั่นก็ยิ่งทำให้เลสลีย์ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า "อย่างน้อยก็ควรให้แน่ใจเสียก่อนว่าร่างกายนายยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง" 




    เมื่อได้ยินไทเลอร์พูดแบบนั้นก็ทำให้อัลฟ่าแดนเหนือนิ่งคิดไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆแต่ทว่าใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นกลับหม่นหมองราวกับตะวันอับแสง ซึ่งนั่นก็ทำให้หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์เลื่อนมือใหญ่มาทาบทับหลังฝ่ามือขาวที่วางอยู่บนโต๊ะโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา 




    "ฉันไม่อยากอยู่ที่บ้านเฉยๆ" 




    การให้เลสลีย์อยู่บ้านเฉยๆนั้นมันก็ทำให้เจ้าตัวรู้สึกไม่ต่างจากตอนที่เจ้าตัวอยู่แดนเหนือเสียเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นถึงไม่แปลกเลยสักนิดที่จะเห็นแอชเชอร์ เลสลีย์ อยู่ไม่ติดกับบ้านพักของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ 




    "ถ้าไม่มากมายจนเกินไป ห้องทำงานของฉันก็คงกว้างมากพอที่จะทำให้นายไม่อึดอัด" ไทเลอร์เสนอ 




    "ฉันว่ามันคงดูไม่ดีเท่าไหร่ที่จะเข้าไปยุ่งวุ่นวายในห้องทำงานของนาย"  ห้องทำงานของไทเลอร์ที่อยู่ในหน่วยนั้นมันย่อมเป็นที่สำคัญพอสมควร 




    "คนที่เห็นว่าสมควรหรือไม่สมควร มันควรเป็นฉันไม่ใช่หรือ?" เจ้าของผิวสีแทนเข้มเอ่ยอย่างไม่ยี่หระในความกังวลของอัลฟ่าแดนเหนือ "อีกอย่างนายเองก็ควรอยู่ในกรอบสายตาของฉันตั้งนานแล้วเลสลีย์.." 




    "ฟังดูน่าอึดอัดแปลกๆ มากกว่า.." เลสลีย์ว่าพลางดึงมือของตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย เมื่อหางตานั้นเหลือบเห็นสายตาของคนในหน่วยที่จ้องอยู่ 




    "ก็คงต้องพิสูจน์ดูว่าจะอึดอัดจริงอย่างที่นายคิดหรือเปล่า.." รอยยิ้มเล็กๆยังคงถูกส่งมาให้อัลฟ่าแดนเหนือ ก่อนที่สายตาดุคมของหัวหน้าหน่วยจะเลื่อนไปหยุดอีกมุมหนึ่งซึ่งเป็นจุดที่อัลฟ่าผมสีแดงเพลิงนั้นกำลังนั่งอยู่ 




    กลิ่นไม้สนซีดาร์ที่เข้มขึ้นในอากาศคงเป็นตัวบอกได้ดีว่าหัวหน้าไทเลอร์นั้นชัดเจนมากแค่ไหนกับการแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของในตัวอัลฟ่าแดนเหนือที่กำลังเป็นที่สนใจของคนในหน่วยนับร้อย 




    "ปล่อยกลิ่นขนาดนี้ ไม่ได้นึกถึงฉันเลยหรือไงไทเลอร์..." อัลฟ่าแดนเหนือว่าเสียงเรียบในขณะที่พยายามหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อให้ก้อนเนื้อในอกนั้นเลิกเต้นถี่ระรัวไปกับกลิ่นไม้หอมที่พาลให้ร้อนวาบ 




    "มันห้ามกันไม่ได้




    "กลัวคนในหน่วยไม่รู้หรือยังไงว่าฉันเป็นคนของนาย" เลสลีย์ค่อนขอด ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินนำไทเลอร์ออกมาจากที่รวมผู้คน ซึ่งหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ก็ไม่ได้มีความสนใจกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนในหน่วยเลยสักนิด มิหนำซ้ำช่วงขาแข็งแรงของเจ้าตัวก็ก้าวเท้ายาวๆเดินตามไปประชิดเจ้าของผิวขาวซีดที่ลุกออกมาก่อน




    "โกรธฉันหรือ?"




    "ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจของนายหรอกนะไทเลอร์" เรื่องที่เขาต้องอับอายเพราะต้องเป็นคนของไทเลอร์นั่นไม่นานก็คงจะจัดการกับความรู้สึกได้ แต่การที่ไทเลอร์แสดงออกชัดเจนในความสัมพันธ์ของเรานั้นดีไม่ดีมันอาจจะสร้างความไม่พอใจให้กับคนในหน่วยที่จงเกลียดจงชังคนแดนเหนือได้ 




    ความไม่ถูกต้องที่ไม่ควรเชิดชูนั้นแอชเชอร์เข้าใจมันดี...





    "ฉันมีวิธีจัดการกับปัญหาพวกนั้น นายไม่ต้องห่วง"




    "มันจะไม่ทำให้พวกเขาเสียความเชื่อถือในตัวนายใช่ไหม?" 




    เขาไม่รู้จักคนในหน่วยดีเท่าไหร่นัก แต่คนหมู่มากมันก็ย่อมมีความคิดนับร้อยนับพันที่แตกต่าง คงเป็นไปได้ยากที่จะให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกันในทางเดียว




    "ความเชื่อถือของฉันมันไม่ได้หมดลงง่ายๆเพียงเพราะเรื่องพวกนี้หรอกเลสลีย์"




    "...."




    "หากคนในหน่วยต่อต้านนายขึ้นมาจริงๆ เชื่อเถอะว่านายไม่มีทางได้มายืนอยู่ตรงนี้" 





    ฝีมือของคนในหน่วยเดอะฮิลล์นั้นไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าใคร หากมีการลุกฮือไม่พอใจเรื่องคนของไทเลอร์ ป่านนี้ก็คงมีใครสักคนที่อาจหาญเข้ามาปลิดชีวิตคนที่เป็นปัญหาไปตั้งแต่ในช่วงแรกๆแล้ว 





    "ฉันไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่มให้นายอีก.."  เจ้าของใบหน้ารูปสลักเอ่ย พลางชะลอฝีเท้าของตัวเองให้ช้าลงเพื่อที่จะได้เดินไปพร้อมๆกับไทเลอร์  





    "นายกำลังพูดจาน่ารักใส่ฉันอยู่ รู้ตัวบ้างหรือเปล่าเลสลีย์"





    "คิดไปเองทั้งนั้น" แน่นอนว่าคำหวานของไทเลอร์นั้นก็ถูกอีกฝ่ายตัดบทอย่างไร้เยื่อใย จนเชส ไทเลอร์ ได้แต่หัวเราะเบาๆในลำคอ 













    //////

















    แสงสว่างจากด้านนอกที่ลอดเข้ามาในห้องทำงานเพียงเล็กน้อย ยังคงทำให้ตะเกียงไฟในห้องทำงานถูกจุดขึ้นเพื่อเพิ่มความสว่างในมุมที่แสงแดดไม่สามารถส่องถึง เทียนหอมที่มักจะถูกจุดเพื่อเพิ่มความผ่อนคลายดูท่าจะไร้ประโยชน์ไปเสียแล้ว เมื่อหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์นั้นมีเจ้าของกลิ่นกุหลาบดามัสก์อยู่ข้างกายจนกลายเป็นเครื่องผลิตความหอมส่วนตัว 




    ภายในห้องทำงานที่เงียบสนิทของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ ถูกอัลฟ่าแดนเหนือผู้มาใหม่จับจองมุมอ่านหนังสือและยึดครองในทันทีที่คนตัวขาวซีดนั้นเหลือบไปเห็นตู้หนังสือหลังใหญ่ที่บรรจุสารพัดเล่มหนังสือ  มือขาวไล่ไปตามสันหนังสือก่อนจะหยุดที่หนังสือเล่มหนาซึ่งเมื่อหยิบออกมานั้นก็ดูจะเป็นบันทึกของเดอะฮิลล์ 




    "ฉันอ่านบันทึกพวกนี้ได้ไหม?" แอชเชอร์ร้องถามไทเลอร์ที่นั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานซึ่งที่ประจำของตัวเอง  ฝ่ายคนถูกถามนั้นก็พยักหน้ารับอนุญาตก่อนจะไล่มองท่าทางกระตือรือร้นของแอชเชอร์ เลสลีย์ด้วยความเอ็นดู 





    "ระวังๆหน่อยก็แล้วกัน" ไทเลอร์เอ่ยเตือนแค่นั้นก่อนจะละสายตากลับมาสนใจงานตรงหน้าตัวเองต่อ  




    เมื่อได้รับคำอนุญาตจากไทเลอร์ อัลฟ่าแดนเหนือก็ไม่รอช้าที่จะเปิดอ่านบันทึกของเดอะฮิลล์ด้วยความสนใจของตัวเองเป็นส่วนตัว คำบอกเล่าผ่านตัวหนังสือเป็นระเบียบในหน้าแรกนั้นกล่าวถึงความเป็นมาของหน่วยป้องกันเดอะฮิลล์ที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากแดนใต้สามารถไล่คืบคืนพื้นที่จากคนฝั่งแดนเหนือที่เข้ามายึดครองได้สำเร็จ  แนวกั้นธรรมชาติอย่างแบล็คฟอรเรสต์เองก็กลายเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างสองดินแดนไปโดยปริยาย 




    ภาพวาดที่ร่างคร่าวๆแม้จะไม่สามารถจินตนาการเห็นภาพได้ชัดนัก แต่ก็มากพอที่จะทำให้นึกออกได้เช่นกันว่าเดอะฮิลล์ในก่อนหน้านี้เคยเป็นมาอย่างไร 




    สถานที่ต่างๆในเดอะฮิลล์เองก็ถูกบันทึกเอาไว้ทั้งหมด ทั้งที่ยังคงมีอยู่หรือไม่มีแล้วในตอนนี้เองก็เช่นกัน แต่ที่ทำให้คนตัวขาวซีดสะดุดตามากที่สุดก็คงไม่พ้นเมื่อได้ไล่อ่านประวัติของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์แต่ละคน เรียกว่าที่ผ่านมานั้นเดอะฮิลล์เองก็มีหัวหน้าหน่วยที่มีความสามารถซึ่งยอมรับได้ 




    หน้าสุดท้ายที่ถูกบันทึกนั้นคงเป็นสิ่งที่ทำให้แอชเชอร์ขมวดคิ้วเข้าหากัน พลางละสายตาจากหน้ากระดาษแล้วมองไปที่หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์คนปัจจุบันที่นั่งทำงานด้วยใบหน้าอันเรียบตึง 



    แทบไม่มีเนื้อความอะไรที่บันทึกเพื่อบ่งบอกความเป็นตัวตนของเชส ไทเลอร์เลยสักนิด หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ที่มีอายุน้อยที่สุดจากทุกคนที่เคยมีมานั้นดูเต็มไปด้วยความลับที่ปกปิดจนทำให้แอชเชอร์เคลือบแคลงใจ  




    อัลฟ่าแดนเหนือชั่งใจในการที่จะอ้าปากถามอยู่พักใหญ่ เกี่ยวกับเรื่องที่ตนเองสงสัยในตัวของเชส ไทเลอร์  ต่อให้พยายามเดินไปหาหนังสือเล่มอื่นหรือบันทึกอื่นๆมาเปิดเพิ่มเท่าไหร่ไม่ได้ช่วยทำให้เลสลีย์สามารถรับรู้ตัวตนของไทเลอร์ได้มากขึ้นเลยสักนิด  คนตัวขาวยังคงเปิดหน้ากระดาษเดิมค้างไว้พลางไล่อ่านประโยคเดิมซ้ำๆจนฝังหัว พลางขบคิดความเป็นไปได้แต่ต่อให้คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเสียที 




    เชส ไทเลอร์ นั้นถูกฝึกมาในหน่วยกองกำลังที่ดีที่สุดของแดนใต้ ซึ่งที่นั่นก็อยู่แทบจะใต้สุดของแดนใต้อย่างนีเดลวา และที่ทำให้แอชเชอร์พยายามหาความเชื่อมโยงทั้งหมดก็คงไม่พ้น รีส เบลเลอมอนท์ ที่มีชื่อว่าเป็นหัวหน้าหน่วยกองกำลังที่ดีที่สุดของแดนใต้




    "มันมีอะไรให้ต้องคิดขนาดนั้นเชียวหรือ?"  ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เชส ไทเลอร์ นั้นเดินเข้ามายืนซ้อนหลังเก้าอี้ที่เลสลีย์คนเล็กกำลังนั่งอยู่ แขนแข็งแกร่งเท้าคร่อมลงบนโต๊ะที่คนตัวขาวกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ พลางโน้มตัวลงมาเพ่งมองสิ่งที่แอชเชอร์ เลสลีย์ กำลังอ่านอยู่




    "ทำไมประวัตินายถึงถูกปกปิดขนาดนี้กัน..." เจ้าของใบหน้ารูปสลักเอี้ยวใบหน้ามองคนที่กักขังตัวเองอยู่จากทางด้านหลังด้วยความสงสัยใคร่รู้ 




    "นายอยากรู้ขนาดนั้นเชียว?" เสียงทุ้มติดแหบของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์เอ่ยถามอัลฟ่าแดนเหนือที่ดูท่าจะเต็มไปด้วยความสงสัย จนแสดงออกผ่านสีหน้าเสียหมด 




    "มันก็เป็นสิ่งที่ฉันควรรู้เกี่ยวกับนาย..." ใบหน้าขาวเอี้ยวหลบปลายจมูกของทรูอัลฟ่าแดนใต้เล็กน้อย เมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสที่คลอเคลียบริเวณข้างแก้มของตัวเอง




    "ทั้งที่นายอยู่ในกองกำลังที่ดีที่สุดของแดนใต้แล้ว ทำไมถึงได้ถูกส่งมาที่นี่กัน... แล้วทำไมหัวหน้าหน่วยของนายถึงได้เป็นรีส เบลเลอมอนท์ ทั้งที่ตอนนี้เขาเป็นผู้ปกครองฟลัม.." เจ้าของดวงตาสวยพูดรัวออกมา "ความสัมพันธ์ของนายสองคนมันคืออะไรกันแน่ สำหรับฉันแล้วมันฟังไม่ขึ้นเลยสักนิดที่เบลเลอมอนท์ถ่อมาหานายถึงเดอะฮิลล์.."




    ไทเลอร์พยักหน้ารับช้าๆกับคำพูดของคนตัวขาวในอ้อมแขน พลางไล่ความคิดตามที่เลสลีย์คนเล็กนั้นสงสัยไปด้วย 




    "คิดมากไปหรือเปล่าเลสลีย์"




    "ไม่ต้องมาพูดให้ฉันไขว้เขวน่าไทเลอร์.. ฉันไม่หลงกลนายเป็นครั้งที่สองแน่" อัลฟ่าแดนเหนือเอ่ยดักคอคนที่กำลังจะหลอกล่อตัวเองด้วยการเบี่ยงประเด็น 




    ตาคู่สวยไล่มองใบหน้าคมของทรูอัลฟ่าหนุ่มอย่างคาดคั้นอีกครั้ง เมื่อยังเห็นไทเลอร์เอาแต่ยกยิ้มมุมปากและไม่ยอมเอ่ยอะไรเสียที




    "สงสัยกันเก่งไปแล้วมั้งเลสลีย์"




    "ยังมีอีกหลายเรื่องที่ฉันยังสงสัยอีกในตัวนาย..."




    "เหมือนกำลังถูกสอบสวนยังไงก็ไม่รู้แห้ะ" ปากพูดอย่างหนึ่ง แต่ปากกลับยังยกยิ้มชอบอกชอบใจ "ชักจะอยากรู้แล้วสิว่าปกติแล้วพวกคนแดนเหนือเขามีวิธีเค้นปากยังไงกัน"




    "อย่ามาโกงสัญญาที่ให้ไว้กับฉันดีกว่าไทเลอร์"  แต่มีหรือว่าแอชเชอร์จะยอมเสียเปรียบและคล้อยตามคำพูดของไทเลอร์ "ไม่เชื่อใจฉันหรืออย่างไร ถึงได้ไม่บอกกัน" 




    คำตัดพ้อกลายๆจากปากของเลสลีย์ฟังดูแล้วก็น่าเห็นใจไม่หยอก จนทำให้หัวหน้าไทเลอร์ยอมเปิดปากพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากกว่าเดิม 




    "หากแดนเหนือเองมีความลับที่ไม่อาจให้ใครล่วงรู้ แดนใต้เองก็คงไม่ต่างกันเสียเท่าไหร่" 




    "ถ้ามันเป็นความลับที่นายไม่อยากพูดถึง.. ก็ไม่ต้องเล่าให้ฉันฟังหรอกไทเลอร์" ฟังจากน้ำเสียงที่ข่มขื่นของไทเลอร์แล้วมันก็พาลทำให้เลสลีย์รู้สึกผิดไม่น้อยที่ถามอีกคนไปแบบนั้น




    "มันไม่ได้เจ็บปวดถึงขนาดนั้นหรอกเลสลีย์..." 




    วงแขนที่เคยคร่อมทับกักขังเลสลีย์ไว้หายไปในพริบตา เมื่อเชส ไทเลอร์ ผละตัวออกห่างจากอัลฟ่าแดนเหนือแล้วเดินไปหยุดยืนที่ใกล้ๆริมหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งสามารถทอดมองเดอะฮิลล์ได้อย่างชัดเจน 




    "นาย..." 




    "ทรูอัลฟ่าที่เกิดจากความผิดพลาดย่อมไม่ใช่ที่น่าเชิดชูสักเท่าไหร่สำหรับคนในตระกูล" แผ่นหลังกว้างของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ที่สะท้อนกับแสงด้านนอกจนเกิดเป็นเงาพาดผ่านเข้ามาในห้อง หากลองมองดูดีๆแล้วก็ทำให้แอชเชอร์ เลสลีย์รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวของอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัส  "แม่ของฉันเป็นอัลฟ่าตระกูลเก่าแก่ของแดนใต้ เหมือนกับที่เลสลีย์เองก็เป็นตระกูลเก่าแก่ของแดนเหนือ และมันก็คงไม่แปลกที่นายจะไม่เคยได้ยินนามสกุลของฉันในเชิงนั้น เพราะตั้งแต่ก่อนที่ฉันจะเกิดตระกูลของไทเลอร์เองก็ดูเหมือนจะถึงคราวต้องจบสิ้นเช่นกัน" 




    "ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน.. แทบจะไม่มีใครด้วยซ้ำที่ใช้สกุลเดียวกับนาย"




    "นายว่าคนอย่างเบลเลอมอนท์พอจะเป็นพี่ชายฉันได้ไหมล่ะเลสลีย์" 




    พี่ชาย? รีส เบลเลอมอนท์ คนนั้นน่ะหรือ?  




    "นี่เป็นคำถามหรือคำตอบกันแน่.." เพราะถ้าหากเป็นคำตอบขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะก็ แอชเชอร์เองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าเชส ไทเลอร์ จะมีความสัมพันธ์กับเบลเลอมอนท์ทางสายเลือดขนาดนั้น...




    "รีส เบลเลอมอนท์ เป็นพี่ชายฉัน" 




    คนฟังนิ่งคิดไปชั่วครู่เพราะความตกใจกับสิ่งที่ได้รับรู้อย่างไม่คาดคิด หากเป็นอย่างที่ไทเลอร์พูดจริงๆแล้วล่ะก็ นั่นไม่ได้หมายความว่าตัวตนที่แท้จริงของเชส ไทเลอร์ ก็คือ....




    "นายเป็นเบลเลอมอนท์.."




    "ถ้าในทางความสัมพันธ์ของสายเลือดก็คงใช่ แต่สำหรับฉันแล้วยังไงเสียฉันก็คือไทเลอร์ไม่ใช่เบลเลอมอนท์




    ยังไงเสียสุดท้ายแล้วหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ ก็มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทเลอร์ของตัวเองมากกว่าที่จะเป็นเบลเลอมอนท์แบบพี่ชายของตัวเอง   ถ้าพูดให้ถูกแล้วเชส ไทเลอร์ และ รีส เบลเลอมอนท์ ต่างก็มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเพราะความที่มีพ่อคนเดียวกันแต่คนละแม่ เรื่องตลกร้ายที่ยิ่งกว่านั้นก็คงเป็นการที่คนเป็นแม่ของทั้งเชสและรีสนั้นต่างก็เป็นพี่น้องกันเสียด้วย จึงไม่แปลกเลยสักนิดที่ตัว รีส เบลเลอมอนท์เองก็ยังคงมีความเป็นไทเลอร์ 




    โอเมก้าสาวตระกูลไทเลอร์ที่ถูกแต่งตั้งอย่างเปิดเผยว่าเป็นภรรยาของอัลฟ่าสกุลเบลเลอมอนท์ ผู้ปกครองเมืองท่านั้นย่อมเป็นที่ยอมรับ ผิดอัลฟ่าหญิงสาวผู้เป็นลูกคนเล็กของตระกูลไทเลอร์ ผู้เป็นแม่แท้ๆของเชส ไทเลอร์ ความแข็งแกร่งจากการเกิดจากพ่อแม่ที่เป็นอัลฟ่าส่งผลให้เด็กที่เกิดมาย่อมเป็นทรูอัลฟ่าอย่างไม่ต้องคาดเดาถึงความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น 




    ตั้งแต่เล็กจนโตเชสก็คุ้นชินกับการเป็นไทเลอร์ที่ถูกใครต่อใครมองข้าม เขาเลือกจะเมินเฉยต่อโชคชะตาที่ตัวเองต้องพบเจอ และทิ้งทุกอย่างเพื่อที่จะยืนหยัดด้วยตัวของตัวเอง ทั้งเชสและคนเป็นแม่ต่างเลือกที่จะหลบมุมอยู่เงียบๆ โดยที่ปกปิดความลับของระหว่างสองตระกูลไว้โดยไม่คิดจะแพร่งพรายให้ใครได้รับรู้  อาจจะถูกอยู่ที่อัลฟ่าจะสามารถมีคู่ของตัวเองเท่าไหร่ก็ได้แต่นั่นก็คงต้องยกเว้นอัลฟ่าไว้เสียหนึ่ง 




    การแก่งแย่งชิงดีมันมีอยู่ทุกที่ถมเถไป หากคนภายนอกรับรู้ว่าสกุลเบลเลอมอนท์แท้จริงแล้วมีทายาทที่เป็นทรูอัลฟ่า จะมีหรือที่จะไม่ยกคนที่แข็งแกร่งกว่าขึ้นปกครองซึ่งนั่นก็คงเป็นการหักหน้าคนที่อยู่ในฐานะที่ถูกต้องและยอมรับโดยทั่วกัน




    แต่ถึงอย่างนั้นระหว่างเชสและรีส ต่างก็ไม่ได้เป็นพี่น้องที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ในเมื่อทั้งคู่ต่างก็มีตระกูลของตัวเองยึดถือเป็นความภาคภูมิใจ ต่อให้ รีส เบลเลอมอนท์จะเคยเป็นหัวหน้าหน่วยกองกำลังที่ดีที่สุดของแดนใต้ สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็้ต้องละทิ้งหน้าที่นั้นเพื่อกลับมารับผิดชอบหน้าที่ของตนเองในความเป็นเบลเลอมอนท์ ส่วน เชส ไทเลอร์เองก็ได้ใช้ชีวิตอย่างที่คาดหวังไว้ เพราะอย่างน้อยการที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ที่ใครๆในแดนใต้ต่างให้ความยำเกรง ต่อให้ใครทั้งหลายจะหลงลืมตระกูลเก่าแก่ที่เคยมีไปแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครจำได้ 




    ทั้งรีสและเชสไม่มีความขัดแย้งหรือบาดหมางให้ขุ่นเคืองใจกันเป็นทุนเดิม จึงทำให้พี่น้องไทเลอร์ต่างดำเนินชีวิตไปตามทางที่ตนเองเลือก และเลือกที่จะใช้โอกาสและช่วงเวลาที่จะโคจรมาพบกันเสียมากกว่า แต่ก็คงจะมีแค่ใครอีกคนเท่านั้นที่ตามหาตัวจับยากจนบางทีเชส ไทเลอร์ เองก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองยังมีพี่ชายคนรองอีกคนหนึ่งที่ต้องรับมือ 




    บุคคลที่ไม่มีใครกล่าวถึงสักเท่าไหร่เพราะการมีอยู่ที่เหมือนคนสาบสูญอย่าง แมดส์ ไทเลอร์ 




    ริมฝีปากหยักยังคงเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครอีกคนได้ฟังอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เจ้าของผิวสีเข้มเองก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยสักนิดที่ได้เล่าเรื่องของตัวเองให้แอชเชอร์ เลสลีย์ได้รับรู้ ยิ่งเวลาผ่านไปมันก็ยิ่งทำให้ทรูอัลฟ่าหนุ่มเข้าใจได้ว่าทุกอย่างมันไม่สามารถเป็นไปตามที่วาดฝัน ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไปข้างหน้าหาใช่ย่ำถอยหลังอยู่ที่เดิมราวกับคนจมปลัก 




    "นายคิดว่าจะสามารถเก็บความลับนี้ได้ตลอดไปงั้นหรือ" 




    สัมผัสบางเบาจากฝ่ามือขาวที่แตะลงบนไหล่กว้างทำให้เจ้าของใบหน้าคมหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับอัลฟ่าแดนเหนือ เจ้าของกลิ่นกุหลาบดามัสก์ที่มาหยุดยืนอยู่ด้านหลังตัวเอง





    "ตราบเท่าที่ฉันจะรักษามันไว้ได้" 




    แอชเชอร์ เลสลีย์ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลังจากที่ได้รับฟังเรื่องราวของอีกฝ่ายแล้วนั้นมันกลับทำให้เป็นตัวเขาเองที่ต้องกลับมาลองนึกย้อนเรื่องราวของตัวเอง ไม่ว่าจะที่ไหนความสัมพันธ์ระหว่างอัลฟ่าด้วยกันเองก็คงไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้ 



     

    "ฉันเองก็จะไม่บอกใครเรื่องนี้เช่นกัน"




    "ขอบใจ..." 




    "ฉันถามได้หรือเปล่าว่าท่านเป็นอย่างไรบ้าง?" แววตาที่อ่อนลงของอัลฟ่าแดนเหนือยามที่เอ่ยถามถึงคนเป็นแม่ของเชส ยังคงคงดึงดูดให้เชส ไทเลอร์ ้ต้องลอบมองเพื่อเก็บภาพความงดงามที่หาได้ยากของเลสลีย์ไว้ 




    "หากมีโอกาสได้กลับไปที่นั่น ฉันจะพานายไปเจอท่าน.." 




    "ฉันแค่ถามดูเพียงเท่านั้น ไม่ได้จะ.."




    "ท่านเองก็คงอยากเจอนายเหมือนกัน" เชส ไทเลอร์ว่าพลางจับมือเรียวขาวของอีกคนขึ้นมาแนบแก้มของตัวเอง "ฉันจินตนาการไม่ออกเลยล่ะว่าจะโดนท่านตำหนิเหมือนตอนเด็กๆหรือเปล่าที่ฉันทำเรื่องน่าละอายกับนายลงไป" 




    ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งทำให้แอชเชอร์ เลสลีย์ เข้าใจเพิ่มมากขึ้นว่าทำไมเชส ไทเลอร์ ถึงได้ยอมรับผิดในการกระทำของตัวเองอย่างเต็มใจ และเลือกที่จะมองข้ามกฎเกณฑ์พวกนั้น เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับคนอันเป็นที่รักของเจ้าตัวคงเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้คนอย่างไทเลอร์นั้นฝังใจอยู่ไม่มากก็น้อย 




    "แต่ดูท่าทางแล้วพี่ชายนายก็เขาคงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่" 




    "คนนิสัยคล้ายกันย่อมมองกันออกเลสลีย์" 




    รีส เบลเลอมอนท์ มักจะมีความเป็นห่วงเป็นใยที่แปลกประหลาดจากพี่น้องครอบครัวอื่นอยู่เสมอ ทว่ามันก็กลับเป็นความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างก็รู้ดีว่านั่นคือความหวังดีที่แฝงมาในรูปแบบต่างๆ 




    ส่วนเรื่องที่ซัดเชส ไทเลอร์ เสียเต็มเหนี่ยวเมื่อวานนั่นก็คงต้องโทษตัวไทเลอร์เองทั้งนั้น




    "พี่น้องไทเลอร์เล่นแรงๆกันแบบนี้เป็นเรื่องปกติกันงั้นสิ"




    ต่อให้รับรู้ว่าเป็นพี่น้องกัน ยังไงแอชเชอร์ เลสลีย์ ก็คิดว่ามันค่อนข้างแปลกเกินไปสำหรับการทำโทษของพี่น้อง หากว่าเขาไม่ได้เข้าไปห้ามเมื่อวาน ก็คิดไม่ออกเช่นกันว่าสภาพของไทเลอร์นั้นจะเป็นอย่างไร 




    "คงอย่างที่นายว่า" 




    "แล้วพี่ชายของนายอีกคน..." 




    เมื่อคนตัวขาวซีดถามถึงใครอีกคนที่ไทเลอร์เลี่ยงการเล่าถึงมากที่สุด ก็ทำให้ใบหน้าของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์บึ้งตึงขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันปลายนิ้วของอัลฟ่าแดนเหนือก็ยังคงลูบแก้มสากของคนหน้าดุที่กำลังจ้องใบหน้าของแอชเชอร์นิ่ง




    แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สายตาของทรูอัลฟ่าแดนใต้ก็สามารถกดดันให้แอชเชอร์ เลสลีย์ รู้สึกกระอักกระอ่วนได้อย่างไม่ยาก ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งของเชส ไทเลอร์ มันยากเกินจะคาดเดาได้ว่าซุกซ่อนความรู้สึกอะไรไว้บ้าง เผลอๆในตอนนี้อาจจะเป็นอารมณ์คุกรุ่นที่ไม่ต่างจากพายุซึ่งกำลังก่อตัวก็ยังได้ 




    ผลจากการที่เคยมีปากเสียงรุนแรงกับหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์แล้วของเลสลีย์คนเล็ก ก็ยังคงเป็นความรู้สึกและภาพที่ติดตาเป็นอย่างดี ว่าคนกวนประสาทที่มักจะยียวนตัวเองทุกครั้งนั้น ยามที่โกรธหรือแสดงความเป็นทรูอัลฟ่าขึ้นมาเมื่อไหร่ ย่อมไม่ใช่ผลดีเลยสักนิดกับคนที่ต้องเผชิญหน้า 




    "เชื่อเถอะว่านายคงไม่อยากรู้จักหมอนั่นสักเท่าไหร่" ทรูอัลฟ่าหนุ่มว่า 




    "เป็นนายมากกว่าที่ไม่อยากให้ฉันรู้จัก" อัลฟ่าแดนเหนือแย้งทันที "จริงไหม?"




    เจ้าของผิวสีคร้ามแดดเงียบไปครู่ใหญ่ จนเกือบทำให้เลสลีย์นั้นถอดใจแล้วเสียด้วยซ้ำกับคำตอบที่คาดว่าจะได้รับ ฝ่ามือขาวที่แนบชิดใบหน้าคม ถูกมือใหญ่ยกขึ้นกอบกุมอีกครั้งพร้อมกับริมฝีปากอุ่นร้อนที่พรมจูบไปตามข้อนิ้วและมือขาวอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเหมือนครั้งวันวาน แขนแข็งแรงที่เป็นผลมาจากการใช้แรงและกำลังในการทำงานโอบเข้าบริเวณช่วงเอวเหมาะมือของอัลฟ่าแดนเหนือ จนเป็นผลทำให้เจ้าของกลิ่นกุหลาบดามัสก์ถูกดึงเข้าไปหาทรูอัลฟ่าจนรับรู้ถึงเนื้อผ้าที่เสียดสีกัน 




    "ถ้าไม่คิดจะบอกฉัน ก็อย่ามารุ่มร่ามใส่กันแบบนี้.."




    แอชเชอร์ เลสลีย์ พยายามจะดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมของมือใหญ่ แต่ก็ไร้ประโยชน์เปล่าเมื่อไทเลอร์นั้นไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย 




    "ฉันกำลังคิดอยู่ว่าควรจะพูดมันอย่างไรกับนายดี" เจ้าของเสียงติดแหบกระซิบบอกคนที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง คนที่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ไม่ทำให้รู้สึกน่าเบื่อ ดวงตาเรียวที่ต่อให้ใช้มองไทเลอร์อย่างเย่อหยิ่งแค่ไหน แต่ก็กลับมีดวงตาสุกใสจนสะกดใครหลายคนให้ต้องจ้องมองในความสวยงามของมัน




    หิมะแดนเหนือที่ถูกหลอมละลายเพราะความอบอุ่นของแดนใต้ แม้จะไม่สามารถคงรูปเดิมได้แต่ก็ใช่ว่าจะหายไปเสียเมื่อไหร่.. 




    สมบัติล้ำค่าของเลสลีย์ที่ไทเลอร์ได้ครอบครองเองก็เช่นกัน...




    "ยังมีอะไรต้องให้กังวลอีก.." 




    เจ้าของดวงตาคมที่เอาแต่มองกลีบปากสีระเรื่อของอัลฟ่าแดนเหนือ ลากสายตาเรียบนิ่งขึ้นมาสบตากับเลสลีย์คนเล็กพลางใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มของตัวเองเล่น 





    "แมดส์ ไทเลอร์" 




    "...." 




    "เป็นพี่ชายฝาแฝดของฉัน" 





    เสียงแหบต่ำที่กระซิบเบาๆข้างใบหูขาว ประโยคที่ห่างไกลจากคำหวานมากโขนั้นทำให้อัลฟ่าแดนเหนือยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ลมหายใจที่กำลังเข้าออกนั้นก็เผลอสะดุดเฮือกอย่างห้ามไม่ได้ 





    แค่ได้ฟังชื่อของพี่ชายคนรองของไทเลอร์ก็ทำให้แอชเชอร์ เลสลีย์ รับรู้ถึงลางสังหรณ์แปลกๆของตัวเองอีกครั้ง ความไม่สบายใจและความรู้สึกที่รับรู้ถึงความอันตรายของเจ้าของชื่อที่ถูกกล่าวถึงนั้นคนตัวขาวรับรู้มันได้ดี 





    ใบหน้าที่ฉายความกังวลของเลสลีย์เมื่อรับรู้ถึงการมีอยู่ของฝาแฝดอีกคนของไทเลอร์ นั้นคงไม่ใช่เรื่องที่เหนือจากการคาดเดาของไทเลอร์เลยสักนิด  เพราะขนาดตัวเขาที่เป็นแฝดผู้น้องเองก็ยังรู้สึกอึดอัดทุกครั้งยามที่ต้องเอ่ยชื่อถึงใครอีกคน




    รีส เบลเลอมอนท์ เคยเปรียบเทียบทรูอัลฟ่าฝาแฝดไทเลอร์ไว้เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งนั่นก็ทำให้หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์อดนึกถึงคำพูดพวกนั้นไม่ได้ 




    เพราะหาก เชส ไทเลอร์ นั้นเป็นผู้ล่าที่อันตรายยามเมื่อออกล่าเหยื่ออย่างสมชื่อแล้ว แมดส์ ไทเลอร์ เองก็มีความร้ายกาจในตัวที่ใครๆต่างก็สัมผัสได้โดยไม่ต้องใช้ตัวกระตุ้นใดๆทั้งสิ้นให้อีกฝ่ายแสดงความบ้าคลั่งของตัวเองออกมา 





    "หากต้องเจอหมอนั่นขึ้นมาจริงๆ ก็หวังว่านายจะแยกฉันกับแมดส์ออก.." 




    เพราะยังไงเสียเชส ไทเลอร์ เองก็มั่นใจเช่นกันว่าคนอย่างแมดส์ ไทเลอร์ จะต้องโผล่มาเป็นแน่หากรับรู้ถึงเรื่องราวระหว่างเชส ไทเลอร์ และ แอชเชอร์ เลสลีย์…




      





    ///////











               "นายเอามันมาจากไหน.."  เสียงน่าฟังจากปากของคุณชายเลสลีย์เอ่ยถามแขกไม่ได้รับเชิญ ที่จู่ๆก็พรวดพราดเข้ามาหาตัวเองโดยไม่บอกไม่กล่าวใครทั้งสิ้น




    "นกส่งขาวจากแดนใต้" เจ้าของเสียงหวานที่เข้ากันได้ดีกับหน้าตาเอ่ยตอบ เคนส์ สเปนเซอร์ หรือ ถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือลูกพี่ลูกน้องของริโอ สเปนเซอร์  เด็กหนุ่มอัลฟ่าที่มีใบหน้าหวานละมุนนั้นไม่ต่างจากหมาป่าที่ห่มหนังแกะ 




    "ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะว่านายเองจะรู้จักกับพวกนั้นด้วย"




    "นายพูดเหมือนทั้งชีวิตฉันอยู่แต่ในไรเนอร์งั้นล่ะอาเธอร์ หากฉันไม่ได้กลับมาช่วงนี้พอดี ก็คงไม่รู้เช่นกันว่าริโอทำอะไรบ้าง"




    เคนส์เอ่ยตอบคุณชายเลสลีย์ที่ยังคงนั่งมองจดหมายในมือเงียบๆ อันที่จริงมันก็ค่อนข้างเสี่ยงไม่น้อยสำหรับเคนส์ สเปนเซอร์ ที่ต้องทำตัวเป็นนกต่อในสถานการณ์แบบนี้ ถึงเขาจะค่อนข้างแปลกแยกกับคนในตระกูลแต่ก็ใช่ว่าจะสามารถช่วยเหลือใครได้มากเท่าไหร่ 




    "อย่าทำแบบนี้อีก ไม่เช่นนั้นจะเป็นนายที่ต้องเดือดร้อน" อาเธอร์ เลสลีย์ เอ่ยเตือนคนตรงหน้าในทันทีอย่างไม่อ้อมค้อม "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว นายเองก็ควรรีบออกไปเสีย"




    "เซบาสเตียนยังไม่กลับมาตอนนี้หรอกน่า ฉันรับรองได้"




    "อย่าชะล่าใจนัก ไม่ได้มีแค่เซบาสเตียนที่คอยจับตาดูฉัน" 




    "ฉันไม่เคยเห็นด้วยกับสิ่งที่ริโอทำ เพราะฉะนั้นหากมีอะไรที่ฉันสามารถช่วยนายได้ ฉันก็เต็มใจเสมอ" แม้จะขอบคุณน้ำใจของเคนส์มากสักแค่ไหน แต่อาเธอร์ก็ไม่คิดจะดึงคนอื่นเข้ามายุ่งในเรื่องนี้อีก 




    "หากไม่มากจนเกินความสามารถของนาย ฉันขอแค่เพียงทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้ฉันไม่ต้องกินยาพวกนั้น" ยาที่ริโอ สเปนเซอร์ สั่งให้คนนำมาให้อาเธอร์ดื่มทุกวันนั้นมันมีแต่ผลเสียกับตัวเขา เพราะนอกจากจะไม่ได้ช่วยให้ร่างกายของเขาแข็งแรงเพิ่มขึ้นมาแล้ว มันยังเป็นตัวที่ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลงกว่าเดิมในทางที่ริโอต้องการ 




    "ย่อมได้" 




    ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันต่อ เพราะตัวของอาเธอร์ เลสลีย์ เองก็คงต้องการความเป็นส่วนตัวไม่น้อยที่จะเปิดจดหมายซึ่งถูกส่งมาจากแดนใต้ และ เคนส์ สเปนเซอร์ เองก็ไม่อยากจะรบกวนเวลาพักผ่อนที่ไร้เงาของคนตามประกบของเจ้าตัวเสียเท่าไหร่ด้วย 




    คล้อยหลังจากที่ทั้งห้องหลงเหลือแค่เพียงตัวเอง คุณชายเลสลีย์ถึงได้หันกลับมาให้ความสนใจกับจดหมายในมือที่ได้รับมาจากเคนส์ ลักษณะของจดหมายที่ไม่คุ้นเคยนัก ทำให้หัวคิ้วสวยอดขมวดเข้าหากันไม่ได้ เพราะหากเป็นเชส ไทเลอร์ แล้วคงไม่มีวันที่หมอนั่นจะส่งผ่านจดหมายพวกนี้ผ่านมือใครอีกคนแน่นอน 




    เว้นเสียจากคนที่ส่งจดหมายนี้มาจะไม่ใช่เชส ไทเลอร์ 





    มือขาวซีดอย่างเช่นคนที่ไม่ค่อยต้องแสงแดดนั้นเปิดอ่านจดหมายอย่างไม่รอช้าด้วยความสงสัย เนื้อความตั้งแต่บรรทัดแรกที่เขียนมานั้นก็แทบทำให้หัวใจที่กำลังเต้นของคุณชายเลสลีย์แทบหยุดไปในทันที 




    "รีส..." 




    ใครอีกคนในแดนใต้ที่อาเธอร์ เลสลีย์ รู้จักดีไม่แพ้หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ อัลฟ่าเจ้าของผมสีแดงเพลิงนั่นกำลังคิดอะไรกันอยู่ถึงได้กล้าส่งจดหมายมาหาเขาถึงที่นี่ อีกอย่างเรื่องที่เขามาอยู่กับพวกสเปนเซอร์ก็ไม่มีทางที่คนซึ่งอยู่ไกลอย่างฟลัมนั้นจะรับรู้ได้ แต่คำตอบนั้นก็สามารถทำให้เลสลีย์กระจ่างได้เมื่อรีส เบลเลอมอนท์ นั้นบอกว่าตัวเองอยู่ที่เดอะฮิลล์ 




    รีส เบลเลอมอนท์ มาทำอะไรที่นั่นกัน? 




    แต่ทว่าความสงสัยทั้งหมดนั้นกลับถูกลบเลือนออกไปจากหัวสมองของอาเธอร์อย่างรวดเร็ว เมื่ออ่านเนื้อความในจดหมายนั้นต่อไปเรื่อยๆ ฝ่ามือที่เคยถือกระดาษตรงหน้านั้นสั่นเทาขึ้นไม่ต่างจากความรู้สึกที่กำลังทรมานตัวคุณชายเลสลีย์เอง ข่าวคราวที่คนเป็นพี่อย่างเขาสมควรได้รับรู้ในแดนใต้ควรจะเป็นความเป็นอยู่ของน้องชายที่เขาฝากฝังไว้กับหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ 





    อาจจะดูใจร้ายไปเสียหน่อยกับการที่ฉันต้องบอกกับนายว่า แอชเชอร์ เลสลีย์ ในตอนนี้คือคนของ เชส ไทเลอร์  





    หูทั้งสองข้างของอาเธอร์นั้นอื้ออึงไปหมดจนไม่ได้ยินเสียงรอบตัว แม้กระทั่งลมหนาวที่พัดโหมอยู่ด้านนอกก็ไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในการรับรู้ของเจ้าของผิวขาวเช่นกัน  หากเป็นดั่งที่ รีส เบลเลอมอนท์ บอกกล่าว อาเธอร์ เลสลีย์ นั้นก็ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าน้องชายแท้ๆของตัวเองนั้นจะเป็นอย่างไร 




    แอชเชอร์ เลสลีย์ ที่จงเกลียดจงชังในความรักระหว่างอัลฟ่าไม่มีทางที่จะยอมรับเรื่องพวกนี้ได้อย่างง่ายๆ 




    สุดท้ายแล้วการตัดสินใจของเขาที่ส่งตัว แอชเชอร์ เลสลีย์ ไปอยู่ในแดนใต้ กลับกลายเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์อย่างนั้นหรือ?











    HASTAG : #youngmastermn 








    Talk : ความลับเรื่องแรกของ เชส ไทเลอร์ มาแล้วนะคะ... 







Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in