เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
YOUNG MASTER #MINNOninezexsky
19







  • ความหนาวเย็นที่ก่อเกิดขึ้นจากลมหนาวที่พัดผ่าน และเกิดจากอากาศที่แทรกเข้ามาภายในห้อง ยังคงไม่ทำให้คนที่เป็นเจ้าของห้องนั้นรู้สึกหนาวเหน็บแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ทำให้อาเธอร์ เลสลีย์ กำลังรู้สึกหนาวเหน็บจนจับขั้วหัวใจก็คงหนีไม่พ้นข้อความในจดหมายที่เจ้าตัวอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่านับครั้งไม่ถ้วน ทุกตัวอักษรและทุกประโยคบอกเล่ายังคงฝังอยู่ในหัวสมองของอาเธอร์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน 




    ตาเรียวคมยังคงทอดมองตามเปลวเทียนที่พลิ้วไหวไปตามแรงลมซึ่งพัดผ่านอย่างใช้ความคิด เรื่องที่ไม่คาดคิดซึ่งได้รับรู้นั้นก็ปฏิเสธได้ยากเช่นกันว่ามันกำลังสั่นคลอนความรู้สึกของอาเธอร์เสียจนไขว้เขว 




    จิตใจที่ร้อนรนนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับอาเธอร์ในตอนนี้ ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่เจ้าตัวกำลังพยายามมีปากเสียงให้น้อยที่สุดกับริโอด้วยแล้วล่ะก็ ความรู้สึกที่ถูกบั่นทอนจากรอยัลอัลฟ่านั่นพอนานวันเข้ามันก็ทำให้อาเธอร์เริ่มรู้สึกเฉยเมย แม้จะยังเจ็บปวดเหมือนเดิม แต่ที่มากกว่านั้นก็คือการที่คุณชายเลสลีย์ชินชากับมันไปเสียแล้ว  





    ชินชาจนขนาดที่ว่ามันสามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกในทุกวัน.... 





    'ต่อให้นายอ้อนวอนพระเจ้ามากแค่ไหน มันก็ไม่มีทางเปลี่ยนอะไรได้หรอกอาร์ธ' 




    คำพูดที่ตอกย้ำของ ริโอ สเปนเซอร์ ในวันวานนั้นไหลเวียนเข้ามาในหัวอีกครั้งเมื่อเจ้าของผิวขาวอมชมพูนั้นนึกถึงบทสนทนาระหว่างตัวเองและรอยัลอัลฟ่าตัวสูง 




    'มันไม่ผิดจากที่นายพูดเลยสักนิด..'




    '....'




    'แล้วนายรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงยังสวดอ้อนวอนพระเจ้า ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ความหมายอะไร' 




    ประโยคคำถามจากอาเธอร์ เลสลีย์ ที่ฟังดูน่าขัดหูนั้นทำให้รอยัลอัลฟ่าหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ตาดุคมยังพินิจมองใบหน้าอัลฟ่าตระกูลเลสลีย์ที่ยังคงตีสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ทุกข์ร้อนใดๆทั้งสิ้น  




    รูปปั้นที่ไร้อารมณ์คงเป็นตัวเปรียบเทียบได้ดีสำหรับ อาเธอร์ เลสลีย์ ในความคิดของริโอ




    'ฉันไม่เคยคาดเดาความคิดนายได้  นายก็รู้...'




    'เป็นเพราะตัวฉันที่ซับซ้อนหรือเพราะนายที่ไม่เคยเข้าใจ' 




    รอยยิ้มบางที่ประดับบนริมฝีปากแม้จะดูน่ามองมากแค่ไหน แต่ดูท่าแล้วรอยัลอัลฟ่าหนุ่มก็คงไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่ามันคือความสวยงามที่แท้จริง 




              'อย่าบังคับให้ฉันต้องเลือก...'




    'ฉันเคยบังคับนายได้ด้วยหรือ ที่ผ่านมามันก็เป็นนายเองที่เลือกทุกอย่างมาตลอด'




     '....'




    'ก็เหมือนตอนนี้ไง ทางเลือกที่นายให้ฉันมีชีวิตอัปยศแบบนี้...'




    อาเธอร์ไม่ได้พูดเพื่อประชดประชันแต่อย่างใด เพราะทุกอย่างที่เขาพูดออกมามันคือความจริงที่ชีวิตของตัวเองต้องพบเจอแทบทั้งสิ้น ต่อให้จะฉลาดสักเท่าไหร่แต่ผลสุดท้ายเมื่อมีความรู้สึกพวกนั้นเข้ามา มันก็ย่อมทำให้เขากลายเป็นคนโง่งม 




    กว่าจะรู้ตัวในวันนี้มันก็สายเกินกว่าที่จะแก้ไขเรื่องราวทั้งหมด 




    'ความหวังดีที่ฉันหยิบยื่นให้ มันก็ยังเป็นเรื่องที่แย่ในสายตานาย'




    'หรือมันไม่จริง...'




    '.....'




    'กล้าพูดไหมริโอ.. นายกล้าพูดออกมาไหมว่าที่เข้าหาฉันเพราะนายไม่ได้หวังอะไร' 




    '....'




    'นายฉลาดกว่าฉันเยอะ  ฉลาดที่เอาความรู้สึกของฉันมาเป็นตัวล่อ แล้วหาเหตุผลพวกนั้นมาหว่านล้อมอย่างแนบเนียน' ความจุกที่ตีขึ้นมาจนถึงลำคอถูกกลืนลงไปอย่างยากลำบากในขณะที่เจ้าของผิวขาวนั้นยังคงพูดต่อ 'ยังมีอะไรบ้างล่ะ ที่นายทำไม่สำเร็จ?'




    'นายไม่เป็นฉัน นายจะรู้อะไร..'




    'มาเป็นฉันดูบ้างไหมริโอ เผื่อนายจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง เพราะถ้าเลือกได้ฉันจะไม่แยแสนายในวันนั้นเลยสักนิด' 




    'นายไม่ใช่คนใจร้ายขนาดนั้นหรอกอาร์ธ'




    หากวันใดที่เขาใจร้ายขึ้นมาบ้าง วันนั้น ริโอ สเปนเซอร์ เองก็คงจะได้รับรู้เช่นกันว่าคนอย่าง อาเธอร์ เลสลีย์ สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่อีกฝ่ายคาดไว้ 






    กระดาษยับยู่ยี่ที่ถูกฝ่ามือขาวขยำจนบิดเบี้ยวถูกจุดไฟเผาทิ้ง จนได้กลิ่นไหม้ของกระดาษที่ลอดออกมา และนั่นก็เป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าจดหมายจากแดนใต้นั้นได้ถูกทำลายแทบจะในทันทีหลังจากที่มันได้ใช้ประโยชน์ในการสื่อสารอย่างเต็มที่แล้ว 




    มือขาวกระชับเสื้อคลุมตัวหนาที่สวมใส่ให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายของตนเอง ข้อแขนขาวที่เคยมีกล้ามเนื้ออย่างคนที่ออกกำลังกลับหลงเหลือแค่เพียงข้อมือเล็กที่ปรับสภาพตามร่างกายของตัวมันเอง ใบหน้าหล่อของอัลฟ่าหนุ่มเองก็ตอบจนเห็นโครงหน้าอย่างชัดเจน 




    ความเงียบที่ปกคลุมภายในห้องวันแล้ววันเล่านับตั้งแต่ที่มาอยู่ที่นี่ทำให้อาเธอร์ได้นั่งคิดทบทวนอะไรหลายต่อหลายอย่าง นับตั้งแต่พบเจอกับ ริโอ สเปนเซอร์ นั้นก็เหมือนกับการนับถอยหลังในเวลาของความสุข 







    หลายปีก่อนหน้านี้ที่อาเธอร์แอบหนีออกไปในแดนใต้ จุดผ่านที่ยากจะหลีกเลี่ยงก็คงไม่พ้นแบล็คฟอเรสต์ที่เป็นปราการธรรมชาติขวางกั้นระหว่างสองดินแดง  ใครหลายคนต่างเล่าขานว่ามันคือสุสานฝังคนเป็นมาไม่มากก็น้อย แต่สำหรับอาเธอร์แล้วแบล็คฟอเรสต์นั้นกลับเป็นที่พักผ่อนที่แสนสงบไร้ซึ่งสิ่งรบกวนเสียมากกว่า 




    สัตว์หายากที่ใครต่างดั้นด้นหาจนแทบพลิกแผ่นดินเองก็อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้เช่นกัน แต่ทว่าก็กลับไม่ค่อยมีใครกล้าจะเข้ามาล่าพวกมันในนี้เสียเท่าไหร่ มันคงได้ไม่คุ้มเสียสักนิดกับการที่ต้องหลงอยู่ในแบล็คฟอเรสต์หากออกนอกเส้นทาง  เนื้อที่ป่าที่กินอาณาเขตกว้างใหญ่หากเกิดพลัดหลงขึ้นมาคงจะเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจจะทำให้ต้องจบชีวิตลงที่นี่ได้อย่างไม่ยาก 





    แต่ใครจะคาดคิดกันว่าอาเธอร์ เลสลีย์ จะได้พบกับทรูอัลฟ่าอีกตระกูลที่เจ้าตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าควรหลีกเลี่ยงให้ห่างมากแค่ไหน สภาพคนเจ็บที่เต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะบริเวณแขนจนเลือดชุ่มนั่นหากไม่ได้รับการช่วยเหลือก็คงต้องตายอยู่ที่นี่เป็นแน่  และคุณชายเลสลีย์เองก็ไม่ได้ใจจืดใจดำเสียขนาดที่จะปล่อยให้ใครคนนั้นต้องเสียชีวิตในแบล็คฟอเรสต์ทั้งที่ตัวเองสามารถช่วยเหลือได้ 




    ใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์และร่างกายสูงใหญ่ของทรูอัลฟ่าที่เป็นหนึ่งในราชวงศ์ของแดนเหนือ คงไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไหร่ที่จะสามารถจดจำได้ แม้จะเคยพบเจอเพียงผ่านเลยแค่ไหนแต่อาเธอร์ เลสลีย์ ก็จดจำรอยัลอัลฟ่านี่ได้ไม่มีผิด 




    สภาพที่ดูไม่ได้ของทรูอัลฟ่าคงน่าขันไม่หยอกหากใครได้มาพบเจอเข้า ประเมินดูแล้วก็คงไม่พ้นที่จะไม่คุ้นชินกับแบล็คฟอเรสต์ถึงได้โดนสัตว์ป่าเล่นงานเสียขนาดนี้  แต่มันก็ดูน่าแปลกใจไม่น้อยที่สามารถเอาตัวรอดมาได้ด้วยแผลเพียงเท่านี้




    ทางเลือกสุดท้ายที่อาเธอร์พอจะเห็นทางรอดของรอยัลอัลฟ่านี่ได้ก็คงไม่พ้นเป็นเดอะฮิลล์ ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลถัดออกไปจากแบล็คฟอเรสต์ เพราะอย่างน้อยการผ่านเข้าไปในอีกฝั่งที่มีสภาพอากาศปกติก็ย่อมดีกว่าความหนาวเหน็บของแดนเหนือที่มีแต่จะทำให้อาการคนเจ็บย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม 




    หน่วยป้องกันของฝั่งแดนใต้ที่อาเธอร์นั้นสนิทสนมกับหัวหน้าหน่วยนั้นเป็นอย่างดีคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด เชื่อได้เลยว่าหากรอยัลอัลฟ่านี่รอด อาเธอร์ก็คงกลายเป็นผู้ที่มีบุญคุณของหมอนี่อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง และการที่อาเธอร์ เลสลีย์ นั้นพาคนเจ็บเข้าไปในหน่วยเดอะฮิลล์ก็ย่อมสร้างความตกใจให้กับคนในหน่วยไม่มากก็น้อย เพราะต่อให้คุ้นชินกับคุณชายเลสลีย์ที่มักแวะมาอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ใช่ว่าคนในหน่วยจะคุ้นชินกับคนแปลกหน้าที่เขาพามาด้วยเสียเมื่อไหร่




    เมื่อมาถึงเดอะฮิลล์คนเจ็บที่แทบหมดสติอยู่รอมร่อนั้นยังไม่วายถูก เชส ไทเลอร์ พิจารณาอยู่นานสองนานกว่าที่หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์จะยอมให้แพทย์ในหน่วยนั้นทำการรักษาให้  




    "ไปเก็บได้มาจากที่ไหนกันล่ะ" หลังจากที่ส่งคนเจ็บไปให้กับเอริค เมอร์เรย์แล้ว คุณชายเลสลีย์เองก็ถูกเจ้าของผิวสีเข้มซักถามอย่างไม่รีรอ จนมือขาวต้องยกขึ้นห้ามในทันที 




    "ฉันอยากเช็ดคราบเลือดพวกนี้" เสียงทุ้มเอ่ย พลางย่นจมูกให้กับกลิ่นคาวเลือดของคนบาดเจ็บที่ติดตามตัวของตัวเอง พลางเดินนำหน้าหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์อย่างไม่สนใจที่จะตอบคำถามนั่น 




    หลังจากที่กำจัดคราบเลือดตามร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อย เจ้าของผิวขาวสะอาดก็พาตัวเองมานั่งอยู่ที่ในห้องทำงานของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ด้วยความเคยชิน เครื่องดื่มหอมละมุนที่ยังคงมีไอร้อนลอยอยู่เหนือแก้วถูกยกขึ้นจิบน้อยๆพอให้ได้ลิ้มรสชาติ ในขณะที่หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์นั้นยังคงนั่งคาดคั้นอัลฟ่าแดนเหนือด้วยสายตาที่ดูจะไร้ประโยชน์กับอาเธอร์เสียเหลือเกิน




    "จะคาดคั้นเพื่ออะไร?" อาเธอร์เปิดปากถามอย่างรำคาญใจ




    "หรือเรื่องที่เกิดขึ้นมันดูปกติ.." เชส ไทเลอร์ ว่าพลางจ้องใบหน้าของอาเธอร์ เลสลีย์ ที่ยังดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้น 




    "ก็แค่ช่วยคนเจ็บ มันแปลกตรงไหนล่ะเชส" 




    "หมอนั่นเป็นทรูอัลฟ่า.." พวกทรูอัลฟ่านี่มันสัมผัสเร็วดีจริงๆสินะ 



    "ถ้าฉันจำไม่ผิดก็คงเป็นคนฝั่งตระกูลสเปนเซอร์" อาเธอร์ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร มิหนำซ้ำยังปกติเสียจนเหมือนคุยเรื่องทั่วไปด้วยซ้ำ ในขณะที่หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์นั้นฉุนกึก 




    อีหรอบนี้ก็คงไม่พ้นเหม็นหน้าพวกเดียวกันแหงๆ ก็อย่างว่าขนาดอัลฟ่ากับอัลฟ่ายังเขม่นกับแทบตาย นับประสาอะไรกับพวกทรูอัลฟ่าที่อยู่บนจุดสูงสุดกัน




    "ปกติพวกสเปนเซอร์ไม่เคยจะมายุ่มย่ามแถวแบล็คฟอเรสต์" ที่เชสพูดมันก็ถูก เพราะถ้ามองจากความเป็นจริงแล้วฝั่งนั้นไม่มีเหตุผลเลยสักนิดในการที่จะเดินทางลงใต้หรือมาทำอะไรที่แบล็คฟอเรสต์ 




    "นั่นคงเป็นสิ่งที่นายต้องไปหาคำตอบเองหลังจากที่หมอนั่นฟื้น"




    "ใช่เรื่อง?" ทรูอัลฟ่าแดนใต้ถึงกับเลิกคิ้วสูง




    "นายดูอยากรู้นี่เชส ฉันก็แค่แนะนำ"  




    คำยอกย้อนของอาเธอร์เองก็ดูจะสร้างความหัวเสียให้กับเชส ไทเลอร์ ไม่น้อยถึงทำให้หัวหน้าหน่วยคนเก่งถึงกับเดินหนีออกไปข้างนอก เพราะขี้เกียจจะปะทะฝีปากกับอาเธอร์ 




    และเพราะรอยัลอัลฟ่าตระกูลสเปนเซอร์นี่เองที่ทำให้การมาเดอะฮิลล์ในครั้งนี้ของอาเธอร์ไม่เหมือนกับทุกที  นับตั้งแต่ที่ริโอรู้สึกตัวก็เรียกได้ว่าเป็นการสร้างความวุ่นวายหลายอย่างให้กับคุณชายเลสลีย์อย่างมากโข เชส ไทเลอร์เองก็ค้านหันฝาในการพูดคุย ส่วนเอริค เมอร์เรย์ ก็ไม่เคยทำอะไรเกินหน้าที่นอกจากการรักษา ผลสุดท้ายความซวยก็ต้องตกกับคนที่เป็นคนช่วยชีวิตอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง 




    "นายเข้าไปทำอะไรในแบล็คฟอเรสต์?" อาเธอร์จำได้ดีว่านั่นเป็นประโยคแรกที่เขาเอ่ยถามรอยัลอัลฟ่าตระกูลดัง 




    "ฉันต้องเดินทางลงใต้..." 




    "มันไม่แปลกไปหน่อยหรือที่นายจะเดินทางลงใต้คนเดียว" เจ้าของผิวขาวยังคงยืนกอดอกถามคนที่นอนอยู่บนเตียงในสภาพที่มีผ้าพันแผลพันระหว่างช่วงแผ่นอกและต้นแขน  แต่เจ้าตัวก็กลับได้รับเพียงสายตาขบขันของรอยัลอัลฟ่ากลับมาแทนพร้อมด้วยประโยคที่ชวนให้เท้ากระตุกเสียอย่างนั้น 




    "ถ้าฉันแปลกแล้วอย่างนายควรเรียกว่าอะไรดีล่ะ.." สายตาคมไล่มาหยุดมองบริเวณช่วงอกของร่างขาวก่อนจะยกยิ้มน้อยๆ "เลสลีย์.." 




    เข็มกลัดของตระกูลเลสลีย์ที่เป็นเอกลักษณ์ คงไม่ใช่ที่จดจำยากสักนิดสำหรับคนริโอ สเปนเซอร์ 




    "มันก็แล้วแต่นายจะคิด"  ต่อให้ไม่ชอบสายตาของรอยัลอัลฟ่าตรงหน้ามากแค่ไหน แต่อาเธอร์ก็ทำได้แค่เพียงเก็บความไม่พอใจนั้นไว้แล้วเลือกที่จะหาทางออกของตัวปัญหาที่เขาเก็บมาได้  "ถ้านายยืนยันจะลงใต้จริงๆ ฉันก็แนะนำให้นายลองคุยกับหัวหน้าหน่วยที่นี่ดูก่อนจะดีกว่า อย่างน้อยเขาก็น่าจะช่วยเหลืออะไรนายได้บ้าง" 




    "ถ้าหมอนั่นยังอยากจะเสวนากับฉันล่ะนะ"  




    ก่อนหน้านี้เชส ไทเลอร์เองก็เข้ามาพร้อมกับอาเธอร์ด้วยเหมือนกัน แต่ติดที่ว่าพอได้อ้าปากพูดคุยก็ดันกลายเป็นการต่อปากต่อคำที่น่าหงุดหงิด โดยมีอัลฟ่าแดนเหนืออย่างอาเธอร์นั้นยืนรับฟังอยู่เงียบๆ จวบจนหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์นั้นเดินออกไป 




    "ท่าทางนายก็หาเรื่องใส่ตัวเก่งดีนี่.."  




    กลิ่นหอมเย็นของรอยัลอัลฟ่าหนุ่มนั้นดูขัดกันกับสถานที่ที่อีกฝ่ายกำลังอาศัยอยู่  ไม่ว่าจะลักษณะหรือท่าทางให้มองยังไงก็ดูประหลาดจนผิดแปลกไปหมด




    "เล่นตั้งใจปล่อยกลิ่นข่มกันแบบนั้น ยังจะให้ฉันทนได้อีกหรือ?" 




    "ที่นี่ไม่ใช่ไรเนอร์" อาเธอร์เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี  "ไม่มีใครอยู่ภายใต้การปกครองของนายทั้งนั้น" 




    "แล้วนายรู้หรือว่าฉันคือใคร" รอยัลอัลฟ่าหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ 




    "ไม่รู้นี่สิแปลก.." คนผิวขาวยกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้รอยัลอัลฟ่าหนุ่มที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ทุกข์ร้อนใดๆ "สเปนเซอร์ที่เหลืออยู่จะมีสักกี่คนเชียวที่เป็นทรูอัลฟ่า..." 




    "น่าประทับใจเสียจริงที่คนของเลสลีย์จดจำพวกเราได้.." 




    "...."




    "ถ้าให้ฉันเดา...นายก็คงเป็น อาเธอร์ เลสลีย์ ใช่หรือเปล่า?" 



     

    และนั่นก็คงเป็นจุดเริ่มต้นที่อาเธอร์ก็ไม่คาดคิดช่นกัน ว่ามันจะทำให้ตัวเองเดินมาถึงตรงนี้..  การที่ต้องหยุดเดินในจุดที่เขารู้สึกโดดเดี่ยวและต้องดิ้นรนอย่างถึงที่สุด











              "ฉันน่าจะเชื่อนายตั้งแต่แรก..."  




              หากเขาคิดตามในสิ่งที่ เชส ไทเลอร์ พูดสักนิด เขาก็คงจะระวังตัวเองได้มากกว่านี้และเขาเองก็จะไม่ปล่อยให้คนอย่างริโอได้ก้าวเข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตของเขาถึงขนาดนี้ 




    แม้พระเจ้านั้นไม่โปรดที่จะเมตตาเขา อาเธอร์ก็ยังคงอยากจะสวดภาวนาให้น้องชายของตัวเองอยู่ดี  อย่างน้อยการที่แอชเชอร์ เลสลีย์ กลายเป็นคนของไทเลอร์มันก็สามารถที่จะรับประกันความปลอดภัยของแอชเชอร์ได้มากขึ้น




    เพราะคนอย่างเชสคงไม่มีวันยอมให้ใครเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับคนของตัวเอง




    มันย่อมเจ็บปวดเป็นธรรมดาในฐานะของพี่ชายคนหนึ่ง แต่ในความเจ็บปวดพวกนั้นมันก็ทำให้อาเธอร์หมดห่วงกับแอชเชอร์ไปได้ไม่น้อย ที่เขายังยอมทนอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะน้องชายไม่ใช่เพื่อตัวเอง  หากหมดสิ้นในสิ่งที่ต้องพะวง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาเธอร์จะสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด




    เมื่อไม่มีสถานะเป็นคนของแดนเหนือแล้ว กฎเกณฑ์ที่ถูกตั้งไว้ก็ไม่สามารถใช้ได้เช่นกัน

    อาเธอร์ล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าริโอจะประสาทเสียมากแค่ไหนที่ไม่สามารถควบคุมเขาได้อีกต่อไป 




    'ทั้งนายและน้องชายจะไม่เดือดร้อนกับเรื่องนี้ เชื่อฉันสิ' 




    คำสัญญาที่เป็นเพียงแค่คำพูดลอยๆพวกนั้นคือคำโป้ปดที่เขาหลงเชื่อมันอย่างไม่คิดไตร่ตรอง  




    'แต่แอชไม่มีวันทำแบบนั้น..' แค่เอ่ยชื่อตระกูลนี้ขึ้นมา อาเธอร์ก็เชื่อเลยล่ะว่าแอชเชอร์จะต้องไม่คุยกับตนเองเรื่องนี้เป็นแน่ 'และถ้าเขาไม่ทำ พวกนายก็ต้องเหมารวมว่าเขาเป็นกบฏด้วยอยู่ดี'




    'มันจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้น...' 





    เพราะว่ารักหรือเพราะมั่นใจว่าจะไม่ถูกทรยศและหักหลังกัน จึงทำให้อาเธอร์ยอมเลือกรับข้อตกลงที่แสนเห็นแก่ตัวพวกนั้นมา 




    ยอมเป็นคนของสเปนเซอร์เพื่อแลกกับชีวิตของตัวเองและน้องชาย แต่แล้วทำไมมันถึงกลายเป็นแค่เขาคนเดียวที่ยังสามารถใช้ชีวิตในแดนเหนือได้กัน  เพราะอะไรที่ทำให้ริโอต้องคิดจะกำจัดแอชเชอร์ คำอ้อนวอนที่ไม่สมควรจะหลุดออกมาจากปากคุณชายเลสลีย์นั้นพรั่งพรูออกมานับครั้งไม่ถ้วน แต่มันก็ถูกปฏิเสธและเมินเฉยราวกับไม่คิดจะใส่ใจ 




    หากรอยัลอัลฟ่าตระกูลสเปนเซอร์คิดสักนิด เชื่อเถอะว่าสิ่งที่ไม่ควรทำมากที่สุดกับอัลฟ่าก็คือการกดขี่ เพราะยิ่งกดขี่และบีบบังคับมากเท่าไร ผลที่จะได้รับตามมานั้นย่อมมีไม่น้อย




    "อย่าหาว่าฉันเลือดเย็นก็แล้วกัน..." 















    ///////














    "ฉันไปด้วยไม่ได้หรือ?" 




    เสียงนุ่มของคนที่นั่งอยู่ปลายเตียงเอ่ยถามคนที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าหนาชั้นบวกด้วยชุดคลุมขนสัตว์ ผิวสีแทนเข้มของทรูอัลฟ่าแดนใต้ถูกปกปิดแทบทั้งหมดจนเหลือแค่เพียงช่วงใบหน้าและลำคอเท่านั้นที่ยังถูกเปิดไว้ ถุงมือหนังที่ไทเลอร์สวมใส่ไปแล้วนั่นก็มาจากฝีมือของอัลฟ่าแดนเหนือที่เป็นคนสวมมันด้วยมือของตัวเองให้กับอีกฝ่าย




    "ฉันว่าเราพูดกันรู้เรื่องแล้วนะเลสลีย์.." หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ว่าเสียงเข้ม พลางตวัดสายตาของตัวเองกลับไปมองคนที่นั่งทำตาละห้อยมองตัวเอง  แต่ทว่าสายตาของแอชเชอร์นั้นก็ไม่มีผลต่อการตัดสินใจของหัวหน้าหน่วยแต่อย่างใด เพราะตัวเชส ไทเลอร์ เองก็ยืนยันในคำตอบเดิมซ้ำไปซ้ำมา ไม่ต่างจากแอชเชอร์ที่เอ่ยร้องขอเมื่อสบโอกาส




    "นายมันใจแข็งชะมัด ไทเลอร์!" อัลฟ่าผิวขาวซีดถึงกับประณามอีกฝ่าย ทั้งที่เจ้าตัวเองก็พยายามทำตัวว่าง่ายให้ได้มากที่สุดแล้ว เผื่อว่าจะทำให้เชส ไทเลอร์ เห็นใจ แต่ดูท่าแล้วก็คงไร้ประโยชน์สิ้นดี 



    ไหนเชอร์ชิลบอกเขาว่าหมอนี่แพ้คนขี้อ้อนไง.. ไม่เห็นจะจริงเลยสักนิด

    นี่แอชเชอร์ เลสลีย์ ก็พยายามจนสุดตัวแล้วเชียวนะ




    "ไม่ได้ก็คือไม่ได้..." ใจแข็งไม่พอยังทำร้ายจิตใจกันเก่งด้วย แค่เขาอยากเข้าไปในแบล็คฟอเรสต์ด้วยมันเป็นเรื่องยากตรงไหนกัน? 




    "แต่เชอร์ชิลบอกฉันนี่ว่าถะ...."




    "ไปฟังอะไรไร้สาระจากลูฟมาอีก" ไทเลอร์ถึงกับส่ายหัวน้อยๆเมื่อได้ยินชื่อคนสนิทของตัวเองหลุดออกมา ได้ยินทีไรก็ปวดหัวทุกที นี่เชส ไทเลอร์ คิดผิดหรือคิดถูกกันนะที่ปล่อยให้เจ้าพวกนั้นไปสนิทสนมกับเลสลีย์ 




    "ถึงหมอนั่นจะชอบพูดไร้สาระไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเสียหน่อย" สนิทกันแค่ไหนล่ะนั่น ถึงได้มีเถียงแทนกันด้วย?



    "สรุปนี่ลูฟมันเพื่อนฉันหรือเพื่อนนายกันแน่"




    "เพื่อนฉันเป็นเซเบอร์ก็ได้ ฉันไม่อยากแย่งเพื่อนนายนักหรอก" คำประชดประชันแบบเด็กๆของเลสลีย์ทำเอาหัวหน้าหน่วยถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆ แม้จะห้ามตัวเองแล้วแต่มันก็อดไม่ได้อยู่ดี 




    ก็ดูอัลฟ่าแดนเหนือนั่นทำเข้าสิ..

    ปากบางบ่นลมหายใจขึ้นมาจนกลุ่มผมที่ปรกใบหน้าของตัวเองนั้นปลิวน้อยๆ พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตัวเองเหมือนกับเจ้าลูกเกรย์วูล์ฟที่กำลังคันฟันอย่างเซเบอร์ในช่วงนี้ไม่มีผิด




    "โดนลูฟมันอำกี่รอบก็ไม่เคยเข็ด" เชสเอ่ยพลางสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้คนที่นั่งหน้ายุ่งอยู่บนเตียง  




    "เพื่อนนายก็นิสัยเหมือนนายนั่นล่ะ ไม่งั้นคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก" 




    "เฮ้! เหมารวมกันแบบนี้เลยหรือเลสลีย์?" เจ้าของผิวสีแทนถึงกับขึ้นเลิกคิ้วสูงกับคำกล่าวหาของแอชเชอร์




    "ฉันไม่ไปก็ได้ แต่บอกไว้เลยนะว่ายังไงวันนี้ฉันก็จะไปอยู่กับโจชัว" เลสลีย์คนเล็กว่าอย่างแน่วแน่ 




    "ถ้าฉันกลับมาที่หน่วยแล้วนายมีแผล ก็คงจะรู้นะว่าฉันจะทำโทษนายยังไง.." หากไม่ปรามไว้ คนหุนหันพลันแล่นอย่างแอชเชอร์ก็อาจจะทำอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้นมาก็ได้ ใครจะไปรู้




    เพราะช่วงหลายวันที่ผ่านมาหลังจากที่แอชเชอร์นั้นตัวติดกับไทเลอร์อยู่ตลอด ก็ทำให้เจ้าตัวตระหนักได้ว่าบทลงโทษของเขาที่มักจะขัดคำสั่งของไทเลอร์มันมีหลายรูปแบบเสียจนเหนื่อยจะเดาแล้ว 




    อย่างเช่นวันก่อนนู้นที่แอชเชอร์เข้าไปหาหนังสือในอาคารเก่าของหน่วยจนได้ผื่นแพ้ขึ้นตามผิวกายกลับมาเพราะฝุ่นในนั้นที่กระจายไปทั่ว ก็โดนไทเลอร์ทำโทษด้วยการส่งให้ไปหาเมอร์เรย์จนโดนบ่นร่วมหลายชั่วโมง  แต่นั่นก็ค่อนข้างคุ้มไม่น้อยที่ทำให้แอชเชอร์เห็นอุโมงค์ที่เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างเดอะฮิลล์และบ้านของตระกูลเลสลีย์  




    อัลฟ่าแดนเหนือเองไม่มั่นใจนักว่าไทเลอร์นั้นกำลังคิดอะไรอยู่  เพราะเจ้าตัวนั้นไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องอุโมงค์นั่นเลยสักนิด แต่จากสภาพที่แอชเชอร์เห็นมันมาแล้ว ก็เดาได้เลยว่าหากเข้าไปจริงๆ ก็คงจะเป็นเขาเองนั่นแหละที่อาจจะตายอยู่ในนั้น 




    "นายไม่คิดว่าฉันจะไปเดินสะดุดอะไรบ้างหรือไง"




    "คนเดินระวังตัวแบบนาย คงไม่น่าเกิดอะไรประหลาดๆพวกนั้น" อีกอย่างแอชเชอร์เองก็ไม่ใช่พวกเดินรีบร้อนอะไร กลับตรงกันข้ามด้วยซ้ำ "




    "แล้วที่ขาฉันช้ำทุกวันนี้มันเพราะอะไรเล่า" ภายใต้กางเกงขายาวที่คนตัวขาวสวมใส่อยู่นั้นยังคงมีร่องรอยฟกช้ำเล็กๆอยู่ประปราย 




    "ก็ชอบไปตามใจให้เซเบอร์มันงับขาเล่น พอช้ำขึ้นมาจะให้ฉันโทษใครกันล่ะ" ไทเลอร์ว่าพลางเอื้อมมือมาปัดเส้นผมที่ชี้น้อยๆของอีกฝ่าย 




    "เพราะร็อคกี้ด้วย" เจ้าวูล์ฟด็อกนั่นก็อีกรายที่ยังคงแกล้งแอชเชอร์ เลสลีย์ทุกครั้งที่สบโอกาส  




    ทางด้านไทเลอร์เองก็ไม่รู้จะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับคนตัวขาวนี่ต่อ อีกทั้งเวลาที่ตัวเองต้องออกไปแบล็คฟอเรสต์ก็ใกล้เข้ามาเสียทุกที หากสนทนาต่อไปอีกก็คงได้ยืดยาวจนเสียการเสียงาน สุดท้ายทรูอัลฟ่าหนุ่มถึงได้เลือกที่จะเอื้อมมือไปบีบไหล่ได้รูปนั่นเบาๆ




    "อยู่ที่หน่วยก็เป็นเด็กดีล่ะแอช




    รอยยิ้มเล็กๆบนมุมปากของไทเลอร์นั้นยังคงเป็นสาเหตุที่ทำให้อัลฟ่าแดนเหนือใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้ สัมผัสจากมือใหญ่ที่ยังคงบีบไล้วนช่วงหัวไหล่นั้นก็ยากปฏิเสธได้ว่ามันช่วยทำให้แอชเชอร์ลืมเรื่องที่ตัวเองอยากจะเข้าไปในแบล็คฟอเรสต์ได้ไม่น้อย 




    "ฉันโตแล้วน่า..." อัลฟ่าแดนเหนือตอบกลับ 




    หากเป็นเมื่อก่อนไทเลอร์คงไม่สามารถจับต้องเนื้อตัวคนที่หวงตัวยิ่งกว่าอะไรดีได้ง่ายๆแบบนี้แน่นอน ถึงทุกวันนี้จะจับต้องตัวได้มากขึ้นแต่ก็ใช่ว่าจะมากมายเท่าไหร่กันเชียว




    ขนาดเลสลีย์ย้ายมานอนห้องของไทเลอร์แล้ว อย่างมากที่สุดที่หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ทำได้ก็คงเป็นแค่การวางแขนพาดบนเอวคอดได้รูปของคนที่นอนหันหลังให้ตัวเองก็เท่านั้น จะมีก็แต่ตอนช่วงกลางดึกเสียมากกว่าที่ไทเลอร์จะรับรู้ถึงกลิ่นหอมที่ขยับเข้ามาใกล้ปลายจมูก เมื่อเลสลีย์พลิกตัวเข้าหาทรูอัลฟ่าหนุ่มด้วยความไม่รู้ตัว เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาไทเลอร์เองก็ใจดีมากพอที่จะทำเป็นนอนหลับ เพื่อให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกอับอายยามที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในระยะห่างที่ลดเหลือเพียงน้อยนิด 




    "โตสักแค่ไหนกันเชียว" เจ้าของตาคมเอ่ยถามยิ้มๆ 




    "ก็คงโตมากพอที่จะทำให้นายคลั่งได้ก็แล้วกัน..."  




    มือเรียวสวยคว้าเข้าที่ต้นคอแกร่งให้โน้มใบหน้าลงมาหาตัวเองพลางแหงนหน้าขึ้น เพื่อมอบสัมผัสนุ่มหยุ่นจากริมฝีปากที่ทาบทับลงบนริมฝีปากสีเข้ม  จูบที่ไม่ได้ลึกซึ้งชวนให้หัวใจเต้นสูบฉีดแต่ก็กลับเป็นสัมผัสเบาหวิวชวนให้วาบโหวงไปทั่วท้อง 




    "แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คงไม่ได้ช่วยให้นายได้ไปแบล็คฟอเรสต์กับเรา.." 




    หลังจากที่ขบกัดริมฝีปากล่างของอัลฟ่าแดนเหนือเป็นการเตือนสติอีกฝ่าย ไทเลอร์เองก็ตอกกลับประโยคที่ทำให้เลสลีย์คนเล็กเบะปากน้อยๆ เพราะนอกจากจะหลอกล่อหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ไม่ได้แล้ว ก็กลับเป็นตัวเองที่เสียจูบนั่นไปฟรีๆ 




    "นี่ฉันเสียจูบให้นายฟรีๆอย่างนั้นหรือ" 




    "นายจูบฉันเอง.." ทรูอัลฟ่าหนุ่มเอ่ยย้ำให้อีกฝ่ายฮึดฮัดเล่นจนแก้มขาวขึ้นซับสีระเรื่อ 




    "มัวแต่พูดอยู่ได้ รีบๆไปได้แล้ว ป่านนี้เชอร์ชิลคงรอนายแย่แล้วมั้ง" มือขาวดันอกของคนที่ยังโน้มตัวลงมาหาตัวเองให้ออกไปห่างๆ แต่มีหรือว่าเชส ไทเลอร์จะยอมถอยออกไปง่ายๆ 




    "จะไม่อวยพรกันหน่อยหรือ นี่ฉันออกไปทำงานนะเลสลีย์.."




    "ถ้าอยากได้คำอวยพร สวดขอจากพระเจ้าคงน่าจะง่ายกว่า"  แววตาคมของทรูอัลฟ่าหนุ่มจดจ้องใบหน้ารูปสลักของอัลฟ่าแดนเหนือนิ่ง พลางขยับริมฝีปากเอื้อนเอ่ยคำพูดที่ทำให้มือขาวซึ่งวางทับอยู่บนหน้าอกแกร่งนั้นบีบขยำเสื้อผ้าเนื้อดีจนแทบยับยู่ยี่




    "ฉันไม่คิดอ้อนวอนจากสิ่งที่ฉันไม่เคยศรัทธา..." 




    "....."




    "แค่นายอวยพรให้ฉันกลับมาหานายอย่างปลอดภัย ฉันก็จะทำมันให้ได้..." เปลือกตาสีอ่อนยังคงกะพริบมองใบหน้าคมอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่กลีบปากสีระเรื่อจะประทับจูบลงบนปลายคางของทรูอัลฟ่าหนุ่มเบาๆ 





    "งั้นก็ช่วยกลับมาหาฉันอย่างปลอดภัยล่ะเชส




    "มาจูบลากันหน่อยเป็นไง..."











    ริมฝีปากแดงช้ำที่ได้มาจากการกระทำของทรูอัลฟ่าแดนใต้นั้นทำให้แอชเชอร์ เลสลีย์เอาแต่ยืนเงียบไม่พูดไม่จาในยามที่เดินออกมาส่งคนผิวสีแทนที่บริเวณด้านหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ และคนหูตาไวอย่างเชอร์ชิลตัวสูงก็ไม่วายมองอัลฟ่าแดนเหนือด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ที่สื่อได้ว่าเจ้าตัวนั้นรู้ถึงสาเหตุของริมฝีปากที่บวมช้ำของเลสลีย์ 




    "ไว้ครั้งหน้าแล้วกันนะเลสลีย์" เชอร์ชิลเอ่ยบอกคนตัวขาวที่ทำตาละห้อยมองมาที่ตัวเองและหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็มีเพียงแค่หัวกลมเท่านั้นที่พยักหน้ารับ 




    "ไม่เอาน่าลูฟ.." ไทเลอร์ที่นั่งอยู่บนหลังม้าสีดำเอ่ยปรามเพื่อนตัวเองที่ไปให้ความหวังอัลฟ่าแดนเหนือ 




    "อย่าใจร้ายไปหน่อยน่าเชส แค่นี้เอง" 




    คำว่าแค่นี้เองของลูฟน่ะถ้าพูดถึงความเป็นจริงแล้วมันกลับไม่ใช่แค่นี้น่ะสิ แบล็คฟอเรสต์อยู่ใกล้กับแดนเหนือมากเกินไปจนไม่คุ้มเสี่ยงที่ไทเลอร์นั้นจะพาเลสลีย์เข้าไปได้อย่างไม่รู้สึกกังวลอะไร 




    ขอบเขตที่แบ่งกั้นแม้จะชัดเจน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครไม่กล้าละเมิด และที่ไทเลอร์กับเชอร์ชิลต้องเข้าไปในแบล็คฟอเรสต์ในวันนี้ก็เพราะความผิดปกติที่เกิดขึ้นต่างหาก หมู่บ้านเล็กๆที่ติดกับแบล็คฟอเรสต์ทางทิศตะวันออกนั้นถูกเผาเสียจนวอดวายและชาวบ้านที่นั่นก็ถูกสังหารหมู่จนเป็นที่น่าสยดสยองสำหรับใครได้ฟัง 




    และที่เชสกล้าจะปล่อยเดอะฮิลล์ไว้โดยไร้ซึ่งการปกครองของตนในยามที่ทุกอย่างกำลังผิดปกติก็คงเพราะรีส เบลเลอมอนท์ที่ยังอยู่ที่นี่ อย่างน้อยคนที่เชสสามารถไว้ใจได้มากที่สุดในตอนนี้ก็คงไม่พ้นพี่ชายของตัวเอง แม้ว่าอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ทำให้เชสกังวลก็รวมไปถึงการที่แอชเชอร์ เลสลีย์จะต้องเผชิญหน้ากับรีสด้วยก็ตาม




    "แน่ใจนะว่าพวกนายจะเข้ากันไปแค่สองคน" โจชัวเอ่ยถามอีกครั้งอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก 




    "ยิ่งเยอะมันยิ่งวุ่นวาย แค่มีลูฟฉันก็ปวดหัวพอแล้วโจชัว" เชสเอ่ยเหน็บเพื่อนสนิทอย่างไม่ลังเลจนเชอร์ชิลโอดครวญ 




    "ยังไงก็ระวังตัวกันด้วยล่ะ ฉันหวังว่าสมองนายจะไม่ถูกแช่จนคิดอะไรไม่ออกเพราะอากาศหนาวหรอกนะลูฟ" ครูฝึกประจำหน่วยยังไม่วายเอ่ยหยอกเล่นกับเพื่อนซี้ "ส่วนเลสลีย์น่ะ ฉันจะดูแลไม่ให้คลาดสายตา"




    "เกินไปคาร์ลิน" อัลฟ่าแดนเหนือที่ยืนเงียบฟังเอ่ยแทรก ก่อนจะกอดอกมองหน้าโจชัวที่ยืนยิ้มไม่เลิก "ฉันจะไปสร้างความวุ่นวายอะไรให้นายกัน"




    "ก็ช่วยดูแลกันไป ถ้ามีอะไรผิดปกติก็รีบบอกรีสไม่ก็ลาคลันทันที" 




    "วางใจได้.." 




    ใช้เวลาไม่นานนักทุกอย่างก็พร้อมสำหรับการออกเดินทาง ทั้งชาลีและโอนิคส์เองก็ด้วยที่ถูกเลือกให้ติดตามในการเดินทางครั้งนี้ จ่าฝูงของเกรย์วูล์ฟนั้นดูท่าจะกระปรี้กระเปร่าไม่น้อยเหมือนรู้ว่าตัวเองจะได้เข้าไปในเขตอากาศหนาว เป็นธรรมดาของเกรย์วูล์ฟที่จะชอบสภาพอากาศหนาวเย็นตามธรรมชาติของถิ่นกำเนิด




    บรรดาการ์เดียนเองก็ต่างถูกแยกย้ายออกไปเฝ้าระวังตามพื้นที่ต่างๆ จนเหลือก็แต่เพียงร็อคกี้เท่านั้นที่ยังคงต้องอยู่ที่เดอะฮิลล์เพื่อคอยตามดูแลอัลฟ่าแดนเหนืออย่างเช่นเคย  และเหตุผลที่เชสไม่ให้ร็อคกี้ออกไปลาดตระเวนก็คงเป็นเพราะความเป็นวูล์ฟด็อกของมันที่จะทำให้เสียเปรียบได้หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถช่วยป้องกันอันตรายได้ 




    "อย่าลืมที่ฉันพูดล่ะเลสลีย์" เชสย้ำเตือนอัลฟ่าแดนเหนืออีกครั้งก่อนที่เจ้าตัวจะออกจากหน่วย 




    "นายเองก็อย่าลืมที่พูดไว้เหมือนกัน" 




    "อะแฮ่มๆ!" เชอร์ชิลแกล้งกระแอมขึ้นมาเมื่อรับรู้ถึงบรรยากาศที่เกิดขึ้นระหว่างไทเลอร์และอัลฟ่าแดนเหนือ 




    "ถ้ามันติดคอมากนัก ก็ไปหาน้ำมากินซะลูฟ" เชสว่าเสียงเรียบพลางละสายตาจากคนของตัวเองเพื่อมองหน้าคนสนิทที่ทำหน้าตาเหลอหลาและยักไหล่ให้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว 




    "ร่ำลากันจนปากเลสลีย์ช้ำเสียขนาดนั้น มันยังมีอะไรต้องคุยกันอีกหรือเชส..."




    และก็เป็นเชอร์ชิลตัวสูงที่ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ก่อนเข้าไปในแบล็คฟอเรสต์ไว้ให้คนฟังอย่างแอชเชอร์นั้นถึงกับหูแดงก่ำ.. 















    ////// 















    หลังจากที่ไทเลอร์และเชอร์ชิลเดินทางเข้าไปในแบล็คฟอเรสต์ แอชเชอร์เองก็เลือกไปอยู่กับโจชัวที่ต้องฝึกคนในหน่วยอย่างเช่นทุกวัน จนเวลาผ่านไปเข้าช่วงเย็นย่ำที่ทุกคนต่างรับประทานอาหารเย็นและแยกย้ายกันกลับที่พัก ถึงทำให้แอชเชอร์แยกตัวกลับมาที่บ้านพักโดยมีโจชัวเดินมาส่งถึงหน้าประตูบ้าน 




    "ฉันบอกแล้วว่าเสียเวลานายเปล่าๆ" อัลฟ่าแดนเหนือเอ่ย 




    "แค่นี้เอง ไม่เห็นจะเป็นอะไร" 




    "ไม่ต้องทำตามหน้าที่ขนาดนั้นก็ได้นี่ อีกอย่างฉันก็มีร็อคกี้เดินตามติดไม่ห่างขนาดนี้" พูดถึงร็อคกี้แล้ว แอชเชอร์เองก็ได้แต่เหลือบมองกลุ่มก้อนสีขาวที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล 




    "เรียกว่าเพื่อความสบายใจของฉันจะดีกว่า" โจชัวว่า "แล้วนายมั่นใจใช่ไหมว่าไม่ต้องให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อน" 




    "กลับไปพักผ่อนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันขนาดนี้แล้ว" เลสลีย์เองก็ไม่เห็นความสำคัญเลยสักนิดที่จะต้องให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อน แค่มีเจ้าร็อคกี้อยู่ด้วยเป็นประจำมันก็ทำให้รู้สึกปลอดภัยอยู่มากโขแล้ว 




    "เอาตามที่นายสบายใจก็แล้วกัน อย่าลืมดับไฟให้หมดเสียล่ะก่อนที่จะนอน" 




    "ไม่ลืมแน่นอนน่า" 




    โจชัวยืนพูดคุยกับเลสลีย์อีกเพียงเล็กน้อยก็ขอตัวแยกกลับไปทำธุระส่วนตัวและพักผ่อนตามสมควรแก่เวลา แอชเชอร์เองก็จัดการปิดประตูบ้านให้เรียบร้อย พร้อมทั้งจัดการชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อของตัวเองในวันนี้อย่างไม่เร่งรีบ จนสามารถนอนแช่ตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำพร้อมกับผ่อนคลายความเมื่อยล้าของร่างกายไปกับกลิ่นของเทียนหอมที่ถูกจุดขึ้น 




    ผิวขาวเนียนละเอียดที่เต็มไปด้วยหยดน้ำซึ่งเกาะพราวถูกซับด้วยผ้าที่อยู่ในมือขาว ไล่ตั้งแต่ใบหน้าและร่างกายจนไร้ซึ่งหยดน้ำที่เกาะอยู่บนผิวกาย เสื้อผ้าเนื้อนิ่มที่แม้จะหลวมอยู่บ้างแต่ก็ทำให้สะดวกสบายไม่น้อยเมื่อนอนหลับถูกสวมใส่อย่างไม่รีบเร่ง แต่ทว่าความสบายที่แอชเชอร์นั้นกำลังดื่มด่ำกลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นจากทางหน้าบ้านพัก 




    เมื่อเดินไปถึงชั้นล่างก็ทำให้แอชเชอร์ได้เห็นเจ้าวูล์ฟด็อกตัวขาวยืนส่ายหางโบกไปโบกมาอยู่หน้าประตู  หากเป็นกลิ่นที่ไม่คุ้นเคยป่านนี้ร็อคกี้คงแทบจะตะกายประตูและขู่จนขนพองเป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงทำให้แอชเชอร์กล้าที่จะเปิดประตูอย่างไม่ลังเล





    แอ๊ด





    แต่ทว่าบุคคลที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าประตูนั้นกลับทำให้แอชเชอร์รู้สึกไม่ปลอดภัยทันทีที่ได้เห็นหน้า เป็น รีส เบลเลอมอนท์ นั่นเองที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าแอชเชอร์ เลสลีย์ 




    "ต้องขอโทษด้วยที่ฉันมาพบนายค่ำมืดไปเสียหน่อย คงไม่ถือสากันหรอกนะเลสลีย์" 




    ริมฝีปากของรีสที่ไม่แม้แต่ยกยิ้มนั้นยังคงไม่สร้างความกดดันให้กับแอชเชอร์ได้เท่ากับดวงตาดุที่กำลังยิ้มเลยสักนิด แววตาที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังเห็นเขาเป็นเหยื่อที่จะหยอกเล่นเมื่อไหร่ก็ได้มันคือการคุกคามอย่างเห็นได้ชัด 




    ช่วงที่ผ่านมาทั้งแอชเชอร์และรีสต่างไม่เคยได้เฉียดกรายเข้าใกล้กัน ยกเว้นเสียก็แต่วันที่อัลฟ่าแดนเหนือนั้นเข้าไปห้ามคนทั้งคู่ที่กำลังต่อสู้กัน จนถึงตอนนี้เมื่อได้เผชิญหน้ากับรีส เบลเลอมอนท์เข้าจริงๆ มันก็ทำให้แอชเชอร์รู้สึกถึงความมีอำนาจของอีกฝ่ายได้ในทันที 




    ความน่าเกรงขามของผู้ปกครองฟลัมนั้นไม่ได้แพ้ไปกว่าหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์เลยสักนิด.. 




    และการที่รีส เบลเลอมอนท์มาหาเขาถึงที่ขนาดนี้มันก็ย่อมยากที่จะปฏิเสธอีกฝ่ายเช่นกัน ถึงทำให้เลสลีย์คนเล็กต้องก้าวถอยหลบให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาภายในบ้านพักอย่างเลี่ยงไม่ได้ 




    "มีอะไรด่วนกันหรือถึงได้มาเสียค่ำมืดขนาดนี้.." แอชเชอร์เอ่ยปากถามอัลฟ่าผมสีแดงเพลิงที่ทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะไม้ พลางหยิบเอาเหยือกที่บรรจุของเหลวสีเข้มเทใส่แก้วที่วางอยู่ข้างกันโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตคนที่อาศัยอยู่ในบ้านพักของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ในตอนนี้




    "ฉันเองก็พึ่งคิดได้ว่าตั้งแต่มาที่เดอะฮิลล์ ฉันก็ยังไม่เคยได้คุยกับนายเป็นเรื่องเป็นราวเสียที"




    "เรื่องอะไรกัน?" ถึงอย่างนั้นอัลฟ่าแดนเหนือก็เลือกจะตีหน้าซื่อถามอีกฝ่าย 




    "เรื่องของนายกับเชส.." 




    "นายควรไปคุยกับไทเลอร์มากกว่าคุยกับฉัน.."  ท่าทีสบายๆของเบลเลอมอนท์นั้นแสนจะตรงกันข้ามกับคำพูดและสายตาที่จดจ้องเลสลีย์ "ปัญหามันอยู่ที่คนของนาย ไม่ใช่ที่ฉัน"




    แอชเชอร์เองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นักว่ารีสเองจะรู้เรื่องที่เชสยอมบอกถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับพี่ชายแล้วหรือยัง เพราะถ้ารีส เบลเลอมอนท์ยังไม่รู้ แอชเชอร์เองก็ควรจะทำตัวตามปกติดั่งเช่นคนไม่รู้ตามที่อีกฝ่ายเข้าใจ




    "ฉันไม่ได้มาพูดในฐานะเบลเลอมอนท์ แต่ที่ฉันกำลังพูดกับนายคือในฐานะของไทเลอร์คนหนึ่ง.." รีสเอ่ยเสียงเรียบ พลางหยิบยื่นแก้วที่บรรจุไวน์ชั้นดีส่งให้คนของน้องชายตัวเอง "ถ้าให้ฉันเดา นายเองก็คงรู้เรื่องของเราไปไม่มากก็น้อย" 




    คนตัวขาวจำใจยื่นมือออกไปรับแก้วจากมือของรีส แต่ก็ยังคงเลือกที่จะถือไว้ไม่แม้แต่จะดื่ม เพราะเท่าที่จำได้นั้นไทเลอร์เองก็เคยปรามเขาไว้ก่อนหน้านี้สำหรับฤทธิ์ของเครื่องดื่มแดนใต้ที่ถ้าหากไม่คุ้นชินกับมัน ก็คงจะแพ้ฤทธิ์ของมันได้อย่างไม่ยาก 




    "ไทเลอร์เป็นยังไง นายเองก็น่าจะรู้ดี..."




    "เพราะฉันรู้ดีว่าน้องชายตัวเองเป็นยังไง ถึงได้ต้องทำแบบนี้"




    "แบบนี้ของนายมันคือแบบไหนกันล่ะ? จะไล่ฉันกลับแดนเหนือตอนนี้เลยดีไหม หรือ จะทำอะไรกับฉันตอนที่เชสไม่อยู่กันดี"




    ความปากกล้าของเลสลีย์ที่เขาร่ำลือคนเล็กยังคงเป็นอย่างที่รีส เบลเลอมอนท์ได้ยินคนอื่นเขาพูดถึงกันมาจริงๆสินะ 




    "มองฉันแง่ร้ายเกินไปหน่อยมั้งเลสลีย์"




    "มันก็ช่วยไม่ได้ที่การกระทำของนายมันทำให้ฉันต้องคิดแบบนั้น" 




    "ได้ยินแบบนี้มันก็ทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้นะว่าทำไมเชสถึงปล่อยนายไม่ได้"




    "...."




    "แต่ก็อย่างว่าฉันเองก็คงไปง้างปากให้หมอนั่นพูดไม่ได้เหมือนกัน" 




    "นายจะพูดอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า อ้อมค้อมกันอยู่แบบนี้ฉันไม่สนุกกับนายหรอกนะ" ทั้งคำพูดทั้งสายตาของรีส เทียบๆกันแล้วหมอนี่นั้นยิ่งกว่าเชส ไทเลอร์ ด้วยซ้ำในเรื่องของการปั่นประสาทคนอื่น




    "ใจร้อนเสียจริง" 




    "...." 




    "ใจคอไม่คิดจะพูดคุยกับพี่ชายของสะ...."




    "พูดให้มันดีๆนะเบลเลอมอนท์" เลสลีย์เอ่ยเสียงแข็งเมื่อคาดเดาประโยคของอีกฝ่ายได้ว่าจะพูดอะไรออกมา 




    อัลฟ่าผมสีเพลิงหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่สบอารมณ์ของเลสลีย์ ไหนจะใบหน้ารูปสลักที่ใครต่างก็ชื่นชมว่างดงามนักนั้นดูบึ้งตึงจนบ่งบอกถึงอารมณ์ของอีกฝ่าย




    "งั้นฉันถามนายตรงๆเลยก็แล้วกันนะเลสลีย์..." 



    "...." 




    "ถ้าต้องเลือกระหว่างเปลี่ยนมาเป็นคนของแดนใต้กับการยืนยันที่จะเป็นคนแดนเหนือต่อไป นายจะเลือกอะไร?" 




    "แล้วทำไมฉันต้องเลือก"




    "เพราะถ้านายไม่เลือก นายก็จะเป็นตัวสร้างความลำบากให้น้องชายฉันไม่น้อยเหมือนกัน" เสียงที่แข็งขึ้นมาของเบลเลอมอนท์ทำให้แอชเชอร์เผลอกำแก้วในมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว ในขณะที่ดวงตาของเจ้าตัวเองก็ยังคงจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าอีกฝ่าย




    "ฉัน..." 




    "ความเป็นคนแดนเหนือของนายในตอนนี้มันคือปัญหาใหญ่ของเชส.."




    "....." 




    "ลองคิดดูเอาแล้วกันว่านายอยากเป็นคนของไทเลอร์โดยสมบูรณ์หรืออยากเป็นคนของไทเลอร์ที่เป็นได้แค่ในนาม.." 




    "ฉันไม่เข้าใจ"




    "มันก็ดูไม่ใช่เรื่องเข้าใจยากอะไรนี่เลสลีย์..." รีสว่า "สถานะการเป็นคนแดนเหนือของนายมันคือกบฏ อาจจะฟังดูเสียศักดิ์ศรีที่มีอยู่เต็มอกของนายไปหน่อย แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้านายเป็นคนของแดนใต้ พวกเราเองก็ย่อมช่วยเหลือนายได้อย่างเต็มที่" 




    "...."




    "หรือเพราะว่าเชสยังหลงรักพี่ชายของนายอยู่ ถึงทำให้หมอนั่นยอมทำได้ขนาดนี้" 




    "!!!!" 




    ดวงตาคู่สวยที่เคยฉายแววเรียบนิ่งในก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นแววตาที่แสดงออกถึงความสับสนในชั่ววินาทียามได้ยินประโยคที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจากเบลเลอมอนท์ 





    "น่าแปลกใจดีเหมือนกันว่ารักแรกของ เชส ไทเลอร์ มันลืมกันได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ" 










    HASTAG : #youngmastermn 












    TALK : ตัวปั่นที่แท้จริงคับ... 




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in