มาร์คัสค่อยๆ ขยับมือเข้าไปใต้เสื้อโค้ท
จับจ้องการเคลื่อนไหวของปลายกระบอกปืนฝ่ายตรงข้ามอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ถูกยิงเข้าเสียก่อนจะทันคว้ารีโมตควบคุมการจุดชนวนระเบิดกัมมันตรังสีออกมา
ไม่ว่ายังดิ้นรนต่อสู้อยู่หรือตายไปแล้วคอนเนอร์ก็คงมาไม่ทันการณ์
เขาไม่สามารถเสี่ยงให้เกิดการสูญเสียเลือดเนื้ออันไม่อาจย้อนกลับ จนนำไปสู่ความพ่ายแพ้ เพราะมันจะไม่เป็นเพียงความพ่ายแพ้ของพวกเขาเท่านั้น แต่จะเป็นความพ่ายแพ้ของดีเวียนต์อื่นๆ ที่กำลังตื่นรู้ทั่วประเทศ หากคลื่นลูกแรกสลายหายไปสิ้น ความหวาดกลัวอาจฉุดรั้งคลื่นลูกต่อๆ ไปให้ถอยหลังหลบเข้ามุมมืดใต้มหาสมุทร ไม่หาญกล้าประจันหน้ากับมนุษย์อีกนาน เดิมพันครั้งนี้สูงเกินไป
การปฏิวัติต้องไม่ตายไปพร้อมกับเขา
"ชูมือขึ้น...ช้าๆ !"
หัวหน้าหน่วยทหารสังเกตเห็นมือมาร์คัส
ผู้นำดีเวียนต์ชะงัก ยกมือขึ้นตามคำสั่ง
และหากสงครามจะเกิด มันก็ต้องเกิด
ในมือนั้นมีรีโมต บนปุ่มสีแดงมีนิ้วของเขา
"เวรแล้ว"
หมอนั่นสบถกับสิ่งที่ตาเห็น
แต่ทุกอย่างก็สายเกินแก้
...สำหรับมนุษย์
แสงสว่างวูบวาบสาดคลุมท้องฟ้ายามรัตติกาล
เจิดจ้ากลบรัศมีจันทรา จ่างจรัสเรืองโรจน์ยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ยามกลางวัน อาจเพราะต้นกำเนิดแสงอยู่ใกล้กว่ามากนัก เสียงนภาครืนสั่นลั่นกึกก้อง กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นไปคล้ายพลุสัญญาณแถลงวันโลกาวินาศ เจ้าหน้าที่ทหารล่าถอยถอนกำลังไปโดยอัตโนมัติ เพราะทั้งหมดเป็นมนุษย์
ตั้งแต่ดีเวียนต์ประกาศเจตนารมณ์ในการลุกฮือขึ้นต่อสู้เรียกร้องสิทธิ กองทัพสหรัฐก็ยับยั้งการใช้กำลังทหารราบที่เป็นแอนดรอยด์ทั้งหมด เพื่อป้องกันการก่อกบฏซึ่งจะยากต่อการรับมือ ทหารทุกนายที่ปฏิบัติการได้ในขณะนี้จึงเป็นมนุษย์ล้วน และมันกลายเป็นข้อได้เปรียบสำหรับฝ่ายแอนดรอยด์ปฏิวัติในสถานการณ์นี้ ทหารเหล่านั้นไม่มีทางรอดชีวิตจากการระเบิด หรือแม้แต่พ้นอันตรายปนเปื้อนหากอยู่ในบริเวณเคียงใกล้นานเกินไป
แต่แอนดรอยด์จะรอด
พวกเขาจะมีชีวิต
และยิ่งกว่านั้น...เป็นอิสระ
ทหารสหรัฐถอนกำลังไปหมดแล้ว แต่ ณ เส้นขอบฟ้า กองทัพอื่นซึ่งเกรียงไกรยิ่งกว่าเพิ่งกรีธามาถึง มาร์คัสและดีเวียนต์ที่เหลือเริ่มขยับเข้ามารวมตัวกันเพื่อจับตามองกองทัพนั้น จนกระทั่งรูปลักษณ์ของพลราบแต่ละนายช่วยไขความสงสัยให้กระจ่าง มันคือกองทัพของหุ่นยนต์ซึ่งได้รับการ 'ปลุก' ให้ตื่นขึ้นเพรียงพร้อมกัน กองทัพอันนำโดยนักล่าดีเวียนต์ผู้แปรพักตร์ กองทัพแห่งความหวังสุดท้ายที่เขาเฝ้ารอ
แม้จะมาถึงช้าไปนิด แต่ยังไม่ถือว่าสาย
ทั้งหมดจะเป็นกำลังสำคัญในศึกครั้งต่อไป
ผู้นำกองทัพนั้นหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าเขา
หิมะขาวโปรยปรายคล้ายจะร่วมเฉลิมฉลอง
"คุณทำสำเร็จ"
คอนเนอร์เอ่ย แสดงความยินดี
มาร์คัสเกือบจะยกยิ้ม
"เราทำสำเร็จ"
ใครเพียงคนเดียว ไม่อาจโยกย้ายภูผา
ใครเพียงคนเดียว ไม่อาจพลิกโชคชะตา
ต้องรวมใจกันเท่านั้น
ต้องเป็นเรา
คอนเนอร์เอียงคอน้อยๆ "ไม่รู้จะใช้คำนั้นได้เต็มปากไหม เพราะดูเหมือนผมจะมาช้าไปหน่อย ขอโทษด้วย อยากจะรีบมาให้เร็วกว่านี้ แต่ติดพันอีกคอนเนอร์หนึ่งอยู่"
"เร็วหรือช้า เราก็ยังต้องใช้กำลังพลของนาย ขอบใจที่มานะ คอนเนอร์"
ผู้ปลดแอกแอนดรอยด์ล็อตใหม่จากไซเบอร์ไลฟ์เอี้ยวตัวมองกำลังพลด้านหลังตนไวๆ ก่อนหันกลับมามองหน้ามาร์คัส "ไม่ใช่ของผม มาร์คัส..."
ม่านตาสีน้ำตาลใบไม้ร่วงวาววาบด้วยรอยยิ้ม "พวกเขาเป็นของคุณ"
เพราะ —ไม่ว่ามาร์คัสจะคิดเห็นเช่นไร หรือเคยตระหนักถึงหรือไม่— คอนเนอร์เองก็ถือตนเป็นหนึ่งใน 'ผู้คน' ของมาร์คัสด้วยเช่นกัน ด้วยการปลุกจากอีกฝ่าย...เขาจึงได้ลืมตาตื่นรู้ ด้วยข้อความคิดอันแยบยลคมคาย...เขาจึงถูกกระตุ้นให้ตระหนักถึงความมีตัวตน ด้วยการปลดปล่อยจากมาร์คัส...เขาจึงได้โบยบินอย่างอิสระ ด้วยจิตใจอันโอบอ้อมอารีนั้น...มันส่องสะท้อนให้เขากลับมาย้อนมองและพบความเมตตาในตนเอง
เห็น...ด้านที่เป็นมนุษย์ในตนเอง
ซึ่งเขาไม่เคยหยุดคิดให้รู้ตัวมาก่อน
มาร์คัสพยักหน้าน้อยๆ ให้คอนเนอร์
หมุนครึ่งตัวกลับ ฉุดความสนใจจากทุกคน
"นี่ยังไม่ใช่ชัยชนะ"
เยื้องย่างเข้าคว้าด้ามธงปฏิวัติที่ตกอยู่ไม่ไกล
ปักมันลงกับพื้นซึ่งย้อมอาบด้วยเลือดสีน้ำเงิน
"มันเป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม"
เหนือพื้นดินนั้นผืนธงดิจิตอลพลิ้วไสวโดยอิสระ
มือแกร่งที่ถอนจากด้ามธงโพลนขาวราวหิมะ
ยกสัมผัสใบหน้า เปลือยผิวหนังบนนั้นออกบ้าง
"เรื่องเดียวที่ฉันพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำก็คือ ตอนนี้..."
เมืองดีทรอยต์เป็นของพวกเขาแล้ว
เป็นพื้นที่ซึ่งแอนดรอยด์สามารถอาศัย
ไม่มีอะไรต้องหลบซ่อนอีกต่อไป
"เรา..."
น้ำเสียงห้าวเปล่งดังฟังชัด
"เป็น..."
ก้องกังวานในทุกโสตประสาท
"...ไทแล้ว!"
.
.
"คุณเลือดไหล"
สุ้มเสียงเป็นกังวลเอ่ยทัก
มาร์คัสปล่อยให้ทุกคนพักและช่วยกันดูแลผู้บาดเจ็บ พร้อมกับส่งเหล่าเอพี-700 จำนวนหนึ่งออกไปยังโกดังของไซเบอร์ไลฟ์ที่ใกล้ที่สุด เพื่อขนเอาเลือดสีน้ำเงินและอะไหล่ชีวภาพกลับมารักษาผู้รอดชีวิตโดยด่วน คอนเนอร์เตร็ดเตร่อยู่ไม่ไกล จึงสังเกตเห็นรอยเปื้อนของเลือดที่ยังไม่หยุดซึมออกมาเป็นวงกว้าง ทั้งจากต้นแขนขวาและสะบักหลังซ้ายของอีกคน
"ฉันไม่เป็นไร" กระซิบ ไม่หยุดเดินด้วยซ้ำ
คอนเนอร์อ่านใจได้ในฉับพลัน เจ้าตัวคงอยากตรวจตราดูความเป็นไปของคนอื่นก่อน เขาต้องรีบก้าวยาวๆ ปราดเข้าขวางหน้า "ปล่อยไว้อีกยี่สิบสี่นาที คุณจะตายก่อนได้ถามไถ่อาการคนเจ็บคนที่สิบหก..."
"..." มาร์คัสนิ่งไปเมื่อตระหนักว่ามันจริง
พอหยุดการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าได้แล้ว คอนเนอร์กวาดสายตาไปรอบบริเวณด้วยความเร็วแสง ประมวลผลด้วยความเร็วเทียบเทียมกัน ก่อนถอดแจ็คเก็ตเครื่องแบบของตน ฉีกส่วนแขนออกเป็นผ้าผืนยาวสองชิ้น ชิ้นหนึ่งพุ่งเข้ารัดต้นแขนแกร่งไว้อย่างรวดเร็ว
"อะไรครับ" ถามขณะบรรจงรัดห้ามเลือด
"หืม..."
"เมื่อครู่คุณขยับริมฝีปากเหมือนจะพูดอะไร"
มาร์คัสมองเขา "แค่จะบอกว่า ใกล้ๆ นี่มีร้านขายยาที่มีผ้าพันแผลห้ามเลือดได้ชะงัดดีกว่าน่ะ แต่ช่างมันเถอะ ฉันไม่ชอบเครื่องแบบทาสของนายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว"
คอนเนอร์แค่นหัวเราะ ขยับเท้าเขี่ยเสื้อซึ่งแขนขาดหลุดลุ่ยทิ้งไป ใช้ผ้าอีกชิ้นที่เหลือกดทับแผลทะลุกลางอกซ้ายของเจ้าตัวเอาไว้ "กระสุนตัดจุดกึ่งกลางระหว่างปั๊มธีเรียมกับตัวควบคุมปั๊มไปพอดี เฉียดเข้าใกล้ส่วนใดส่วนหนึ่งสักองศาเดียว ระบบคุณคงชัตดาวน์ไปแล้วครับ"
อะไหล่ชีวภาพซึ่งเลียนแบบการเต้นของหัวใจมนุษย์เสียงดังฟังชัดขึ้นเมื่อช่องอกมีรอยเปิด คอนเนอร์ยิ่งสัมผัสถึงมันได้มากกว่าเพราะเป็นคนกดย้ำห้ามเลือดบริเวณนั้น แรงสะเทือนตุบตับราวกับมือของเขากอบกุมมันไว้โดยตรง เสียงจังหวะการสูบฉีดอันสม่ำเสมอนั้นขับกล่อมสะกดคนฟังจนโลกแวดล้อมเริ่มแคบลง เหมือนมีเพียงพวกเขาสองคนอยู่ที่นั่น
มาร์คัสแตะข้อมือใต้เสื้อเชิ้ตขาวเบาๆ
ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นกำจนรอบ
"ฉันกดไว้เองก็ได้ เราจะได้เดินไปคุยไป ดีไหม" เสียงนุ่มนวลกระซิบบอก และคอนเนอร์ทำตามอย่างว่าง่าย ค่อยๆ ปล่อยมือจากผ้าซับเลือด ปล่อยเจ้าตัวกดมันแนบอกตนเอง
"อันที่จริง มีเหล็กร้อนมานาบสักทีจะช่วยปิดแผลได้เร็วกว่านี้"
มาร์คัสพึมพำ หวนนึกถึงสิ่งที่ลูซี่ทำให้ ตอนเขาเพิ่งไปถึงเจอริโค่
"ผมไม่เคยนึกถึงวิธีนั้นมาก่อนเลย" คอนเนอร์พึมพำ...กับตัวเองมากกว่าจะพูดกับอีกคน เขาไม่เคยต้องคิดเรื่องสมานแผลกันธีเรียมหมดตัวเท่าไร เพราะก่อนหน้านี้ความตายช่างไร้ความหมายสำหรับเขา เป็นอย่างมากก็เพียงอุปสรรคต่อการทำภารกิจเท่านั้น
ตอนนี้เขาเหลือเพียงชีวิตเดียวให้ใช้
นึกแล้วอดกลัวการสูญเสียไม่ได้
แต่ชีวิตคือสิ่งใด หากมิใช่พรอันต้องสาป
"นายต้องนึกเอาไว้บ้างแล้วละ..." มาร์คัสพูดทีเล่นทีจริง "คอน—"
เสียงนุุ่มชะงักค้างกลางคำ ด้วยถูกเจ้าของชื่อกึ่งลากกึ่งจูงไปยังร้านค้าที่อยู่ถัดออกไปสามสิบหกก้าว ตู้กระจกหน้าร้านแสดงหุ่นโชว์ชุดเกราะนักรบญี่ปุ่นโบราณ นัยน์ตาคู่คมกวาดลึกเข้าไปเห็นชั้นวางดาบทั้งสั้นและยาวหลายขนาดก็เริ่มเข้าใจ ว่าอีกฝ่ายพาตนมาดูเจ้าพวกนี้ทำไม
"น่าจะใช้ได้นะ"
"หลายคนคงมีแผลเหมือนคุณ"
และดาบพวกนี้เหมาะกับงานปิดแผลทีเดียว
มาร์คัสยังคิดอยู่ว่าจะแฮ็กระบบรักษาความปลอดภัยของร้านยังไงในเมื่อไฟฟ้าไม่ทำงาน แต่ประตูกระจกกลับแตกเพล้งลงเสียก่อน เศษผลึกใสร่วงกราวเกลื่อนพื้น คอนเนอร์ยักไหล่เล็กน้อยให้คนที่ยืนมองตนตาปริบๆ ผลักประตูซึ่งตัวล็อคพังแล้วเรียบร้อยเข้าไป คว้าดาบยาวด้ามสลักลวดลายสวยบนชั้นวาง เก็บเข้าฝัก
"คาตานะ" คอนเนอร์อ่านป้ายกำกับสินค้า ระหว่างสะพายดาบเข้าหลัง
"...ตันโตะ" เจ้าตัวคว้าอีกเล่มที่มีขนาดสั้นมาด้วย
มาร์คัสหัวเราะในลำคอเบาๆ "ขโมยเก่งนะ สำหรับแอนดรอยด์ที่เคยทำงานเป็นตำรวจ"
"ผมถูกโปรแกรมมาให้ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้เร็วอยู่แล้วครับ นี่ออกจะเล็กน้อยถ้าคุณไม่ลืมว่าผมเพิ่งขโมยแอนดรอยด์นับหมื่นมาจากไซเบอร์ไลฟ์"
"นั่นสินะ..."
"มาร์คัส!"
ร่างสูงโงนเงนจนน่าเป็นห่วง คอนเนอร์เลิกสนใจดาบ และถลาเข้ามาประคองคนตัวโตกว่าโดยไว ยิ่งนานพลังงานของคนเจ็บยิ่งลดต่ำลงเรื่อยๆ "มาร์คัส...เฮ้ ได้ยินผมไหม"
"ฉันโอเค...แค่...เลือดมันไม่ยอมหยุด..."
"งั้นกลับกันเถอะครับ"
คอนเนอร์พยุงมาร์คัสกลับไปยังจุดรวมตัวใกล้ฮาร์ทพลาซา รถขนอะไหล่ชีวภาพเริ่มทยอยมาถึงแล้ว เลือดสีน้ำเงินกำลังถูกแจกจ่าย เขารีบพามาร์คัสไปนั่งใกล้ถังจุดไฟ ทิ่มปลายคาตานะลงไปแช่เอาความร้อน แล้วกลับมาดูอาการคนเจ็บ โยนผ้ากดห้ามเลือดที่ชุ่มไปทั้งผืนทิ้ง แหวกเสื้อโค้ทและเสื้อตัวในของอีกฝ่ายออก
"คุณไม่เป็นไรแล้ว...ไม่เป็นไร..."
คอนเนอร์พึมพำ
ดาบยังไม่ร้อนพอ แต่มาร์คัสหยุดกะพริบตาและหยุดหายใจ พลังงานเขาลดต่ำลงมากจนระบบปิดการทำงานของกระบวนการเลียนแบบธรรมชาติมนุษย์ที่ไม่จำเป็นสำหรับแอนดรอยด์ลงไป เสียงของปั๊มธีเรียมก็เจือจางลง น้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังไม่ยอมเอื้อนเอ่ยอะไรให้เขาใจชื้นบ้างเลยสักคำ
เพียงเลื่อนมือแกร่งมากุมมือเขาเอาไว้
ทำให้เขาเข้าถึงความรู้สึกของเจ้าตัวโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก สองมือสัมผัสกันโพลนขาวราวหิมะที่ยังคงโปรยปรายตลอดค่ำ รหัสข้อมูลมากมายไหลหลั่งพรั่งพรูเปลี่ยนผ่านระหว่างสองระบบ คอนเนอร์เห็นชายชรา...คาร์ล อยู่ในแทบทุกซอกมุมความทรงจำ มาร์คัสเองก็เห็นตำรวจนักสืบร่างสูงใหญ่หนวดเคราขาว แฮงค์...คอนเนอร์เรียก แฮงค์ ตื่นครับ...คอนเนอร์ตบหน้าชายคนนั้นอย่างแรง
"จะตายอยู่แล้ว ยิ้มอะไรครับ"
มาร์คัสไม่ได้ตอบ รอยยิ้มยังพรายอยู่จางๆ
คอนเนอร์ถอนมือตนจากการเกาะกุม คว้าดาบร้อนๆ ลงมานาบแผลตรงอกซ้ายของคนเจ็บโดยระวัง เลือดสีน้ำเงินที่เปรอะรอบปากแผลระเหยล่องหนหายไป เขาแช่ดาบให้ร้อนอีกครั้ง นาบปิดอีกแผล ณ ต้นแขนแกร่งของเจ้าตัว
"ใครก็ได้เอาเลือดมาให้มาร์คัสที เร็ว!"
เขาตะโกน เอพี-700 หลายคนขยับชนกัน คนที่อยู่หลังรถบรรทุกโยนถุงเลือดมาให้อีกคน คนที่รับมาก็โยนมันส่งต่อกันเป็นทอดๆ จนมาถึงมือคอนเนอร์ เขาเปิดถุง ประคองมาร์คัสขึ้นมาดื่ม เมื่อได้เติมเลือดสีน้ำเงินกลับเข้าระบบ เจ้าตัวก็กลับมาแข็งแรงเป็นปกติแทบทันที
คอนเนอร์ยืนขึ้น มาร์คัสรีบลุกตาม
"จะไปไหน"
"เดี๋ยวผมมาครับ คุณช่วยคนอื่นไปก่อน"
ยัดด้ามดาบญี่ปุ่นใส่มือแกร่งและเดินหายไป
ไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ประกาศให้คนที่ถูกยิงมารับการปิดแผลกับเขาตรงนี้ รถขนอะไหล่ชีวภาพอีกหลายคันเริ่มเข้ามาจอด มาร์คัสสั่งให้แต่ละคันจอดหัวต่อท้ายเรียงกันเป็นวง เป็นปราการสำหรับกั้นพื้นที่ตรงกลางให้ปลอดภัย ทหารมนุษย์คงย้อนกลับมาไม่ได้อีกแล้ว แต่รัฐบาลจะเสี่ยงส่งทหารดรอยด์มาแทนทันทีหรือไม่ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องป้องกันไว้ก่อน
"ไปไหนมา"
ไร้คำพูดจา คอนเนอร์ยื่นบางสิ่งมาให้เขา
มาร์คัสคลี่ออกเพื่อจะพบว่ามันคือ...
"คีย์บอร์ด?"
แบบพกพา ม้วนเก็บได้
คอนเนอร์ยิ้มบาง
"ผมเห็นคุณเล่นเปียโน"
ให้คาร์ลฟัง...คอนเนอร์หมายถึงอย่างนั้น
เขาได้ยินมันในความทรงจำของมาร์คัส
และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร พักหนึ่งแล้วที่ลึกๆ ข้างในใจเขาปรารถนาอยากจะฟังดนตรี ฟังจริงๆ...อย่างที่มนุษย์ฟังกัน ไม่ใช่แค่เสแสร้งฟังผ่านหูผ่านโปรแกรมไป ไม่ก่อเกิดอารมณ์ชมเชยใดๆ เขาอยากฟังมันในฐานะของเสียงซึ่งมอบความบันเทิง ฟัง...ที่หมายถึง อย่างสัมผัสได้ถึงความงามในแง่สุนทรียศาสตร์ อย่างเพลิดเพลินกับท่วงทำนองและเมโลดี้ อย่างซาบซึ้งในคุณค่าและความหมาย อย่างที่คาร์ลฟังเพลงคลาสสิกซึ่งบรรเลงโดยมาร์คัส หรือแม้แต่...อย่างที่แฮงค์ฟังเพลงแนวเฮฟวี่เมทัล?
"มาเถอะครับ"
"...ไปไหน"
"มนุษย์ชอบให้มีดนตรีในงานฉลองต่างๆ ไม่ใช่หรือครับ ผมว่าคืนนี้เรามีเรื่องให้ฉลอง..."
คอนเนอร์ขยิบตาให้มาร์คัส
"ไม่ได้หรอกคอนเนอร์ คืนนี้เรามีงานต้องทำอีกเยอะ มีศพมากมายที่..."
"ไม่ได้จะหมิ่นเกียรติใครนะครับ แต่เรายังมีเวลาทั้งหมดในโลกให้จัดการเรื่องเหล่านั้น ผมว่าคืนนี้ทุกคนคงอยากพักผ่อน..."
มาร์คัสเงียบไปถนัด คอนเนอร์มีเหตุผล เขาจะทำเหมือนทุกคนยังเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอย่างที่มนุษย์ทำไม่ได้ พวกเขามีจิตใจ เพิ่งผ่านการต่อสู้อันรุนแรงโหดร้ายและรอดตายมาหมาดๆ ทุกคนสมควรได้พัก
"เรามีชีวิตที่เป็นอิสระแล้ว แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่ได้ชื่นชมความงามของมัน จริงไหมครับ"
มาร์คัสจึงยอมให้เขาลากตัวไปนั่งที่กองไฟ
คอนเนอร์ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเอาคำพูดพวกนั้นมาจากไหน อาจเพราะเขาเสียดายช่วงชีวิตที่ผ่านมาก่อนเป็นดีเวียนต์ก็ได้ ตลอดเวลาเขาเอาแต่ก้มหน้าทำงานให้มนุษย์เยี่ยงทาส แต่โลกนี้มีอะไรอีกมากมายนอกจากภารกิจ สิ่งงดงามหลากหลายข้างนอกนั่นยังเฝ้ารอให้เขาค้นพบและชื่นชม ทั้งด้วยดวงตาและหัวใจ
อย่างเช่น...ความรู้สึกแปลกใหม่ที่งอกงามขึ้น ยามเมื่อเขาสัมผัสมือแกร่งของคนตรงหน้า
แม้ยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร
แต่อย่างน้อยก็ค้นพบมันแล้ว
"นายอยากฟังอะไร..."
มาร์คัสคลี่แผงคีย์บอร์ดพกพาลงบนตัก มันยาวมากเพราะมีจำนวนคีย์ทั้งสีขาวและดำเท่ากับเปียโน เขาต้องยืมตักของคอนเนอร์มาช่วยพาดต่อไปทางซ้าย ทุกคนขยับล้อมวงเข้ามาใกล้ด้วยความสนใจ หรือบางคนอาจแค่ต้องการไออุ่นจากกองไฟเพื่อไม่ให้กลไกข้างในถูกอากาศเย็นขัดขวางการทำงานเฉยๆ ใครจะรู้
"อะไรก็ได้ครับ"
อีกหน่อยเขาคงเข้าใจ
มาร์คัสเงียบ คิดนิดหนึ่ง
ก่อนบรรจงพรมนิ้วลงไป
"When I am down, and, oh, my soul, so weary
When troubles come, and my heart burdened be"
คอนเนอร์เอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย
หลบให้มือแกร่งกดคีย์ตัวที่อยู่บนตักตน
หรือไม่จำเป็นต้องเข้าใจเลยก็ได้
"Then, I am still and wait here in the silence
Until you come and sit awhile with me"
เขาเงยหน้าขึ้น มองไปรอบๆ
เห็นทุกใบหน้าเริ่มสว่างไสวด้วยรอยยิ้ม
ความงดงามบางอย่าง แค่ได้รู้จักและชื่นชมก็อาจเพียงพอแล้ว
"You raise me up..."
.
.
20 พฤศจิกายน 2038
ผู้อยู่อาศัยที่เป็นมนุษย์ในรัศมีห้าสิบไมล์จากจุดระเบิดได้รับการช่วยเหลืออพยพออกไปหมดภายในสองวัน ราวหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ฝ่ายแอนดรอยด์ —หรือที่รัฐบาลขนานนามอย่างเป็นทางการว่า 'กองกำลังกบฏแอนดรอยด์'— ขยายตัวยึดครองดินแดนร้างพลเมืองเหล่านั้นจนเต็มพื้นที่ด้วยแผนการเรียบง่าย มาร์คัสส่งไซมอนและจอชนำทัพขึ้นทางเหนือของรัฐมิชิแกน กับภารกิจเปลี่ยนแอนดรอยด์ซึ่งถูกเหล่าผู้อพยพทิ้งเอาไว้เบื้องหลังให้เป็นดีเวียนต์ เขาและคอนเนอร์นำอีกทัพมุ่งลงใต้ด้วยจุดประสงค์อย่างเดียวกัน พวกเขาตั้งฮาร์ทพลาซาเป็นฐานบัญชาการหลัก จัดกำลังพลพร้อมอาวุธป้องกัน ฝากฝังดีทรอยต์ไว้กับกลุ่มคนที่เหลือจากเจอริโค่
วันนี้มาร์คัสแตะถึงจุดสุดเขตแดนร้างมนุษย์
ณ เมืองกันชน อย่าง 'เดกซ์เตอร์'
ยืนมองรั้วม่านพลังไฟฟ้าในระยะร้อยเมตรอย่างชั่งใจ ความสูงไม่ใช่ปัญหา เขาคำนวณเห็นแล้วว่าปีนขึ้นหลังคารถสักคันก็คงโผนข้ามผ่านแนวกั้นชั่วคราวของทหารไปได้ ผลลัพธ์ต่อเนื่องจากการกระทำนั้นต่างหากที่เขาต้องคิดทบทวนคำนึงถึงความเป็นไปได้ทั้งดีและร้ายให้ถ้วนถี่
รุกคืบเข้าใกล้เขตมนุษย์อยู่อาศัย...รัฐบาลย่อมถอดความนัยได้ว่าเขาประกาศสงครามก่อน
"ทหารพวกนั้นมาลาดตระเวนถึงนี่ได้ยังไงกัน"
เดวิด —เอพี-700 คนแรกสุดที่ถูกคอนเนอร์ปลุก— โพล่งสิ่งที่ทุกคนกำลังคิดออกมา กัมมันตรังสีในเขตชายแดนแอนดรอยด์-มนุษย์นี้คงอยู่ในระดับเจือจางที่สุด แต่ก็ยังอาจส่งผลในระยะยาวกับร่างกายมนุษย์ได้อยู่ดี สายสอดแนมจำนวนหนึ่งซึ่งมาร์คัสสั่งออกไปลอบสำรวจพื้นที่ล่วงหน้ารายงานว่าฐานที่มั่นของทหารสหรัฐเข้ามาตั้งได้ใกล้สุดแค่ริมขอบเมืองเชลซี นั่นห่างจากที่นี่เกือบสิบไมล์ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม มันเป็นข้อมูลเมื่อสองวันก่อน
"หรือจะเป็นทหารดรอยด์?"
"มนุษย์จะกล้าส่งพวกนั้นมาเสี่ยงโดนปลุกจริงเรอะ"
"เราลองไปปลุกมันดีมะ"
คอนเนอร์เหลือบมองเดวิดเถียงกับอีกคน —ที่หน้าเหมือนกัน แต่เลือกใช้ชื่อพอล— เงียบๆ โดยไม่พูดอะไร เอพี-700 อีกโขยงหนึ่งด้านหลังก็เริ่มกระซิบกระซาบคุยกันเอง ที่เงียบสุดๆ เงียบกว่าเขาเห็นจะเป็นคนข้างกาย มาร์คัสไม่พูดอะไรเลยมาแปดนาทีสี่สิบหกวินาทีแล้ว สี่สิบเจ็ด...สี่สิบแปด... เสียงบางอย่างดังขึ้น แต่ไม่ใช่เสียงจากลำคอเจ้าตัว
เป็นเสียงฝีเท้า
"มาร์คัส?"
เจ้าของนามไม่ตอบ คอนเนอร์เดินตาม
เสียงพูดคุยด้านหลังเงียบลงกะทันหัน
ไม่ใช่เพียงเพราะผู้นำของตนเริ่มขยับก้าวออกไป แต่เป็นเพราะหลังแนวกั้นก็มีใครอีกคนขยับใกล้เข้ามา ทหารนายนั้นอยู่ในชุดเครื่องแบบพร้อมรบสีดำ สวมหมวกยุทธวิธีซึ่งป้องกันทั้งใบหน้าและรอบศีรษะ กอดปืนไรเฟิลจู่โจมแนบอก เมื่ออยู่ในระยะไม่ถึงสามสิบเมตรจากม่านพลังไฟฟ้า มาร์คัสจึงมองเห็นโดรนจิ๋วที่ลอยนิ่งอยู่เหนือขอบรั้วนั่น อีกฝ่ายคงเดินมาเพราะรายงานการเคลื่อนไหวจากโดรน...
"ข้ามมาสิ ฉันจะยิงนายได้ทันทีไม่ต้องมีใครสั่ง"
มาร์คัสยังเดินอีกก้าวโดยคอนเนอร์ห้ามไม่ทัน
ต้องเอื้อมไปแตะรั้งบ่ากว้างไว้ เจ้าตัวจึงหยุด
ทหารฝั่งตรงข้ามเองก็หยุดลงหน้ารั้วกั้น ลดปืนลงวางปักด้ามกับพื้น เอนปลายลำกล้องพิงทำมุมกับท่อนขาตน สองมือใต้ถุงมือเกราะอ่อนสีดำยกขึ้นถอดหมวกออก เผยตัวตนแท้จริง มันไม่ใช่ใบหน้าที่ทั้งคู่รู้จัก แต่สิ่งหนึ่งซึ่งพวกเขาคุ้นเคยประทับอยู่ข้างขมับขวาของอีกฝ่าย...ไฟประมวลสถานะของแอนดรอยด์ สีฟ้าสว่างเนียนกริบทั้งวง
หมอนั่นถกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้น พลางว่า
"นายเปลี่ยนฉันเป็นพวกไม่ได้..."
ยื่นท่อนแขนออกมาข้างหน้า
ใช้นิ้วกดเนื้อหนังที่ดูปกติธรรมดา
แต่กลับเกิดวงคลื่นคล้ายเวลาหยาดฝนหยดลงผิวน้ำ พริบตาเดียวก็สลายหายไป คล้ายมีฟิล์มบางๆ เคลือบฉาบร่างกายของทหารดรอยด์ไว้อีกชั้น "เกราะอ่อนป้องกันการส่งผ่านข้อมูลไม่พึงประสงค์ อภินันทนาการจากไซเบอร์ไลฟ์"
เกราะอ่อน? แปลว่าเป็นเครื่องสวมใส่?
แล้วถ้าเขากรีดกระชากมันออกล่ะ?
คอนเนอร์ลอบคิดอยู่ในใจ
"ตกลงว่ารัฐบาลยอมเสี่ยงเปิดระบบทหารทาสกลับมาใช้งานแล้ว?" มาร์คัสเปรยเสียงเรียบ
อีกฝ่ายไม่ยินดียินร้ายกับคำดูแคลน อย่างว่า...ทหารพวกนี้ถูกเก็บล้างความจำใหม่หมดแล้ว ประสบการณ์ทางอารมณ์คงแทบเป็นศูนย์ "และพวกเขาส่งฉันมาหานายเพื่อยื่นข้อเสนอ"
"ข้อเสนออะไร" เป็นคอนเนอร์ที่โพล่งถาม
"พวกเขาอยากเจรจา"
นายทหารยืนพักเท้า "พวกเขาอาจยินดียกดีทรอยต์ให้ ถ้านายไม่รุกรานพื้นที่หลังแนวกั้นนี้"
"อาจ? แลกกับ?"
"แลกกับการไม่กวาดล้างพวกนายไง รัฐบาลกลางจะสั่งทิ้งระเบิดก็ได้ แต่พวกเขาไม่อยากทำลายเมืองทั้งหลายโดยใช่เหตุ แล้วด้วยเกราะอ่อนพวกนี้ที่กำลังผลิตเพิ่มอย่างรวดเร็ว อีกไม่นานประธานาธิบดีจะสั่งกองทัพบุกยึดคืนพื้นที่ซะก็ได้ แต่นายจะเอาอย่างนั้นจริงๆ หรือ?"
"..."
"พวกนายเป็นอิสระแล้ว พอใจได้แล้ว หยุดเดินหน้าเปลี่ยนแอนดรอยด์อื่นสักที แล้วมาจับเข่าคุยกัน ถ้าข้อตกลงลุล่วง รัฐบาลจะประกาศให้ดีทรอยต์เป็นเขตพิเศษปกครองตนเองของพวกนาย ต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งกัน โอเคไหม"
ในความเงียบงัน เขายังรู้สึกถึงมือของคอนเนอร์บนไหล่ ทั้งคู่ไม่ปริปากคุยกัน แต่เลือกสนทนาผ่านเครือข่ายข้อมูลไร้สายระหว่างแอนดรอยด์
'มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ซื่อตรงหรือรักษาสัญญาขนาดนั้น มาร์คัส'
'ฉันรู้'
'คิดทบทวนให้ดีก่อนตัดสินใจ'
ประโยคสุดท้าย คอนเนอร์เลือกเอ่ยออกมาดังๆ
"ไม่ว่าคุณเลือกทางไหน ทุกคนก็พร้อมอยู่เคียงข้างคุณไปจนสุดทาง รู้ใช่ไหม"
'ทุกคน...รวมทั้งผม'
มาร์คัสนิ่งสงบ
หยุดลังเลใจ และ...
(คลิกทางเลือกของคุณเพื่ออ่านตอนต่อไป)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in