เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
โอตาคุตัวแม่Arachan
จากซึมเศร้า เข้าสู่ไบโพล่าร์
  • เมื่อห้าปีก่อน หมอวินิจฉัยว่า เราเป็นโรคซึมเศร้า ผ่านมาสี่ปี เปลี่ยนหมอไปสามคน เราถึงมารู้ตัวว่า อาการของโรคซึมเศร้านั้นมันแฝงไบโพล่าร์เอาไว้ด้วย...
    =เรารู้ตัวแล้วว่า ไบโพล่า คืออะไร
    อารมณ์เหวียงสุดขั้ว ไม่ใช่ วันเดียวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะ แต่เป็นความมาเนียขีดสุด
    =====
    ช่วงสามเดือนก่อนเราบ้ากิโมโนมาก พอได้ยูคาตะมือสองจากร้านขายของมือสองจากญี่ปุ่น เราก็ไปรื้อที่ร้านนั้นแทบทุกวัน เพื่อมองหากิโมโนมือสอง ซื้อมาสองถุงใหญ่ๆ ใส่ตอนเย็นสองสามชั่วโมงก็ถอด พอไม่พอใจก็สั่งจากราคุเทน รอเป็นเดือนกว่าจะได้ ได้มาก็สวมสองสามทีแล้วพับเก็บเข้าตู้
    ------
    ช่วงสองเดือนก่อน เราบ้าทำอาหารมาก ทำอาหารฝรั่งให้ลูกกินแทบทุกวัน มีของกินติดตู้ตลอด เหนื่อยทำอาหารสามสี่อย่างในมื้อเดียว กินไม่หมดก็เก็บ บางที้เก็บไว้สามสี่วันกว่าจะทิ้ง ตู้เย็นแน่นไปหมด เก็บจนเน่า ทั้งที่เหนื่อยแทบบ้า ก็สรรหาจานชามช้อนส้อมสวยๆ มาใช้ สุดท้ายก็ขี้เกียจล้างจาน เลยสังขยนาเหลือแต่ที่จะใช้จริงๆ ที่เหลือเก็บเข้าตู้ แล้วสุดท้ายก็บ่นเหนื่อยล้างจาน หมดเวลาสามสี่ชั่วโมงไปกับการทำอาหารแล้วเช็ดล้างเสียมาก
    ------
    ช่วงเดือนก่อนบ้าบ้านตุ๊กตา กดเลือกของในอาลีเอกสเพรสเยอะมาก แต่สุดท้ายยั้งใจสั่งมาแค่ชุดจานชามช้อนส้อมจิ๋วๆซึ่งวันนี้มันเพิ่งมาส่ง อ้อ มีชุดโต๊ะเก้าอี้จิ๋วๆด้วยแฮะ เห็นจำนวนห่อที่มาส่งก็ตกใจเพราะมันหลายชิ้น ประมาณ สี่ห้าชิ้น แต่พอแกะออกดู ของมีไม่เยอะเลยแพกเก็บเข้ากล่องใบเดียววางไว้ใต้โต๊ะทำงานก่อน
    -----
    บ้าเคลียขยะ
    ช่วงสองสัปดาห์ก่อนหยุดยาว บ้าเก็บของมาก เก็บของที่ไม่ใช้แล้ว ขยะเอย ของรกบ้าน ทิ้งไปสามถุงโตๆ จนมาตระหนักว่า ต้องใส่เสื้อสีเหลืองเลยหาดู ก็พบว่า เราดันเอามันไปแจกจ่ายหมดแล้ว
    -----
    ตอนนี้ หมดพลัง หลังจากเป็นหวัดหลายวัน ก็อยากนอนอย่างเดียว นอนแล้วก็นอน ไม่อยากทำอะไรเลย
    -----
    ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนยา
    จาก Oxytine มาเป็น Depakin และจาก Depakin มาเป็น Lamictal
    ยาที่หมอให้มากินคู่กับ Lamictal คืออะไรไม่รู้
    ช่วงกิน-Oxytine บอกเลยว่า อารมณ์นิ่งมาก มีง่วงกลางวัน เลยขอหมอกินยาตอนเย็นแทนหลังมาปรับยาสองช่วง ยิ่งง่วงหนัก เลยขอเปลี่ยนเป็นเบิ้ลเย็นสองเม็ดหลับไม่ค่อยสนิท ตื่นตีสี่มานั่งทำงานตลอด
    เราไม่ได้ไปตามนัดเพราะยาเหลือ จนยาหมด เราเริ่มไม่ไหวกับตัวเอง เลยกลับไปหาหมออีกครั้ง หมอที่เคยหาประจำก็จบไปแล้ว เลยเจอหมอใหม่... วินิจฉัยใหม่
    -----ตอนที่หมอให้ Depakin น้ำหนักก็พุ่งทะยาน จาก60ขึ้นไปแตะ 68 ทั้งที่ออกกำลังกายและกินอาหารปกติ มีอาการมาเนียแต่ไม่มาก นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หายใจไม่ทั่วท้อง เวียนหัว บลาๆ---
    แต่พอช่วงที่ Depakin หมด ทรมานมาก มีอาการสั่น ใจสั่น ตระหนก วูบๆ หงุดหงิด อารมณ์เหวี่ยงแปลกๆ และช่วงนี้เอง ที่เราเริ่มต้นอาการไบโพล่าร์ขึ้นมา
    จากซึมเศร้า เข้าสู่อาการไบโพล่าร์ เราไม่ได้อยากโทษยา แต่ เรายอมรับว่า เราเป็นคนที่ไวต่อสารเคมีในร่างกายมาก
    -Lamictal ที่ว่าดีนั้น เราไปอ่านสรรพคุณทางยา รักษาระดับเคมีในสมอง หมอเลือกให้ยานี้เพื่อจะได้ตรงกับเคมีในสมอง ห่วงแค่ว่าจะเกิดผื่นคันแต่จริงๆแล้ว ยากันชักตัวนี้รักษาอาการไบโพลาร์ก็จริง แต่ผลข้างเคียงเยอะจนน่าตกใจ
    ---ตาพร่า ช่วงที่เริ่มกินเรามีอาการหวัดด้วยเลยไม่ได้สนใจว่าทำไมใส่แว่นแล้ว ยังมองไม่ชัด ยังคุยกะแฟนเลยว่า ร้านแว่นนี้ตัดยังไงต้องขยับแว่นห่างถึงจะชัด ที่แท้มาอ่านเจอ อ๋อ ผลข้างเคียงของยา--
    --คลื่นไส้ ปกติก่อนได้ยาแปรงฟันทุกเช้าก็ปกติดี แต่นี้คลื่นไส้ทุกเช้าเหมือนคนท้องเลย
    -ประสาทหลอน หลอนจิตตกในเรื่องเล็กๆน้อยๆ อย่าง ลูกลืมช้อนไปโรงเรียน แมวมีหมัดมากไป บลาๆ เรื่องเล็กๆ น้อยๆที่เรากลับมานั่งคิดฟุ้งซ่าน จนไม่อยากวาดรูป จนไม่กล้าทำอะไร---
    ----เหนื่อย เหนื่อยกับอาการพวกนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่พอได้หาข้อมูลเราก็รู้แล้วว่า มันมาจากยาทั้งสิ้น....
    เราเลยตัดสินใจหยุดการกินยาทั้งหมด ซึ่งเราก็ยอมรับว่า มันต้องมีผลที่ตามมาแน่นอน นั่นคือ อาการถอนยา
    ++ทั้งที่ในเว็บไซท์ไหนๆก็ไม่มีใครบอกว่าสามารถหยุดยาได้เลย ไม่จริง ทุกการกระทำย่อมมีผลกรรม
    +++การถอนยานั้นเหนื่อยหนักมาก เหมือนผลข้างเคียงทั้งหมดทั้งมวลของยา มันมากระจุกรวมกันในเวลาวันสองวัน ตาพร่า ประสาทหลอน คลื่นไส้ เหนื่อย
    --อาจจะโชคดีที่เราเลือกเถอนยาในช่วงวันหยุดยาว เราเลยมีเวลาจัดการกับตัวเองและความคิด 
    ---วันแรก พาลูกไปหาหมอ(ฟอลโลอัพอาการสมาธิสั้น)กลับมาก็นอนเลย นอนยาวๆมากๆ แล้วตื่นมาช่วงเย็น หาข้าวให้เด็กกินแล้วก็อาบน้ำนอนต่อ นอนจนถึงแปดโมงเช้าของอีกวัน
    ---วันที่สอง อารมณ์ดรอปดาวน์ถึงขีดสุดค่ะ นั่งเฉยๆก็ร้องไห้ออกมาได้ ร้องไห้ฟูมฟาย ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร จนแฟนพาไปกินข้าวนอกบ้าน ก็มีสะอื้นระหว่างทาง แต่พอเข้าห้างเราพยายามสะกดใจตัวเองอย่างมากไม่ให้ร้องไห้ กินอาหารได้แค่นิดหน่อย พอขึ้นรถกลับบ้านเราก็ร้องไห้ต่อจนถึงบ้าน เข้าบ้านมา นั่งพักได้แป็บเดียว เราก็ร้องไห้อีก ลูกๆมาปลอบจนเลิกปลอบ คืนนั้นก็จบลงด้วยการนอนหลับเร็วอีกวัน ทุ่มนึงปึ้บก็ขึ้นนอนปั๊บ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
    ---วันที่สาม ตื่นมาแปรงฟันก็ยังมีอาการคลื่นไส้อยู่ แต่ก็ซักผ้าให้เด็กๆได้ ตากผ้า ซักผ้าตากผ้า วนไปแบบนี้สองสามรอบ เดี๋ยวเดินขึ้นไปดูผ้าแห้งไหม ลงมานั่งวาดรูป วาดได้แป็บๆ ก็เดินไปเก็บขยะ เดินไปเดินมา จนเกือบเที่ยง แฟนก็จะพาไปหาข้าวกิน เอาละ เริ่มดรอปดาวน์ อารมณ์เศร้าอีกละ แต่วันนี้ไม่ร้องไห้มากนักแค่หยดๆ แค่กังวลเรื่องฝนจะตกเพราะตากผ้าเอาไว้ ก็จริง ฝนตกหนักมาก ตอนนั้นเดินในห้าง รู้เลยว่าฝนตกหนัก เราก็เกิดกังวลขึ้นมาแต่ไม่มาก รู้ตัวว่าต้องทำยังไง กลับบ้านไปก็เลื่อนผ้าที่เปียกเข้าร่มไม่ให้มันเปียกกว่านี้ และจบลงด้วยการเข้านอนตอนสามทุ่ม
    ----วันที่สี่ก่อนไปทำงาน อารมณ์เบื่อเริ่มเข้ามาแทนที่ละ เบื่อทุกอย่าง ขวางหูขวางตาไปหมดทำอะไรก็หงุดหงิด จนเกือบจะทะเลาะกับแฟน แต่วันนี้ก็จบลงด้วยการกินโจ๊กเป็นมื้อเย็นและเข้านอนตอนสามทุ่ม
    มาวันนี้ (1/8/18) เราดีขึ้นในทุกๆอย่าง แม้ว่าผลของอาการมาเนียจะตามมาเยอะมาก เพราะของที่สั่งไปมาส่งเยอะไปหมด เราก็ตระหนักแล้วว่า เราจะต้องระวังตัวให้มากขึ้น เราจะคิดแค่ว่ามันเป็นผลจากยาส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเราต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้....แม้ว่าช่วงนี้ในแต่ละวันจะผ่านไปยากลำบาก ขอกำลังใจสู้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in