เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The lord of the watch : อภินิหารนาฬิกาเสี่ยงตายHacker Dewdie
ตอนที่ 2 : นาฬิกาเสี่ยงตาย
  •      


         ควันสีเทาพวยพุ่งออกจากปล่องควันสู่ท้องฟ้าเหนือเมรุวัด  เสียงดนตรีไทยขับกล่อมบรรเลงมาจากลำโพงภายในวัด ผดุงจิตใจมวลชนคลายความโศกเศร้า เม็ดกำพรึกโปรยจากเมรุวัด ตกลงสู่พื้นด้านล่าง  ทั้งเด็กชายและเด็กหญิงกระโดดคว้า ควานหา ด้วยความสนุกสนาน หนุ่มๆ สาวๆ บางกลุ่มใช้ร่มกางรับ คนแก่หลายคนนั่งมองดูเหตุกาณ์อยู่ไกลๆ


          วันและเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ทุกครั้งที่ผมมองนาฬิกาสีทองที่ข้อมือ  ทำให้ผมคิดถึงไอ้เชมาก  เขาเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ตอนที่เป็นแฟรชชี่ในมหาวิทยาลัย ร่างกายสูงใหญ่ผมดำหยิกฟูนั้น ทำให้ใครหลายๆ คนเรียกเขาว่าไอ้หัวฟู เขามีไลฟ์สไตล์เป็นของตัวเอง เขาเป็นผู้กล้าต่อยกับพี่ว๊ากตัวต่อตัว  นั่งเรียนติดกับผม และหลับในคาบเรียน  เขาเคยเกือบติด F  แต่ผมพยายามช่วยดันเขา ติวเขา จนเขารอดพ้นวิกฤตเลวร้ายนั้นได้  จนกระทั่งเราเรียนจบด้วยกัน เราสองคนไปมาหาสู่บ้างเป็นบางครั้ง เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์จนผมแทบจะจำไอ้หัวฟูคนนั้นไม่ได้  เขาตัดผมสั้น และดูแลตัวเองมากยิ่งขึ้น เขาเปลี่ยนเป็นผู้เป็นคน และมักจะได้รับการชมเชยจากหัวหน้า


          แต่เขาไม่น่าลาจากโลกไปเร็วขนาดนี้


          เพื่อนที่มางานเลี้ยงวันเกิดที่บ้านของผมเล่าให้ฟังว่า เขาสังเกตเห็นปฏิกิริยาไอ้เชไม่ดีตั้งแต่ก่อนมางานเลี้ยงวันเกิดบ้านของผมแล้ว  เขามีสีหน้าหมองคล้ำเหมือนไม่ได้พักผ่อนเป็นเวลาหลายวัน เขาถามคำตอบคำ และถามคำถามที่เพื่อนไม่สามารถตอบได้ เพื่อนร่วมงานของเขาก็เสริมขึ้นมาอีกว่า ไอ้เชมันไม่ได้กินข้าวเที่ยงร่วมกันเป็นเวลาหลายวันแล้ว หัวหน้าก็ไม่ได้บ่นเรื่องการทำงานของเขา เขาก็ไม่ได้ทะเลาะกับแฟน แต่ก็ไม่รู้เลยว่าทำไมเขาจึงเปลี่ยนไป เขาเคยไปหมอ  แต่หมอไม่ได้วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้า


          ในตอนที่เขามางานเลี้ยงวันเกิดของผม เขาเป็นคนปกติดี แต่หลังจากที่โบกมือร่ำลากับผม เพื่อนทั้ง 3 คนเห็นสิ่งแปลกประหลาดตรงกันหมด นั่นคือ มีเงาดำทึบสวมใส่หน้ากากกิ้งกือ ยืนถือเคียวใบใหญ่ ยืนด้านหลังของไอ้เช มันยืนเหมือนเป็นผู้อารักขาและเดินตามติดไอ้เชทุกฝีก้าว ตอนแรกก็เข้าใจว่าเป็นผีที่คุ้มครองเช แต่ดูไปดูมามันไม่ใช่ มันดูเหมือนวิญญาณที่กำลังจะอาฆาตรมากกว่า และสุดท้ายเพื่อนผมรู้ตัวจากญาติของเขาว่าไอเชมันตายแล้ว เขาข้ามถนนอย่างไม่ระมัดระวังแล้วโดนรถพ่วงบรรทุกชนลากร่างไปห่างจากจุดเกิดเหตุไปไกล 100 เมตร ไอ้เชเสียชีวิตโดยทันที และนิ่งนอนตายอยู่ท้ายรถบรรทุก

         
          นาฬิกาสีทองนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจ ว่าเขาจะยังอยู่กับผมไม่จางหาย ไม่ว่าเขาจะมาในรูปแบบใดก็ตาม ผมอยากจะเอามือแตะบ่าของเขา อยากถามเขา ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่มและอ่อนโยน



          "เงินที่ยืมไป เมื่อไหร่จะคืน"





    ..............................






           "ตะเอง ตะเอง " แฟนผมพูดขึ้นมาในช่วงบ่ายของวันหยุดประจำสัปดาห์วันหนึ่ง


          "อื้อ.."


          "เค้ามีเรื่องจะบอก"  แฟนผมกลืนน้ำลายสักครู่ แล้วพูดประโยคต่อไป "คือสัปดาห์หน้า เพื่อนที่ทำงานชวนเค้าไปแคมป์ปิ้งกัน จะไปดูเส้นทางอนุรักษ์ธรรมชาติ ดูน้ำตก ดูภูเขา ดูเถาวัลย์.....ตะเองไม่ติดอะไรใช่มะ เค้าจะชวนตะเองไปด้วย ได้ปะล่ะ"


          "สัปดาห์หน้าเหรอ......อืม.....ก็ได้นะ  แล้วจะนอนพักกันแบบไหนละ"


          "ก็แบบที่เดินป่ากันจริงอ่ะ มีัห้องน้ำห้องท่า  มีร้านค้า กลางวันขับรถท่องเที่ยวดูเส้นทางธรรมชาติ กลางคืนก็ตั้งเต้นท์ ก่อกองไฟ และกินปิ้งย่างกันนะ"


          "แล้วมีเตาแล้วเหรอ"


          "ยังเลย...อืม........ไปซื้อเตาปิกนิคกันไหม"


          "ไป...งั้นรอแปบนึงนะ"





  •       สุดสัปดาห์ของเช้าวันเสาร์  ข้าวของเครื่องใช้ อาหารการกิน เต้นท์ที่พัก เครื่องนุ่งห่ม ผ้าห่ม เสื้อผ้ากางเกง เครื่องสำอางค์ ยาทากันยุง และของจิปาถะอีกมากมายถูกจัดเก็บลงในกล่อง วางท้ายกระบะปิคอัพคันสีขาวเรียบร้อยแล้ว



          ผมขับรถกระบะจนถึงปั้ม ซึ่งเป็นจุดนัดหมายในที่แห่งหนึ่ง ผมจอดเติมน้ำมันก่อนจะขึ้นยอดเขา หลังจากนั้นจึงขับมาจอดหน้าห้องน้ำ เข้าห้องน้ำ ทำภารกิจเสร็จเรียบร้อย และมานั่งรอเพื่อนๆ ของแฟนในร้านอาหารของปั้มน้ำมัน



          เมื่อเพื่อนๆ ของแฟนมาครบทุกคนแล้ว เพื่อนๆ ในกลุ่มแฟนนัดหมาย กำหนดเส้นทาง และบอกรายละเอียดเกี่ยวกับทริปการท่องเที่ยว จัดแจงการเดินทาง รถนำ และรถตาม  ผมขออนุญาตเป็นผู้ที่อยู่ท้ายกระบวน



          หลังจากจัดการกำหนดการเรียบร้อย ผมและแฟนเตรียมตัวจะขึ้นรถ ผมปลดล็อกประตู และจังหวะที่ผมปลดล็อกประตู ผมเห็นมีใครบางคนนั่งหลังงอ ข้อศอกตั้งบนเข่า ก้มหน้าก้มตาบนกล่องท้ายกระบะผม เขานั่งโดยไม่มีที่ท่าว่าจะล้ม และเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ชายคนนั้นก็หายลับไป


          ผมเปิดประตู สตาร์ทเครื่องยนต์ ปิดประตู แฟนผมเปิดประตูฝั่งคนนั่ง เข้าไปนั่ง ปิดประตู ผมและแฟนพร้อมจะออกเดินทาง แต่แล้วชายคนนั้นก็โผล่มาอยู่ที่ข้างหน้ารถของผม เขายืนนิ่งๆ หันมาทางผมชี้หน้ามาทางผม ผมสะดุ้งตัวเมื่อแฟนทักผมว่าทำไมไม่ออกเดินทาง ผมเข้าเกียร์ถอยหลัง และเดินเครื่องยนต์เพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง



          เส้นทางทั้งสองข้างเต็มไปด้วยรั้วของพืชพรรณธรรมชาติ ต้นไม้ต้นใหญ่สูงราวกับประภาคาร แสงอาทิตย์ช่วงสายๆ ส่องลอดตามช่องว่างของใบไม้ แสดงให้เห็นลำแสง บางครั้งมีใบไม้ร่วงหล่นล่องลอยลงมาจากฟากฟ้า เมื่อขับรถไปเรื่อยๆ อากาศค่อยๆ เย็นลง ความชื้นในอากาศเริ่มมากขึ้น  เสียงล้อรถยนต์ที่ตกหลุม ถนนคดเคี้ยวดั่งกับงูเลื้อย และความชันของการขึ้นที่สู่ลงสู่ที่ต่ำ ทำให้ผมกับแฟนตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้



          ในที่สุด ผมกับแฟนถึงจุดหมายปลายทาง เป็นสถานที่ที่เจ้าหน้าที่อุทยานอนุญาตให้พักแรมในป่าเวลากลางคืน  มีห้องน้ำอยู่ทางด้านฝั่งหนึ่งของสถานที่ มีน้ำใสไหลผ่าน มีร้านค้าบริการ ทุกคนภายในทริปจอดรถในเขตอุทยาน และเตรียมถือของเดินเข้าไปป่าที่อยู่ห่างจากอาคารอำนวยการไปอีกประมาณ 500 เมตร



          ในวันนี้ผมเดินเข้าป่า ผมไปเจอควายเผือกตัวหนึ่งที่อยู่ริมทาง มันถามว่าผมจะไปไหน ผมตอบควายเผือกตัวนั้นไป ว่าอย่าเสิือกเรื่องของกู ควายเผือกตัวนั้นได้ฟังจึงวิ่งหนีหายลับเข้าไปในป่า และไม่กลับมาอีกเลย ผมกับผู้ร่วมทริปเดินทางอย่างสบายใจ



           ตกถึงกลางค่ำกลางคืน พวกเราภายในทริปนั่งรอบๆ กองไฟ เจ้าหน้าที่ในอุทยานแห่งนี้อนุญาตให้ก่อกองไฟได้ เนื่องจากบริเวณในป่าแห่งนี้หนาวและมีแมลงสัตว์กัดต่อยมากมาย  พวกเราเอาไก่ที่เหล่าบรรดาสาวๆ เสียบไม้ไว้ มาย่าง และกินอิ่มหนำสำราญ



          พวกเราพูดคุยหัวเราะ ตั้งวงเล่นไพ่ ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งถึงเลยเวลาเที่ยงคืน คนภายในทริปบางคนเริ่มเข้าเต้นท์นอน ส่วนผมและบรรดาเพื่อนร่วมทริป 2-3 คนยังตั้งวงนั่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และพูดคุยอย่างสนุก และไม่มีทีท่าว่าจะนอน


          "กูขอไปยิงกระต่ายก่อนนะ"
          ผมพูดกับคนภายในทริป

     
          ผมเดินตรงเข้าไปในป่าที่มืดทึบ มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ส่องให้เห็นทางบ้าง  ผมเดินออกไปให้ห่างจากเต้นท์ที่พัก เพื่อไม่ให้กลิ่นฉี่ลอยเข้ามาภายในเต้นท์


          ในระหว่างที่ผมกำลังยืนฉี่
          ผมเห็นแสงไฟสว่างวับวาวลอยบนท้องฟ้า  มันกะพริบวูบวาบเป็นจังหวะ ตอนแรกก็็เข้าใจว่ามันเป็นหิ่งห้อย แต่เมื่อจ้องตามองดูอีกครั้ง มันเป็นดวงไฟสีชมพู ลอยฉวัดเฉวียนไปๆ มาๆ ไม่เหมือนกับแมลงที่มีแสงสว่างในตัวเอง 


          ผมสะบัดปืนใหญ่ เข็นมันกลับสู่ฐานทัพ ปิดประตูกำแพงเมือง และกำลังกลับไปยังแก๊งค์ปาร์ตี้ แต่แสงสีชมพูดวงนั้นมันบินมาหยุดข้างหน้า ทำให้ผมต้องจ้องมองมันอีกครั้ง 


     
          ผมไม่ได้เมาหรอกนะะ
          ผมรู้ดีว่าลิมิตการเมาของผมมีประมาณไหน ผมเคยเรียนรู้จากการเมาตั้งแต่ตอนที่เป็นเฟรชชี่แล้ว  ผมรู้สึกตัวเป็นปกติทุกอย่าง แต่มันไม่ค่อยเหมือนเดิมเท่านั้นเอง ผมพยายามเอามือคว้าแสงไฟนั้น แต่มันก็บินไปๆ มาๆ จนผมเริ่มรำคาญและพยายามไล่จับมันเรื่อย มันก็ยังหนีออกไปอีก


          ในที่สุดเมื่อผมจับดวงไฟนั้นได้ 
          ผมได้ยินเสียงแปลกประหลาดรอบๆ พื้นที่ เป็นเสียงสัตว์ปีกกลางคืนร้องโหยหวน  ผมหันไปมองรอบ ผมไม่คุ้นชินกับเส้นทางนี้ ผมหันไปหันมา ผมเห็นคนร่างมืดทึบสีดำหลายคนตรงดิ่งเขามาหาผม พวกเขาแต่ละคนเดินถือสิ่งของบางอย่างที่ผมไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร 



          ด้วยสัญชาตญาณของผม ผมรู้ว่ามันคงไม่ปลอดภัยสำหรับผม ผมตัดสินใจวิ่งหนีออกจากพวกกลุ่มคนเหล่านั้น หนีไปให้ไกลเท่าที่เท้าของผมมีแรงก้าว วิ่งโดยไม่รู้ทิศ และวิ่งอย่างสุดชีวิต จนกระทั่งกำลังของผมตกลง ผมเห็นพุ่มไม้อยู่ข้างหน้า ผมตัดสินใจหลบตัวเข้าไปในพุ่มไม้แห่งนั้น 


          ผมแหวกพุ่มไม้ออกมาส่องดูรอบๆ เป็นระยะๆ และสังเกตการณ์ไปมาผมไม่เห็นกลุ่มคนเงามืดสีดำนั้นอีกต่อไปแล้ว  แต่มีสิ่งใหม่ๆ ที่ผมเห็น นั่นก็คือมีกลดพระธุดงค์สีขาวตั้งวางข้างต้นไม้ใหญ่ และมีกองไฟที่ส่องสว่างข้างหน้ากลด


           "เดินเข้ามาใกล้ๆ สิ"  
           เสียงพูดจากคนในกลดดังขึ้น ผมแปลกใจเล็กน้อย ผมคาดว่าต้องมีคนอยู่ภายในกลด เขาเชื้อเชิญผมให้เข้าไปหาเขาใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร ผมค่อยๆ ย่างก้าวเข้าไปอย่างช้าๆ ทีละก้าว สองก้าว 


  •         "ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าพเจ้ามิเคยทำร้ายใคร" เสียงในกลดพูดขึ้้นอีกครั้ง


           "ท่านเป็นใคร? ทำไมท่านถึงรู้ว่าผมอยู่ใกล้ตัวท่าน"


           "เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่ากับความดำมืดที่ตื้นเขินในใจของเจ้า" เสียงในกลดตอบคำถามย้อนกลับมา "เจ้าเชื่อชะตากรรมไหมล่ะ"


           "ผมไม่เชื่อ แล้วท่านจะคุยผ่านกลดทำไม ออกมาให้ผมเห็นหน้าหน่อยได้ไหม"


           ในที่สุด เสียงในกลดเผยโฉมหน้าออกมา เป็นชายหัวโล้น รูปร่างสูงใหญ่ ใส่แว่นตาดำ ผิวเข้ม สวมเสื้อเชิ้ตสีดำ ผูกไทด์สีเหลือง สวมเสื้อสูทหนังจระเข้สีดำคลุมเข่า


           "ข้าพเจ้าจะบอกให้เจ้ารู้ว่าเจ้ามาที่นี่ทำไม" เขายิ้มเล็กน้อย "แต่ก่อนอื่น เชิญนั่งก่อนสิ"
     

         เขาผายมือไปที่เสื่อสีเหลี่ยมจัตุรัสที่ตั้งข้างๆ กลด เขาเชื้อเชิญให้ผมนั่ง ผมเดินไปใกล้เสื่อ มองเขาด้วยความหวาดระแวงและนั่งลงบนเสื่ออย่างช้าๆ หลังจากนั้นเขาก็เดินมานั่งบนเสื่อสี่เหลี่ยมที่วางอยู่ข้างหน้าผม เราทั้งสองคนนั่งเผชิญหน้าซึ่งกันและกันในระยะ 1 ช่วงลำตัว โดยมีตะเกียงตั้งขวางอยู่ข้างหน้า


           "ข้าพเจ้ารู้ว่าเจ้ามาเพราะอะไร เจ้ามาเพราะความผิดปกติบางอย่าง ซึ่งเจ้าอธิบายมันไม่ได้ แต่เจ้ารู้สึกได้ เจ้ารู้สึกว่าสิ่งที่เกิดในชีวิตมันไม่ถูกต้อง มันเป็นเสี้ยนตำใจ และนั่นเป็นสิ่งที่นำเจ้ามาหาข้าพเจ้า" ชายคนนี้กล่าวด้วยความงุนงง  


            "ตั้งแต่เจ้าเดินทางมาที่ป่าแห่งนี้ ข้าพเจ้ามองเห็นความมืดดำในจิตใจ  ความน่าสยดสยองที่ภายใต้ใจท่าน ข้าพเจ้าใช้สติ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ จนนำไปสู่ความจริงอันน่าพิศวง"


           "ความจริงอะไร"


           "ว่าเจ้าเป็นทาสคนหนึ่งเช่นเดียวคนอื่นที่เสพกับความทรมานที่เจ็บปวดเหล่านั้น เจ้าถูกจองจำ ถูกขังในคุกที่มีชีวิตอันน่าสลดใจ เป็นคุกไม่สามารถสูดดูมลิ้มรสสัมผัสอันชื่นบาน "


           "ท่านพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจ"


           "น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้ว่า นาฬิกาสีทองนั้นคืออะไรกันแน่"


            "...."


            "เอานี้"
            หลังจากพูดจบ เขายื่นในปล้องไม้ไผ่และไฟแช๊คมาให้ผม ผมรับมันและมองดูด้วยความสงสัย


             "เจ้ามีทางเลือกอยู่สองทาง นั่นก็็คือ เจ้าทิ้งมันลงบนพื้นแล้วเดินหนีข้าพเจ้า หรือเจ้าจะจุดหญ้า และสูดควันให้เต็มปอด แล้วเจ้าจะรู้ท้องฟ้าจะสว่างขนาดไหน"


             ผมใช้เวลาคิดเล็กน้อย แล้วมองดูปล้องไม้ไผ่ที่ชายคนนั้นยื่นมาให้ผม มันเป็็นปล้องไม้ไผ่อันหนึ่ง และมีจงอยไม้ไผ่อันเล็กยื่นๆ ออกมา ข้างในนั้นมีหญ้า ผมลองเขย่าไม้ไผ่ ได้ยินเสียงน้ำภายในปล้องผมเตรียมจุดไฟแช็ค และเอาปากประกบกับปากปล่องไม้ไผ่


             "จำเอาไว้ว่า ข้าพเจ้าเสนอความจริงที่ไม่เกินเลย"


             ผมใช้เวลาคิดอีกครั้ง ผมตัดสินใจ เอาไฟแช๊คมาลนหญ้า หญ้าค่อยๆ มอดไหม้ ผมสูดควันเต็มที่่ เสียงปูดปูดของน้ำที่อยู่ภายในกระบอกไม้ไผ่ดังเป็นระยะๆ ผมเริ่มเจ็บและเคืองบริเวณลำคอ จึงวางไม้ไผ่ลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว ก้มหน้าลง ไอค่อกแค๊ก และถ่มน้ำลายลงบนพื้น


             "เนื้อดีใช่ไหมละ"
             ชายคนนั้นถามผมด้วยน้ำเสียงที่หลงใหล ผมมองหน้าชายผู้นั้นอีกครั้ง ตาเขาเยิ้ม คิ้วโก่งเต็มที่ และยิ้้มให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ดูจริงใจมากที่สุด ส่วนในมือของเขาถือปล่องไม้ไผ่อีกอันหนึ่งด้วย


             "เอาล่ะ....กลับมานั่งที่เดิม เมื่อมันเริ่มได้ที่แล้ว ข้าพเจ้าจะเล่าให้ความจริงให้เจ้ารู้"



  •         
              ในดินแดนของโคโคส-นูสิเฟอร่าแลนด์ เป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกลจากทวีปยุโรปเป็นระยะทาง 100 ไมล์ เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ที่อยู่บนมหาสมุทรแอตแลนติก ที่นั่นมีทั้งความเจริญและความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์ มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครองบ้านเมืองชื่อราชามอน และมีพระมเหสีชื่อโมโมม่อน มีบุตรโอรสเพียงพระองค์เดียว มีพระนามว่า "มินนิม่อน" 


              ครั้นต่อมา โอรสมินนิม่อนเข้าสู่วัยหนุ่ม วัยซุกซน เป็นเด็กแว้นซ์ขับรถซิ่งทั่วบ้านทั่วเมือง ราชาม่อนเห็นว่ามินนิม่อนทำหน้าที่ไม่สมบทบาท จึงจับมาขังไว้ในปราสาทและอบรมสั่งสอนเฆี่ยนตี จนมินนิม่อนกลับตัวกลัวใจ


           ครั้นต่อมา โอรสมินนิม่อนมีพระชนมายุ 16 พรรษา โอรสมินนิม่อนมีผิวพรรณงดงาม เป็นที่ต้องตาต้องใจบรรดาสาวในพระราชวังเป็นอย่างมาก  ทำให้ชายนายหนึ่งแอบอิจฉาริษยา วางแผนคิดการปลงพระชนม์ โดยออกอุบายชวนโอรสมินนิม่อนมาทอผ้าในวังหลังของตน  ในขณะที่โอรสมินนิม่อนกำลังเย็บปักถักร้อยนั้น เขาถูกเข็มตำที่นิ้วมือ และโอรสมินนิม่อนสลบไปเป็นระยะเวลา 100 ปี


          เอ๊ะ ไม่ใช่แล้ว  รู้สึกว่าพล็อตเรื่องมันคล้ายๆ กับเจ้าชายนิทรายังไงชอบกลไม่รู้ งั้นขอเล่าย้อนกลับไปใหม่นะ


          หลังจากที่โดนพระบิดาอบรมสั่งสอนแล้ว ต่อมาโอรสมินนิม่อนเจริญพระชนมายุได้ 20 พรรษา พระราชบิดาทรงกังวลพระหฤทัยเป็นอย่างยิ่งว่า ตั้งแต่มินนิม่อนประสูติมาไม่มีสาวๆ หมายปองเลย นับวันพระราชบิดาทรงแก่ตัวลงเรื่อยๆ  และจะไม่มีใครดูแลมินนิม่อน  ในวันข้างหน้าอาจจะไม่มีพระมเหสีเกิดขึ้น และคงไม่มีทายาทสืบสกุลม่อน สกุลม่อนจะหายสาบสูญไปจากหน้าบันทึกของประวัติศาสตร์


         เมื่อทรงคิดได้ดังนั้น ราชาม่อนจึงจัดการป่าวประกาศร้องให้ดินแดนที่อยู่ภายใต้ปกครองทั้ง 12 เกาะส่งตัวหญิงสาวของแต่ละเมืองมาให้บุตรโอรสดูตัว เกาะละ 2 คน และจะต้องตบตีแย่งชิงมินนิม่อนจนเหลือผู้ชนะ 1 คน ซึ่งจะได้เจ้าชายและบัลลังก์ของพระมเหสีไปครอง


         ปาราวดี เป็นนางคนหนึ่งที่อยู่ในเกาะที่ 12 ซึ่งเป็็นเกาะที่ไกลปืนเที่ยง แต่จำใจต้องเดินทางร่วมกับแม่หม้ายอีกคนเพื่อต่อสู้แย่งชิงมินนิม่อน หลังจากผ่านสนามรบมากมาย ปาราวดีก็เป็นผู้ชนะการประลองครั้งนี้ และได้รับตำแหน่งพระมเหสีคนถัดไป  พระราชาม่อนมีความปลื้มปิติเป็นอย่างมาก จึงจัดพิธีอภิเสกสมรสทั้งสองโดยเร่งด่วน และมีนาฬิกาข้อมือสีทองกับเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองทั้ง 12 เกาะ เป็นสินสอดและของหมั้น หลังจากนั้นไม่นานราชาม่อนก็เสด็จสวรรคต และในปีต่อมา พระมเหสีก็เสด็จตามไปด้วย


         แรกเริ่มเดิมที ทั้งสองหวานรื่นชื่นมื่นเป็นอย่างมาก แต่พอนานไปน้ำต้มผักที่ว่าหวานก็กลับกลายเป็นความขม มินนิม่อนเริ่มตีตัวออกห่างจากปาราวดี แอบคบกับนางสนมลับๆ ไว้อีกมากมาย แต่ด้วยฐานะที่มีตำแหน่งของกษัตริย์ค้ำคอ ทำให้ต้องแสดงบทบาทให้ราษฎรทั่วไปทราบว่ายังรักกันดี


         ปาราวดีทนไม่ไหว บุกเข้าห้องพระบรรทมของมินนิม่อน และต่อว่ามินนิม่อนด้วยต่างๆ นาๆ จนมินนิม่อนทนไม่ไหว หยิบปืน M-16 ที่เก็บในไว้ตู้ลิ้นชัก ลั่นไกใส่ปาราวดี ปาราวดีนอนล้มตัวลงบนพื้นท่ามกลางกองเลือดยังคงไหลไม่หยุด


         สาวใช้คนหนึ่งได้ยินเสียงปืน และเปิดประตูห้องพระบรรทม เห็นภาพเหตุการณ์สยดสยองที่เกิดขึ้น และจะพยายามส่งเสียงกรี๊ด แต่โอรสมินนิม่อนเล็งปืนที่หน้าของสาวใช้  สาวใช้คนนั้นเอามือปิดปาก โอรสมินนิม่อนเอานิ้วชี้ป้องปาก และพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นว่า


         "จัดการเก็บศพด้วยนะ อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้ ไม่งั้นข้าจะกุดหัวเจ้า"


         "เพคะ"  สาวใช้คนนั้นพยักหน้าตอบด้วยความกลัว


         หลังจากนั้นไม่นาน บรรดาสื่อทั้งหลายในพระราชวัง รายงานข่าวการตายของพระมเหสีปาราวดีเป็นข่าวการลาออกจากฐานันดรศักดิ์ และก็ไม่มีใครสงสัยเลยว่าพระมเหสีปาราวดีหายไปไหน


         เวลาผ่านไป โอรสมินนิม่อนเริ่มรู้ตัวเองว่าสิ่งที่กระทำต่อปาราวดีมันเป็็นความผิด และมันยากเกินแก้ไข เวลาที่เขาเห็นนาฬิกาข้อมือสีทอง ทำให้คิดถึงปาราวดีมากยิ่งขึ้น เขาพูดกับในใจตัวเองบ่อยครั้ง ว่าอยากให้ปาราวดีกลับมา กลับมากอดเขาให้นานๆ  จนกระทั่งเขาทนไม่ได้ เขาตัดสินใจไปหานักเวทย์เพื่อทำการชุบชีวิตปาราวดี


         "เจ้าก็็รู้ใช่ไหม ว่าการชุบชีวิตคนตายให้มีชีวิตคืนกลับมาอีกครั้ง มันเป็นเวทย์มนตร์ที่ต้องห้ามในหมู่นักเวทย์" นักเวทย์ผู้หญิงผมสั้นสีทอง ถือคทากล่าวขึ้น


         "ข้ารู้ แต่ข้าก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ แต่เอ๊ะ...เจ้าก็เคยทำให้คนอื่นนี่นา เจ้าทำให้ข้าหน่อยนะ ขอร้องล่ะ"


         "อืม...ก็ได้ แต่เจ้าต้องสัญญาก่อนว่า ไม่ว่าผลลัพธ์จะเกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม เจ้าต้องรับผลลัพธ์นั้นไปตลอดชีิวิต"


         "ข้าสัญญา"


         "เอาล่ะ...เวทย์ในการชุบชีวิตคนนั้น จะต้องใช้สิ่งของ และจะต้องเป็นสิ่งของที่ผู้ตายและกับผู้ที่มีชีวิตที่มีความผูกพันกันเป็นอย่างมาก สิ่งของสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้วิญญาณระลึกและดึงตัววิญญาณให้กลับมาคืนเป็นกายหยาบที่อยู่ตรงหน้าได้"


         "ข้ามีของชิ้นนั้นแล้ว"  มินนิม่อนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง และหยิบกล่องสีแดงออกมา แสดงให้นักเวทย์ดู มินนิม่อนเปิดกล่องออกมาเป็นนาฬิกาข้อมือสีทอง เขาหยิบและส่งมันให้กับนักเวทย์ "นาฬิกาเรือนนี้เป็นสินสอดของสองเรา ดังนั้นข้ามั่นใจว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ข้ากับปาราวดีผูกพันกันมาก"


         "ดี..รอสักครู่นะ"


         นักเวทย์รับนาฬิกาของมือสีทองจากมินนิม่อน และนำไปวางไว้บนพานบนโต๊ะ มีเทียนขนาดใหญ่จำนวน 4-5 แท่งวางรอบๆ และนอกจากนั้นแล้วบนโต๊ะมีรูปปาราวดีด้วย


         "เอาล่ะ...ข้าจะร่ายเวทย์ละนะ โปรดอยู่ในความสงบ"


         "...."


         "โอมมะลึกกึ๋ย นะโม นะโม ปัดโธ่ววว..........ฮีโร่ เนเว่อร์ ดายยยยยยยย"


         หลังจากนักเวทย์ร่ายมนต์จบ แสงสีทองเปล่งแสงออกมาจากคทาของนักเวทย์ และนาฬิกาสีทองเรือนนั้นเปล่งแสงและยังเปล่งความอบอุ่นจนมินนิม่อนสัมผัสและรับรู้ได้ว่า ปาราวดีกลับมาแล้ว



  •     แต่จู่ๆ แสงสีทองเปลี่ยนกลับเป็นสีม่วงดำ มีควันลอยคละคลุ้มเต็มห้องนักเวทย์ มีลมคล้ายกับพายุพัดให้หน้าต่างและบานประตูปิดสนิท แสงเทียนภายในห้องดับลง ภายในห้องตกอยู่ในความมืดสลัว มินนิม่อนสังเกตเห็นนาฬิกาสีทองเรือนนั้นดูควันสีม่วงจนหมด และเห็นนักเวทย์นอนล้มตัวลง เอามืดพาดบนโต๊ะ


         "ท่านนักเวททย์ ท่านเป็นอะไร"


         "นาฬิกานั้น นาฬิกานั้นแค่ก แค่ก" นักเวทย์ไอออกมาเป็็นเลือด และสิ้นลมต่อหน้าต่อตามินนิม่อน


         "ที่รักคะ...ปาราวดีกลับมาแล้ว"
         เสียงที่ผมคุ้นเคยดังมาจากข้างหลังมินนิม่อน เขาหันหลังกลับและเจอผู้หญิงยืนอยู่ตรงกลางประตูทางเข้าของบ้านนักเวทย์ แสงจากฟ้าผ่าลงมา ส่องให้เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นคือปาราวดีตัวจริงเสียงจริง
               

         "เธอมีชีวิต ใช่...เธอมีชีวิตแล้ว ไชโย" มินนิม่อนดีใจแล้วกระโจนเข้าหาปาราวดี


          แต่แล้ว ท่อนแขนที่แหลมคมแทงเข้าที่อกของมินนิม่อน ทำให้มินนิม่อนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และจ้องมองปาราวดีด้วยความงุนงง เธอมีสีหน้าที่โกรธเกรี้ยว คิ้วขมวด ตาสีเขียว ริมฝีปากที่แดงฉาน และผอมแห้งไม่เหมือนกับปาราวดีคนเดิม


          "ยินดีต้อนรับการกลับมานะที่รัก"
          หลังจากที่ปาราวดีพูดจบ ปาราวดีชักมือออกจากอกของมินนิม่อน มินมิม่อนทรุดตัวลงกับพื้น และมองปาราวดีที่เดินลับหายไปจากประตูหน้าบ้านของนักเวทย์ โดยไม่สนใจว่ามินนิม่อนจะเป็นอย่างไร



                                                                  ........................



          "เป็นไง เรื่องเล่าสนุกไหม" ชายหัวโล้นใส่ชุดสูทคลุมสีดำพูดขึ้น


          "มันน่าสนุกตรงไหนล่ะอีแก่ นี่มันเรื่องเพ้อเจ้อชัด" 
            

          "งั้น ไม่สนุกเหรอ เอานี่อีกป่ะ" ชายหัวโล้นยื่นกระบอกไม้ไผ่มาให้ผมอีกปล้องหนึ่ง  ทำให้ผมมีความคิดปฏิเสธการเสพสารในกระบอกไม้ไผ่


         "ข้าไม่น่าเสียเวลากับนิทานชายหัวโล้นเลย ข้ากลับล่ะ" ผมลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินหนีจากชายโล้นคนนี้


          "เดี๋ยวสิ.....ข้ายังมีนิทานเรื่องแร๊คคูนตะลุยอวกาศอีกนะ"


          "ผมไม่สนใจ"


          "เห้ เดี๋ยวสิ เดี๋ยว นี่เป็นเรื่องเล่าที่สุดยอดเลยนะ มันมีแร๊คคูน มีต้นไม้ มีสาวตัวเขียว ด้วยนะ จะฟังไหม เห้ กลับมาก่อน เรื่องนี้เป็็นเรื่องที่ข้าไม่ได้โม้นะ............."


          ผมเดินหนีออกห่างจากชายหัวโล้นคนนี้ออกไปเรื่อย จนเสียงค่อยๆ เบาลง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in