เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The lord of the watch : อภินิหารนาฬิกาเสี่ยงตายHacker Dewdie
ตอนที่ 1 : คือนาฬิกาครองพิภพจบสากล
  •      เสียงน้ำซุปเดือดปุ๊ดๆ ดังขึ้นมาจากภายในหม้อใบใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเตา ชิ้่นส่วนกระดูกติดเนื้อที่ต้มจนเปื่อย และเคี่ยวเวลานานเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในตอนนี้ส่งกลิ่นหอมทั่วห้องครัว 


         ผมใช้ทัพพีตักแกงตักน้ำซุบขึ้นมา เป่าให้หายร้อน และค่อยๆ ชิมอย่างช้าๆ ผมนึกอะไรบางอย่าง เมื่อผมรู้คำตอบนั้น ผมวางทัพพีตักแกงลงบนจานข้างเตา เดินไปเปิดกระปุกในตู้เก็บของที่ติดกับผนังห้องครัว เปิดฝากระปุก หยิบกระเทียมออกมา หลังจากนั้นใส่กระเทียมลงในหม้อซุป คนพอเป็นพิธี ปิดแก๊ส ซึ่งเป็นอันเสร็จในการทำน้ำซุป


         ปิ้งป่อง...ปิ้งป่อง
         เสียงกริ้งบ้านดังขึ้นมา ผมเดินจากห้องครัวไปยังประตูหน้าบ้าน แหวกผ้าม่านประตู มองลอดผ่านเลนส์ตาแมว เห็นกลุ่มเพื่อน 4-5 คนยืนออรอหน้าประตู พร้อมกับดอกกล้วยไม้ที่จัดเป็นช่อ ช่อใหญ่ ผมเปิดประตูออกมาต้อนรับเพื่อนๆ


         "ไงหวัดดีสหาย....สุขสันต์วันเกิดว่ะ" 


         "โอ้ ขอบใจมาก ที่มากันนะ  กูคิดว่าพวกมึงจะไม่มากันแล้ว"  ผมยิ้มด้วยใบหน้าทีั่เป็นมิตร "เข้ามาในบ้านกูก่อนสิ กูเตรียมอาหารไว้รอพวกมึงแล้ว"


         "โอเค๊ โอเค"


         ผมเดินนำหน้าเพื่อนทั้งสี่ห้าคน เข้ามาภายในบ้าน เพื่อนคนสุดท้ายจะปิดประตูและใส่กลอน ผมบอกให้เพื่อนนั่งรอหน้าทีวี แล้วผมเดินไปยังห้องครัว หยิบจาน ชาม ถ้วย ช้อน ตะเกียบจากตู้ภายในครัวมาวางบนเคาเตอร์ ไม่นานเพื่อนๆ เดินเข้ามา  เพื่อนคนหนึ่งหยิบภาชนะ เดินไปวางบนโต๊ะที่ตั้งกลางบ้าน เพื่อนอีกคนยกลังเครื่องดื่ม  ผมหยิบเตาไฟฟ้าจากใต้เคาเตอร์ครัวนำไปวางบนโต๊ะ เพื่อนคนที่สี่ยกลังน้ำแข็งออกมาจากครัว  


         เมื่อของทุกอย่างวางบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ผมเสียบปลั๊กเตาไฟฟ้า เร่งความร้อน หลังจากนั้นผมใช้ตะเกียบหยิบเนื้อสามชั้นวางลงบนเตา ค่อยๆ หย่อนก้อนเนื้อที่เต็มไปด้วยก้อนไขมันลงบนเตา ถูกับผิวหน้าเตา่ไฟฟ้าอย่างช้าๆ  เสียงซ่าๆ ของไขมันที่โดนความร้อนดังขึ้น ชวนให้น้ำลายไหล


         "มึง ยืนทำเหี้ยอะไร  มึงมานั่งตรงนี้เลยมึง มากินกัน"


         "นี่รูปมึงตอนเด็กเหรอ... ดูๆ แล้วไม่อยากให้มึงโตมาเลยจริงๆ "


         "ขอบใจที่ด่ากูนะเว้ย กูน่าจะกระโดดให้รถชนตายดีกว่า"


         "มึงจะรีบตายไปไหน อยู่เป็นเพื่อนกูก่อนสิ  นี่มึงเข้าปีที่ 112 อยู่แล้วนา ยังเหลือเวลาอีกตั้งเยอะแยะ"


         "มึงกินเลย อย่าพูดมาก ขืนพูดอีกคำ กูจะยัดมะเร็งเข้าปากมึง"


        
         


  •      "อิ่มจังเลย การได้กระดกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมกับกินชิ้้นเนื้อที่เต็มไปด้วยริ้วไขมัน ซดน้ำซุปรสเด็ดของนายแล้วเนี่ย ทำให้กูมีความสุขจริงๆ"


         "โฟโต้ ยังเป็นคนที่ทำอาหารได้ดีเยี่ยมเหมือนเดิมนะ"
         เพื่อนๆ กล่าวยกย่องชมเชยผม ผมเห็นเพื่อนทั้งสามคนนั่งลงบนโซฟาด้วยอิริยาบทเหมือนคนไร้กำลังวังชา ขยับเขยื้อนไม่ไหว เพื่อนอีกสองคนที่เหลือนั่งดูทีวีด้วยความสนุกสนาน ส่วนผมนั่งบนเก้าอี้สีเหลืองตัวสูงข้างโซฟา 


         ในขณะที่เพื่อนๆ พูดคุยสนทนาตามประสาเพื่อนฝูงนั้น แสงวิบวับแวววาวแทงเข้าสู่ตาของผม ทำให้ผมหันไปหาที่มาของแสงนั้น แสงที่แทงเข้าสู่นัยน์ตาผมคือนาฬิาสีทองที่ข้อมือของเพื่อนคนหนึ่ง 


         "นาฬิกา...นาฬิกา"  


         "มีอะไรเหรอมึง"


         "นาฬิกามึงสวยดีนะ ไปซื้อมาจากไหนละ"


         "อ่อ นาฬิกาเรือนนี้นะเหรอ  อืม....กูเดินตลาดนัดที่ขายของเก่า กูเห็นพ่อค้าหน้าตาแปลกๆ คล้ายๆ พวกวณิพกพเนจร นำมันมาวางขาย กูเห็นว่ามันสวยดี เลยตัดสินใจซื้อมานะ มึงชอบเหรอ"


         "ใช่สิ กูชอบมาก กูอยากได้ กูขอยืมใส่ได้้ไหม"


         "อืม...งั้นก็โอเค กูให้มึงใส่ได้แค่สัปดาห์เดียวนะ"



    .......................


         "พวกเรากลับก่อนนะ บายๆ"


         "โอเค โชคดีนะ แล้วค่อยเจอกันใหม่ ขอบใจที่มากินควายกะทะด้วยกันล่ะ"
          ผมโบกมือร่ำลากับเพื่อน


          เมื่อเห็นเพื่อนเดินห่างไปไกลลับตา ผมปิดประตูบ้านดัง "ตุ๊บ" ใส่กลอนประตูบ้านดัง "กริ๊ก" ดึงผ้าม่านดัง "ครืดดดดดด"  แล้วนั่งลงบนโซฟาหน้าชั้นวางทีวี กดปุ่มเปลี่ยนช่อง พบรายการน้าอ๋อย เซงจัง กำลังฉายบนทีวี ซึ่งเป็นช่องรายการที่ผมชอบมาก ผมวางรีโมตลงบนโต๊ะ รับชมรายการทีวีน้าอ๋อยอย่างเพลิดเพลิน


         ในระหว่างการชมรายการน้าอ๋อย ผมใช้มือลูบนาฬิกา 2-3 รอบ มองที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง หน้าปัดของนาฬิกาส่องแสงแวววาวออกมา ผมจ้องมองนาฬิกาอยู่เป็นเวลานาน มันทำให้ผมเคลิบเคลิ้มและหลงใหลไปกับมัน เหมือนกับตกอยู่ในอาการภวังค์ ร่างกายเบาหวิวราวกับปุยนุ่น ล่องลอยไปตามที่ต่างๆ โดยไร้จุดหมาย


          เมื่อผมรู้สึกตัวเองอีกครั้ง ผมถอดนาฬิกาข้อมิือวางลงบนโต๊ะ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าเช็ดตัว ถอดเสื้อ ถอดกางเกง โยนลงตะกร้า และเดินเข้าห้องอาบน้ำ



         ในระหว่างที่ผมทำภารกิจอาบน้ำ
          ผมได้กลิ่นแปลกประหลาดจากภายนอกห้องน้ำ กลิ่นที่แปลกประหลาดนั้นคล้ายกับเนื้อเน่าๆ ที่วางทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน ผมหยุดนิ่ง และหันไปมองที่ประตู ผมเห็นเงาตะครุ่มๆ ที่ช่องลมประตู เหมือนมีคนเดินภายนอก


         "นั่นใครนะ"
         ผมร้องตะโกนออกไป แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ในช่วงวินาทีนั้น ผมรีบตั้งสติให้เร็วที่สุด และคิดว่าผมแค่ตาฝาดไปเอง


         "แกร๊ก แกร๊ก"
         ผมได้ยินเสียงชัดเจน มันเป็นเสียงที่มีใครบางคนพยายามจะบิดลูกบิดของประตูห้องน้้ำที่ผมล๊อกไว้ ผมตะโกนออกไปว่ามีคนอยู่ในห้องน้ำนะ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา


          ผมนิ่งเฉย หลังจากนั้นไม่นานไฟในห้องน้ำดับ


         เชี้ยเอ๋ย ไฟดับทำไมวะ!!
         ผมโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก วางก้อนสบู่ลงบนชั้นวาง เปิดน้ำจากฝักบัว และชำระล้างสบู่อย่างรวดเร็ว เมื่อผมรู้สึกได้ว่าสบู่ถูกชำระล้างหมดแล้ว ไฟในห้องน้ำกลับสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ผมหยิบผ้าเช็ดตัวเช็ดน้ำตามตัวให้แห้ง ห่มผ้าเช็็ดตัว รีบเปิดประตูห้องน้ำออกมา เพื่อจะหาสาเหตุ


         และผมพบผลลัพธ์ที่น่าแปลกใจ
         มีร่องรอยรอยเท้าเปื้อนฝุ่นขาว เดินมาจากประตูหน้าบ้าน มายังประตูห้องน้ำ 



  •      บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ผมนั่งหน้าคอมฯ ในสถานที่ทำงาน
         ผมสัมผัสพลังงานบางอย่างรอบๆ ตัวของผม มันจ้องเล่นงานผมอย่างบ้าคลั่ง พลังงานรุนแรงมากเหลือเกิน ผมพยายามต่อกรและยืดเยื้อและต่อกรกับมัน แต่มันพยายามทำให้ร่างกายไร้เรี่ยวแรง 


         ผมทนนิ่งเฉยไม่ได้ ผมตัดสินใจคว้าแก้วที่วางอยู่ข้างๆ แป้นพิมพ์ ลุกขึ้นจากเก้าอี้พนักพิงสูง  เปิดประตูออฟฟิต เดินไปยังห้องครัว ฉีกซองกาแฟ  เทกาแฟลงในแก้ว ทิ้งซองกาแฟ กดน้ำร้อนจากกระติก น้ำเติมให้เต็มแก้ว  หยิบช้อนมาคนอย่างช้าๆ  สูดกลิ่นกาแฟ  หลังจากนั้นผมเดินมองวิวทิวทัศน์ของเมืองที่อยู่ข้างนอกประตูกระจกใส และจิ๊บกาแฟอย่างสบายใจ


         "ตึง!!! ตึง!!!" 
         แผ่นดินสั่นสะเทือนคล้ายๆ กับแผ่นดินไหว มันสั่นเป็นจังหวะๆ ผมทรงตัวไม่ค่อยได้ น้ำกาแฟกระฉอกออกจากแก้ว ลวกมือของผม ผมวางกาแฟไว้บนโต๊ะครัว
        

         "กริ๊งงงงงงงงงง!!!"
         เสียงสัญญาณเตือนภัยฉุกเฉินในออฟฟิตดังขึ้้น ผู้คนที่อยู่ภายในห้องที่ทำงานของผมลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว เปิดประตู วิ่งออกจากห้องไปตามทางหนีไฟ พวกเขาวิ่งหนีกันอย่างขะมักเขม้น ในขณะที่ผมหยุดนิ่งเฉย และนึกในใจว่านี่เป็นบ้าอะไรกัน


         ทันใดนั้นเอง ห้องที่ได้รับแสงสว่างจากหลอดไฟ กลับสว่างจ้าเป็นอย่างมาก แสงสีขาวแทงเข้าสู่ตาของผม ผมเอามือบัง เมื่อตาปรับแสงได้ ก็พบว่าเพดานกลายเป็นท้องฟ้า เมฆยามบ่ายที่สดใส และมีตึกสูงๆ เรียงรายอยู่รอบๆ


          ก็แน่ละ ก็เพดานตึกมันหายไปนี่นา


         ผมเห็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ สูงประมาณ 200 เมตรเดินข้างๆ ตึกของผม มันมีตาสีเหลือง กลมใหญ่ มีปากอ้าออกมาให้เห็นเขี้ยวฟันที่แหลมคม มีน้ำลายยืด ไหล ระหว่างเขี้ยวฟัน ผิวหนังปกคลุมด้วยเกล็ด มือเล็กๆ ที่มีเล็บอันแหลมคม พยายามกวาดล้างตึกที่ขวางทางเดินมัน


         "ติ๊ด ติ๊ด"
         เสียงจากนาฬิกาข้อมือสีทองที่ผมยืมมาจากเพื่อนดังขึ้น ผมมองดูนาฬิกา หน้าปัดของมันมีข้อความแจ้งเตือน SOS และปุ่มสีเขียว  ผมแตะปุ่มสีเขียวปุ่มนั้น


         และแล้วชุดออฟฟิตของผมเปลี่ยนสภาพเป็นชุดสีแดงรัดติ้วแนบเนื้อ มีดาบสะพายอยู่ข้างหลัง และในไม่ช้า มีเพื่อนๆ ที่ใส่ชุดเหมือนผมวิ่งมาจากประตูอีกฝั่งหนึ่งของห้อง

         
         "เรด พวกเราปล่อยมันไม่ได้นะ เราต้องรีบจัดการมัน"


         "แต่เราจะจัดการมันยังไงล่ะพี่บลู"


         "หนูว่า หนูต้องพึ่งพาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานแล้วล่ะ พิ้งค์กี้"


         "กรีน เห็นด้วยครับผม"


         "แล้วผมจะพูดอะไรดี"


         "นายเงียบไปเถอะนา เยลโล่ว นายไม่มีบทในละครเรื่องนี้"


        ผมและเพื่อนๆ ทั้งสี่คนชูแขน ชี้นิ้วขึ้นไปยังท้องฟ้า และพูดพร้อมๆ กันว่า
        "งั้นพวกเราขอบูชายัญจอมเวทย์มนต์ขาวชาออตกับไนท์ทูซาหวอด แล้วอัญเชิญบลูโน้ทแบล๊กดราก้อนออกมา" 


        เมื่อผมพูดจบมีเสียงคำรามมาจากอีกฟากหนึ่งของเส้นขอบฟ้า วัตถุประหลาดพุ่งตรงพุ่งตรงมาที่ตึกทำงานผมอย่างรวดเร็ว 


         ในพริบตาเดียว หุ่นยนต์ที่มีลักษณะเหมือนมังกรเหล็ก จมูกสีน้ำเงิน ร่างกายสีดำ ตัวใหญ่โตมโหฬารอยู่ข้างหน้าผม มันอ้าปากออกมา ผมและเพื่อนทั้งห้ารีบวิ่งเข้าไปในปาก 


         ภายในปากของมัน มีลักษณะเหมือนห้องจตุรัสขนาดประมาณ 20 ตารางเมตร มีกระจกใสหน้า ส่องเห็นภาพตึกที่ทำงานของผม และมีตู้คอนโทรลติดกับกระจกข้างผม มีที่นั่งจำนวน 5 ที่นั่ง ผมเดินไปนั่งข้างหน้าสุด ส่วนเพื่อนอีกสี่คนที่เหลือ แยกย้ายไปประจำที่นั่งของตนเอง


         "พร้อมแล้วพี่เร้ด....สับคันโยกแล้วเดินเครื่องยนต์ได้เลย"
         ผมเอามือดันคันโยกที่อยู่ข้างหน้าอย่างสุดแรง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


         "ทำไมมันเป็นอย่างนี้"


         "นายบิดกุญแจนะ"


         "ใช่ จริงด้วย"


         "คาดเข็มขัดนิรภัยด้วยนะ"


         "ได้เลยพี่บลู.....พร้อมแล้ว เดินเครื่องยนต์ได้"


         หลังจากนั้นผมดันคันโยกอีกครั้ง  เสียงต๊อกๆ แต๊กๆ ดังขึ้น พร้อมกับควันสีดำที่พ่นออกมาจากท่อไอเสียของหุ่นยนต์ มังกรเหล็กสั่นกระตุกจนผมและเพื่อนเกือบตกจากเก้าอี้ หลังจากนั้นมังกรเหล็กร้องคำรามใส่สัตว์ประหลาด


         ผมกับเพื่อนพยายามบังคับมังกรเหล็กให้ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวนั้น ทั้งข่วน ตะปบ และกัดผิวหนังของสัตว์ประหลาด แต่มันก็ไม่สร้างริ้วรอยใดๆ 


         ผมสังเกตเห็นครีบมันเปล่งแสงสีทองที่อยู่ข้างหลังของมัน  หลังจากนั้นมันพ่นไฟออกมาจากปาก ตรงดิ่งเข้ามาหามังกรเหล็กของผม ผมบังคับให้หุ่นมังกรเหล็กหักหลบลำแสงมัน  ผมหักหลบพ้นจากลำแสงพิฆาตนั้น แต่ผมต้องแลกกับการเสียการควบคุมส่วนด้านขวา


         "ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด"
         เสียงสัญญาณหน้าตู้คอนโทรลดังขึ้นอีกครั้ง  แสงสีแดงในห้องกระพริบเป็นจังหวะ ผมมองไปที่ตู้คอนโทรล เห็นหน้าจอตัวหนึ่ง มีข้อความสีแดงแจ้งเตือนว่า พลังชีวิตเหลือน้อย ผมต้องรีบไปเติมพลัง ผมสั่งให้บลูดึงคันโยกที่หน้าตู้คอนโทรล ปล่อยพลังงานอย่างเต็มที่ เตรียมจะถอยหนีไปเติมพลังชีวิต


         แต่เจ้าตัวประหลาดมันจับขามังกรเหล็กเอาไว้  มันดึงขา ทำให้มังกรเหล็กไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ เชื้อเพลิงของมังกรเหล็กสีดำหมดถัง  ผมเห็นมันง้างมือขึ้นบนฟ้า และตบเข้าที่หัวของมังกรเหล็ก ทำให้ผมรู้สึกมึนตามไปด้วย



         "ตื่นได้แล้วโว้ย...." ผมลืมตาขึ้นมาด้วยความงัวเงีย  ผมเห็นแฟนใส่เสื้อสายเดี่ยวสีขาว กางเกงสั้นยืนข้างเตียงผม "วันนี้จะไปทำงานไหมเนี่ย"


         "จ้า จ้า ผมจะไปทำงานนะที่รัก"


     

  •      ในการทำงานของวันนี้ ตั้งแต่เช้าหัวหน้าเรียกผมเข้าไปพบปะพูดคุย และมีคำสั่งให้เข้าประชุมอย่างเร่งด่วน เพื่อพิจารณาผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นเวลาหลายชั่วโมง
         

           กว่าจะเลิกประชุมก็กินเวลาพักเที่ยงไปแล้ว 30 นาที ผมลงมารับประทานอาหารเพียงคนเดียว
    เพราะเพื่อนๆ ภายในแผนกลงมารับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว


         ผมรับประทานอาหาร สไลด์หน้าจอมือถือ ดูฟีดข่าว ดูเหตุการณ์ประจำวันเรื่อย คุยแชทกับเพื่อนเก่าๆ ในสมัยเรียนมหาลัย


         "นาฬิกาสวยดีนะ  ได้มาจากที่ไหนล่ะ"  แม่ค้าของร้านค้าถามผม


         "ผมซื้อมานะครับ"


         "ป้าขอซื้อต่อได้ไหม"


         "ไม่ได้ครับป้า  ผมไม่ขาย"


         หลังจากผมรับประทานอาหารมื้อกลางวันเสร็จเรียบร้อย ผมรีบเดินขึ้นตึก เพราะมันใกล้จะบ่ายโมงแล้ว 


         ผมนั่งทำงานเขียนโปรแกรมไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาเลิกงาน ผมจัดแจงสิ่งของ พับโน๊ตบุคส์เก็บใส่ลงในกระเป๋า จัดเครื่องแต่งกาย บอกลาเพื่อนๆ ภายในแผนก  หลังจากนั้นผมเดินลงจากตึก ขึ้นรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้ไปส่งสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบางเบา


         ในขณะที่ผมนั่งอยู่ในรถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อจะขึ้นสถานีหมอติ๊ดอยู่นั้นเอง มีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของผมดังเข้ามา ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์ ปลดล็อก ดูหน้าจอมือถือ ปรากฎว่า คนที่โทรเข้ามาเป็นเพื่อนของผมเอง


         "ฮัลโหลล...นั่นโฟโต้ใช่หรือเปล่า"


         "ใช่ๆ....มีอะไรเหรอมึง"


         "มึงทำใจดีๆ ไว้นะ"


         "......."


         "ไอเชมันตายแล้ว"


         สิ้นคำพูดจากเสียงในโทรศัพท์ ผมแทบจะทรุดตัวกองลงบนพื้นตู้ขบวนรถไฟฟ้าใต้ดิน
         ก็ไอเชนั่นนะ คือเพื่อนของผม


         เพื่อนที่ผมยืมนาฬิกาของเขามาใส่นั่นเอง
        
       

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in