เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Ram Roam Romeผู้พลาดพลั้งแห่งวันศุกร์
.italy 5





  • ไม่ว่าจะอะไร เวลาชื่นชมยามท้องอิ่มก็ย่อมสวยงามขึ้นเสมอ.... Bellagio ก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้น
    สะพานหินเมื่อครู่ที่ตอนแรกรู้สึกว่าเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวยั้วเยี้ย หลังจากมีพิซซ่าไปเติมเต็มทีว่างในท้อง เข็มเวลาก็เหมือนจะเดินช้าลง (เขียนให้ดูดีไปงั้น อันที่จริงคือเคลื่อนที่เร็วไม่ได้ ...จุก)
    “ไปไหนต่อดี” เอกถามพร้อมกับกางแผนที่ออกมาดู

    จาก Bellagio เรามีตัวเลือกอย่างเยอะว่าจะไปต่อที่ไหน แต่ด้วยความเป็นคนขี้เบื่อ ผมเลยข้ามตัวเลือกที่เป็นการเดินเล่นในเมือง เพราะ Menaggio และ Tremazzo มันก็อยู่ฝั่งตรงข้ามของทะเลสาปนี่แหละ ผมเลยอนุมานเอาว่ามันก็น่าจะคล้ายๆ กันกับ Bellagio

    “ลองไปวิลล่าดูแล้วกัน” ผมบอก

    อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าทะเลสาปโคโม่นั้นเต็มไปด้วยวิลล่ามากมาย แต่ด้วยเข็มเวลาที่กระชั้นชิดเข้าใกล้สี่โมงเย็นซึ่งเป็นเวลาปิดทำการของวิลล่าโดยส่วนใหญ่ ทำให้เราต้องตัดตัวเลือกเหลือเพียงวิลล่าเดียวเท่านั้น ผู้ขึ้นชกฝ่ายน้ำเงินคือ Villa Carlotta ขึ้นชื่อเรื่องสวนที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม แถมบวกกับการที่เรามาเยือนในฤดูใบไม้พลิ ยิ่งทำให้เป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวและยากต่อการตัดทิ้งเป็นอย่างมาก


    (Villa Carlotta ที่ได้แค่นั่งเรือผ่าน)


    ส่วนฝ่ายแดงคือ Villa del Balbianello ข้อด้อยคือเข้าถึงยาก ต้องนั่ง taxi boat เข้าไป หรือไม่ก็เดินขึ้นเขาไปครึ่งชั่วโมง แต่ก็แลกมาด้วยทำเลปลายสุดของแหลมที่ยื่นยาวออกไปสู่ทะเลสาป เสมือนกับพื้นที่ของวิลล่าถูกโอบกอดโดยผืนน้ำสีน้ำเงินเข้ม ฝรั่งที่มาเขียนรีวิวถึงกับใช้คำว่า ‘สวยจนลืมหายใจ’

    แม้จะรักพี่เสียดายน้อง แต่สุดท้ายผมก็ยกให้ Villa del Balbianello ชนะ ด้วยคะแนนพิศวาส เพราะที่นี่เป็นฉากของซีรีย์ภาพยนต์ที่ผมชื่นชอบอยู่ถึง 2 เรื่อง เรื่องแรกคือฉากจบของ James Bond 007 ภาค Casino Royal ซึ่งคุณลุงบอนด์ได้มารักษาตัวอยู่บนรถเข็น หลังจากโดนคุณตัวร้ายเอาเชือกฟาดของรักของหวงอยู่หลายตุ้บ

    ส่วนอีกเรื่องคือ Star wars ภาคสอง Attack of the Clones ที่ซึ่งแพดเม่ กับอนาคิน ใช้เป็นที่กบดานระหว่างโอบีวันกำลังตามหาตัวคนลอบสังหารอะมิดาล่า และเป็นสถานที่ซึ่งอนาคินแอบแต่งงานกับแพดเม่!!

    ซึ่งเป็นการละเมิดกฎข้อห้ามของเจได (เดี๋ยวนะๆๆๆ)
    การแต่งงานเป็นจุดเริ่มที่ทำให้อนาคินเข้าสู่ด้านมืด เพราะเมื่อรักแล้วก็ต้องตามมาด้วยความหวง ความยึดติด และความหวาดกลัวที่จะเสียคนรักไป ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้เป็นพลังแห่งด้านมืด (เดี๊ยววววว!!! นี่รีวิวอิตาลี ช่วยนั่งเรือกลับฝั่งมาก่อน!!!)

  • …โทษที อินไปหน่อย
    ถึงจะแอบเสียดายสวนสวยของ Villa Carlotta แต่ถ้าต้องเหลือที่เดียวก็คงทรยศฉากในภาพยนต์ที่ชื่นชอบไม่ได้ วิธีการไป Villa del Balbianello ไม่ได้ซับซ้อน ก่อนอื่นเราต้องนั่งเรือไปลงที่ Tremezzo และเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนเจอกับท่า taxi boat

    (Tremazzo เป็นเมืองที่เต็มไปด้วย โรงแรมเล็กๆ น่ารักเต็มไปหมด)

    ผมกับเอกเข้าไปร่วมกับฝรั่งมุงที่ป้ายบอกค่าบริการเรือ ซึ่งอยู่ที่ 7 Euro ต่อรอบ ไปกลับก็ 14 Euro เติมศูนย์กับคูณ 4 เข้าไปก็ตกประมาณ 560 บาท!!! (กลับจากไปเที่ยวคราวนี้สูตรคูณแม่ 40 คล่องมาก) ดูจากราคาแล้วผมไม่แปลกใจที่เกือบทุกคนเลือกที่จะเดินขึ้นเขาแทน

    ทางเข้าของวิลล่าอยู่ด้านหลังถัดไปจากท่าเรืออีกนิด พอเราเดินผ่านประตูเล็กๆ จะมีป้ายแนะนำทางเดินขึ้นเขาว่ามีแบบ basic กับ advance ร่างกายยังหนุ่มยังแน่นอย่างเราสองคน ....แน่นอนว่าต้องเลือกเบสิคสิครับ! แหม่ เดินขึ้นบันได BTS ยังหวิวๆ ประสาอะไรกับเดินขึ้นเขา



    ทางเดินแบบเบสิคจะเลาะรอบนอกของเนินเขาทำให้เราได้วิวของทะเลสาปโคโม่ในมุมสูง ซึ่งก็สมน้ำสมเนื้อกับหยาดเหงื่อที่สูญเสียไป ผ่านมาครึ่งทางจะมีซุ้มขายบัตรตั้งอยู่ ซึ่งบัตรก็มีให้เลือกแบบสวนอย่างเดียว หรือจะเป็นสวนบวกกับทัวร์เข้าไปดูของสะสมข้างในด้วย แหม่... หล่อ ดูดี มีรถขับ โทรศัพท์ถ่ายรูปได้อย่างเราสองคน จัดเต็มไปครับ... “Ciao~ Garden only ticket for two adults!” (อ้าว !?)

    เราใช้เวลาเดินทั้งหมดประมาณ 20 นาที พอให้กล้ามเนื้อขาปวดตุบนิดๆ และหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีกหน่อย ก่อนจะมาหยุดที่ประตูทางเข้า พื้นที่ของวิลล่าใหญ่มาก แต่เกือบทั้งหมดเป็นสวนเขียวขจี มีรูปปั้นปูนแกะสลักเรียงสลับต้นไม้หน้าตาคล้ายกับบอนไซยักษ์


    แต่เดิมพื้นที่ตรงนี้เป็นโบสถ์ครับ แต่หลังจากที่พระ Cardinal เสียชีวิต ก็มีคนมาซื้อมาและสร้างวิลล่าร่วมกับทำสวนขึ้นมาใหม่ เวลาผ่านไปวิลล่าถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ สภาพก็ทรุดโทรมลงตามกาลเวลา จนสุดท้ายไปตกอยู่ในมือของชาวอิตาลีชื่อ Guido Monzino คุณคนนี้เขาเป็นนักสำรวจชื่อดังของประเทศครับ ออกทริปปีนเขารัวๆ ทั้ง Patagonia, Africa และยังเป็นหัวหน้าทีมนักปีนเขากลุ่มแรกของอิตาลีที่สามารถพิชิตยอด Everest ได้สำเร็จ ตบท้ายด้วยการนำทีมสำรวจขั้วโลกเหนือ

    นิทรรศการในวิลล่า (ที่เราไม่ได้ซื้อตั๋ว) ก็จะจัดแสดงของสะสม หนังสือ แผนที่ต่างๆ ที่เป็นสมบัติซึ่งรวบรวมเอาไว้ระหว่างการสำรวจของคุณ Monzino นี่แหละ

    บริเวณที่ถูกถ่ายรูปรัวที่สุดของวิลล่าคือ ‘Loggia’ หรือส่วนของระเบียงมีหลังคา ซึ่งเป็นฉากใน Star Wars เราจะเห็นแพดเม่กับอนาคินสลับกันถ่ายรูปอยู่เต็มไปหมด


  • เราใช้เวลาแบบไม่เร่งรีบ เพราะนี่เป็นจุดหมายสุดท้ายของพวกเราในทะเลสาปแห่งนี้ ม้านั่งที่หันหน้าออกไปสู่ทะเลสาปถูกผมจับจองเป็นเจ้าของ สมัยเป็นนักท่องเที่ยวฝึกหัดผมมักจะมีนิสัยขี้งกและพยายามจะจับยัดทุกสถานที่ลงไปในแผนการเที่ยว ใครว่าดี กูไปหมด! พอโตขึ้น (อีกแง่คือแก่ลง) ผมก็เรียนรู้ว่า เฮ้ย บางทีไม่ต้องไปมันทุกที่ก็ได้ นี่มาเที่ยว ไม่ได้มาแข่งเรลลี่ ถ้าต้อง ‘เก็บให้ครบ’ จนอรรถรสมันเสีย ก็อย่าไปทำ

    เลือกอันที่อิน!

    ความยากคือ บางทีเราก็ไม่รู้ตัวเองหรอกนะว่าอันไหนเราอิน อันไหนเราไม่อิน จนกว่าจะได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ผมไม่เคยรู้ว่าผมไม่อินกับการ์ตูน Disney คือเป็นเด็กที่เติบโตมากับ ดราก้อนบอล คนเก่งฟ้าประทาน ไยบะ โดเรม่อนอะไรเทือกนั้น เมื่อ 2 ปีก่อนผมไปญี่ปุ่นครั้งแรก ใครๆ ก็บอกว่าไปโตเกียวต้องแวะเที่ยว Disney land นะ!!

    โอเคเลย จัดเต็ม หนึ่งวันยกให้ดิสนีย์แลนด์ เพื่อนที่เคยไปมา พวกหล่อนดูฟินเฟ่อร์มาก ถ่ายรูปกลับมาอย่างบ้าคลั่ง ค้นในกูเกิ้ล ‘โตเกียว ดิสนีย์แลนด์’ โอ้โห รีวิวเพียบ! เอาวะถ้ามันไม่สนุกมันก็คงไม่ดังขนาดนี้หรอก

    แต่พอเอาเข้าจริงนี่พังพินาศมาก คือคนมันไม่อินไง ไปแล้วก็แบบ... ทำไมกูต้องต่อคิว 2 ชั่วโมงเพื่อเข้าไปในไอ้เครื่องเล่นหมีพูห์นี่ด้วยวะ

    ขบวนแห่มิกกี้เมาส์ผ่านมา สาวญี่ปุ่นวิ่งกรูเข้าไปรุม คาวาอิ๊เน๊ คาวาอิ๊ ข้าพเจ้าได้แต่ยืนมองตาปริบๆ
    แล้วไอ้นางเงือกนี่มันเล่นในเรื่องอะไรนะ ที่พีคสุดคือสับสบระหว่างสโนว์ไวท์ เจ้าหญิงนิทรา และซินเดอเรลล่า (เฮ้ย มันคนเดียวกันไหมนะ ใครเป็นใคร หน้าก็คล้ายๆ กัน) ยืนเถียงกับเอกตั้งนาน จนสุดท้ายต้องเปิดมือถือค้นในกูเกิ้ล

    สรุปทนเดินอยู่ได้ครึ่งวัน ด้วยความเสียดายเงิน หลังจากนั้นก็ยอมแพ้ นั่งรถไฟกลับไปหาอะไรกิน
    หลังจากนั้นมาผมก็วางแผนทริปชนิดยึดความเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้ง เรียกว่าฟังคนอื่นน้อยลง ตามใจฉันมากขึ้น

    ตอนแรกผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะนั่งเรือกลับ Varenna หาข้าวเย็นทาน และนั่งรอถ่ายรูปเก็บแสงเย็น หลังจากนั้นค่อยนั่งรถไฟกลับมิลาน แต่กว่าพระอาทิตย์จะตกก็ตั้งสองทุ่มกว่าจะถ่ายรูปเสร็จสมใจก็น่าจะสามทุ่ม กว่าจะนั่งรถกลับถึงมิลาน อาบน้ำ จัดของ ก็น่าจะเที่ยงคืนตีหนึ่ง บวกกับการไม่ได้อาบน้ำมาร่วม 30 กว่าชั่วโมง ทำให้เอกชวนผมกลับมิลานกันเลย

    (ระหว่างทางกลับจาก Tremezzo ไป Vernezza)
  • พวกเรามาถึงมิลานประมาณ ทุ่มกว่าๆ ซึ่งพอดีกับพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ถ่ายรูปสวยที่สุดของวัน ผมเลยตัดสินใจนั่งรถไฟใต้ดินต่อไปอีก 10 นาทีเพื่อมาโผล่ที่ Milano Duomo และเก็บรูปในยามค่ำคืนที่ไฟสว่างไสวเอาไว้เป็นที่ระลึก

    (สองทุ่มสามทุ่มนักท่องเที่ยวยังเดินเล่นอยู่เต็มจตุรัส Duomo เลย)

    หลังจากรัวปุ่มชัตเตอร์จนพอใจ พวกเราก็ไปฝากท้องที่ Mc’donale ซึ่งยังคงแน่นขนัดไปด้วยนักท่องเที่ยวรวมทั้งเจ้าถิ่นชาวอิตาลีผู้หิวโหยยามดึก พอท้องอิ่มเราก็พร้อมจะล่าถอยกลับที่พัก แต่เอกดันถามคำถามจุดประกายขึ้นมาว่า “ที่พักมีแชมพูให้ป่ะ?”

    “เฮ้ย มีดิ น่าจะมี...มั้งนะ” ผมตอบแบบไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะที่พักของเราไม่ใช่โรงแรม แต่เป็นอพาร์ตเมนต์แบ่งเช่า

    “ไม่ได้อาบน้ำมา 2 วัน ถ้าไม่มีแชมพูสระผมนี่โคตรเน่าเลยนะ” เอกประท้วง แต่ก็จริงของมัน ...โอเคงั้น แวะซื้อแชมพูก่อนกลับแล้วกัน

    ว่าแต่ประเทศนี้มันซื้อแชมพูที่ไหนกันล่ะเนี่ย
    ตั้งแต่เช้าก็มั่นใจมากกว่าไม่เห็น 7-eleven ร้าน Minimart ก็ไม่มี มีแต่ Tabacchi ซึ่งเป็นร้านแผงลอยของชนชาติอิตาลี ขายมันแทบทุกอย่าง หลักๆ คือบุหรี่ แต่ก็ยังมี หมากฝรั่ง น้ำดื่ม กาแฟกระป๋อง ตั๋วรถเมล์ หนังสือพิมพ์ แผนที่ ไกด์บุ๊ค เรียกว่ามีหมด.. ยกเว้นแชมพู

    ถามกูเกิ้ลก็ได้วะ เนื่องจากไม่มีซิม ผมเดินวนไปมาจนจับสัญญาณ wifi ฟรีได้
    “เอก ในนี้มันบอกว่าต้องซื้อที่ร้านขายยา”

    เอกชี้ไม้ชื้มือไปที่ร้านขายยาขนาดเบ่อเริ้มที่อยู่ตรงหัวมุม มีป้าย Famacia สีเขียวนีออนส่องสว่างอยู่ด้านหน้า ผมเดินเข้าไปหยิบแชมพูมาดู 11 ยูโร!!! โอ้โห 450 บาท ยาสระผมพี่ใช้วัตถุดิบจากนอกโลกเหรอครับ แพงฉิบเป๋ง ผมบ่นตอนเดินกลับออกมานอกร้าน ...ผมบอกเอกว่า เอางี้จากที่ค้นมาเมื่อกี้ที่สถานี Milano Centrale มี Famacia อยู่อีกร้าน แต่มันปิดสี่ทุ่มพอดี ตรงนี้มันอยู่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวอาจจะโดนบวกเพิ่มก็ได้

    เอกเหลือบมองนาฬิกา “จะทันเหรอวะ อีก 15 นาทีเองนะ ต้องนั่ง metro ไปอีก”
    “ทัน!!” ผมตอบ พร้อมกับวิ่งนำเข้าไปใน metro เพื่อมุ่งหน้ากลับ Milano Centrale
  • 4 ทุ่ม 5 นาที

    แว้ก!! ไม่ทันแล้วโว้ย (เมื่อกี้พูดซะมั่นใจ)

    ผมวิ่งเข้าไปในสถานี วนบันไดขึ้นไปที่ชั้นสี่ ปรากฎว่าร้านปิดเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่กำลังเซ็ง มีคุณลุงคนนึงเดินสวนมาเคาะประตู คุณป้าพนักงานท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยจะดีเพราะน่าจะอยากกลับบ้านเต็มแก่แง้มกระจกเปิดออก พวกเขารัวภาษาอิตาลีใส่กัน 2-3 ประโยค ก่อนที่คุณป้าจะหยอดสินค้าของลุงใส่ตะกร้าเหล็กแล้วพลักลอดผ่านช่องในกำแพงออกมาให้คุณลุง แล้วรับเงินกลับไป

    ผมรีบเนียนเดินไปต่อคิว
    ป้ามองผ่านกระจกมา เห็นเอเชี่ยนดู๊ดสองคนยืนยิ้มให้ป้าอยู่ “เช๊าาา” ผมเอ่ยทัก

    “เอาไร?” ป้าถาม หน้าตาบอกบุญไม่รับ

    “แชมพู ขวดนึง”

    “เอาไปทำอะไร”

    “..เอาไป....สระ..ผม” (จะถามทำไมวะ มาซื้อแชมพู ก็ต้องเอาไปสระผมดิ)

    ป้าดูเหมือนอยากจะถอนหายใจ “คือผมมันเป็นอะไร ถึงมาซื้อแชมพู”

    ผมมองหน้าป้า... ป้าน่าจะอยากกลับบ้าน ป้าไม่น่ากวนตีนกูเล่นหรอก ด้วยความเป็นร้านขายยา ผมเลยคิดเอาเองว่าเขาน่าจะมียาสระผมหลายแบบ อาจจะผสมพวกสารขจัดรังแค หรือเป็นเหาก็มาซื้อยาอะไรแบบนี้

    “for everyday use” ผมบอก ป้าหันหลังเดินไปที่ชั้นวางของและหยิบแชมพูที่หน้าตาเหมือนกับร้านขายยาที่ Piazza del Duomo เปี๊ยบ

    “11 ยูโร” ป้าพูดแล้วมองผมเหมือนจะบอกว่า ‘มึงจะเอาไหม’ ...นี่เราสองคนวิ่งกระหืดกระหอบมาเพื่อซื้อแชมพูขวดละ 450 เหรอเนี่ย แถมยังราคาเท่ากันกับที่จตุรัส Duomo อีก

    “มีถูกกว่านี้ไหม”

    “ไม่มีนี่ถูกสุดแล้ว” (แอบเห็นนะป้า ว่ากรอกตา!)


    เราสองคนออกมาจากสถานีพร้อมกับได้ยาสระผมขวดที่แพงที่สุดในชีวิตมาใช้ ระหว่างทางเดินกลับ เอกบ่นไปตลอดทาง ‘บอกแล้ววว ว่าให้เตรียมมาจากไทย’ ...ได้ทีข่มกูใหญ่เลยนะ ผมมันเป็นประเภทขี้เกียจแบกของหนัก อะไรไม่จำเป็น ผมโยนออกนอกเป้ ทิ้งไว้ที่ไทยหมด พวกสบู่ ยาสระผม ผมชอบมาซื้อใช้ที่ต่างประเทศ สนุกดี ได้ลองยี่ห้อใหม่ๆ จะมีก็แต่อุปกรณ์ถ่ายรูปนี่แหละที่บ้าหอบมาเต็มพิกัด เลนส์ตัวนั้นก็ดี ตัวนี้ก็ขาดไม่ได้ ยัดมันมาหมดทุกตัวเลย พอหน้างานให้เอกมันช่วยแบกครับ ฮ่าๆๆๆ

    เรามาถึงที่พักตอนสี่ทุ่มกว่า เหนื่อยจากการเดินทางไกล และเที่ยวมาทั้งวัน ในที่สุดผมก็จะได้อาบน้ำสักที ผมคว้าผ้าเข็ดตัว แชมพูที่แพงที่สุดในชีวิต วิ่งแซงเอกเข้าไปในห้องน้ำ

    และก็ได้พบกับขวดสบู่และแชมพูของที่พักเรียงกันอยู่ 4 ขวดเล็ก หน้าอ่างล้างหน้า


    …..

    สึส


    つづく
    พบกันใหม่ตอนต่อไป
    ผู้พลาดพลั้งแห่งวันศุกร์

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in