เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Just an ordinary girlponiix
เรียนรู้ชีวิตในทุกๆ วัน

  • เพราะในทุกๆ วัน ของชีวิต มันคือการเรียนรู้โลกกว้าง . .​.


    คือตั้งเเต่เราเรียนจบมา เราก็เริ่มทำงานเลย ไม่ได้มีช่วงหยุดพักอะไรเลย เพราะเราเรียนจบกลับมา
    จากเชียงใหม่ ตอนวันที่ 20 ธันวาคม เเละมาสัมภาษณ์และเข้าทำงานวันที่ 13 มกราคม เราโชคดีมากที่
    ตอนนั้นเราได้งานที่เราชอบ ได้ทำงานในบริษัทที่ตัวเองอยากเข้า ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆตอนนั้นเยอะมาก 

    เราจบด้านบริหารการตลาดมา เเต่เราสมัครมาทำงานในตำเเหน่ง creative marketing ที่บริษัทที่ทำเกี่ยวกับมีเดียออนไลน์ ถ่ายงาน ถ่ายแฟชั่น เเละทำงานเบื้องหลังต่างๆ ซึ่งตอนนั้นเรามีไฟเป็นอย่างมากในการทำงาน ตื่นเต้นทุกอย่าง อยากทำนั้นนี่ เจ้านายเเละหัวหน้าในโอกาสเราแบบสุดๆ เปิดกว้างมากก

    เคยคิดว่าจะทำงานที่เเรกจะอยู่เเค่ปีสองปี สุดท้ายเราลากยาวมาสี่ปีกว่า เราได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก มากกว่าที่คิด ทำได้ตั้งเเต่ ศูนย์ถึงร้อย มีคนรู้จักมากขึ้น เเต่พอมาวันนึง ตอนช่วงต้นปี เรารู้สึกอิ่มตัว 
    อิ่มตัวของเราคือ เราไม่มีความกระตือรื้อร้นที่จะตื่นมาทำงาน นึกออกปะ มันเเบบก็แค่ทำไปให้จบวัน 
    แค่นั้น ...

    ไม่ใช่ว่ามันน่าเบื่อ เเต่เราเเค่คิดว่าสำหรับเรามันสุดเเล้วจริงๆ เรามองย้อนว่าที่ผ่านมาเราสนุกเเละ
    เอนจอยมากเเค่ไหน เเต่พอเอาเข้าจริงๆ เราอยากมีเวลา อยากเรียนรู้โลกอีกให้มากกว่านี้ อยากเริ่ม
    ที่จะออกจากเซฟโซนของตัวเอง ออกไปเจอโลกใหม่ กว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะย้ายงานครั้งเเรก เราใช้เวลาคิดนานมากจริงๆ นานจนเพื่อนด่า เพราะว่าบ่นกับมันทุกเดือน 

    นานจนที่บ้านเริ่มถามหาว่าหนูไม่มีเวลาว่างให้เเม่กับพ่อหรอ นานจนเราเกือบลืมไปแล้ว ว่าโลกใบนี้มีอะไรให้เราได้เรียนรู้อีกเยอะ เราไม่ได้มีปัญหาอะไรกับที่เก่าเลย ปัญหาเดียวคือเราอิ่มตัวกับทุกอย่าง 
    ทั้งงานทั้งคนทั้งสังคม เหมือนเรามาถึงจุดเปลี่ยนของตัวเอง

    จุดเปลี่ยน ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องโตขึ้นกว่าจุดนี้ ยากสุดคือการบอกหัวหน้า บอกเจ้านาย และบอกคนใกล้ชิดว่าเราจะลาออก การเดินไปลาออกของเรามันไม่ใช่การไปปรึกษาพวกเขา เเต่มันคือการเเจ้งให้ทราบว่าฉันจะลาออก เพราะทุกคนจะรู้จักเราดี ว่าถ้าได้คิดจะออก เราจะไม่เดินไปพูดอะไรเเบบนี้เเน่นอน ซึ่งเรารู้ว่ามันไม่น่ารัก กับการที่เดินไปบอกเเละไม่ปรึกษา เเต่เราก็ทำ เพราะเราตัดสินใจเเล้ว

    ซึ่งพอเราเเจ้งเขา มันเหมือนยกภูเขาออกจากอก เรามองการเปลี่ยนงานของเราเป็นสองมุมมอง มุมมองของการทำงาน เเน่นอนมันไม่มีใครไม่เคยย้ายงานหรอก เเต่ทุกคนต้องเปลี่ยนที่ และย้ายงานเสมอ และมุมมองความสัมพันธ์ที่เราอยู่กับคนกลุ่มนี้มาสี่ปีกว่า มันยากมากนะ ที่จะเดินออกไปจากพวกเขาเหล่านั้น

    ส่วนนี้ เรามองว่าเราผิดเองที่เอาตัวเองมาผูกผันกับคนอื่นมากเกินไป จนกินเวลานานขนาดนี้ เราเกลียดการเปลี่ยนเเปลงมากที่สุด เพราะเราไม่รู้เลย ว่าสิ่งที่เราจะเปลี่ยนมันจะดีหรือร้าย เเต่สุดท้ายเราก็เลือกเเล้ว เราเเค่ต้องทำมันให้ดีที่สุดอ่ะ

    ตอนนี้เปลี่ยนงานมาจะสามเดือน คือยอมรับเเหละ ว่ายังไม่ชิน ที่ใหม่มีระบบเเบบที่เราเเทบไม่เคยเจอ เเม้มันจะเป็นเรื่องสากลของทุกคนบนโลกใบนี้ เเต่สิ่งหนึ่งที่เราได้ คือเราเคารพตัวเองมากขึ้น มีเวลาให้ตัวเองเเละคนรอบข้างมากขึ้นกว่าเดิม สนใจสื่งรอบด้านมากขึ้น มีเวลาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบมาขึ้น เเละได้เรียนรู้อะไรที่ตัวเองไม่เคยได้ลองทำมากขึ้น ได้นอนเป็นเวลามากขึ้น อยู่บ้านกับครอบครัวมากขึ้น เเต่เรายังคงเที่ยวเเละปาร์ตี้มากขึ้นเหมือนเดิม 

    เเละเราได้เรียนรู้ว่า ชีวิตคนเรา พอมาถึงจุดนึง เราจะมองเห็นเอง 
    ว่าใครที่อยู่กับเราในทุกช่วงเวลา นี่ขอบคุณตัวองเสมอที่ยังรักษาคนที่คอยอยู่ข้างเราไว้ได้.


    ขอบคุณตัวเองที่ผ่านมาได้ หวังว่าเราจะโตขึ้นมากกว่านี้
    ขอบคุณที่ในวันนี้ยังไม่ยอมทิ้งฝันของตัวเอง.
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in