เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
An Honest Diary of My Internshipแก้วสกุล.
1 : ผู้น้อยยังอ่อนหัดนัก ขอท่านโปรดชี้แนะ
  • 3 มิถุนายน 2564

    (เพิ่งรู้เมื่อวานว่า วันนี้เป็นวันหยุด วันเกิดพระราชินี งงเลย)

    จริงๆ ไม่ใช่แค่ลืมวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่เพิ่งจะเคยหยุดแบบนี้มาได้แค่ 2 ปีหรอกนะ (2 ปีปะ ขอท่านโปรดชี้แนะ...) เพราะตั้งแต่จับเจ่าเรียนออนไลน์อยู่บ้านมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ความรับรู้เรื่องวันเดือนปีของตัวเองก็ค่อย ๆ เลือนไปทีละน้อย

    นั่นก็ไม่ใช่สัญญาณที่ดี แต่ในเมื่อทุกอย่างบังคับให้ชีวิตกลายเป็นแบบนี้ แล้วจะทำยังไงได้นอกจากทำตัวเป็นสีทนได้และด่าสายลมแสงแดด

    พอต้องเรียน & ฝึกงานในสภาวะที่อยู่บ้านตลอด ไม่ได้ไปเจอสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ แล้วรู้สึกว่าต้องจัดการตัวเองเยอะเหมือนกัน ในเมื่อมันไม่มีการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมไปไหนจนจิตใต้สำนึกเบลอไปหมดแล้ว จะทำยังไงให้ productive จะทำยังไงให้กินนอนเป็นเวลา จะทำยังไงให้ได้พักผ่อนเพียงพอ 

    ขอเล่าย้อนไปตอนก่อนจะปิดเทอมสักเล็กน้อย ฉันยอมรับนะว่าตอนนั้นงานมันเยอะมากกกก มากจนไม่อาจจัดการเวลาพักผ่อนได้อย่างที่มนุษย์ทั่วไปเขาทำกัน ช่วงที่ไฟไหม้ (แปลว่า งานสุมรุมเร้า) หรือช่วงที่ต้องทำเปเป้อ ฉันนอนเช้าเกือบทุกวัน อย่างต่ำ ๆ คือตีสามตีสี่ (จริง) เพราะว่าอารมณ์เขียนงานชอบมาตอนดึก ๆ พอไม่ไหวแล้วก็ไปนอน ตื่นมาอีกทีประมาณเก้าโมงครึ่ง กินกาแฟ แล้วปั่นต่อ วนอยู่อย่างนั้นจนกว่างานจะเสร็จ

    ที่สำคัญ แปลกแต่จริง มันมีคนที่เอาแต่เรียนจนไม่ได้ดูซีรีส์ที่อยากดูหรืออ่านนิยายที่อยากอ่านนะ ตัวฉันเองนี่เป็นต้น สิ่งที่ฉันดูเพื่อคลายเครียดคือเป็นอะไรสั้น ๆ ฉันติดพันอะไรไม่ได้เลยเพราะว่าไม่มีเวลา (จริงๆ ต้องเรียกว่ามี แต่อยากเอาไปทุ่มเทกับงานมากกว่า) ดังนั้นเวลาเพื่อนชวนคุยอะไรฉันก็ไม่รู้เรื่อง นิยายที่ซื้อมาดอง ก็ดองไว้อย่างนั้น ได้แต่มองตาละห้อยอยู่ทุกวันว่าเมื่อไหร่จะได้เปิดอ่านว้าพลาง ปั่นเปเป้อพลาง

    ปัญหานี้มันค่อนข้างคาราคาซังจนฉันอยากจะเปลี่ยนพฤติกรรมบ้าง เพราะฉะนั้นตอนก่อนเริ่มฝึกงาน ฉันก็เลยมานั่งทบทวนตัวเองว่า ฉันจะสามารถแบ่งเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนได้ดีกว่านี้มั้ย ฉันก็เลยคิดแผนนึงขึ้นมาว่า ...

    เอาล่ะ ใน 1 วันของฉัน ฉันจะเข้างานตรงเวลาแม้ว่าบริษัทจะปล่อยฟรี ไม่ได้มาเช็ค attendance -  ทำงานให้เต็มที่ - เลิกงานตรงเวลา - อาบน้ำกินข้าว - พักผ่อนดูยูทูบอะไรก็ว่า - ช่วงหัวค่ำ (สักสองสามทุ่ม) ถ้าจะมาทำงานเพิ่มสักหน่อยก็ได้ แต่ห้ามเกินห้าทุ่มนะ - หลังจากนั้น ห้าม-ทำงาน-อีก-เด็ดขาด ฉันจะอ่านนิยายในตอนนี้แหละ ได้เวลาทะลายกองดอง ฉันจะไม่เป็นคนที่ไม่หาความบันเทิงให้ชีวิตและเอาแต่ทำงานเหมือนที่ผ่านมาแล้ว คนเรามันควรมีเวลาให้อย่างอื่นบ้างดิวะ ไม่ใช่ให้แต่งาน

    วันแรก (31 พ.ค.) อะ คืนนั้นที่ฉันมาอัปเดตโพสต์ที่ 1 ฉันทำได้นะ ตามแผนนี้เป๊ะเลย ตอนห้าทุ่มฉันพับคอมปิด หยิบนิยายมาอ่านถึงเกือบตีหนึ่ง ก่อนหน้านี้อ่านไว้ถึงบทที่ 63 คืนนั้นอ่านเพลินไปถึงบทที่ 72 คือก็รู้ว่าดึก แต่ตอนที่อ่านมันดันเป็นตอนสำคัญที่เนื้อเรื่องผูกกันยาวอะดิ ถ้าตัดจบตอนที่เนื้อหาส่วนนั้นยังไม่ปิดจ๊อบ มันก็จะค้างๆ คาๆ ใช่มั้ยล่ะ 

    โมเมนต์นั้นรู้สึกภูมิใจในวินัยและ routine อันดีของตัวเองมาก แต่มันดันเป็นได้อยู่แค่วันเดียวเนี่ยสิ

    วันที่สอง (1 มิ.ย.) ตารางเวลาช่วงเช้ายังเหมือนเดิม ตื่นมาเข้างานตรงเวลา ทำงานเต็มวัน พักระหว่างวันบ้างกรุบกริบ ต้นฉบับที่ทยอยอ่านอยู่เรื่อย ๆ ก็อ่านจบแล้ว เสร็จก่อนเวลา ก็เลยพักเลย ไปกินข้าวไปพักผ่อน อ้าว ถึงเวลาสองสามทุ่ม ง่วง (...) ก็เลยนอนเลย ไม่ทำแล้วงาน นิยายก็ไม่อ่าน 

    วินัยมันเริ่มหย่อนยานแล้วหนึ่ง

    วันที่สาม (2 มิ.ย.) นั่นก็เหมือนกัน ฉันเริ่มลุยงานในส่วนที่สำคัญและต้องใช้สมาธิมากขึ้นแล้ว ซึ่งก็คือการคอมเมนต์ต้นฉบับ รวมถึงเสนอแนะแนวทางปรับปรุงให้ดีขึ้น นี่เป็นขั้นตอนที่ยากมาก ตอนแรกแอบชะล่าใจนะ คิดว่าเราเองก็อ่านมาไม่น้อย น่าจะพอใช้ประสบการณ์ที่เคยเก็บมามาใช้ในตอนนี้ได้บ้าง แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดนะ ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นในการคอมเมนต์ต้นฉบับคือ ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าฉันอ่านดีแล้ว ฉันไม่อยาก make comment แล้วโป๊ะ อ้าว อ่านไม่ดีนี่ เพราะฉะนั้นตรงไหนที่ฉันเคยมาร์กไว้ว่ามีปัญหาอะ พอกลับมาย้อนดู ก็กลายเป็นว่าต้องย้อนอ่านใหม่เพื่อเช็คความเข้าใจตัวเองอีกทีว่าได้ไตร่ตรองให้ถ้วนถี่แล้วว่ามันไม่โอเคจริง ๆ

    ฉันเครียดมาก เรื่องการปรับแก้ผลงานสร้างสรรค์ของคนอื่นมันละเอียดอ่อนกว่าที่ฉันประเมินไว้ //ลืมบอกว่างานแรกที่ฉันได้มาเป็นงานฟิคชั่น (บอกไปยังนะ ถ้ายังไม่ได้บอกก็บอกเลยแล้วกัน)

    ขอแชร์วิธีการอ่านหน่อยละกัน คือเท่าที่เรียนมาในอักษรฯ อะ อาจารย์มักจะสอนเสมอว่าให้นิสิตเปิดใจอ่าน อย่าด่วนตัดสิน หรือมีมาตรฐานอะไรมากางกั้นความรับรู้ของเราที่จะเกิดขึ้นต่อตัวบท เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว เราก็เหมือนถูกปิดตาไว้ด้วยบรรทัดฐานอันคับแคบของตัวเอง ให้อ่านอย่างมี "สหฤทัย" แล้วเราจะได้เรียนรู้อะไร ๆ จากตัวบทอีกมาก

    คือวิธีนี้เวิร์กมาตลอด ฉันรักวิธีอ่านตัวบทแบบนี้มาก ฉันได้คิด ไดเห็น ได้ทำความเข้าใจอะไรในนิยายสักเล่มที่อ่านเยอะมากจริง ๆ แต่มันก็กลายเป็นไดเลมมาเหมือนกันพอฉันต้องมาบรรณาธิการต้นฉบับ

    ตึ้บ ถ้าฉันเปิดใจเยอะๆ แล้วฉันจะแก้ไขปรับปรุงตัวบทได้ไง แล้วถ้าตั้งบรรทัดฐานขึ้นมา บรรทัดฐานของฉันมันจะใจแคบ แล้วทำลายงานศิลปะที่อาจจะมีคนอ่านสักคนชอบมันอยู่ก็ได้ไปรึเปล่า

    มันตัดสินใจยากมาก ฉันก็เลยไปปรึกษากับเพื่อนที่โทบรรณาธิการและเคยชิมลาการบรรณาธิการมาแล้ว เพื่อนบอกกับฉันมาประมาณว่า เป็นบรรณาธิการอาจจะต้องใจแคบลงมาหน่อย และจำเป็นต้องตั้งมาตรฐานเพื่อประเมินงานพวกนั้น เพราะถ้าจะเป็นบรรณาธิการ เราเองก็เหมือนด่านแรกที่ได้อ่านและต้องสกรีนก่อนที่จะตีพิมพ์ออกไปในวงกว้าง ซึ่งนั่นแปลว่า เรามีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบคือ เราต้องรับผิดชอบต่อคนอ่าน

    เพื่อนยกบทละครเรื่อง the Pilloman ของ Martin McDonagh มาเป็นอุปมานิทัศน์

    ชะตากรรมของฉันจากการที่ต้องตัดสินใจอาจจะไม่ได้ลงเอยด้วยความเลวร้ายอย่าง Katurian หรอก แต่นั่นก็ทำให้ฉันเห็นว่า ผลที่จะเกิดขึ้นคือสิ่งที่ฉันต้องรับผิดชอบมันให้ได้

    โอเค ฉันก็เลยตั้งมาตรฐานขึ้นมาชุดหนึ่ง พยายามไม่ใจแคบมาก แต่ก็ยังซื่อสัตย์กับตนเอง หมดนี่อยู่ภายใต้ปณิธานว่า ถ้าฉันเห็นว่าอ่านแล้วดี ฉันก็จะกล้าส่งต่อให้คนอื่น

    ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้คิดแบบนี้แล้วจะดีที่สุดหรือยัง แต่นักคอมเมนต์ฝึกหัดอย่างฉันคงทำได้แค่การลองผิดลองถูกไปก่อน ไม่เป็นไร วันพรุ่งนี้ก็จะรู้แล้วว่าคอมเมนต์ที่เขียนไป พี่ๆ ในทีมจะคิดเห็นยังไง ทำไปก่อนก็ไม่เสียหาย

    ถ้าอ่านมาถึงตอนนี้ ช่วยเป็นกำลังใจให้ฉันด้วยนะ

    ป.ล. ถ้าเขียนไปแล้วตอนอ่านรู้สึกงงๆ ก็คือเขียนตอนง่วง ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เที่ยงคืนจะครึ่งแล้ว วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ขอไปนอนก่อน

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in