เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
otherssean and his nightmares
(NerOrm) ; Word Unspoken
  • Title: word unspoken | ความกลัวของข้ามีค่าเป็นอนันต์

    Author:  Sean

    Pairing: King Nereus x (Prince) Orm Marius | #NerOrm

    Fandom: Aquaman (2018)


    ติชม คอมเมนท์และเป็นกำลังใจได้ที่ #seanfic ฮะ







     





    แสงสุดท้ายกระทบกับเส้นขอบฟ้าเฉกเช่นเดียวกับน้ำทะเลที่สงบนิ่ง, นัยน์ตาสีครามเหม่อมองไปยังเบื้องหน้า ดวงตะวันกำลังจะลาลับ และทิ้งเขาไว้เพียงแต่ลำพังในห้องกระจกสี่เหลี่ยม

     


    สามวันนานนับสามปี,

    เป็นเวลาสามวันแล้ว ที่อดีตพระราชาอย่างออร์มนั้นถูกคุมขังอยู่ ณ ที่แห่งนี้

     

    เจ้าชายออร์มยังคงนั่งอยู่บนขอบหน้าต่างตรงนั้น

    จ้องมองแสงตะวันอันเลือนลางที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

     



    เมื่อนานมาแล้ว, ความคิดหนึ่งถูกฝังลงในห้วงความทรงจำของเขา .. แผ่นดินและผืนน้ำคงไม่มีทางที่จะรวมกันเป็นผืนแผ่นเดียวกันได้ แต่หากความจริงนั้นปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้ว

     

    สุริยันเลือนลา จันทราพานพบ บรรจบลง ณ เส้นของขอบฟ้า

     



    คงเป็นห้องที่ดีที่สุดแล้ว, สมดั่งวาจาสัตย์ที่วัลโก้เคยให้ไว้ .. เหนือสุดแห่งราชวัง

    กลางวัน เขาอาจได้เห็นแสงของดวงอาทิตย์เล็ดลอดผ่านกระแสน้ำอยู่เป็นระยะ ให้ได้รู้วันคืนและเวลา

     

    หากแต่อย่างนั้น ..

    ช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดคงจะเป็นค่ำคืนใต้ท้องมหาสมุทรอันแสนมืดมิด

     

    หากแสงทอของดวงตะวันทดแทนได้ด้วยแสงของดวงดาวก็คงจะดี อย่างน้อยแสงสว่างตรงนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาได้รู้สึกเดียวดายไปมากกว่านี้

     


    ดาวเหนือบนท้องฟ้า, คงส่องสว่างได้แค่เหนือผิวน้ำ และบอกทางให้แก่คนเดินเรือ กับคนคุกอย่างเขา แสงของดวงดาวคงไม่มีค่าอะไรไปมากกว่าใช้นับเวลาถอยหลังที่จะได้พบกับแสงแรกของรุ่งอรุณในเช้าของวันถัดไป

     



    เสียงย่ำเท้าเมื่อโครงเกราะเหล็กกระทบกันหยุดลงที่หน้าห้องคุมขัง เจ้าชายออร์มได้ยินเสียงนั้นตั้งแต่ทางเดินเหนือมุมห้องแล้ว แต่นานนับนาทีกว่าที่ประตูห้องนั้นจะเปิดออก

     



    มีเรื่องอะไรให้กวนใจท่านกษัตริย์เนเรียส เจ้าชายออร์มเอ่ยถาม แม้จะยังไม่ทันได้หันไปมองผู้มาเยือนคนใหม่

     


    ไม่มีอะไรไปมากกว่าการอดอาหารประท้วงพระมารดาของตัวเอง กษัตริย์เนเรียสเบี่ยงประเด็น วางถาดมื้อค่ำลงบนโต๊ะตัวเดียวที่ตั้งอยู่กลางห้อง ท่านคงไม่มีคำใดที่จะตรัส ข้าเลยอาสามาแทน

     


    ข้าไม่ได้อดอาหารเพื่อประท้วง” เจ้าชายหนุ่มปฏิเสธเสียงเรียบ ก่อนจะละสายตาจากผืนน้ำสีมืดและหันกลับมาหย่อนขาลงจากขอบหน้าต่าง เพียงแค่ข้าไม่หิว ไม่ได้หมายความว่าข้าจะต้องประชดประชันผู้ใด

     


    ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ควรจะมีอะไรให้ตกถึงท้องเสียบ้าง” กษัตริย์เนเรียสผายมือไปยังถาดมื้อค่ำที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับไหวไหล่เล็กน้อย รสชาติไม่เลว – และอาจจะดีมากพอสำหรับคนที่อดอาหารมาแล้วสามวัน

     


    เจ้าชายออร์มเลี่ยงที่จะเสวนาเกี่ยวกับเรื่องที่คนตรงหน้าใช้เปิดบทสนทนา และเลือกถามในคำถามที่ค้างคา ทำไมท่านยังคงกลับมาที่แอตแลนติส ในเมื่อข้าไม่มีประโยชน์อะไรต่อท่านอีกต่อไปแล้ว

     


    ใครบอกล่ะว่าข้ามาเพราะเจ้า กษัตริย์เนเรียสยกยิ้ม, ขยับฝ่ามือตวัดน้ำเพื่อเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น สัมพันธมิตรระหว่างสองเมืองยังคงดำเนินต่อไป ถึงแม้ช่วงเวลาหนึ่ง มันอาจจะไม่ได้ราบรื่นสักเท่าไหร่นัก

     


    นั่นสินะ .. พี่ชายต่างพ่อของข้าก็ขึ้นครองเป็นกษัตริย์แห่งแอตแลนติสแล้ว อีกทั้งยังพ่วงตำแหน่งเจ้าสมุทร ไม่แปลกอะไรที่กษัตริย์จากเมืองเซเบลอย่างท่านจะอยากกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้นกว่านี้ ออร์มเหยียดยิ้ม แต่ทำได้เพียงแค่ริมฝีปาก เพราะดวงตาคู่นั้นกลับไม่ใช่

     


    อาการแบบนี้ .. ใช่ที่ชาวบกเขาเรียกว่าน้อยใจหรือเปล่านะ” เพราะรู้ว่าอย่างไร เจ้าชายออร์มก็คงไม่เชื้อเชิญให้เขาได้อยู่ต่อ ดังนั้นกษัตริย์เนเรียสจึงเลือกที่จะนั่งลงบนขอบหน้าต่าง ข้างๆกับเจ้าชายโดยที่ไม่เอ่ยคำขออนุญาตแต่อย่างใด

     

    เห็นได้ชัดว่ากษัตริย์เนเรียสนั้นไม่ได้ถือตน, เจ้าชายออร์มเสสายตามองกษัตริย์ข้างกาย เพียงแค่คืบฝ่ามือที่ขยับออกห่าง ลำตัวก็ติดกับขอบของหน้าต่างเสียแล้ว

     



    ถ้าท่านอยากรู้ ก็ไปถามลูกชายคนโตของแม่ข้าเสียสิ

     


    พอได้เห็นสีหน้าไม่พอใจของเจ้าชายออร์ม กษัตริย์เนเรียสก็ยกยิ้มพอใจอย่างเห็นได้ชัด, อย่างน้อยตลอดเวลาที่เขาได้เฝ้าดูเจ้าชายหนุ่มผ่านกระจกมืดเบื้องหลัง ใต้ใบหน้านิ่งสงบกลับทำให้เขารู้สึกหวั่นเกรงเสียมากกว่า

     


    อารมณ์ร้อนไวตั้งแต่เล็กจนโต.. แต่ในสายตาของกษัตริย์เนเรียส เจ้าชายออร์มก็ยังคงเป็นเด็กตัวเล็กคนหนึ่งเท่านั้น - ต่างกันแค่เมื่อก่อน เวลาที่ได้พบหน้า เจ้าชายตัวน้อยมักวิ่งเข้ามาสวมกอดเขาผู้ที่เป็นลุงอยู่เสมอ





    และตอนนี้ ..


     

    ออร์ม..ออร์ม.. ออร์ม..พร่ำเรียกเสียงเบาแม้อยู่ใกล้เพียงแค่ลมหายใจ - กษัตริย์เนเรียสนิ่งรอจนถึงจังหวะหนึ่งที่เจ้าชายสงบ ถือวิสาสะวางมือลงบนเรือนผมสีอ่อน มิได้ลูบปลอบประโลม เพียงแต่วางมือไว้อย่างนั้น 

     


    จะว่าตามความจริงก็ได้, แค่เพียงเพราะกษัตริย์เนเรียสเอ่ยชื่อของเขา เจ้าชายหนุ่มเลยปฏิเสธไม่ได้ว่าตนเองนั้นกำลังตัวแข็งทื่อ พร้อมๆกับหัวใจที่อ่อนปวกเปียกไปเสียหมด

     

    กำแพงสูงพังทลายลงไปแล้ว พังไปตั้งแต่ครั้งแรกที่กษัตริย์เนเรียสเอ่ยเรียกแล้ว ..

     


    นัยน์ตาสีฟ้าสวยชื้นแฉะด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อล้น เจ้าชายออร์มยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง, ไม่มีคำพูดใดนอกเหนือจากความเงียบที่เคลื่อนคลานเข้าครอบคลุม

     



    ข้าจะไม่เอ่ยถามว่าเจ้าอยากให้ข้าปลอบไหม เพราะข้ารู้ว่าเจ้ายังคงมีโทสะที่หลงเหลือ และพร้อมปฏิเสธข้าได้ทุกเมื่อ

     

    แค่มือหยาบกร้านของผู้ที่ผ่านการสู้รบมานานนับทศวรรษออกแรงเพียงน้อยนิด ศีรษะของเจ้าชายที่ขึ้นชื่อว่าหัวรั้นที่สุดในแอตแลนติสก็กลับซบอิงอยู่บนไหล่กว้างได้อย่างง่ายดาย

     

    เจ้าคงจะเหนื่อยมากสินะ.. ปลายนิ้วแตะสัมผัสบนเรือนผมช้าๆอย่างแผ่วเบา พร้อมกับอิงแก้มแนบลงบนศีรษะที่เล็กกว่า หลับตาเสียเจ้าชายน้อย.. อย่างน้อยตอนนี้เจ้าอยู่กับข้าก็ปลอดภัยแล้ว

     

    จะไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้อีก” ..ตราบใดที่ข้าอยู่ตรงนี้ – กษัตริย์เนเรียสต่อคำนั้นในใจ

     



    และสุดท้าย น้ำทะเลจะพัดพาให้น้ำตาเลือนหาย

    เจ้าชายออร์มหลับตาลงพร้อมกับหยดน้ำที่ซึมหายไปพร้อมกับสายน้ำที่พัดผ่าน

     



    ข้าอยากรู้ทำไมท่านถึงยังอยู่..คำถามที่ค้างคา ยังคงติดอยู่ในหัวใจ .. ในเมื่อทุกอย่างนั้นพลิกผัน มันไม่มีเหตุผลอันใดที่กษัตริย์เนเรียสจะต้องทำดีกับเขาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

     

    ทุกครั้งท่านยังอยู่ ตอนนี้ก็เช่นกัน

    ทุกครั้งนั้น มันทำให้ข้ารู้สึกอ่อนแอลงทุกที .. และข้าก็ไม่ชอบมันเอาเสียเลย

     


    เจ้าจะรู้สึกอ่อนแอบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดเสียหน่อย เลื่อนฝ่ามือวางลงบนหัวไหล่ กระชับฝ่ามือเข้าหาตนแน่นๆ – กษัตริย์เนเรียสยกยิ้มให้กับคำพูดของเจ้าชายหนุ่มในอ้อมแขน ข้าก็เคยรู้สึกอ่อนแอ  .. และเหนือกว่านั้นคือความรู้สึกกลัว

     

    ความกลัวที่จะสูญเสีย... หลังจากนี้กษัตริย์เนเรียสคงไม่เอ่ยคำใดต่อ และภาวนาว่าเจ้าชายออร์มคงจะไม่เอ่ยถามถึงความกลัวเหล่านั้น

     


    เพราะโดยสัตย์จริง ..ความกลัวเหล่านั้นคือตัวของออร์มนั่นเอง

     

    เพราะกลัวที่จะสูญเสีย, เนเรียสจึงยังคงอยู่เคียงข้างและปกป้องเขา

     

     



    และแน่นอน .. กษัตริย์เนเรียสไม่ใช่คนโง่ ที่จะไม่รู้ว่าทุกสิ่งนั้นเกิดขึ้นมาจากฝีมือของเจ้าชายออร์ม ทั้งเรื่องการบุกโจมตีของชาวบกครั้งเมื่อนัดพบใกล้ผิวน้ำ

     

    ลูกสาวของเขาอย่างเจ้าหญิงเมร่ารู้ และกษัตริย์อย่างเนเรียสเองก็รู้ตัวดี ..

    ทุกอย่างถูกที่ และถูกเวลาไปเสียหมดราวกับถูกจัดฉากไว้แล้ว

     


    ถ้อยคำที่บอกว่า ชาวบกสมควรถูกซัดกลับไปเสียบ้าง’ ก็เป็นแค่หนึ่งในเสี้ยวของเหตุผลเท่านั้น

     


    แต่ที่กษัตริย์เนเรียสยังคงทำเหมือนปิดหูปิดตา แม้เมร่าจะกล่าวหาว่าเขาเองก็คงอยากให้เกิดสงคราม อย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน - แต่ถ้าหากให้หาเหตุผลที่มากกว่านี้ ก็คงเหลืออยู่แค่คำตอบเดียวที่ตายตัวอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็คือ เจ้าชายออร์ม

     

    คำสัญญาและคำปฏิญาณที่จะอยู่เคียงข้างมันไม่เคยเลือนหาย 

    แม้กาลเวลาจะล่วงเลย แม้ทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงแค่วาจาที่พัดผ่านไปดั่งสายน้ำ

     


     

    แต่กษัตริย์เนเรียสก็ยังคงยืนยันคำเดิม

     


    ความกลัวของท่านมีค่าเท่าไหร่..”

     

    ..มีค่าเป็นอนันต์

     


    เฉกเช่นเดียวกับความรักที่เขามอบให้แด่เจ้าชายออร์ม

     

     


    เสี้ยวเวลาหนึ่ง เจ้าชายออร์มเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมแขนที่โอบอยู่รอบไหล่ของเขา 

    แววตาสีฟ้าซีดดูสั่นไหว, ก่อนที่แผ่นเปลือกตาคู่นั้นจะเคลื่อนบรรจบ

     


    กษัตริย์เนเรียสหลับตาลง พร้อมกับริมฝีปากที่เม้มแน่น

     

    ความกลัวเหล่านั้นคงมหันต์มากพอ ถึงขนาดที่ทำให้สายตามุ่งมั่นคู่นั้นดูไหวหวั่นได้ภายในพริบตาเดียว ..

     



    ฝ่ามือที่กุมนิ่งอยู่บนหน้าตัก, เจ้าชายหนุ่มยกมือข้างหนึ่งขึ้นเพื่อสัมผัสกับหลังมือของผู้ที่โอบแขนรอบตน .. ประคองฝ่ามือคู่นั้นบนอุ้งมือที่เล็กกว่า ปลายนิ้วโป้งแทรกลงบนช่องว่างระหว่างนิ้ว ลูบผ่านฝ่ามืออันหยาบกร้านอย่างแผ่วเบา

     

    ท่านไม่ต้องกลัวนะ..” เจ้าชายออร์มประคองมือของกษัตริย์เนเรียสแนบลงข้างแก้มของตัวเอง ถึงตอนนี้ข้าจะไม่มีปากและไม่มีเสียง ไม่มีกองทัพทหารหรือเหล่าคอมมานโด .. แต่ท่านยังมีข้าอยู่ตรงนี้เสมอ

     

    “หรือท่านจะนับข้าเป็นหนึ่งทหารในกองทัพของท่านก็ยังได้ ข้ายินดี

     


    แววตาสีใสคู่นั้นที่ทอประกายไปด้วยความมุ่งมั่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยคาดหวัง ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของกษัตริย์เนเรียสกลับขึ้นมาปรากฏอีกครั้ง, เป็นแววตาคู่เดียวกันกับที่เขาเคยเห็น ครั้งเมื่อเจ้าชายออร์มต้องการที่จะออกทำศึกร่วมกับเขา แม้จะอายุได้เพียงไม่กี่สิบชันษา

     

    เจ้าไม่ต้องทำอะไรเพื่อข้าทั้งนั้น ออร์ม กษัตริย์เนเรียสหันเข้าหาเจ้าชายออร์ม – กระชับฝ่ามือบนใบหน้าอ่อนเยาว์ ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยแก้มเนียนอย่างเบามือ ..จงรักษาตัวให้ปลอดภัย แค่นั้นก็มากพอแล้ว

     


    จรดหน้าผากลงบนศีรษะที่เล็กกว่าอย่างอ่อนโยน

     


    เจ้าจะให้สัญญากับข้าได้ไหม

     

    นัยน์ตาของเจ้าชายออร์มสั่นไหว, ความไม่เข้าใจประดังเข้าเสียเต็มประดา แต่ถึงอย่างนั้น ..

     

    ข้าสัญญา

     







     






    คงดี .. หากข้าเป็นเพียงทหารม้าธรรมดาคนหนึ่ง

    จะได้เห็นหน้าเจ้าทุกย่ำเย็นหลังเสร็จกิจประจำวัน

    เหนือสิ่งอื่นใด .. ข้าปรารถนาเพียงมีเจ้าอยู่เคียงข้าง

     

    แม้เลือดในกาย หากกรีดออกแล้วแลกโอกาสนั้นได้

    ข้ายินดีลงดาบเฉือนเนื้อเถือหนังเค้นเลือดออกมา

     

    แต่เลือดข้าใช่เพียงเลือด มันคือลัญจกรแห่งขัตติยบุรุษ

    กายข้าใช่เพียงของข้า แต่เป็นของราชบัลลังก์บาวาเรีย

     

    จึงมีเพียงหัวใจ .. ที่ข้ามอบแก่เจ้าได้

    และข้าจึงตกอยู่ในห้วงทรมานไร้จุดจบ

    เพราะกายแลใจถูกแยกจากกันแล้ว

     

    ณ คอกม้า... ที่ข้าเห็นเจ้าเป็นครั้งแรก

     

     

    – Love Letters From King Ludwig –

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Pla (@Fishovall)
ฮือ ชอบจังเลยค่ะ มันหน่วง ๆ ละมุน ๆ มาก
ชอบสำนวนการเขียนของคุณด้วย
ขอบคุณนะคะสำหรับฟิคดี ๆ ///__///
@Fishovall ขอบคุณมากเช่นกันนะคะสำหรับคอมเมนท์ เห็นแล้วใจฟูขึ้นเลย จะพยายามเขียนบ่อยๆนะคะ <3