เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เหงาเท่าอวกาศMind Da Hed
Falling in the rain


  • ไอรดาจำได้ว่าเธอเคยแขนหักตอน 9 ขวบ 10 ขวบ และ 11 ขวบ สามปีติดต่อกันจนได้แชมป์หักกระดูกประจำห้องเรียน การแตกหักครั้งแรกเกิดที่ห้องสมุด 

    เรื่องราวง่ายดาย เธอนั่งอ่านนิยายรักโบราณชื่อรักในม่านเมฆอยู่บนขอบหน้าต่างไม้สีเทา หลบบรรณารักษ์ได้เชี่ยวชาญเพราะโดดเรียนมาบ่อย ฉากน้ำตาลกำลังเลื่อนเข้ามา ละเมอเพ้อพกไปเองว่าจะต้องมีใครสักคนมายึดไว้ถ้าเผลอเอี้ยวตัวออกจากขอบหน้าต่างไปนิดหน่อย 

    ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่มี

    แรงโน้มถ่วงยังไม่รั้งความบ้าบิ่นของเธอไว้เลย แขนซ้ายเลยได้รับบทเรียนก่อนวัยอันควร

    ครั้งที่สองเธอเริ่มมีสติมากขึ้น ไม่ใช่เพราะโตขึ้น แต่เลข 7 ในภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า นานะ เพื่อนญี่ปุ่นข้างบ้านเธอเรียกเธอว่านานะผู้โชคดี เขามีลักยิ้มที่น่าเชื่อถือ ตรรกะจึงบอกว่าเธอจะเป็นเด็กที่มีโชคเข้าข้าง แต่เธอก็ตกลงมาจากการเดินเล่นบนแขนเก้าอี้โซฟาที่บ้าน พี่ชายบอกว่าเธอโง่

    ส่วนครั้งที่สาม ...

    "เฮ้ย!" เสียงสบถหนักๆ เรียกให้ไอรดากลอกตา ดึงตัวเองกลับมาจากอดีต ขจีทำสมาร์ทตี้ระเบิดกระจายเป็นเปเปอร์ชู้ตเพราะเปิดขวดโหลผิดทางขณะที่กำลังเล่าเรื่องหมีที่โทราจาแลนด์อย่างเมามัน



    2 ชั่วโมงที่แล้ว

    หลังจากที่เขาขับรถพาเธอไปดมกลิ่นแอมโมเนียในคลินิก ใช้ความเงียบป้อนใส่กันจนพอ ชายหนุ่มก็ปวารณาตัวเป็นปลากระป๋องเปียกโชก คิดเสียว่าสำรวจดีไซน์ของโคมไฟสีขาวในห้องหมอไปพร้อมกับเธอก็คงไม่เสียหายอะไรเท่าไหร่ 

    สองคนนั่งชื้นฝนอยู่ในห้อง ไอรดาไม่พูดอะไรเลย เธอฟังหมอเอ่ยถึงประวัติแขนหักเมื่อตอนเด็กๆ แล้วพยักหน้าเป็นพักๆ โปสเตอร์อวัยวะภายใต้ผิวหนังดึงความสนใจไปบ้าง หยดน้ำฝนจากปลายผมเธอทิ้งตัวบนปลายพับข้อศอกเขา

    เด็กปกติที่ไหนจะแขนหักปีต่อปี แถมนั่งหน้าตายแล้วยังไม่รู้จักจำอีกต่างหาก

    ขจีขมวดคิ้ว เขาลากหญิงสาวมุมมนที่ดูเหมือนจะเป็นใบ้ไปชั่วขณะออกมาจากประตูคลินิก ฝนหยุดสนิทแล้ว บรรยากาศจืด แขนซ้ายของเธอเข้าเฝือกแต่สีหน้าเรียบเฉยจนบอกไม่ได้ว่าเจ็บหรือโกรธ หรือทั้งเจ็บทั้งโกรธ 

    ความเงียบยังเดินเล่นอยู่ในเวทีของมันต่อไป ขณะที่เขากำลังจะจุดฮันนีโรสสูบ เธอก็เดินจากไปดื้อๆ

    เขาจะไม่ตามเธอไปก็ได้ แต่วิญญาณปลากระป๋องเข้าสิงเขาอยู่ สมการทุกอย่างจึงต้องเป็นโมฆะไปก่อน

    "จะหยุดโกรธกันสักสองวิได้ไหม ไอร์ หยุดเดินก่อน" เขามองจังหวะการเดินของเธอ ไอรดาไม่ได้รีบเดินหนีเขาเลย เธอเดินเฉยๆ แต่ไหล่ตก องศาของมันพิลึก

    เขาเห็นเธอยักไหล่ ไม่มีวี่แววของอาการดื้อหรือโกรธเคืองเขาเหมือนเมื่อชั่วโมงก่อนเลย ไม่ได้ดูเจ็บหรือเศร้า และเขาคิดว่านั่นคือปัญหา

    หญิงสาวมักจะอบขนมประหลาดๆ มาให้เขากินเสมอนับตั้งแต่ที่เขาปฏิเสธและนับตั้งแต่ที่ไม่เคยปฏิเสธอะไรได้เลย บางครั้งพวกเขาทะเลาะกันเพราะความไร้มารยาทของเขา หรือเพราะความเอาแต่ใจของเธอ มันรอดมาได้ทุกครั้งหลังจากเขาสงบใจด้วยบุหรี่(ของเธอ) หรือเธอได้ทานของอร่อยที่เขาไปแรนดอมเอาแถวเบเกอรีไกลบ้าน

    ช่องว่างๆ ตรงนั้นทำให้ความเกรงใจหายไปชั่ววูบแต่ต้องถอดสแคว์รูทนาน สองคนคิดว่ากวนกันและกันได้เสมอ อาละวาดได้ เส้นตรงมีไว้ข้าม โซฟาบ้านเธอมีไว้นอนตอนหน่าย กาแฟบ้านเขามีไว้ขโมย บางทีบ้านเขาดูเย่อหยิ่งจนเกินไป เขาก็ต้องไปซับความไม่สมมาตรมาจากบ้านเธอบ้าง และบางทีเธอก็ใช้น้ำตาลเปล่าเปลืองจนเกินไป เสียหายที่เขาต้องมีสำรอง

    มันจำเป็นต่อหน้าที่การงานไง

    แต่สุดท้ายพวกเขาก็เป็นเพื่อนบ้านกัน อาจจะพิเศษไปสักหน่อยตรงที่ไม่ค่อยมีใครคบ

    "เราเคยแขนหักมาก่อนแล้ว เข้าใจได้"

    "แล้วคิดจะเรียนรู้อะไรจากมันบ้างไหม" อีกหนึ่งสิ่งที่พวกเขามีคืออำนาจระหว่างบ้าน มันล่องหนจนขจีพบว่าเขามีสิทธิโมโหที่เธอชอบทำตัวเองเจ็บ ครั้งที่แล้วที่เธอล้ม เขาก็เป็นแบบนี้ หงุดหงิดและพูดจาอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้เธอหายเจ็บ แต่หงุดหงิดมากขึ้นเป็นสิบเท่ากับสิ่งที่ย้อนกลับไปแก้ไม่ได้แล้ว 

    และไอรดาก็โดนโกรธทั้งๆ ที่เธอนั่งแห้งๆ อยู่เฉยๆ

    "มันเป็นปัญหาขนาดนั้นเลยหรือไง"

    "คิดว่าไงล่ะ" เขาตั้งใจมองตรงๆ ไปที่แขนข้างที่เข้าเฝือกของเธอ

    "มากไปหน่อยดีกว่า ถามจริงนี่มันเกี่ยวอะไรกับพี่จี เราตกบันได หม้อหล่นใส่ แขนหัก ก็ตลกดีที่เรารู้อยู่แล้วว่ามันเจ็บ ไม่ต้องมีใครมาบอกซ้ำ" หญิงสาวยืนกางขา ท้าวสะเอว ไอโทสะที่แผ่ออกมาคุอุ่นกับไอฝน

     เธอพอจะเข้าใจว่าพวกเขาเป็นเพื่อนบ้านที่มีเคมีประหลาดต่อกัน มันเริ่มจากความบ้าบิ่นที่เขาปฏิเสธขนมของเธอ ขจีไม่ชอบทานของหวานนั่นไม่เป็นไร แต่เขาปากร้ายมากพอที่จะบอกว่าขนมเยลลีย้วยๆ ของเธอมดไม่มีวันขึ้น ชอบโกหกว่าไม่อร่อยแต่ก็ไม่เลิกแย่งจากมือไปกิน มารยาทไหม้เกรียมมาถึงเรื่องนี้ 

    ไม่รู้ทำไมชอบยุ่งเรื่องชาว(ข้าง)บ้าน

    เธอจะเอาชื่อเขาออกจากเมนูวิปครีมชาเขียว เขาจะไม่ได้รับเกียรติให้เป็นชื่อเมนูของขนมใดๆ ในการคิดค้นของไอรดา เบคเฮ้าส์

    ขจี : วิปครีมชาเขียว

    จะไม่มีใครสั่งไอศครีมมะม่วงขจีในร้านของเธอ เข้าใจไว้เลย มายแอส

    "โกรธอะไรเรา เราทำไรผิดวะสถาปนิก" เธอถามซ้ำ ขจีเห็นความไม่เข้าใจรุนแรงในแววตาของไอรดา มันแตกต่างจากตอนที่เธอนอนกลางวันแล้วแสงแยงตา เขาพรูควันออกมาจากริมฝีปาก รสบุหรี่ไม่แตะอารมณ์เลย 

    ก็ได้ ยอมรับ เขาเป็นห่วงเธอ 

    ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามเธอแต่เดินเข้าไปใกล้ หนังรักชวนหัวทำให้เขากลายเป็นปลากระป๋อง มันเข้าสิงเขาไปแล้วครึ่งร่างแต่ยังควบคุมไม่ได้ทั้งหมด

    "ไม่ได้ผิดอะไร" ตอนนี้สิงเต็มร่างแล้ว มายแอส

    "แล้วทำไมรู้สึกเหมือนว่าเราต้องขอโทษ ทั้งๆ ที่เราเองก็ไม่ได้อยากจะแขนหักเข้าเฝือก"
     
    "เจ็บมากไหม"

    "นี่เจ็บไหมล่ะ" เธอเตะหน้าแข้งเขา

    "ถ้าเจ็บ แขนหักก็เจ็บกว่า แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราต้องโดนสายตาแบบนั้นหรือเปล่า เหมือนว่าเรารับผิดชอบตัวเองไม่ได้เลย ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ไม่ต้องรับผิดชอบพามาคลินิกแบบนี้หรอก คิดว่าเป็นพระเอกในหนังเกาหลีพล็อตคลิเช่หรือไง"

    "แล้วถ้าพี่ไม่ไปเจอ เธอจะมาคลินิกยังไง" ฝนตกห่างๆ เม็ด ขจีนึกถึงความชื้นที่โทราจาแลนด์

    "เดินไปไง ขาไม่ได้หักนี่ คลินิกก็อยู่แค่หน้าปากซอย"

    "ลุกเองไหว?"

    "ยุ่งอะไรล่ะ เลิกทำเหมือนว่าเราเป็นผู้หญิงบอบบาง น่ารักๆ ใส่เดรสลายดอกไม้สีชมพูฟูๆ ซะทีเหอะ มนุษย์ก็ต้องช่วยตัวเองได้ในสถานการณ์ทุลักทุเล เราใช้สัญชาตญาณแม้ว่ามันจะมาช้าไปหน่อย อีกอย่างคือเราไม่น่าตายจากการแขนหัก แต่อาจจะเสียความรู้สึกมากจากความสงสารและการช่วยเหลือของใครก็ได้"

    ในความโรยราของความมืด ไอรดานึกถึงดอกไลแลคที่บ้าน เธอเจอดอกห้ากลีบของมันเมื่อวาน และตำนานว่ากันว่าถ้าเผลอไปเจอเข้าจะพบกับความสุข 

    เธอมองเขาที่จ้องตอบกลับมาในพิกเซลของเวลาสองทุ่มและเอ่ยตัดบท

    "ฝนกำลังจะตกหนัก เราเลิกทะเลาะกันเหอะ ต่างคนต่างกลับแล้วกันนะ ขอบคุณที่มาส่ง"

    "มาขึ้นรถด้วยกัน เดี๋ยวฝนตกระหว่างทาง ร่มก็ลืมไว้ในรถ" เขาเดินลากเท้าตามมาเงียบๆ ฝนลงหนักเม็ดขึ้น มันกระเทาะเฝือกดังเปาะๆ ขจีเองก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรผิด เหมือนมีกำแพงบางๆ ที่ถูกสร้างขึ้นแบบลวกๆ มากั้นไว้

    "ไอร์...."

    "ถ้าเฝือกเปียกและต้องมาหาหมออีกมันจะยุ่งยาก ยาก็อยู่ที่พี่ ถึงเธอหนีไปตอนนี้ยังไงก็ต้องเจอหน้ากันอยู่ดี" 

    "ก็เอายามาดิ"

    "ไม่ให้" 

    "กวนตีนหรอขจี"

    "ฝนตก ไม่อยากเปียก แล้วก็ไม่อยากทะเลาะด้วย" เธอเบือนหน้ามาเห็นเขายืนจุดบุหรี่มวนที่สอง

    "อย่ามาปรือตาไอรดา ... ยีสต์ บอกกี่หนแล้วว่าอย่าแย่งบุหรี่คนอื่นสูบ" 

    เขาเรียกเธอว่ายีสต์ยามที่โมโห เพราะเธอดื้อได้แม้ยามที่มีหรือไม่มีออกซิเจน แถมยังอยู่ในอาณาจักรฟังไจและมีลักษณะฟูฟ่อง

    "ไอร์"

    "ไม่ฟัง ไม่ได้ยิน"

    "ไอรดา"

    "บลาบลาบลา บลูเลอรีลาวา"

    "ยีสต์"

    "เขียวขจีเหมือนสีไข่เยี่ยวม้า"

    "ยีสต์ มันไม่ได้ผลหรอก หยุดแกล้งมึน"

    "ยีสต์ๆๆ สถาปนิก! ยีสต์มายแอส" เธอปาบุหรี่ลงกับพื้นแล้วขยี้ด้วยเท้าขวา นั่งลงบนฟุตบาท มองไปข้างหน้าด้วยฟิลเตอร์ตาสีขุ่น คุณป้าในชุดดอกบานชื่นมองเธอด้วยสายตาไม่ไว้ใจแล้วรีบเดินผ่านไป สุนัขจรจัดมองเธอนิ่งจากระยะไกล เป็นภาพมนุษย์เฝือกในชุดเสื้อยืดลายกล้วยหอมจอมซนชื้นๆ กางเกงผ้าลินินขาดเบาๆ นั่งเหี่ยวอยู่ริมถนนที่มีไฟทางแยงลูกตาอยู่ตลอดเวลา

    ที่น่าเบื่อกว่านั้นคือภาพปลากระป๋องพระนางในซีรี่ย์เกาหลีที่ไม่มีใครอยากจะดู ต้องมีใครซักคนแหวกว่ายผ่านน้ำเน่าตรงนี้ไปให้ได้

    "เรายังอยู่ เลิกทำเหมือนเราอ่อนแอจะตายได้ไหม นี่ยังหายใจอยู่" เธอยื่นหน้าเข้าไปใกล้เมื่อขจีนั่งลงข้างๆ ลมหายใจอุ่นๆ เป่าข้างแก้มเขาจนชายหนุ่มร้องเฮ้ย

    "มันบังเอิญไปเห็น จะให้ปล่อยทิ้งไว้รึไง" ไอรดาตวัดสายตา เตะหน้าแข้งอีกข้างของเขาทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่ที่ฟุตบาทมืดๆ 

    "นอนแบ่บเป็นขนมเปียกปูนขนาดนั้นใครจะไม่ตกใจ ไอร์ มันไม่ตลกเลยนะ"

    "ไม่มีใครตลกทั้งนั้นล่ะ แต่มีคนชอบทำให้มันเป็นเรื่องสเกลตึกถล่ม พี่จีคิดว่าเราไม่ตกใจหรอ ตอนนั้นมันงง พอจะได้สติก็เจอคนเดินมาใส่เอาๆ เราไม่ได้แขนหักมานานเท่าไหร่แล้ว"

    ขจีมองหน้าเธอด้วยรอยขันในดวงตา ไม่ได้แขนหักมานานเท่าไหร่แล้ว นี่มันเป็นประโยคที่หลุดออกมาจากคนประเภทไหน เธอดำรงอยู่ในโลกที่อุบัติเหตุเป็นเหตุเป็นผลกับความเรียบง่ายหรือยังไง เขานึกภาพบ้านขนมปังกลมๆ ของเธอแล้วจึงยื่นมือไปขยี้ผมสีน้ำตาลของไอรดา พึมพำในลำคอให้เธอได้เบ้ปาก

    "โทราวันเดอร์แลนด์อะไรนั่นทำพี่เพี้ยนรึไง" ชายหนุ่มหัวเราะลั่น 

    "ฝนตก ไว้เล่าให้ฟัง กลับบ้านกันได้แล้ว...ยีสต์" 




    ยีสต์


    มีคุณสมบัติให้อาหารที่หมักมีกรดน้อยลง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in