เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Double Death (DTOL OMEGAVERSE AU)piyarak_s
Chapter 1 : Claw Marks
  • วันหยุดอีสเตอร์เป็นช่วงเวลาที่หลายคนได้พักผ่อนจากงาน แต่สำหรับคนในบางอาชีพนั้น การมีวันหยุดก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้หยุดอยู่กับบ้านเฉย ๆ หรือปฏิเสธงานในวันหยุดได้ และผมก็เป็นหนึ่งในคนจำพวกหลัง

    แม้ว่าลอนดอนจะเป็นมหานครที่มีความทันสมัยและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในฝันของใครหลายคน โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายนที่อากาศแจ่มใส สวนสาธารณะต่าง ๆ เริ่มมีดอกไม้ผลิบานรับฤดูใบไม้ผลิ แต่ลอนดอนภายใต้แสงแดดสว่างสดใสก็มีมุมมืดซ่อนอยู่ และมันก็เป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว


    ผมจอดรถไว้ที่ริมถนน และเดินไปยังสถานที่เกิดเหตุที่ได้รับแจ้ง ทีมสืบสวนคดีอาชญากรรมพิเศษ หรือ SCIT ของกองบัญชาการตำรวจนครบาลลอนดอนมีอำนาจสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมร้ายแรงก็จริง แต่ไม่ใช่เหตุฆาตกรรมทุกกรณีจะอยู่ในความรับผิดชอบของเราเสมอไป


    เมื่อร้อยกว่าปีก่อน เกิดฆาตกรรมต่อเนื่อง โดยมีเหยื่อเป็นโอเมก้า ซึ่งเป็นเพศรองที่มีข้อจำกัดทางชีวภาพหลายประการจนเคยถูกกดลงเป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดของสังคม จนโอเมก้าส่วนใหญ่แทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขายบริการให้ลูกค้าที่เป็นอัลฟ่าและเบต้า ก่อนที่จะมีการแก้ไขกฎหมายให้มีความเท่าเทียมในฐานะพลเมืองมากขึ้นในปัจจุบัน คดีนั้นกลายเป็นข่าวครึกโครมและสร้างความหวาดหวั่นให้คนทั่วไป โดยนักข่าวเรียกอาชญากรสำคัญคนนั้นว่า แจ็คเดอะริปเปอร์ และอาชญากรที่หนีรอดจากตำรวจมาได้รายนั้นก็กลายเป็นกรวดที่ยังเขี่ยให้หลุดไปจากรองเท้าของสก็อตแลนด์ยาร์ดไม่ได้เสียทีจนถึงวันนี้


    ถ้าแบบแผนการฆ่าในคดีที่ผมได้รับแจ้งเป็นการฆาตกรรมเลียนแบบแจ็คเดอะริปเปอร์จริง คดีฆาตกรรมโอเมก้าในย่านอีสต์เอนด์คดีนี้อาจถูกโอนมายังทีมสืบสวนอาชญากรรมพิเศษที่ผมสังกัดอยู่


    เมื่อไปถึง พลตำรวจในเครื่องแบบและเสื้อกั๊กสีเหลืองสะท้อนแสงซึ่งทำหน้าที่จัดระเบียบจราจรและดูแลความเรียบร้อยทำความเคารพ เมื่อผมยื่นบัตรประจำตัวให้ดู เขาเป็นเบต้าชายและดูเหมือนจะเป็นตำรวจใหม่ ที่แม้จะไม่ได้รับอิทธิพลจากกลิ่นประจำตัวของอัลฟ่า ซึ่งอัลฟ่าด้วยกันสามารถรับรู้และจัดลำดับชั้นได้ทันทีว่าใครอยู่สูงหรือต่ำกว่า เขาก็ยังดูประหม่ากับการเผชิญหน้าสารวัตรสืบสวนนอกเครื่องแบบอย่างผมอยู่ดี แต่เขาเป็นตำรวจที่ใช้ได้ทีเดียว เพราะไม่จำเป็นต้องสั่งการ ก็วิทยุแจ้งให้คนที่อยู่ในตรอกที่เกิดเหตุทราบว่า ผมมาถึงแล้วให้ทันที


    ชั่วอึดใจ และไม่ทันที่ผมจะสวมชุดป้องกันและถุงห้มรองเท้า เพื่อไม่ให้ที่เกิดเหตุปนเปื้อนด้วยวัตถุทางชีวภาพจากตัวผม สารวัตรแบล็ค สารวัตรสืบสวนของสถานีตำรวจไวท์ชาเพลก็ออกมาหาแทนที่จะเป็นจ่าวิลเลียม มัสเกรฟส์ เพื่อนร่วมงานจากหน่วยของผม สายตาของเขาที่มองมายังผมเหมือนกับชาวโรมเห็นนักบุญเซบาสเตียนมาโปรดให้ชาวเมืองหายจากกาฬโรคให้คำตอบที่ผมอยากรู้โดยแทบไม่จำเป็นต้องถามต่อว่า ใครเป็นแพทย์นิติเวชที่มาตรวจศพในที่เกิดเหตุตอนนี้


    “สารวัตรเฟย์ ทางนี้” เขาไม่ได้สวมชุดป้องกัน ดูเหมือนว่าตั้งใจอยู่รอผมก่อน ไม่ได้เข้าไปในที่เกิดเหตุด้วย


    “ทีมพิสูจน์หลักฐานกับนิติเวชมาหรือยัง” ผมถาม รูดซิปชุดกระดาษสีขาวจนถึงคอ สวมถุงมือยางไปพร้อมกับรออีกฝ่ายสวมชุดป้องกันกับหุ้มรองเท้าของตัวเองบ้าง


    “มาแล้ว... มีทีมของจ่าสืบสวนโจ รอสส์กับ ดร. ฟอล์กเนอร์”


    น้ำเสียงของเขาเวลาพูดถึงชื่อหลังมีความอึดอัดที่พยายามจะปิดแล้วแต่ไม่มิดปนอยู่ นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสักเท่าไหร่ ในเมื่ออัลฟ่าส่วนใหญ่ไม่ชินกับการต้องฟังคำวินิจฉัยที่มาจากโอเมก้า ซึ่งมีสถานะทางสังคมต่ำกว่าอยู่แล้ว แม้ว่าโอเมก้าคนนั้นจะมีสติปัญญาหรือความสามารถขนาดไหนก็ตาม เป็นทัศนคติฝังหัวอัลฟ่าชายส่วนใหญ่และยังแก้ไม่หายเสียที ถึงไม่แสดงออกมาอย่างชัดแจ้ง แต่ก็มองเห็นได้ไม่ยากจากน้ำเสียงหรือท่าทีที่เผยความรู้สึกนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว


    ดร. ฟอล์กเนอร์เป็นโอเมก้าชายคนแรก ๆ ที่ทำงานในแผนกนิติเวชของโรงพยาบาลรอยัลลอนดอน สังกัดวิทยาลัยแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในไวท์ชาเพล ทางตะวันออกของกรุงลอนดอน มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากบรรดาตำรวจซึ่งส่วนใหญ่เป็นอัลฟ่าเพศชายว่า เขาเป็นคนทำงานด้วยยาก ไม่ชอบสุงสิงกับใคร และดูเหมือนจะเกลียดการเข้าใกล้อัลฟ่าเสียด้วย แต่เมื่อได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว ผมกลับพบว่า เขาไม่ได้เป็นอย่างที่ใครหลายคนพูดถึงเลยแม้แต่น้อย และยิ่งรู้จักเขามากเท่าไหร่ ยิ่งเขาเปิดใจให้ผมมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งพบว่า ผมโชคดีเหลือเกินที่ได้พบเขา มีเขาเป็นคู่แท้และได้เป็นคนที่เขายอมรับให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต


    อย่างไรก็ตาม น้อยคนที่รับรู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเขากับผมว่ามากกว่าเพื่อนร่วมงานที่เป็นมิตรที่ดีต่อกันเป็นพิเศษ อย่างที่คนอื่นในแวดวงตำรวจและกระบวนการยุติธรรมในลอนดอนส่วนใหญ่เข้าใจกัน เราไม่คิดจะปิดบัง เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะทำเช่นนั้น ด้วยเหตุผลหลายอย่าง


    “คนพบศพคนแรกเป็นเบต้าชาย ทำงานเป็นบาริสต้าของคาเฟเนโร สาขาถนนลีเดนฮอลล์ เขาเป็นคนพบศพของผู้ตายนอนอยู่ในซอกตึกข้างถังขยะตอนเอาจักรยานมาจอด ทีแรก เขานึกว่าเธอเป็นคนไร้บ้าน แต่พอเห็นกองเลือดที่นองอยู่ถึงได้รู้ว่า เกิดเรื่องเข้าแล้ว” สารวัตรแบล็คสรุปเหตุการณ์ให้ฟังระหว่างเดินเข้าไปยังจุดพบศพ


    “สภาพศพที่พบ ไม่ต้องเข้าไปแตะตัวก็รู้ได้ทันทีว่า ตายแล้วแน่นอน เพราะเนื้อตัวโดยเฉพาะใบหน้ากับช่วงอกเหวอะหวะไปหมด เหมือนถูกกรงเล็บสัตว์ฉีกออก”


    “กรงเล็บสัตว์งั้นเหรอ”


    “ใช่ น่าจะเป็นฝีมือของเชปชิฟเตอร์ที่เป็นสัตว์จำพวกแมวขนาดใหญ่ หรือหมีที่ใช้กรงเล็บเป็นอาวุธ”
    ผมนึกถึงภาพวาดจำลองการพบศพของแคทเธอรีน เอ็ดโดว์สที่มิทร์สแควร์ในหนังสือพิมพ์ช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ สภาพศพและตำแหน่งที่พบศพ ซึ่งห่างจากที่เกิดเหตุฆาตกรรมโดยแจ็คเดอะริปเปอร์ไปไม่เกินห้านาที ก็สมเหตุสมผลแล้วที่ตำรวจท้องที่จะสงสัยว่าเป็นฆาตกรรมเลียนแบบ แต่สิ่งที่ผมกังวลนั้นต่างออกไป


    “มีหลักฐานที่สามารถใช้ระบุตัวตนของผู้ตายอยู่หรือเปล่า”


    “ชื่อตามบัตรประจำตัวกับบัตรพนักงานประจำสถานบริการถูกกฎหมาย คือ ฮันนาห์ วัตกิ้นส์ อายุ 25 เป็นโอเมก้าเพศหญิง มีปลอกคอสำหรับป้องกันการถูกกัดอยู่ในกระเป๋า ดูเหมือนจะไม่มีทรัพย์สินสูญหาย แต่ต้องรอให้ญาติหรือเพื่อนร่วมงานมายืนยันอีกที” สารวัตรแบล็คกลอกตา “ถ้ารับงานนอกสถานบริการก็ช่วยไม่ได้”


    ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยกับความเห็นนั้น แต่ไม่ได้พูดอะไร


    จุดที่พบศพสังเกตเห็นได้ง่ายมาก เพราะมีเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานกระจายกันอยู่มากเป็นพิเศษ กลิ่นเลือดเจือกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าผู้ตายเป็นอีกสิ่งที่ยืนยันได้ว่าผมเข้าไปใกล้เท่าไหร่แล้ว กลิ่นของโอเมก้าในที่เกิดเหตุไม่ใช่กลิ่นประจำตัวของ ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์อย่างแน่นอน ทว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยสำหรับคนที่ระวังตัวเป็นอย่างยิ่งในการทำงานกับอัลฟ่าอย่างเขา ถึงจะหยุดใช้ยากดฮอร์โมนที่ใช้มานานจนไม่ควรจะใช้ต่อไป แต่สเปรย์สำหรับกลบกลิ่นฟีโรโมนก็เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเขาไปแล้ว ในกรณีที่ต้องออกชันสูตรศพในที่เกิดเหตุหรือต้องพบกับคนหมู่มาก


    “ดร. ฟอล์กเนอร์” ผมเรียกชื่อแพทย์นิติเวชที่ยืนรอให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานถ่ายภาพศพเอาไว้เป็นหลักฐาน ถึงทุกคนจะแต่งตัวเหมือนกันหมดและมีหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้าไปเสียครึ่งหนึ่ง แต่ผมหาเขาพบได้ทันทีโดยสังเกตจากรูปร่าง กิริยาท่าทาง และดวงตาสีเขียวหลังเลนส์แว่นสายตาที่เขาสวมอยู่
    เราสองคนไม่ได้พบกันมาเกือบสัปดาห์แล้ว เพราะเขาไปประชุมวิชาการที่มหาวิทยาลัยอาเบอร์ดีน สก็อตแลนด์ เพิ่งกลับมาเมื่อคืนนี้ ส่วนผมเองก็มีงานของตัวเองที่ต้องสะสางจนแทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้


    เมื่อได้ยินเสียงของผม แพทย์นิติเวชยกมือขึ้นทักทาย ริมฝีปากใต้หน้ากากขยับเหมือนเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย สีหน้าของเขาที่โผล่พ้นหน้ากากออกมาดูซีดเซียวและไม่สดชื่นเหมือนคนอดนอน แต่อาการกระสับกระส่ายเล็กน้อยเมื่อมีอัลฟ่าคนอื่นเฉียดเข้ามาใกล้เกินความจำเป็น คล้ายกับอาการของโอเมก้าใกล้เข้าช่วงฮีทหรือช่วงเวลาที่พร้อมที่สุดสำหรับการสืบพันธุ์ของโอเมก้ามากพอสมควร เพราะการหยุดยากดฮอร์โมนที่ใช้มานานทำให้รอบของการเข้าช่วงฮีทของเขาคลาดเคลื่อนจนนับวันไม่ได้ ต้องอาศัยการสังเกตอาการของตัวเองเป็นหลัก


    “คุณหมอโอเคนะ” ผมยืนข้างเขา แล้วกระซิบถามข้างหูเบา ๆ


    “ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบ  “มียาอยู่ในกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย เอาออกมาใช้ได้ ถ้าจำเป็น”


    ‘ยา’ ที่เขาพูดถึง คือ ยาฉีดระงับอาการฮีท ทำนองเดียวกับเอพิเพน หรือยาฉีดระงับอาการภูมิแพ้แบบปากกา ถึงเขาจะพยายามที่สุดที่จะไม่ใช้มัน เว้นแต่อยู่ในสถานการณ์จำเป็นถึงที่สุดเท่านั้น และสิ่งที่เขากระซิบตอบผมกลับมาทำให้รู้ว่า ความเข้าใจของผมถูกต้อง ถ้าเขาไม่อยู่ในสภาพที่ใช้ยานั้นเองได้ ผมก็รู้แล้วว่า จะหายาที่ว่าได้ที่ไหน


    นั่นเป็นวิธีที่เขาใช้บอกผมว่า ไม่ต้องห่วง และยิ่งไปกว่านั้น คือ เขาไว้ใจผม


    ถ้าในที่นั้นมีเราเพียงสองคน ผมคงโอบบ่าเขาไว้เพื่อให้ความมั่นใจว่า ผมเชื่อเขาและเขาก็เชื่อใจผมได้ แต่น่าเสียดายที่เราอยู่ท่ามกลางผู้คน และไม่ควรจะมีใครรู้ว่า เขากำลังเผชิญกับปัญหาอะไรอยู่ แม้ว่าจะไม่เป็นอุปสรรคกับงานเลยก็ตาม


    พูดให้ถูกกว่านั้น คือ โทเบียส ฟอล์กเนอร์พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้ความเป็นโอเมก้าเป็นอุปสรรคกับงานของตนเองและของทุกคนที่เกี่ยวข้องเท่าที่ธรรมชาติของเขาจะอำนวยให้ได้ เพราะนั่นคือการพิสูจน์คุณค่าในตัวเอง และกรุยทางให้กับโอเมก้าคนอื่น ๆ ที่ต้องการพิสูจน์ตัวเองและเรียกร้องสิทธิที่ตนเองพึงได้ให้ต่อไปข้างหน้า เขาไม่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจของตนเองออกมา และไม่ได้หวังจะให้ใครเข้าใจเขาในเวลานี้ แต่ในสายตาของผม การกระทำของเขาอธิบายความตั้งใจของเขาทั้งหมดแล้ว


    “ถ่ายรูปกับบันทึกทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงคิวคุณหมอแล้วค่ะ” จ่าโจเซฟิน ‘โจ’ รอสส์บอก ดร. ฟอล์กเนอร์ และหันมายิ้มให้ผมจนตาหยี “สวัสดีค่ะ สารวัตร วิล มัสเกรฟไปเข้าห้องน้ำที่ตึกใกล้ ๆ นี่ละ เดี๋ยวกลับมา เขาฝากฉันบอกค่ะ เผื่อสารวัตรมาถึงแล้วไม่เจอ”


    “ขอบคุณมาก โจ” ผมบอก ในขณะที่เธอก้าวถอยหลังออกมาเพื่อให้แพทย์นิติเวชทำงานของตนเองได้สะดวกขึ้น และพร้อมเข้าไปช่วยเหลือเป็นลูกมือทันทีที่อีกฝ่ายร้องขอ ดูเหมือนว่า เธอกับ ดร. ฟอล์กเนอร์จะเข้ากันได้ดีทีเดียว


    จ่าสืบสวนโจ รอสส์เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนสมัยมัธยมของวิลเลียม มัสเกรฟ ผู้ใต้บังคับบัญชาของผม เราเคยพบกันนอกเวลางานอยู่บ่อยครั้งและมีความคุ้นเคยกันมากพอสมควร เธอเป็นเบต้าสาวหน้าตกกระ ผมสีแดงของเธอตัดสั้น และมีจมูกรั้นน่ารัก เธอเป็นชิฟเตอร์จิ้งจอกแดงที่ดูร่าเริงมากกว่าเจ้าเล่ห์แสนกลแบบเบนเน็ตต์ ดาลบี้ เพื่อนอัลฟ่าร่วมบ้านเช่าเดียวกับผม ความที่ตัวเล็กและคล่องแคล่วเหมือนเด็กผู้ชายทำให้ทุกคนพร้อมใจเรียกเธอสั้น ๆ ว่า โจ แทนที่จะเป็นโจเซฟิน และเธอก็พอใจอย่างนั้นเสียด้วย
    ผมก้าวเข้าไปยืนใกล้ ๆ พยายามวางตัวเองให้อยู่ในตำแหน่งที่เกะกะการทำงานของแพทย์นิติเวชและคนจากพิสูจน์หลักฐานให้น้อยที่สุด กวาดตามองสภาพที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นมุมอับและลับสายตาคนมากพอสมควร ถึงจะมีกล้องวงจรปิดอยู่ แต่ก็อาจหวังอะไรได้ไม่มากนัก เพราะเป็นรุ่นค่อนข้างเก่าและยังไม่รู้ว่าข้อมูลจะถูกลบหรือบันทึกซ้ำไปหรือไม่ และถ้าเหตุเกิดในมุมที่กล้องไม่ได้ถ่ายเอาไว้ ภาพจากกล้องวงจรปิดก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก


    เท่าที่มองสำรวจพื้นที่โดยรอบ โดยเฉพาะจุดจอดจักรยานและถังขยะที่ถูกลากออกมาไว้ให้บริษัทเก็บขยะมาเก็บไปตามรอบที่กำหนด ไม่ปรากฏร่องรอยของการต่อสู้ ทุกอย่างเรียบร้อยขัดกับบาดแผลฉกรรจ์ที่อยู่บนร่างกายของผู้ตายที่นอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้าของผมในเวลานี้


    สภาพน่าสยดสยองของโอเมก้าสาวเคราะห์ร้ายทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อตั้งสติอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนหันกลับอีกครั้ง เพื่อดูการทำงานของแพทย์นิติเวชและฟังความเห็นของเขา ซึ่งพอดีกับเวลาที่จ่ามัสเกรฟกลับมาช่วยผมบันทึกความเห็นเรื่องสาเหตุการตายเบื้องต้นพอดี


    ศพของฮันนาห์ วัตกิ้นส์มีบาดแผลเหวอะหวะบริเวณใบหน้า ริมฝีปากข้างหนึ่งของเธอฉีกจนเห็นฟัน ปลายจมูกขาดหาย เปลือกตาข้างหนึ่งของเธอโดนเกี่ยวขาดจนทำให้ดวงตาข้างนั้นเบิกโพลงเหมือนลืมตาอยู่ตลอดเวลา แต่ส่วนที่ทำให้เห็นเหตุผลที่จ่ามัสเกรฟขอตัวไปห้องน้ำแล้วก็คือ ช่วงอกและช่วงท้องของศพที่เป็นแผลฉกรรจ์จากการถูกกรงเล็บขย้ำเป็นโพรงใหญ่จนเห็นอวัยวะภายในบางส่วน และกองเลือดที่ไหลนองอยู่ใต้ร่างของเธอมีที่มาจากแผลเปิดเหล่านี้ ไม่มีอาวุธปัจจุบันชนิดไหนที่ทำให้เกิดบาดแผลเหล่านี้ได้เหมือนกรงเล็บของสัตว์ และการแปลงกลับสู่ร่างสัตว์เพื่อทำร้ายหรือฆ่าผู้อื่นเป็นความผิดร้ายแรง


    สภาพศพของเธอคล้ายกับการกระทำของฆาตกรเมื่อร้อยกว่าปีก่อนสองรายรวมกัน คือ ถูกทิ้งไว้บนถนนเหมือนศพของแคทเธอรีน เอ็ดโดว์ส แต่ความโหดร้ายรุนแรงที่ปรากฏอยู่บนร่างคล้ายกับกรณีของแมรี่ เคลลี่ที่ถูกพบในภายหลัง และเช่นเดียวกับผู้เคราะห์ร้ายในศตวรรษที่สิบเก้าทั้งสอง คดีใหม่คดีนี้เกิดในท้องที่ไวท์ชาเพล


    คดีของฮันนาห์ วัตกิ้นส์คล้ายกับคดีเก่าที่เคยเกิดขึ้น แต่ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า มีอะไรบางอย่างที่ยังไม่ใช่ และต่างออกไป


    “มีความเป็นไปได้น้อยมากที่ผู้เคราะห์ร้ายจะตายเพราะถูกทำร้ายด้วยของมีคมบนใบหน้าและร่างกาย”


    ความเห็นของ ดร. ฟอล์กเนอร์ทำให้สารวัตรแบล็คที่ยืนมองเขาตรวจสภาพภายนอกของศพถึงกับหันขวับมามองหน้าผม สีหน้าของเขาเหมือนกำลังดูหนังที่มีตอนจบหักมุมไปอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด และเขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่ชะงักกับความเห็นที่ฉีกออกไปจากสภาพที่เป็นอยู่ของศพตรงหน้า แต่ผมไม่แปลกใจกับความเห็นของแพทย์นิติเวชมากนัก เพราะมีอะไรบางอย่างในที่เกิดเหตุที่ผิดสังเกต และสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาเป็นคำตอบของข้อสงสัยนั้นของผมพอดี


    “ดูจากลักษณะการกระเซ็นของเลือดในพื้นที่โดยรอบจุดพบศพ ถ้าผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่ถูกทำร้ายด้วยวัตถุบางอย่างที่มีความแหลมคม คล้ายกับกรงเล็บของสัตว์ ก็ควรจะมีเลือดพุ่งหรือกระเซ็นเป็นหยดหรือจุดอยู่ในบริเวณนี้ด้วย รวมถึงตามเสื้อผ้าของผู้ตายด้วย แต่ไม่พบร่องรอยในลักษณะนั้นอยู่เลย”


    ในเวลานี้ ความสนใจของ ดร. ฟอล์กเนอร์จดจ่ออยู่แต่กับร่างไร้วิญญาณตรงหน้าราวกับมีเพียงเขากับเธอที่สื่อสารกันอยู่ มีเพียงจังหวะพูดและน้ำเสียงเท่านั้นที่บอกว่า เขากำลังพูดคุยกับตำรวจและยังใส่ใจคนรอบข้างว่าจะสามารถบันทึกความเห็นของเขาทัน


    “เดี๋ยวก่อนนะ หมอ” สารวัตรสืบสวนประจำไวท์ชาเพลเอ่ยแทรกขึ้น “ถ้าไม่ได้ตายเพราะถูกของมีคมทำร้าย แล้วเธอตายด้วยสาเหตุอะไร”


    คนที่นั่งอยู่ข้างศพเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของคำถาม ก่อนก้มกลับลงไปสำรวจใบหน้าและลำคอของผู้ตายอีกรอบหนึ่ง และให้คำตอบกับเขาโดยไม่ได้หันกลับมามองหน้า


    “มีความเป็นไปได้ว่า เธออาจตายเพราะขาดอากาศหายใจ”


    “เพราะอะไร คุณหมอ” ผมถาม และย่อตัวลงนั่งข้างเขา เพื่อฟังคำอธิบายและให้เขาชี้จุดสังเกตที่ทำให้เขาคิดว่า สาเหตุการตายมาจากการขาดอากาศหายใจ


    ดร. เบนจามิน เวสต์ อดีตอาจารย์ที่ปรึกษาและเพื่อนร่วมงานที่ ดร. ฟอล์กเนอร์ให้ความเคารพนับถือมากที่สุดเคยบอกผมว่า เขาเชี่ยวชาญเรื่องการตายเพราะขาดอากาศหายใจเป็นพิเศษและวิจัยเรื่องดังกล่าวมาในระดับปริญญาโท ความเห็นของเขาจึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ


    “จุดเลือดออกในตาขาวครับ สารวัตร มีไม่มาก แต่ก็พอจะมองเห็นได้” เขาชี้จุดสีแดงขนาดเล็กในดวงตาที่ปราศจากเปลือกตาให้ผมดู เปิดเปลือกตาอีกข้างของผู้เคราะห์ร้ายขึ้น และพบว่ามีจุดเลือดออกแบบเดียวกันอยู่ “ไม่เหมือนกับตาแดงเพราะอดนอน หรือขยี้ตาจนเส้นเลือดฝอยในตาแตก หรือตาอักเสบ แต่ก็เป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้นเท่านั้นนะครับ รอผ่าชันสูตรก่อน ถึงจะยืนยันได้ชัดเจนขึ้น”


    “แต่สิ่งที่สรุปได้ในตอนนี้ คือ เธอตายก่อนที่บาดแผลบนร่างกายพวกนี้จะเกิดขึ้น และมีคนทำให้เธอตาย”
    “ถูกต้องครับ” ดร. ฟอล์กเนอร์รับ “ส่วนช่วงเวลาที่ตาย พิจารณาจากการแข็งตัวของกล้ามเนื้อหลังตาย ประกอบกับอากาศที่เริ่มอุ่นขึ้นแบบนี้ ถ้าให้บอกเป็นช่วงกว้าง ๆ ในเบื้องต้น คาดว่าน่าจะตายมาแล้วประมาณ 10-12 ชั่วโมง”


    ผมเลิกแขนเสื้อชุดคลุมขึ้นเพื่อดูนาฬิกาข้อมือ “แสดงว่า เธอน่าจะตายในช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนถึงตีสองของเช้ามืดวันนี้”


    เขาพยักหน้า “นั่นคือสิ่งที่ผมบอกได้ในเวลานี้นะครับ สารวัตร แต่ขอให้รอรายงานการชันสูตรดีกว่า”


    “โอเค... ถ้าอย่างนั้น เอาศพออกจากที่เกิดเหตุเลยไหม หมอ” สารวัตรแบล็คถาม และเมื่ออีกฝ่ายรับคำ เขาก็เรียกให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาจัดการตามขั้นตอนต่อไป ส่วนโจ รอสส์และทีมซึ่งทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็สำรวจที่เกิดเหตุซ้ำอีกครั้งเพื่อความเรียบร้อย ก่อนออกไปถอดเสื้อคลุมที่เต้นท์ที่กางไว้เก็บอุปกรณ์ที่จำเป็นและใช้เป็นที่ทำงานชั่วคราวที่ปากทางเข้าตรอกคูนาร์ดเพลส


    ผมส่งมือให้ ดร. ฟอล์กเนอร์จับเพื่อให้เขาลุกยืนให้ ความจริงไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่เขารู้ความหมายของผมดี และใช้มือข้างที่ไม่เปื้อนเลือดจับมือของผมไว้ ใช้ผมเป็นหลักทรงตัวเพื่อลุกขึ้น เขาไม่ได้ปล่อยมือของเขาไปในทันทีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม แต่ค้างไว้อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนปล่อยมือ แล้วเดินนำผมไปยังเต้นท์ของทีมพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นเบต้า มีอัลฟ่าอยู่เป็นจำนวนน้อยและทั้งหมดเป็นโลว์อัลฟ่า


    “ต้องขอบคุณสารวัตรแบล็ค เขาเป็นคนจัดทีมของจ่ารอสส์มาทำงานกับผมแทนอีกทีมหนึ่งที่มีอัลฟ่าเยอะกว่า นับตั้งแต่คดีของเจมส์ พ็อตต์เป็นต้นมา” ดร. ฟอล์กเนอร์บอก ถอดถุงพลาสติกหุ้มรองเท้า ถุงมือยาง และชุดคลุมใช้แล้วทิ้งลงในถังขยะมีฝาปิด


    คำพูดของเขาทำให้ผมนึกแปลกใจเล็กน้อย สารวัตรแบล็คไม่เคยพูดกับผมมาก่อนและผมก็ไม่คิดว่าจะมีตำรวจอัลฟ่าคนไหนคำนึงถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าท่าทางเหมือนอึดอัดในตอนแรกของเขาอาจเป็นความรู้สึกขัดเขินที่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อโอเมก้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนมากกว่าไม่อยากร่วมงานด้วย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี


    หลังจากจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเอง และนัดแนะเรื่องงานของแต่ละคนอีกครั้งเรียบร้อยแล้ว ดร. ฟอล์กเนอร์ก็เดินออกมาส่งผมที่รถก่อน เพราะรถของเขาจอดหลบอยู่ริมถนนข้างอาคารในบล็อกถัดไป


    ระหว่างที่เดินมาตามถนนลีเดนฮอลล์ ผมอดมองคนที่เดินอยู่ข้างกันไม่ได้


    วันนี้ เขาสวมเสื้อยืดคอวีแขนยาวกับกางเกงยีนและรองเท้าผ้าใบ ผมสีบลอนด์เข้มของเขาสั้นลงและดูเป็นทรงกว่าที่ผมเห็นก่อนที่เขาจะไปสก็อตแลนด์นิดหน่อย และทุกอย่างก็ทำให้เขาดูเหมือนแพทย์ฝึกหัดปีแรกมากกว่าแพทย์นิติเวชที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทยเรียบร้อยแล้ว


    ไม่มีใครสงสัยเรื่องของเราสองคน เพราะทุกคนดูเหมือนจะเห็นว่า ผมเป็นตำรวจที่สามารถตามความคิดของเขาทันเป็นพิเศษเท่านั้น และบนลำคอขาวสะอาดของเขาไม่มีรอยกัดหรือเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นว่าเขา ‘มีเจ้าของ’


    มีบางอย่างที่เราสองคนเพิ่งได้เรียนรู้ ระหว่างที่เขาไปพักค้างกับครอบครัวของน้องสาวและหลานชายของผมที่วิทบี้ ทำให้เรารู้ว่ายังมีกำแพงอีกชั้นหนึ่งที่กั้นขวางระหว่างเราสองคนอยู่ โดยที่แม้แต่ตัวของ ดร. ฟอล์กเนอร์เองก็ไม่เคยรู้มาก่อน


    บาดแผลที่เขาเคยคิดว่าหายสนิทไปแล้วนั้น แท้จริงยังคงเจ็บลึกและซ่อนตัวอยู่ภายในจิตใจของเขา โดยแผลเป็นรอยนั้นเพิ่งปรากฏตัวขึ้น เมื่อเขาเริ่มไว้วางใจในตัวผม เริ่มเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถมีความสุขทางร่างกายและจิตใจกับใครสักคนหนึ่งได้ และความหวาดกลัวที่เคยเกิดขึ้นหลังการถูกทำร้ายกลายเป็นกลไกการป้องกันตัวที่เขาไม่ต้องการ แต่ก็ไม่อาจควบคุมอาการทางจิตใจที่ส่งผลกระทบต่อมาถึงร่างกายของตัวเองได้


    หลังจากวันนั้น และหลังจากที่เราลองพยายามกันอีกครั้ง เรื่องของเรากลับจบลงเหมือนเก่า คือ เรายังไม่สามารถมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกินกว่าการสัมผัสร่างกายของกันและกันได้ เพราะร่างกายของเขายังคงขัดขืนและต่อต้าน การฝืนทำต่อไปก็ไม่ต่างอะไรกับการขืนใจเขาซ้ำสอง


    ผมรับรู้ถีงความผิดหวังและความไม่สบายใจของเขาที่ห่วงผมมากเท่ากับที่ผมห่วงความรู้สึกของเขา เราต่างคนต่างรู้กันนับแต่นั้นว่า เรายังต้องการเวลาสำหรับปรับตัวเข้าหากันและค่อย ๆ แก้ไขปัญหาที่เขาต้องเผชิญด้วยกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ต่อให้เขาแข็งแกร่งและยืนอยู่ด้วยตนเองได้ แต่การมีใครสักคนคอยรอรับในวันที่เขาอาจล้มก็คงจะดีกว่า


    ด้วยเหตุนั้น ผมจึงไม่คิดทำเครื่องหมายใด ๆ หรือพยายามผูกมัดเขาไว้ด้วยการผูกพันธะให้เขากลายเป็นของผม ผมอยากให้เขาเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง อยากให้เขาสัมผัสกับอิสรภาพที่เขาควรจะได้ ก่อนที่เขาตกลงใจจะเป็นของผมหรือของใครก็ตามที่เขาอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วย หรือถ้าหากเขาไม่ต้องการเป็นของใครเลยตลอดชีวิต ผมก็เคารพการตัดสินใจของเขาและยินดีที่จะเป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องลำบากใจแต่อย่างใด เพราะผมไม่เคยเชื่ออยู่แล้วว่า การผูกพันธะโดยไร้การเรียนรู้ซึ่งกันและกันจะมีความศักดิ์สิทธิ์มากกว่าความผูกพันทางจิตใจที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของใคร


    การได้เห็นเขาสวมเสื้อผ้าที่เหมาะกับฤดูกาลบ้างและไม่ต้องพยายามป้องกันตัวเองด้วยเสื้อผ้าหลายชั้น หรือเสื้อมีปกปิดคอมิดชิดอย่างที่เคยเป็นก็ทำให้ผมสบายใจขึ้น เพราะเขาควรจะได้ใช้ชีวิตปกติธรรมดาอย่างที่อัลฟ่าและเบต้าเป็น อัลฟ่าอย่างผมต่างหากที่ควรห้ามใจตัวเองแทนที่จะกล่าวโทษโอเมก้าอย่างเขาว่าไม่ระมัดระวังการแต่งกายของตัวเอง และการมีเพื่อนร่วมงานที่ทำให้สิ่งแวดล้อมรอบตัวของเขาปลอดภัยกว่าเดิม ก็ทำให้ผมโล่งใจและนึกขอบคุณสารวัตรแบล็คอยู่ในใจ


    แม้ว่าทุกอย่างจะดูราบรื่นดี แต่ผมอดคิดไม่ได้ว่า ดร. ฟอล์กเนอร์มีความในใจบางอย่างที่อยากพูดคุยกับผม และความรู้สึกที่ว่านั้นก็สะท้อนอยู่ในดวงตาสีเขียวของเขาที่คอยเหลือบมองมายังผมเป็นระยะเหมือนรอจังหวะเวลาที่เราจะสามารถพูดคุยกันได้ และการที่เขาเดินอ้อมมาส่งผมถึงที่รถน่าจะมีอะไรมากกว่าแค่ต่างฝ่ายต่างนึกถึงกันและอยากใช้เวลาด้วยกันหลังห่างหายกันไปเกือบสัปดาห์


    “ตกลงว่า คดีนี้ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบครับ สารวัตร”


    คำถามของเขาปลุกผมขึ้นจากห้วงคิดของตัวเอง และต้องใช้เวลาพักหนึ่งในการรวบรวมสติเพื่อตอบคำถาม


    “ต้องรอประชุมร่วมกับหัวหน้าสถานีไวท์ชาเพลก่อน ถึงจะตกลงกันได้ แต่ดูแนวโน้มแล้ว ทาง SCIT อาจจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหลักแล้วมีทางไวท์ชาเพลเป็นกำลังสนับสนุน เพราะมีแนวโน้มว่าสื่อจะสนใจเป็นพิเศษ”


    “ไม่อยากรับงานนี้เหรอครับ” เขาเอียงศีรษะมองผมแล้วยิ้มน้อย ๆ


    “ไม่มีตำรวจคนไหนอยากได้คดีเพิ่มหรอกนะครับ คุณหมอ” ท่าทางของเขาทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้ “แต่ผมอาจจะไม่ได้ไปหาคุณที่ห้องชันสูตรนะ เพราะคราวนี้ต้องประชุมกันยาว พอเสร็จแล้วต้องมีประชุมแบ่งทีมกับจัดกำลังคนต่ออีก”


    คำตอบของผมทำให้เขาที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างต่อ ชะงักไปชั่วครู่ ท่าทางของเขาบอกชัดว่า สิ่งที่เขาอยากเอ่ยกับผมสำคัญเกินกว่าจะบอกว่า ไม่เป็นไร เอาไว้พูดกันทีหลังก็ได้ เขาไม่อยากปิดบังแล้วเก็บไว้คนเดียว แต่ก็เข้าใจว่า งานของผมเอาแน่เอานอนไม่ได้มากนัก โดยเฉพาะในช่วงของการเปิดคดีใหม่ที่ต้องไล่ล่าหาพยานหลักฐานเท่าที่จะหาได้มาให้มากที่สุดก่อนที่กาลเวลาจะตั้งตัวเป็นผู้ช่วยอาชญากรและทำให้หลายสิ่งสูญหายไปหมด


    “ผมมีเรื่องบางอย่างอยากปรึกษา” ดร. ฟอล์กเนอร์ตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด นั่นยิ่งย้ำถึงความสำคัญและเร่งด่วนของเรื่องที่เขาจำเป็นต้องบอกกล่าว แม้ว่าผมจะยังคาดเดาไม่ออกว่า เรื่องนั้นเป็นเรื่องอะไร
    “ถ้าผมจะไปหาดึกหน่อย ไม่เป็นไรใช่ไหม”


    “ได้ครับ ขอบคุณมาก” เขายิ้มรับ แล้วโอบแขนรอบคอผมไว้เมื่อผมดึงตัวเขาเข้าไปกอดและจูบเขาที่ริมฝีปากหลังจากที่เรามีโอกาสได้อยู่กันตามลำพัง ไม่ได้แนบแน่นมากนัก แต่เนิ่นนานพอที่ทำให้หายคิดถึง ก่อนกองงานที่ทับถมของผมและช่วงฮีทของเขาจะทำให้เราต้องห่างกันไปสักพักในอีกไม่กี่วันข้างหน้า


    เราผละจากกัน แต่ผมอดไม่ได้ที่จะจูบเขาเบา ๆ อีกครั้ง “เลิกงานแล้วผมจะไปหา”


    To be continued...
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
salmonrism (@salmonrism)
แง น่ารักที่สุด