เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Double Death (DTOL OMEGAVERSE AU)piyarak_s
Chapter 2 : Dead Man's Letter
  • คืนนั้น เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินโทเบียส ฟอล์กเนอร์เอ่ยถึงอัลฟ่าคนอื่นอย่างสนิทสนม กังวล ห่วงใย และอาจจะรักใคร่

    นั่นเรียกว่าหึงหวงหรือเปล่า... ก็อาจเป็นไปได้ ถ้าหากคนคนนั้นยังมีชีวิตอยู่

    ร้อยโทเซบาสเตียน อาร์เชอร์ เจ้าของจดหมายที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องว้าวุ่นใจอยู่ในเวลานี้ ตายไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน หนึ่งในแพทย์ที่ลงนามในเอกสารรับรองการเสียชีวิต คือ ตัวของ ดร. ฟอล์กเนอร์เอง และศพของคนคนนั้นก็ถูกฝังในสุสานไฮเกทโดยมีคนในกองทัพ รัฐบาล ญาติพี่น้อง และมิตรสหายมากมายอยู่ร่วมในพิธี


    ดังนั้น อารมณ์ของผมที่มีต่อในเวลานี้จึงเป็นความห่วงใยในตัวของ ดร. ฟอล์กเนอร์ที่อยู่ในภาวะงุนงงและสับสนอย่างที่ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อนมากที่สุด รองลงมาก็คือความสนเท่ห์ เพราะจดหมายจากคนที่ตายไปแล้วที่ถูกส่งมาหาแพทย์นิติเวชที่นั่งอยู่ตรงหน้าของผมเหลือเชื่อเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็จริงจังเกินกว่าจะเป็นเรื่องกลั่นแกล้งกันเล่น และการพิสูจน์ลายมือหรืออะไรก็ตามที่อยู่บนจดหมายที่ระบุว่าถูกส่งจากเขต N6 หรือไฮเกตดิสทริคท์ก็ไม่ใช่เรื่องที่แล็บของตำรวจนครบาลจะทำให้ได้ ต่อให้แล็บนิติวิทยาศาสตร์เอกชนเก็บลายมือที่อาจหลงเหลืออยู่บนจดหมายและซองได้ก็ใช่ว่าจะหาตัวคนส่งได้ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปเปรียบเทียบกับลายมือของใครที่ไหน นอกจากของพวกเรากันเอง ซึ่งแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย


    ถึงจะเป็นจดหมายสั้น ๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ผมก็อ่านข้อความในจดหมายฉบับนั้นซ้ำอีกครั้ง เพราะมีอะไรหลายอย่างในนั้นที่รบกวนจิตใจของผมอย่างบอกไม่ถูก



    “โทบี้ที่รัก

    ยังจำเพื่อนคนนี้ของนายได้หรือเปล่า เราอยู่บ้านเดียวกันสมัยอยู่โรงเรียนประจำ หลังจากแยกย้ายกันไปตอนเรียนมหาวิทยาลัย เราก็ได้เจอกันอีกที่อัฟกานิสถานโดยบังเอิญ ฉันทำงานให้กองทัพ ส่วนนายเป็นอาสาขององค์กรแพทย์ไร้พรมแดน การได้เจอนายเหมือนมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นในชีวิตของฉัน แต่น่าเสียดายที่เหตุการณ์ที่คุนดุซทำให้เราต้องแยกจากกัน

    วันพฤหัสที่ผ่านมา ฉันเห็นนายที่ศาลโคโรเนอร์ เขตเวสต์มินสเตอร์ และสืบข่าวได้ว่า นายกลับมาประจำอยู่ที่ลอนดอนแล้ว แม้ว่านายจะปฏิเสธ ไม่ยอมให้ฉันเป็นมากกว่าเพื่อนสำหรับนายถึงสองครั้ง แต่ตลอดเวลาที่รู้จักกัน นายเป็นเพื่อนที่ซื่อตรงและไว้ใจได้สำหรับฉันเสมอ ตอนนี้ ฉันมีปัญหาสำคัญที่ไม่สามารถจะติดต่อนายทางอีเมล์หรือโทรศัพท์ได้ ต้องพูดคุยกันแบบตัวต่อตัวเท่านั้น มาพบกันที่รีเจนต์สพาร์ก ฝั่งถนนเบเคอร์ บริเวณสะพานข้ามทะเลสาบ ในวันที่ 17 เมษายน เวลา 13.00 น. ได้โปรดเชื่อฉันนะ โทบี้ นายเป็นคนเดียวที่จะช่วยฉันได้ อย่าปฏิเสธคำขอนี้ของฉันเลย

                   
         รักนายเสมอ
    เซบาสเตียน อาร์เชอร์”






    เมื่อผมเงยหน้าขึ้นจากจดหมาย และมอง ดร. ฟอล์กเนอร์ซึ่งมองตอบผมกลับมาจากเก้าอี้ที่เขาลากมานั่งข้างเตียง ริมฝีปากของเขาปิดสนิท มือทั้งสองวางอยู่บนเข่า สายตาของเขาที่ทอดจับบนใบหน้าของผมมีความคาดหวังในคำตอบบางอย่าง


    “คุณหมอรู้จักสำนวน ‘ความอยากรู้อยากเห็นทำให้แมวตายได้’ ใช่ไหม”


    ดวงตาสีเขียวของเขามีประกายบางอย่าง ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม


    “สารวัตรคิดว่า ผมจะไปพบเขาตามที่มีจดหมายมาขอนัดเหรอครับ”


    “ถ้าคุณหมอไม่คิดจะไป ก็คงแค่บอกผมเรื่องจดหมายกับข้อความที่อยู่ในนั้นเฉย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องถามความเห็นของผมอีก แต่คุณหมอมาถามความเห็นของผมด้วยท่าทีจริงจังขนาดนี้ ต่อให้ตัดสินใจไม่ไปทีหลัง แต่ความคิดแรกและเป็นความคิดที่คงจะยังมีอยู่ถึงตอนนี้ คือ อยากไปพบเพื่อให้รู้แน่ว่า คนที่ส่งจดหมายมาเป็นใคร ทำไมถึงได้มีข้อมูลของคุณหมอและเพื่อนเก่าที่คนอื่นไม่น่าจะรู้แบบนี้มากกว่า”


    ดร. ฟอล์กเนอร์ถอนใจเบา ๆ “ผมปิดสารวัตรไม่ได้เลย”


    “เพราะคุณหมอไม่คิดจะปิดบังเรื่องนี้กับผมต่างหาก” ผมสบตาเขา “ขอบคุณที่ไม่คิดจะเผชิญปัญหานี้เองคนเดียว โดยไม่ยอมให้ผมร่วมรับรู้กับคุณด้วย”


    “ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่คิดจะบอกใคร...” เขาสบตาตอบผม ก่อนหลับตาลง เอียงศีรษะเข้าหามือของผมที่เอื้อมออกไปสัมผัสใบหน้าของเขา ถ้าหากเขาอยู่ในร่างของแมว ผมอาจได้ยินแมวตัวใหญ่ที่อยู่กับผมตรงนี้ทำเสียงในลำคอเมื่อผมไล้นิ้วตามแนวกรามและข้างแก้มของเขาเบา ๆ ต่างจากแต่ก่อนนี้ที่เขามักยังมีท่าทีระแวดระวัง โดยเฉพาะเวลาอยู่กับคนอื่น


    ถึงเขาจะยินดีเปิดเผยเหตุการณ์ซึ่งเป็นที่มาของจดหมายที่ไม่รู้ที่มาที่ไปฉบับนี้ แต่นั่นเป็นความลับเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งในชีวิตที่ผ่านมาของเขาที่ผมเพิ่งได้รับรู้ และรอวันที่เขาจะเอ่ยบอกให้ผมได้รู้จักเขามากขึ้น


    “บ่ายโมงเป็นช่วงพักกลางวันพอดี ผมจะไปเป็นเพื่อน”


    โทเบียส ฟอล์กเนอร์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มอบรอยยิ้มให้ผมแทนคำขอบคุณ แต่ยังมีท่าทีกังวล “รบกวนสารวัตรหรือเปล่า”


    “ถ้าคิดว่าผมเป็นเพื่อนที่คุณหมอไว้ใจ หรือพอจะมีประโยชน์กับคุณบ้าง ก็ไม่ควรปฏิเสธ”


    ข้อเสนอนั้นทำให้เขาหัวเราะออกมาได้ในที่สุด

    “เป็นเหตุผลที่ฟังดูดีกว่า ‘เพราะคุณเป็นโอเมก้า’ มากเลยละครับ”


    “ที่ปฏิเสธผู้หมวดอาร์เชอร์ไปสองหน มีเหตุผลนี้รวมอยู่ด้วยหรือเปล่า นอกจากว่า คุณหมอไม่ได้รักเขาเกินเพื่อน” ผมถามเขาตรง ๆ


    เขาเลิกคิ้วน้อย ๆ แล้วทำเสียงอืมในลำคอ แต่รอยยิ้มที่มีอยู่ก่อนหน้ายังไม่หายไปจากริมฝีปาก และไม่ได้ปฏิเสธ เมื่อผมดึงเขามาที่เตียง ซึ่งเริ่มมีหมอนอิงและหมอนหนุนกองสุมกันเพิ่มขึ้นจากครั้งสุดท้ายที่ผมแวะมาหา และเมื่อโอเมก้าเริ่มสร้าง ‘รัง’ ตามสัญชาตญาณของเพศแม่ที่สร้างรังที่ปลอดภัยสำหรับตัวเองและลูกที่จะเกิดมา หมายความว่า ช่วงฮีทของเขากำลังจะมาถึงภายในไม่เกินหนึ่งหรือสองวันนี้ นั่นอาจเป็นเหตุผลให้เขาอยากรีบจัดการทุกอย่างให้รู้เรื่องเสียก่อนช่วงเวลานั้นจะมาถึง และทำให้เขาไม่มีสติมากพอที่จะทำงานไหว ซึ่งถ้าหากรอให้เขาพ้นช่วงฮีทไปก่อน ทุกอย่างอาจล่าช้าเกินไป


    “ที่สารวัตรพูดมา ไม่มีข้อไหนผิดเลยครับ” แพทย์นิติเวชยอมรับ เอนตัวลงนอนในที่ของตัวเองอย่างว่าง่าย เอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟอ่านหนังสือที่หัวเตียง ขณะที่ผมเดินไปปิดสวิตช์ไฟในห้องนอนที่อยู่ข้างประตู “สารวัตรทราบได้ยังไงว่า จดหมายนั่นพูดเรื่องส่วนตัวที่มีเฉพาะเซ็บกับผมที่รู้กันจริง ๆ”


    “เดาจากเรื่องที่เขาขอคบกับคุณหมอ” ผมบอก กลับมานอนบนที่ว่างอีกด้านหนึ่งของเตียงที่เขาเคยนอนคนเดียว แต่กลายเป็นที่ของผมส่วนหนึ่งในบางคืน พลิกตัวหันหน้าไปทางที่เขานอนอยู่ “คุณหมอไม่ใช่คนที่จะพูดเรื่องส่วนตัวกับใคร และถ้าอีกฝ่าย เอาไปพูดว่าเขาโดนคุณหมอปฏิเสธ คุณหมอคงไม่พูดถึงเขาด้วยท่าทีเป็นมิตรอย่างตอนที่เล่าเรื่องเขาให้ผมฟัง แต่จดหมายนั้นมีอะไรแปลก ๆ อยู่ และไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่ได้เขียนด้วยลายมือตัวเอง หรือเขาตายไปแล้ว”


    คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน “คืออะไรครับ”


    ผมขอให้ ดร. ฟอล์กเนอร์ส่งจดหมายฉบับนั้นมาให้ผมอีกครั้ง เขาขยับเข้ามาหา หนุนหมอนใบเดียวกันกับผมเพื่อจะได้ดูข้อความในจดหมายไปพร้อมกัน


    “จดหมายฉบับนี้แปลกตั้งแต่การแนะนำตัวแล้ว” ผมอธิบาย และไล่นิ้วไปตามแต่ละบรรทัดของข้อความ


    “เขาพยายามเน้นย้ำความสัมพันธ์ของคุณหมอกับเขาอยู่หลายครั้ง และพยายามให้ข้อมูลที่จะทำให้คุณหมอรู้ว่า เขารู้เรื่องส่วนตัวของคุณหมอกับผู้หมวดอาร์เชอร์ เขาอาจตั้งใจให้คุณหมออ่านแล้วรู้ตั้งแต่แรกเลยว่า เขาไม่ใช่ตัวจริง โดยเฉพาะเมื่อคุณหมอเป็นคนรับรองรายงานการเสียชีวิตของผู้หมวดอาร์เชอร์เอง แต่ผมสะดุดใจกับย่อหน้าถัดมามากกว่า”


    ผมสอดแขนเข้าไปโอบบ่าคนข้างตัว ดึงเขาเข้ามาหา ให้เขาหนุนไหล่และต้นแขนของผม เพื่อให้เขาอยู่ในท่านอนที่สบายมากขึ้น ไหล่ของเขาเหมือนจะตึงอยู่เล็กน้อย เพราะการทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อและอาจต้องก้มอยู่เป็นเวลานานพอสมควร ทั้งการชันสูตรศพและงานเอกสารในออฟฟิศ


    ดร. ฟอล์กเนอร์ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีนั้นของผม เขาเบียดตัวเข้ามาหา และอิงศีรษะกับตัวผม แล้วรับจดหมายจากผมมาถือ เพื่อที่ผมจะได้มือว่างพอสำหรับชี้จุดสังเกตในจดหมายนั้นต่อได้ และต้องขอบคุณที่เขาใช้สเปรย์กลบกลิ่นฟีโรโมนจนเหลือแค่กลิ่นประจำตัวอ่อนจางพอสัมผัสได้ เพราะไม่เช่นนั้น สติของผมคงเตลิดไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่วินาทีที่เขาขยับเข้ามาใกล้จนเส้นผมสีทรายของเขาระข้างแก้มของผมแล้ว


    “ถ้าพิจารณาในทิศทางเดียวกับที่สารวัตรมอง การบอกว่าพบผมที่ศาลโคโรเนอร์ เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ซึ่งผมก็ไปที่นั่นจริง ๆ อาจแฝงนัยว่า เขาจับตามองผมอยู่ มีข้อมูลว่าผมทำงานอยู่ที่ไหน มากกว่าบังเอิญเห็น ก็เลยตามหา เพื่อที่จะพูดคุยด้วยสินะครับ” เขาตั้งข้อสังเกตต่อจากที่ผมกล่าวค้างไว้


    “ผมเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น คุณหมอ แต่ผมอาจมองโลกในแง่ร้ายเกินไปก็ได้” ผมว่า “อีกเรื่อง คือ การเรียกคุณหมอด้วยชื่อเล่น แต่กลับลงท้ายจดหมายด้วยชื่อจริงของตัวเอง แทนที่จะใช้ชื่อเล่นอย่างที่คุณหมอเรียกเขา เหมือนเขาอยากป้องกันความผิดพลาดเรื่องที่หมออาจเข้าใจว่าเป็นคนละคน ทั้งที่ตอนแรกก็ให้ข้อมูลส่วนตัวที่แทบไม่ต้องเฉลยเพิ่มคุณหมอก็คงเข้าใจได้ทันทีว่า เจ้าของจดหมายเป็นใคร”


    ได้คำตอบที่พอใจแล้ว ดร. ฟอล์กเนอร์ก็พยักหน้ารับ และเบนหน้ามาหาผม


    “มีใครเคยบอกหรือยังครับว่า สารวัตรเหมาะที่จะทำงานเป็นตำรวจ โดยเฉพาะงานสืบสวนหาความจริง”


    “แมรี่เป็นคนแรกที่พูดประโยคนี้กับผม และเป็นคนเดียวที่สนับสนุนให้ผมทำอาชีพนี้” ผมตอบเขาตามตรง เขาเคยพบภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วของผมมาแล้ว ก่อนที่เราจะรู้จักกัน “คุณหมอเป็นคนที่ช่วยยืนยันคำพูดนั้นให้ผมมั่นใจในตัวเองอีกหน”


    “ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะครับ” เขายิ้มน้อย ๆ และสนองตอบเมื่อผมจูบเขาเบา ๆ


    เราอาจโชคดีที่ได้พบกันตอนที่ต่างคนต่างมีวุฒิภาวะมากพอ และผ่านเรื่องราวมาหลายอย่างจนตระหนักดีว่า ควรวางเรื่องคนของปัจจุบันกับคนของอดีตไว้ตรงไหน


    ดร. ฟอล์กเนอร์เก็บจดหมายจากคนที่ตายไปแล้วแต่กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาหาเขาฉบับนั้นกลับลงไปในซอง พลิกตัวไปจากผม วางไว้บนโต๊ะหัวเตียง เขายังไม่ได้ปิดสวิตช์โคมไฟอ่านหนังสือ แต่หันกลับมา ใช้ศอกยันทรงตัวเอาไว้ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน แล้วโน้มตัวลงมาหาผม


    “สารวัตรช่วยแก้ปัญหาให้ผมได้อย่างหนึ่งแล้ว ผมคิดว่าควรมีอะไรแลกเปลี่ยนบ้าง”


    นัยบางอย่างในสายตาที่มองมามีความหมายบางอย่างเป็นพิเศษ และผมคิดว่า ผมรู้ความหมายนั้น


    “บอกผม คุณหมอ เรื่องที่ว่าคืออะไร”


    “ผลการชันสูตรศพฮันนาห์ วัตกิ้นส์ ผู้ตายที่เราพบที่คูนาร์ดเพลสเมื่อเช้านี้” แพทย์นิติเวชเอ่ย ไม่เหลือรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาอีกแล้ว “สาเหตุการตายมาจากการขาดอากาศหายใจ กระดูกกล่องเสียงแตก มีเลือดคั่งบริเวณกล้ามเนื้อด้านในของลำคอ บนร่างกายไม่มีบาดแผลที่เป็นร่องรอยของการต่อสู้ และไม่พบ cadaveric spasm หรือการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลังตายที่มักจะพบในคนที่เสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ เป็นไปได้ว่า เธอเสียชีวิตในระยะเวลาอันสั้นหลังจากถูกรัดคอ”


    ‘สิ่งแลกเปลี่ยน’ ของเขาทำให้ผมผุดลุกขึ้นนั่งแทบทันที และก่อนที่ผมจะเอ่ยปากอุทานออกไปว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ผมก็ฉุกใจคิดขึ้นได้ว่า การรัดคอให้คนตายได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะลงมือทำได้


    Choke Hold เป็นยุทธวิธีของทหารและตำรวจในการควบคุมคนร้ายที่ดิ้นรนขัดขืน ถ้าระมัดระวัง อย่างมากที่สุดก็อาจทำให้คนที่ถูกควบคุมหมดสติ แต่ไม่ถึงกับทำให้เสียชีวิต แต่ถ้ารุนแรงเกินไปหรือเกิดความผิดพลาดก็ทำให้ขาดอากาศหายใจ


    ผมมอง ดร. ฟอล์กเนอร์ และเขามองผมตอบกลับมา สายตาของเราต่างบอกกันและกันว่า ความคิดเราไม่ต่างกัน


    ถึงการตายของโอเมก้าสาวคนหนึ่งดูไม่เกี่ยวข้องกับจดหมายลึกลับนั้น แต่สังหรณ์ของตำรวจเตือนผมว่า มันอาจเกี่ยวข้องกันก็ได้



    To be continued
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
salmonrism (@salmonrism)
คดีใหม่น่าระทึกใจมากเลยค่ะ><
salmonrism (@salmonrism)
คดีใหม่น่าระทึกใจมากเลยค่ะ><