เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
A Little Me Timeชุติมา
นอกจากปวดหลังแล้ว ฉันยังต้องมาปวดใจในวัย30
  •               เมื่อเราคิดว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้มันคือ The one จากคนที่คลั่งรักอยู่แล้วมันจะยังคลั่งไปกว่านี้ได้อีกหลายหลายพันเท่า เราพูดได้เต็มปากเลยว่า เราเป็นคนบูชาความรักมากๆ ชีวิตขับเคลื่อนด้วยความรักและคนรัก และมันตัดสินไม่ได้เลยว่าดีหรือไม่ดี ในการที่คนคนนึงเอาความรักเป็นตัวดำเนินชีวิต เพราะทุกอย่างมีสองด้านเสมอ
      
                   และตอนที่เราอยู่ในวังวนเรามองไม่เห็นหรอกว่าอะไรคืออะไร อาจจะเพราะมันใกล้ไปจนโฟกัสไม่ได้ หรือไม่ก็เราหลอกตัวเองว่ามันโอเคแหละ เรื่องตลกคือ ทุกคนตัดสินใจเก่งและมองทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลมาก เมื่อมันเป็นเรื่องราวของคนอื่น แต่พอมันเป็นเรื่องของตัวเองเรากลับ ตัดสินใจอะไรไม่ได้เลย มันดูน่าสับสนไปหมด แต่เมื่อความสัมพันธ์นั้นมันต้องจบลงจริงๆ ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม แน่นอนอยู่แล้วว่าความเสียใจมันคือสิ่งที่เราต้องเจอเป็นอย่างแรก แต่มันจะแย่มากขึ้นมาอีกหน่อย ถ้าเราคือคนที่ถูกเลือกให้เป็นคนถูกทิ้ง ในความสัมพันธ์ที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะต้องจบลง และความรู้สึกแย่ๆต่างๆจะตามมาทีหลัง ความไม่เข้าใจ ความทำไมวะ ความสับสน มันมาหมดทุกอารมณ์ในด้านลบๆที่คนๆนึงจะรู้สึกได้
      
                   มันจะแย่ขั้นกว่าไปอีก ถ้าเราในช่วงนั้นอยู่ไกลจากบ้านจากเพื่อนจากครอบครัว เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต่อให้เป็นคนรักสันโดษมากแค่ไหนก็ตาม ในช่วงเวลาที่เราเจ็บปวด ช่วงเวลาที่เราสูญเสียสิ่งที่เรารักไป เราต้องการคนที่อยู่ข้างๆเรา และมันแบบไม่ใช่ใครก็ได้ คนคนนั้นต้องเข้าใจในความเป็นเรา รู้จักความเป็นไปในชีวิตของเรา ในระดับที่เราจะเสียใจฟูมฟายแค่ไหนและพูดเรื่องเดิมๆซ้ำๆได้แบบไม่ต้องกังวลว่าเค้าจะรำคาญ แต่พอความห่างไกลมันทำให้เราต้องเผชิญช่วงเวลานั้นตามลำพัง มันหาคำมาบรรยายความรู้สึกนั้นไม่ได้เลยจริงๆ ว่ามันรู้สึกเจ็บลึกแค่ไหน ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีให้เราได้ไลน์หาเพื่อนหรือคอลไปร้องไห้ให้เพื่อนฟังได้แล้วก็ตาม มันก็ยังไม่สามารถแทนความรู้สึก ได้นั่งโง่ๆร้องไห้กับเพื่อน โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรสักคำ หรือแบบการที่ได้โทรไประบายให้เพื่อนฟังทุกวัน มันยังไม่รู้สึกดีเท่าการได้กอดกันแค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ
      
                 ไม่มีความรู้สึกไหนคงอยู่ตลอดไป ทุกความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นเดี๋ยวมันก็หายไป หรือมันอาจจะไม่ได้หายไป แต่มันก็จะค่อยๆจางไป และเราอาจจะค่อยๆรู้สึกน้อยลง ตัวช่วยสำคัญที่สุดก็คือเวลา ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นใหม่ๆ เราคิดไม่ออกเลยจริงๆว่าจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ยังไง ไกลเพื่อน ไกลบ้าน และการงานไม่โอเคเลยช่วงนั้น  ความรู้สึกของเราตอนนั้นคือ เหมือนเราเดินอยู่บนถนนเส้นเดิมที่เดินอยู่ทุกวัน แล้วอยู่ๆก็มีคนยิงเรา แล้วยิงด้วยปืนเอ็มสิบหก คือรัวไม่ยั้ง และเราอยู่ในโหมดที่ไม่มีทางเลือก ต่อให้เค้าจะยิงเราจนพรุนแค่ไหน เรามีหน้าที่ต้องเดินต่อไป ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม ตอนนั้นเราได้แต่บอกตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป อดทน คิดการใช้ชีวิตแค่วันต่อวัน แบบผ่านไปได้ในแต่ละวันคือเก่งมากแล้ว  จะว่าตลกไหมมันก็ตลกร้ายนะเอาจริง เราคิดว่าเราเสียใจมากแล้วในอาทิตย์สองอาทิตย์แรก กินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ไม่เลย เหมือนเราเสียใจแหละแต่มันยังอยู่ในโหมดช็อคอยู่ เหมือนคนไม่ทันตั้งตัว เป็นความเจ็บที่เหมือนมีอาการช็อคเป็นยาชา 
                พอเริ่มเข้าอาทิตย์ที่สามสี่ห้าหก ยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ คำว่าสติเริ่มเข้ามาแทน พอเริ่มมีสติเราก็เริ่มคิดได้ว่า มันเกิดขึ้นแล้ว และที่ผ่านมามันคือเรื่องจริงทั้งหมด ตอนนั้นแหละ อาจจะร้องไห้ก่อนนอนน้อยลงหน่อย แต่ความเจ็บปวดข้างในมันตรงข้ามกับน้ำตา สำหรับเรา ขอเรียกมันว่า จุดเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ณ จุดนี้ มันจะเป็นอารมณ์รู้แล้วว่ามันเกิดขึ้นจริง แต่ยอมรับได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนมากจะหนักไปทางรับไม่ได้ มันจะมีความสับสนเกิดขึ้นเยอะในใจและวุ่นวายไปหมด เอาจริงจุดนี้รับมือยากมาก สำหรับเราคือยากที่สุดแล้ว เพราะอารมณ์มันจะสวิงแบบหาเหตุผลอะไรไม่ได้เลย และเป็นจุดที่ไม่รู้จะรับมือกับมันยังไงดี สูตรที่ใช้ในช่วงอาทิตย์แรกๆ ที่แค่ขอให้ผ่านไปได้แต่ละวันมันเริ่มใช้ไม่ได้แล้ว เพราะพอเรามีสติสมองจะเริ่มทำงานอย่างเต็มที่ คือเชื่อเลยว่าสมองคนเราไม่มีวันหยุดทำงานแม้แต่ตอนเราหลับ บางทีก็ยังเข้ามาหลอกหลอนถึงในฝัน

                สิ่งที่เราเรียนรู้ ณ ตอนนั้นคือ พยายามทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น(อันนี้พูดง่ายแต่ทำยากมาก แต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้) อย่าหลอกตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือปล่อยให้ตัวเองได้รู้สึก ไม่ต้องรับบทเป็นนางเอก เราเสียใจ เราโดนทำร้ายความรู้สึกจากคนที่เรารัก ดังนั้นมันมาหมดแน่นอน ทุกอารมณ์ร้ายๆที่คนคนนึงจะรู้สึกได้ โมโห ไม่เข้าใจ โกรธ อยากโทรไปด่าให้มันรู้แล้วรู้รอดไป การปล่อยให้ตัวเองรู้สึกเหมือนเป็นการค่อยๆปลดล็อคความเจ็บปวด มันเหมือนกับแผลที่ถูกยิงค่อยๆสมาน
    จากวันแรกที่เรื่องเกิดขึ้นเราคิดไม่ออกเลยว่าเราจะผ่านมันไปได้ยังไง แต่ตอนนี้รู้ตัวอีกที เรื่องมันก็ผ่านมาสี่เดือนกว่าแล้ว จะว่าไวมันก็ไวมาก จะว่าเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานก็ได้เหมือนกัน คือความรู้สึกมันไปได้ทั้งสองทาง แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือ มันไม่ได้เจ็บปวดและทรมานเหมือนตอนแรกแล้ว เหมือนแผลมันสมานเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นแล้ว แต่ถ้ามีอะไรมาสะกิดแผลมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะยังรู้สึกอยู่ 
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in