เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
รีวิวเว้ย (3)Chaitawat Marc Seephongsai
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ By ศิวพล ชมภูพันธุ์
  • รีวิวเว้ย (1353) คำถามอย่าง "อาวุธนิวเคลียร์ของอังกฤษจำนวน 500 ลูก มิได้เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐอเมริกาเท่ากับการที่เกาหลีเหนือครอบรองนิวเคลียร์จำนวน 5 ลูก" (น. 165) หรือกระทั่งเหตุแห่งการบุประเทศอีรักของาหรัฐอเมริกา จากการที่มีข่าวว่าประเทศดังกล่าวถือครองหัวรบนิวเคลียร์กระทั่งนำไปสู่เหตุแห่งสงครามในตะวันออกกลางหลัง ค.ศ. 2000 สิ่งเหล่านี้ไม่ง่ายที่จะหาคำตอบของคำถามเหล่านั้นว่า ทำไม อย่างไรและเพราะอะไร โดยเฉพาะเมื่อเรามองเหตุการณ์หนึ่ง ๆ จากมุมมองเพียงมุมมองเดียวเราอาจจะได้คำตอบแบบหนึ่ง หากแต่เมื่อเราเอาเหตุการณ์เดียวกันแต่มองด้วยมุมมองที่แตกต่างเราอาจจะได้เห็นคำตอบของคำถามและทางออกของปัญหาที่แตกต่างกันไป มุมมองดังที่ได้กล่าวถึงนั้นเมื่อเรียกชื่อมันในทางวิชาการ เราอาจจะแทนมุมมองเหล่านั้นได้ด้วยคำว่า "ทฤษฎี" แน่นอนว่าทฤษฎีเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการศึกษา ทำความเข้าใจและแสวงหาคำตอบบางประการณ์ของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทั้งในทางสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สิ่งสำคัญที่เราต้องไม่ลืมคือรากฐานของการเป็น "เครื่องมือ" ของทฤษฎีเหล่านั้น เมื่อเราให้ภาพแทนว่า "ทฤษฎี คือ เครื่องมือ" เช่นนั้นมันยอมมีมากกว่า 1 เครื่องมือเสมอ เพราะถ้าเราลองมองในมุมเปรียบเทียบเราเคยเห็นบ้านหลังไหนบ้างที่สร้างขึ้นมาจากไขควงเพียงชิ้นเดียว หากมองในมุมนี้การประกอบสร้างองค์ความรู้ผ่านทฤษฎีก็คงมีสถานะไม่ต่างกัน
    หนังสือ : ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ทฤษฎี และกรณีศึกษาในโลกร่วมสมัย
    โดย : ศิวพล ชมภูพันธุ์
    จำนวน : 226 หน้า
    .
    "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ทฤษฎี และกรณีศึกษาในโลกร่วมสมัย" ตำราทางวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่เกิดขึ้นจาก "โครงการผลิตตำราจากเอกสารการสอนของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช" ที่มุมเน้นการบอกเล่าและส่งต่อองค์ความรู้ในเรื่องของทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    .
    โดยที่เนื้อหาของ "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ทฤษฎี และกรณีศึกษาในโลกร่วมสมัย" อยู่ในรูปแบบของการเขียนตำราทางวิชาการ ซึ่งรูปแบบของการเขียนตำรานั้นจะมีความชัดเจนในหัวข้อที่นำเสนอในแต่ละส่วน/บท และในแต่ละส่วน/บท จะมีการขมวดปมเพื่อเป็นการสรุปภาพรวมของสิ่งที่ถูกบรรยายขยายความเอาไว้ในแต่ละส่วน/บท อย่างชัดเจน ซึ่งเนื้อหาของ "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ทฤษฎี และกรณีศึกษาในโลกร่วมสมัย" นำเสนอเรื่องของ "ทฤษฎี" ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่เป็นพื้นฐานและเป็นทฤษฎีที่มีการใช้งานอยู่เนื่อง ๆ ในวงวิชาการ อันได้แก่ (1) สัจนิยม (Realism), (2) เสรีนิยม (Liberalism), (3) สำนักอังกฤษ (English School), (4) ประกอบสร้าง (Constructivism) และ (5) มาร์กซ์ (Marxism) ที่วิธีการในการเล่าเรื่องของ "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ทฤษฎี และกรณีศึกษาในโลกร่วมสมัย" คือการพาผู้อ่านไปทำความเข้าในพัฒนาการ การเกิดขึ้นของทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแต่ละแบบ บอกเล่าถึงที่มา ความสำคัญ และการหยิบใช้ในการอ่านปรากฏการณ์ทางสังคมต่าง ๆ ผ่านวิธีการของทฤษฎีแต่ละแบบ แต่ละสำนัก
    .
    ซึ่งเนื้อหาของ "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ทฤษฎี และกรณีศึกษาในโลกร่วมสมัย" แบ่งออกเป็นบทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
    .
    บทที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: บทนำทางทฤษฎีและวิธีการศึกษา
    .
    บทที่ 2 พัฒนาการแนวคิดด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    .
    บทที่ 3 สัจนิยมกับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    .
    บทที่ 4 เสรีนิยมกับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    .
    บทที่ 5 สำนักอังกฤษกับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    .
    บทที่ 6 ทฤษฎีประกอบสร้างกับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    .
    บทที่ 7 มาร์กซ์กับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    .
    คำส่งท้าย
    .
    เมื่ออ่าน "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ทฤษฎี และกรณีศึกษาในโลกร่วมสมัย" และหากเราย้อนกลับไปมองข้อคำถามในหน้าที่ 165 ที่ถามเกีายวกับเรื่องการถือครองอาวุธนิวเคลียร์เอาไว้ว่า "อาวุธนิวเคลียร์ของอังกฤษจำนวน 500 ลูก มิได้เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐอเมริกาเท่ากับการที่เกาหลีเหนือครอบรองนิวเคลียร์จำนวน 5 ลูก" คำตอบที่เราจะใช้ในการตอนคำถามข้อดังกล่าวอาจจะมีแตกต่างหลากหลายกันออกไป หากเรานำเอาทฤษฎีต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ใน "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ทฤษฎี และกรณีศึกษาในโลกร่วมสมัย" มาลองใช้ในการตอบคำถาม แต่แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่จะปรากฏอยู่ในคำตอบไม่ว่าจะมองจากมุมมองหรือทฤษฎีใดก็ตาม เราจะพบว่าไม่ว่าจะมองจากด้านไหน หรือมุมใดเพื่อหาคำตอบและหาทางออกจากคำถามข้อนี้นั้น สิ่งที่จะติดตามไปเสมอ ๆ คือเรื่องของ "ความท้าทาย" ในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือกระทั่งระหว่างรัฐต่อกลุ่มรัฐ (ทั้งแบบกลุ่มทางการ/และไม่ทางการ) และ "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ: ทฤษฎี และกรณีศึกษาในโลกร่วมสมัย" ได้แสดงให้เราเห็นแล้วว่าเพราะมี "ความท้าทาย" เกิดขึ้นตลอดเวลา วิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงต้องมีพัฒนาการและพลวัตที่เติบโต ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับความท้าทายต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างไม่หยุดนิ่ง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in