“ลุกได้แล้ว อย่ามัวแต่เหม่อ” ซิดจ์ตีไหล่เรียกสติลูคจากห้วงคิดเมื่อเห็นว่ารถรางกำลังจะออกตัวเด็ก ๆ เดินหอบหิ้วสัมภาระออกจากสถานีชานเมืองมุ่งหน้ากลับบ้านในซอยกลูมมี่ด้วยกัน
นอกสถานีค่อนข้างเปลี่ยวร้างผู้คนฝูงนกเป็ดน้ำบินเฉียงผ่านริ้วเมฆสีดำคล้ำแผ่ปกคลุมท้องฟ้ายามพลบค่ำให้ดูมืดทึบยิ่งขึ้นไปอีกสายลมพัดกลิ่นฝนเย็นชื้นเข้าใส่ใบหน้าสร้างความรู้สึกอึดอัดหากไม่มีเสาไฟที่กระพริบติด ๆ ดับ ๆ อยู่ไม่กี่ต้นคอยส่องทางพวกเขาต้องเดินตกลงไปในท่อน้ำทิ้งที่เปิดอ้าทิ้งไว้บนพื้นทางเท้าแล้วแน่
“อาจารย์โจชัวโคตรใจดีเลยเนอะถึงฉันจะไม่เข้าใจว่าการถอดความโลหะมันทำกันยังไงก็เถอะนายเห็นเปล่าว่าอาจารย์แกแค่เอาแว่นหน้าตาประหลาดนั่นไปส่อง ๆ ดูที่แผ่นเหล็กแกก็พูดได้เป็นตุเป็นตะว่ามีข้อความอะไรแฝงอยู่ในนั้น” ซิดจ์เอ่ยพลางหาววอดใหญ่เพราะขาดนอนมาทั้งคืน
“สมกับเป็นนักถอดความโลหะที่ดังที่สุดในยุคเหล็กฉันล่ะอยากให้เขามาสอนแทนอาจารย์บาร์ทกับอาจารย์มัวราห์จริง ๆ”
ลูครู้ว่าความจริงเรื่องเดียวที่ซิดจ์ชอบในตัวอาจารย์โจชัวก็คือเขาปล่อยให้เด็กนักเรียนนอนหลับในคาบได้อย่างเป็นสุขไม่เหมือนกับอาจารย์บาร์ทหรืออาจารย์มัวราห์ที่จ้องจับผิดใครก็ตามที่ละสายตาจากกระดานหน้าห้องเรียน
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้าที่เซ็นเตอร์อาร์ค” ซิดจ์หาวอีกวอดใหญ่ก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าบ้านไป
ลูคใช้เวลาทั้งคืนสะสางการบ้านของสัปดาห์เรียนที่ผ่านมาเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังแว่วมาจากนอกบานหน้าต่างในห้องนอนหลังจากที่เขาเขียนตัวสะกดตัวสุดท้ายของคำว่ามรกตในเรียงความวิชาอัญมณีพยากรณ์เรื่อง การทำนายอนาคตด้วยมรกต ของอาจารย์อเลเซียได้ไม่นานเขาละจากโต๊ะเขียนหนังไปสือไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ในครัวเดซี่กำลังยืนเคี่ยวแยมส้มส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งทั่วห้อง
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ” แม่หันมาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“มีขนมปังอยู่บนตู้เย็นไปหยิบมาใส่เครื่องปิ้งสิจ๊ะ --แล้วทำไมตาถึงดำเป็นหมีแพนด้าอย่างนั้น” เธอละมือจากหม้อแยมมาบีบแก้มตรวจสอบรอยใต้ตาของลูกชาย
“ออ… ช่วงนี้การบ้านเยอะครับ” ลูคแก้ตัวถู ๆ ไถ ๆ
“ดูแลตัวเองให้ดี ๆ แม่ไม่อยากให้ลูกป่วยช่วงนี้อากาศก็ไม่ค่อยจะดีอยู่ด้วย” เดซี่ถอนหายใจก่อนจะกลับไปหน้าเตา
“แม่เคยได้ยินเรื่องของตระกูลแกรนด์โกสต์มาบ้างไหมครับ”
มันคือหนึ่งในความคิดที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขามานานกว่าสัปดาห์นับตั้งแต่คราวก่อนที่ได้ยินเรื่องความร้าวฉานระหว่างตระกูลนี้จากปากของฌองกับน้าจูเลีย
แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ลูคถามคำถามนี้กับแม่
“กะ… แกรนด์โกสต์ งั้นเหรอจ๊ะ” เดซี่เอ่ยเสียงกระตุกก่อนจะวางมือจากไม้กวนแยมลงเสียดื้อๆ
ลูคละมือจากตะกร้าขนมปังไปมองแม่ของตน
“ครับ พวกแกรนด์โกสต์ ที่มีคฤหาสน์หลังใหญ่โตอยู่ในเซนต์ฟรานซิสนั่นน่ะครับ”ลูคทวนอีกครั้ง
“ไม่นี่จ๊ะ แม่ไม่เคยรู้จักคนพวกนั้นมาก่อนเลยแม่ว่าลูคควรเลิกคิดเรื่องที่ไม่น่าคิดพรรคนั้นแล้วเอาเวลาไปตั้งใจเรียนเสียให้มากนะจ๊ะ” เดซี่ปั้นสีหน้ายิ้มแย้มใส่เขาก่อนจะเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
เธอเริ่มพูดคุยเรื่องหน้าที่การงานของตัวเองในพักนี้ให้เขาฟังเดซี่บอกกับเขาว่าช่วงนี้อาจจะไม่ได้อยู่บ้านในวันหยุดเพราะต้องทำงานพิเศษที่ร้านขายของในเมืองตั้งแต่เช้าถึงค่ำมืดทว่าในหัวของลูคกลับไม่ได้สนใจอยู่กับเรื่องงานของแม่แต่อย่างใด ความสงสัยในเรื่องตระกูลแกรนด์โกสต์กำลังผุดขึ้นในหัวของเขาอย่างทวีคูณ
หลังจากยัดขนมปังแผ่นสุดท้ายเข้าปากไปเป็นที่เรียบร้อยลูคก็รีบมุ่งหน้าออกจากบ้านไปหาเพื่อน ๆที่เซ็นเตอร์อาร์คเพื่อเดินทางไปพบแอนที่เซนต์ฟรานซิส
ตลอดการเดินทางบนรถรางลูคนั่งฟังซิดจ์คุยกับเบ็นจามินเรื่องเรียงความวิชาอัญมณีพยากรณ์ของตัวเองในหัวข้อ การทำนายความรักด้วยทับทิม เจ้าตัวแสบดูจะมีปัญหากับอัญมณีที่ตัวเองหลับหูหลับตาจับฉลากได้จึงเอาแต่ถามเบ็นจามินจนกระทั่งรถขับมาถึงสถานีจุดหมาย
หน้าร้านลูนคาเฟ่ยังไร้ผู้คน กระดิ่งติดประตูร้านส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งขึ้นต้อนรับอาคันตุกะทั้งสี่ลูคเห็นน้าจูเลียส่องตามองมาจากช่องฉลุบนบานประตูห้องครัวที่อยู่หลังร้าน
“พวกเธอนั่นเอง… หนูฌองกับคลีโออยู่ที่โต๊ะตัวยาวนอกระเบียงนะ” เธอตะโกนผ่านบานประตูพร้อมกับเสียงแก้วชามดังกระทบกันตามมา
คลีโอกับฌองดูมีชีวิตชีวากว่าเมื่อวานมากลูคคิดว่าเมื่อคืนนี้ทั้งสองคงจะได้นอนเต็มอิ่มชดเชยการอดนอนของคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาดูจากถ้วยไอศครีมที่วางอยู่บนโต๊ะจำนวนไม่น้อยตรงหน้าคลีโอเขาเดาได้เลยว่าเธอคงจะติดอกติดใจกับซันเดย์ฝีมือน้าจูเลียเป็นพิเศษ
“เดี๋ยวผมไปเอามาให้นะ” ฌองกล่าวก่อนจะเดินหายไปในร้าน
“นายมาถึงนานแล้วยัง” ลูคถามคลีโอที่กำลังนั่งเอาช้อนเขี่ยเศษถั่วอัลมอลด์เหลือๆ ที่อยู่ก้นถ้วย
“ก็สักพัก นายก็รู้ว่าฉันชอบมาหาของกินที่นี่” คลีโอหัวเราะร่วน
“ฉันนึกว่าเธอรักษาหุ่นเสียอีก” เบ็นจามินพูด
“ซันเดย์คือข้อยกเว้นสำหรับฉันน่ะ” คลีโอหัวเราะอีกครั้งด้วยเสียงแหลมปรี๊ด
ซิดจ์เริ่มกลับเข้าสู่โหมดโม้แตกจนน้ำลายแตกฟองกับเบ็นจามินและคลีโอส่วนชินก็หยิบบุหรี่ดอกพริมโรสขึ้นมาจุดส่งกลิ่นหอมเหมือนฤดูใบไม้ผลิ
“สวัสดี นายใช่ลูคหรือเปล่า”
เด็กสาวเจ้าของใบหน้าขาวซีดรูปไข่ได้รูปคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงประหม่าเพราะถูกจ้องมองด้วยเจ้าของสายตาห้าคู่ที่นั่งเรียงรายอยู่ที่โต๊ะดวงตากลมโตสีเทาส่องประกายสุกใสราวกับเพชรน้ำงามผมสีดำรับกับผิวไร้ริ้วรอยด่างพร้อย
“สวัสดีครับคุณแอน!” ฌองเปิดประตูตะโกนเรียกเธอจากประตูทางเข้าร้าน
“สวัสดีฌอง” แอนทักทายอย่างร่าเริง “ว้าว! ซันเดย์น่ากินจังเลย สงสัยฉันต้องลองชิมสักหน่อยแล้ว” นัยน์ตาสีเทาอ่อนจ้องเป็นประกายไปที่ถ้วยไอศครีมในถาดแก้วที่ฌองถืออยู่
หลังจากที่เด็กๆ ทำความรู้จักกันครบหมดแล้ว แอนก็เริ่มเล่าความฝันของเธอให้พวกเขาฟังตั้งแต่ต้นอย่างออกรสออกชาติกว่าจะเล่าจบก็ปาไปเกือบชั่วโมงได้มิหนำซ้ำเธอยังเซ้าซี้ให้ลูคเล่าควาฝันของเขาด้วย
ดวงตาของแอนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นบ่อยครั้งที่เด็กสาวอุทานออกมาเมื่อลูคเล่าถึงตอนที่น่าหวาดกลัวและระทึกใจอย่างเช่นฉากน่าหวาดเสียวตอนพวกเขาตกสะพาน
“ตัวอะไรกันแน่นะที่ไล่กวดนายอยู่ ฉันยังไม่เคยโดนไล่นานขนาดนั้นมาก่อนเลยส่วนมากเจ้าสัตว์ในป่าพวกนั้นจะตามฉันอยู่แค่ไม่กี่ชั่วโมง” แอนเอ่ย“ที่น่าแปลกกว่านั้นคือ นายบอกว่าได้พาคนอื่น ๆเข้าไปในฝันด้วยอย่างงั้นเหรอ” แววตาของเธอลุกโชนอย่างตื่นตะลึง
“มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย เว้นแต่ว่านั่นจะเป็นพรของนายน่าเสียดายที่ฉันยังไม่รู้เลยว่าพรของฉันคืออะไร --” แอนเอ่ยหน้านิ่วเมื่อเห็นสีหน้างงงันของลูคเธอจึงรีบกล่าวต่อ
“--แน่นอนฉันรู้เรื่องพรของชาวมากอส พ่อเล่าให้ฟังหมดแล้ว ความจริงแล้วไม่ได้มีแค่เราสองคนที่มีความฝันแปลก ๆ แบบนี้หรอกที่ฉันไม่อยู่เมื่อสัปดาห์ก่อนก็เพราะเรื่องนี้แหละ พ่อพาฉันกลับไปยังที่ ๆต้นตระกูลของฉันเคยอาศัยอยู่ เพื่อตามหาเบาะแสเกี่ยวกับความฝันประหลาดในบ้านที่ถูกปล่อยทิ้งให้ร้าง ฉันกับพ่อหาค้นหาทุกตารางนิ้วที่ในบ้านหลังนั้นแต่ก็ไม่พบอะไรที่น่าสงสัยเลยยกเว้นแต่ชั้นใต้ดินของบ้านที่ถูกปิดตายมานานหลายปีพร้อม ๆกับความลับที่ซ่อนอยู่ในสถานที่แห่งนั้น ที่นั่นฉันและพ่อค้นพบแผ่นจารึกเหล็กเก่าๆ มันเขียนข้อความภาษาที่ฉันอ่านไม่ออก โชคดีที่พ่อเป็นนักถอดความโลหะ” เธอเล่าอย่างออกรส
“พวกนายอยากจะไปพบพ่อฉันไหมล่ะ” เธอเอ่ยก่อนลุกพรวดขึ้นนำหน้าพวกเขาออกจากลูนคาเฟ่มุ่งสู่บ้านอักษรH พื้นต่างระดับพาลูคและเพื่อน ๆเข้าสู่ห้องนั่งเล่นอันแสนแออัดด้วยชั้นหนังสือนับสิบที่อัดแน่นด้วยตำราเล่มหนาซึ่งส่วนมากจะเก่าและขาดวิ่นแม้จะมีเล่มใหม่เอี่ยมอ่องให้เห็นอยู่บ้างก็ตามแต่
“โอ้โห อย่างกับห้องสมุดย่อม ๆ เลยนะเนี่ย” เบ็นจามินหลุดปากเสียงแหลม
“พ่อชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ --” แอนยิ้มอารมณ์ดี“-- หนูกลับมาแล้วค่ะ พาเพื่อนมาด้วยเลิกอ่านหนังสือแล้วลงมานั่งข้างล่างดีกว่า หนูจะรออยู่ที่ห้องครัวนะคะ” แอนตะโกน
ห้องครัวที่ว่านั้นเล็กเสียยิ่งกว่าห้องรับแขกโต๊ะตู้และเคาน์เตอร์ทำจากแผ่นเหล็กสีอ่อนบางเฉียบแลดูสะอาดสะอ้านเด็กสาวเจ้าของบ้านพาแขกทั้งหกมานั่งที่เก้าอี้เหล็กสักพักก็มีชายวัยกลางคนเดินผ่านซุ้มประตูเข้ามา
“อาจารย์โจชัว!” เด็ก ๆ ร้องขึ้นเสียงดังพร้อมกันจนชายวัยกลางคนสะดุ้งโหยง
“พวกนายรู้จักพ่อฉันด้วยเหรอ” แอนถามด้วยท่าทีแปลกใจ
“ก็แน่สิ พ่อเธอเป็นอาจารย์สอนที่มหาลัยเรานี่จะไม่ให้รู้จักได้ยังไง”ซิดจ์ตอบ
“โลกกลมเสียจริง สวัสดีเด็ก ๆ เรียกแค่โจชัวก็ได้ไม่ต้องเรียกอาจารย์อยากกินอะไรก็ไปหาเอา แต่ในบ้านไม่ค่อยจะมีอะไรให้กินนักหรอก” โจชัวรีบแนะนำตัวอย่างเป็นกันเองก่อนจะหันไปแกะไอศครีมออกจากถ้วยแล้วตั้งหน้าตั้งตาตักกินอย่างเอร็ดอร่อย
“พ่อ เรามีแขกมานะอย่ามัวแต่กินสิคะ” แอนบ่นโจชัวหัวเราะแห้ง
“อย่างนี้อาโจชัวต้องเป็นพวกเดียวกับคลีโอแน่ ๆ เลย เพราะคลีโอก็ชอบกินเหมือนกันน่ะครับ”ซิดจ์รีบพูดตีสนิทลูคคิดว่าที่เพื่อนตัวแสบทำแบบนี้ก็เพราะหวังจะใช้ความสนิทสนมหลอกล่อให้อาจารย์ใจดีกับตัวมันเองแน่ๆ
“อย่าว่าแต่ฉันเลย นายก็ชอบกินเหมือนกันนั่นแหละซิดจ์” คลีโอขัดอกขัดใจ
ทุกคนพูดคุยกันอยู่สักพักใหญ่ๆ ลูคก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเขายังไม่ได้แนะนำตัวกับคุณนายฮันเตอร์เลย
“แล้วคุณนายฮันเตอร์อยู่ไหนเหรอครับ ผมยังไม่ได้กล่าวสวัสดีเธอเลย” ลูคเอ่ยถาม แล้วห้องทั้งห้องก็เงียบลงทันที
“แม่ฉันเสียแล้ว” แอนตอบหน้าเศร้าทำเอาทุกคนหน้าเสียแต่ไม่ทันที่ลูคจะได้แสดงความเสียใจโจชัวก็ชิงพูดตัดบทให้ทุกคนกลับบ้านเพราะใกล้เย็นแล้วก่อนชายวัยกลางคนจะลุกออกจากห้องเดินขึ้นบันไดไปทันที
“ฉันลืมดูเวลาเสียสนิทเลย! นี่มันจะ 5 โมงแล้วพวกนายควรจะกลับกันไปได้แล้ว” แอนอุทานก่อนจะเดินออกมาส่งเพื่อนๆ ที่หน้าประตูบ้าน
“ไว้เจอกันใหม่ แล้วฉันจะรีบติดต่อไปถ้าหากมีความคืบหน้าเรื่องจารึกแล้วก็อย่าคิดมากล่ะเรื่องแม่ฉัน มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอกบางทีพ่ออาจจะต้องรีบกลับไปถอดความจารึกต่อ” แอนร่ำลาที่หน้าประตูบ้านก่อนจะตามมาด้วยเสียงปิดประตูและลงกลอน
ลูคแหงนมองท้องฟ้าสีแดงอมส้มเต็มไปด้วยริ้วเมฆสีชมพูอ่อนแต่แล้วสายตาของเด็กหนุ่มก็ประสานกับตาคู่หนึ่งของใครบางคนที่มองลงมาจากหลังผ้าม่านสีเทาบนชั้นสองของตัวบ้านก่อนที่มันจะถูกกระชากปิดทันทีที่เห็นว่าลูครู้ตัวอาจารย์โจชัวคงจะไม่ชอบขี้หน้าเขาเข้าเสียแล้วลูคคิดในใจแม้จะยังไม่ทันเห็นว่าหน้าของคนเมื่อครู่นั้นว่าเป็นใคร
“ผมลืมบอกเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย ขอโทษด้วยนะครับ” ฌองเอ่ยขึ้นมาระหว่างทางเดินไปยังสถานีรถราง
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ” ซิดจ์ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสามัน
“เธอเสียไปเมื่อประมาณ 3 ปีก่อนนี้เองครับตอนนี้คุณแอนอาศัยอยู่กับพ่อเพียงลำพัง เธอต้องเรียนหนังสือที่บ้าน เพราะต้องคอยดูแลคุณอาโจชัวยังทำใจไม่ได้น่ะครับ” ฌองเล่ายิ่งทำให้ลูครู้สึกผิด
“อย่าคิดมากไปเลย” เบ็นจามินรีบปลอบใจทันทีที่เห็นเพื่อนหน้าเสีย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in