เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[FIC] Nostalgia The Series [I.O.I]Diagonal
[One Shot] Right Person, Right Time [Chaeyeon's Story ft. Sechae]

  • เพื่ออรรถรสสูงสุด แนะนำให้อ่านเรื่องแรกที่เป็นโดแดงก่อนนะคะ







    “แชยอน อาทิตย์หน้าเธอมีถ่ายคาเฟ่เปิดใหม่สองร้านนะ แถวคาโรซูกิลวันที่ยี่สิบหก กับแถวจงโนวันที่ยี่สิบเก้า” 


    มือบางของเด็กเพิ่งจบที่เข้ามาทำงานได้ครบเดือนหมาดๆ รีบตวัดชื่อคาเฟ่ที่คิมนายองพูดตามมาแบบเร็วมากๆ จนฟังเกือบไม่ทันลงบนปฏิทินตั้งโต๊ะทันที ยังดีที่คราวนี้พี่เขาเพิ่งเสร็จจากประชุมเลยเดินผ่านมาบรีฟงานที่โต๊ะ แชยอนจึงไม่ต้องหนีบปฏิทินเข้าไปรับบรีฟถึงห้องเหมือนอย่างสองครั้งก่อน 


    ครั้งแรกน่ะจำได้เลยว่าเดินเข้าไปหาโดยมีแค่สมุดกับปากกา ให้ต้องโดนถามหน้านิ่งเสียงเย็นว่า ‘บนโต๊ะมีปฏิทินหรือเปล่า?’ ก็ยังคิดอยู่ว่าถ้าไม่ได้หยิบปฏิทินที่ธนาคารแจกติดมาด้วย (ต้องขอบคุณที่แม่วางทิ้งไว้ให้บนตู้เก็บรองเท้าตอนมาเยี่ยมที่หอเมื่อวันก่อน) แชยอนคงได้โดนอบรมจนตัวลีบ เพราะพี่นายองน่ะเป็นพวกยึดมั่นกับการจดงานบนปฏิทินที่สุด มันช่วยให้เห็นไทม์ไลน์ของงานได้ชัดเจนกว่าจดลงสมุด ถ้างานชนกันเธอจะได้รู้ทันทีไง หล่อนว่าไว้อย่างนั้นตอนที่เรียกแชยอนเข้าไปรับบรีฟรอบสอง


    “วันที่ยี่สิบหก แถวคาโรซูกิล ร้านแซงอิล คาเฟ่เค้ก...” แชยอนพึมพำตามรายละเอียดที่ลอกจากปฏิทินลงในสมุดอีกที ก็ไม่ได้อยากทำอะไรสองรอบหรอก แต่เธอชินกับการจดทุกสิ่งอย่างลงสมุดมากกว่านี่ “แล้วก็...วันที่ยี่สิบเก้า แถวจงโน ร้าน Sleeping Bread คาเฟ่ขนมปัง–”


    “ที่แบ่งชั้นสองเป็นโฮสเทลด้วย”


    คนที่พูดแทรกแชยอนขึ้นมาก็คือช่างภาพคนหนึ่งของบริษัทที่มักจะออกไปรีวิวร้านเปิดใหม่นู่นนี่ด้วยกันกับนักเขียนอย่างเธอ เป็นผู้หญิง แก่กว่าสองปีทั้งอายุจริงและอายุงาน และด้วยความที่ดูทะมัดทะแมงเหลือเกิน แชยอนเลยจะขอใช้คำว่าเขาแทนหล่อนก็แล้วกัน 


    “ทำไมรู้อะ เคยไปแล้วเหรอพี่ฮีฮยอน”


    “เปล่า แต่เคยไปหาเพื่อนแถวจงโนแล้วเค้ามาแจกโบรชัวร์หน้าสถานีอะ” ฮีฮยอนหยิบโบรชัวร์ที่ว่าจากย่ามที่สะพายไหล่อยู่มาวางกางบนโต๊ะ “เห็นมันดูน่าสนใจดี เลยเอามาเสนอพี่นายอง แล้วก็โป๊ะเชะ เค้าจะให้พวกเราไปรีวิวอยู่แล้ว–แต่ทำเลหายากเป็นบ้าเลยอะน้องแชน นี่ถ้าไม่มีแผนที่คงหาไม่เจอแหง” 


    เรียกว่าน้องแชนอีกละ ไอ้พี่ฮีฮยอนบ้านี่


    อันที่จริง คนแรกที่เรียกแชยอนด้วยชื่อนี้มาเกือบปีจนจากไม่คุ้นเลยก็เริ่มกลายเป็นชิน ก็คือแฟนเก่าอย่างเจ้าบ้าคิมโดยอน ที่คบกันแค่ไม่ถึงปีแท้ๆ แต่คงเพราะว่าเป็นรักแรกล่ะมั้ง เขาถึงได้ติดอยู่ในความทรงจำของแชยอนจนผ่านมาตั้งนานแล้วก็ยังไม่ลืม


    อีกสองอาทิตย์ก็จะครบสี่ปีที่เลิกกันแล้ว...


    บ้าเอ๊ย วันแบบนั้น...เธอจะจำทำไมกันนะจองแชยอน


    “อ่า...เงียบไปเลย... พี่ขอโทษนะแชยอน วันหลังไม่เรียกแล้ว...”


    จากที่เมื่อกี้ยังยิ้มแย้มแจ่มใสขณะเล่า ตอนนี้ใบหน้าสวยคมของกีฮีฮยอนกลับหมองไปถนัดตา


    “ไม่เป็นไรพี่” พยายามฝืนยิ้มแล้วก้มหน้าก้มตาโน้ตสิ่งที่คนแก่กว่าเล่ามาลงในสมุด พร้อมกันก็ขอโบรชัวร์ของฮีฮยอนมาเพื่อมาเย็บติดกับหน้ากระดาษที่เพิ่งจดไปและพับเก็บในเล่มอย่างเรียบร้อย


    “ไม่เป็นไรแน่นา”


    โดนเซ้าซี้มากๆ จนต้องกลอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่าย เธอทำแบบนี้ทั้งที่อีกนิดเดียวน้ำตาก็จะไหล


    “แต่ถ้าพี่ยังไม่เลิกถามเนี่ยแหละ จะเป็นแน่นอน!”


    ที่ที่แชยอนได้เจอกับฮีฮยอนครั้งแรก ไม่ใช่ที่บริษัทเว็บบล็อกที่รีวิวเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์วัยรุ่นนี่ แต่เป็นหอพักของคิมโดยอนเมื่อสมัยที่ยังคบกัน


    ด้วยความที่ถึงจะสอบติดมหาวิทยาลัยในโซลเหมือนกัน แต่กลับอยู่กันคนละฟาก เลยอยู่กันคนละที่ไปโดยปริยาย เธอก็มีรูมเมตของเธอ โดยอนก็มีรูมเมตของเขาเช่นกัน และฮีฮยอนนี่แหละก็คือรูมเมตของโดยอน


    วันนั้นฮีฮยอนที่เพิ่งกลับมาตกอกตกใจใหญ่ที่เห็นเธอในห้อง


    ‘ขอโทษค่ะ!’ ก่อนพึมพำกับตัวเองขณะถอยกลับไปดูเลขห้องใหม่ ‘ผิดห้องเปล่าวะเนี่ย’


    ‘ถูกห้องแล้วพี่กี’ โดยอนชะโงกหน้ามาจากในห้องน้ำ ‘นี่แชยอน แฟนฉันเอง’ 


    ถึงโดยอนจะชอบละเลยเธออยู่บ่อยๆ เรียกได้ว่าคนละโลกกับที่เคยเป็นกับชเวยูจองเพื่อนสนิทเขา แต่การที่โดยอนแนะนำใครต่อใครอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ‘นี่แชยอนแฟนฉัน’ เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วล่ะ


    ก็ตั้งแต่สมัยมอปลายแล้ว ที่โดยอนมีใครต่อใครมาชอบเต็มไปหมด เขาน่ะชอบบอกว่าพี่เซจอง–ประธานนักเรียนตอนพวกเราอยู่มอห้า–ป็อปปูลาร์งั้นงี้ แต่ดันไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าตัวเองก็ป็อปไม่แพ้กันเถอะ 


    ที่เคยบอกโดยอนไปว่าเริ่มชอบตอนที่ได้ทำงานห้องด้วยกันน่ะ แชยอนโกหกล่ะ เพราะจริงๆ แล้ว วินาทีแรกที่แชยอนรู้สึกถูกใจคนคนนี้ ก็ตอนที่ได้เห็นโดยอนในชุดแข่งบาสเกตบอลสีขาวต่างหาก


    ที่ไม่บอกตามตรง... ก็เพราะกลัวเสียฟอร์ม


    ที่ดาวโรงเรียนอย่างเธอแอบชอบเขามาตั้งแต่ตอนมอสี่เทอมสองแล้ว


    ‘แฟนสวยขนาดนี้เลยเหรอเจ้าโด...’


    ‘อือ สวยขนาดนี้เลยแหละ ฉันอยู่ข้างๆ เค้าแล้วเหมือนหมาวัดกับดอกฟ้ามะ ฮ่าๆ’ แม้จะรู้ว่าโดยอนพูดล้อเล่นไปอย่างนั้นเอง แต่ไม่รู้สิ แชยอนรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่ได้ยิน


    ‘พูดแบบนี้อีกละโด’


    ‘ลืมง่ะ ขอโทษน้าาาแชนอา’


    ‘เดี๋ยวๆ แกเรียกแฟนแกว่าไงนะ’


    ‘แชนไง มาจากแช กับ น. จาก ยอน’


    ‘อันนั้นรู้ แต่คนเป็นแฟนเรียกกันแล้วมันมุ้งมิ้งดีจังเลยอะ ขอฉันเรียกมั่งได้มะ น้องแชนจ๋า’


    ‘เยอะไปละ เดี๋ยวปั๊ดคว่ำหม้อรามยอนใส่หัวเลยไอ้พี่กีนี่!’


    นั่นน่ะ เป็นไม่กี่ครั้งเลยนะที่คิมโดยอนออกอาการหวงเธอให้เห็นชัดๆ


    ก่อนที่เดือนต่อมา โดยอนกลับเดินมาบอกเลิกกันอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย...


    “อ่า...เป็นไรจริงๆ ด้วย พี่ขอโทษนะ...”


    เสียงของกีฮีฮยอนเรียกแชยอนกลับมาสู่ปัจจุบัน และก่อนที่จะลุกเดินจากไปเงียบๆ เขาก็ส่งกระดาษทิชชูให้กับมือ ตอนนั้นเองที่แชยอนเพิ่งรู้สึกตัวว่า–


    เผลอร้องไห้ให้กับความรักครั้งเก่าที่ไม่มีวันหวนคืน...อีกแล้ว


    กับแค่การที่ฮีฮยอนเผลอหลุดปากเรียกเธอด้วยชื่อที่เคยมีแต่โดยอนเท่านั้นที่เรียก กลับทำให้แชยอนย้อนนึกไปถึงอดีตจนรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจได้มากขนาดนี้


    ต้องอีกนานเท่าไหร่กันเหรอ เธอถึงจะลืมคนใจร้ายนั่นได้เสียที







  • ตัวหนังสือ Sleeping Bread สีเหลืองสวยงามตัดกับพื้นสีน้ำตาลเข้มที่อยู่บนป้ายเบื้องหน้านั้นทำให้แชยอนต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร้อมกับหันไปยิ้มให้ฮีฮยอนที่ก็ส่งยิ้มรออยู่ก่อนแล้วเช่นกัน 


    ในที่สุดพวกเราก็หาเจอ


    ก็จากสถานีรถไฟใต้ดินทางออกที่แผนที่บอกไว้ว่าใกล้ที่สุด แชยอนกลับต้องเดินอีกร่วมๆ สิบนาทีพร้อมกับการเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามแผนที่จนงงไปหมด มีแว้บหนึ่งที่หงุดหงิดจนเกือบจะถามฮีฮยอนแล้วว่าแผนที่ตามโบรชัวร์นี่ไม่ได้ผิดใช่มั้ย สุดท้ายเลยตัดสินใจโทรถามคุณชองฮาเจ้าของร้าน ก็ได้ความว่า เธอสองคนน่ะมาถูกทางแล้ว ‘เดินอีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ พอดีร้านมายากไปหน่อย’


    “ไม่อะ ฉันว่าไม่หน่อย รู้งี้นั่งแท็กซี่มาก็ดี เบิกพี่นายองได้ด้วย” ฮีฮยอนบ่นพึมพำกับตัวเองตอนที่ยืนพักเหนื่อยอยู่ข้างๆ ร้านแล้วยกหลังมือซับเหงื่อเย็นที่ซึมตามไรผม ดูตลกดีจนแชยอนต้องเผลอยิ้มออกมา


    และถึงแม้ว่าการเดินไม่รู้ตั้งกี่กิโลตั้งแต่เช้าจะกินแรงและบั่นทอนอารมณ์ดีๆ ไปพอสมควร แต่สีเหลืองสดใสของชื่อร้านกับโลโก้รูปขนมปังห่มผ้านอนหลับปุ๋ยแสนน่ารักสีเดียวกัน ก็ทำให้แชยอนรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้ทันที


    อาจจะเป็นเพราะความน่ารักและความช่างคิดของคนออกแบบ รวมถึงการเลือกใช้สีเหลืองที่ทำให้รู้สึกถึงความสดใส ร่าเริง กระฉับกระเฉงนั่นล่ะ อีกทั้งสีเหลืองยังอยู่ในหมวดสีโทนร้อนที่มักใช้ตกแต่งร้านอาหาร เพราะมันจะช่วยให้ลูกค้าเจริญอาหารมากขึ้น


    ถึงประสิทธิภาพทางจิตวิทยาจะไม่มากเท่าสีแดง แต่ตอนนี้แชยอนก็รู้สึกว่าตัวเองชักจะหิวขึ้นมาแล้ว


    ทันทีที่ผลักประตูกระจกเข้าไป เสียงกรุ๊งกริ๊งก็ดังขึ้นอย่างสดใสพร้อมกับกลิ่นหอมกรุ่นของขนมปังที่ลอยมาแตะจมูกให้ยิ่งหิวเข้าไปอีก แชยอนเข้าใจในตอนนั้นว่าทฤษฎีสีแพ้กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอแบบราบคาบ นาทีนี้ต่อให้ขนมปังของ Sleeping Bread จะเป็นสีฟ้า–สีที่ดูดกลืนความอยากอาหารให้หายไปโดยสิ้นเชิง–แชยอนก็คิดว่าตัวเองน่าจะกินได้หมดเกลี้ยงอยู่ดี


    หญิงสาวตัวเล็กในเสื้อแขนยาวสีเหลืองอ่อนเดินตรงมาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


    “จาก Sparkling Seoul ใช่มั้ยคะ–” ปลายประโยคหายเข้าไปในลำคอเมื่อเดินเข้ามาใกล้ตำแหน่งที่เธอกับฮีฮยอนยืนอยู่ ก่อนจะเห็นคิ้วเล็กๆ ของหล่อนขมวดนิดหนึ่งเมื่อเอ่ยทักแชยอนและถามอย่างเฉพาะเจาะจงว่า


    “คุณแชยอนมาจากวอนจูหรือเปล่าคะ? โรงเรียนแทฮวา...?”


    ให้คนถูกถามต้องเบิ่งตาโตอย่างไม่คาดคิด


    “ใช่ค่ะๆ!” ตื่นเต้นมากๆ ที่ได้เจอคนบ้านเดียวกัน “คุณก็เป็นเด็กแทฮวาเหมือนกันเหรอคะ”


    “ใช่ค่ะ” หล่อนยิ้มรับและแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ “ชองฮาค่ะ คิมชองฮา คิดว่าโตกว่าปีนึงนะ พี่จำน้องแชยอนได้” คงเพราะแน่ใจแล้วจริงๆ ว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องโรงเรียนเดียวกัน คุณเจ้าของร้านจึงเปลี่ยนไปใช้สรรพนามอย่างเป็นกันเองแทบจะทันที “แต่จริงๆ ตอนนั้นเด็กในโรงเรียนไม่น่าจะมีใครไม่รู้จักแชยอน”


    “ตอนมอปลายเธอดังขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?” น้ำเสียงของฮีฮยอนที่ยื่นหน้ามากระซิบฟังดูทึ่งจริงๆ


    “รุ่นพี่ชองฮาก็พูดเกินไปค่ะ” ถึงที่หล่อนพูดมามันจะเป็นเรื่องจริง แต่จองแชยอนก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว


    ที่จะไม่พูดอะไรก็ตามที่จะทำให้ตัวเองดูน่าหมั่นไส้ ยังไงภาพลักษณ์ที่แสดงออกไปต้องดีไว้ก่อน


    บางที มันอาจจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่จู่ๆ เธอก็ได้หัวโขนของ ‘ดาวโรงเรียน’ มาสวมไว้ก็เป็นได้


    “ว่าแต่ พี่ดีใจจริงๆ นะเนี่ยที่เจ้าแรกที่มารีวิว Sleeping Bread เป็นน้องโรงเรียน อย่างน้อยพี่จะได้ไม่เกร็งตอนสัมภาษณ์หรืออะไร ถึงจริงๆ แล้วเราจะเพิ่งได้คุยกันวันนี้วันแรกก็เถอะ” ชองฮาปิดท้ายด้วยการหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่จะบอกให้แชยอนกับฮีฮยอนนั่งตามสบาย เพราะครึ่งเช้านี้หล่อนปิดร้านชั่วคราวเพื่อจะได้อำนวยความสะดวกให้กับการรีวิวของพวกเธอได้อย่างเต็มที่


    “ทานข้าวเช้ากันมาหรือยังคะ?”


    สองทีมงานสั่นศีรษะกันโดยพร้อมเพรียง ก่อนที่สุดท้ายจะได้นมสดมารองท้องกันคนละแก้วเพื่อรอเซ็ตขนมปัง–พระเอกของร้าน–ที่จะนำมาทยอยเสิร์ฟให้ในอีกเวลาไม่นาน


    “ขนมปังอุ่นๆ มาแล้วจ้าาา”


    เสียงร่าเริงดังขึ้นตอนที่แชยอนเพิ่งดื่มนมอึกสุดท้ายหมดไป จึงหันไปหาต้นเสียงเดี๋ยวนั้น


    เพียงแว้บแรกที่ได้เห็น เธอก็มั่นใจว่าเราต้องเคยเจอกันมาก่อน


    และทันทีที่คนซึ่งถือถาดที่มีขนมปังหน้าตาน่ากินวางเรียงรายอยู่ก้มลงมาสบตาแชยอนที่มองอยู่ก่อนแล้วโดยบังเอิญ หล่อนก็เบิกตากว้าง และก่อนที่จะมีใครทันตั้งตัว ถาดขนมปังที่ถือมาดีๆ ในตอนแรกกลับร่วงหลุดจากมือไปนอนที่พื้น พร้อมๆ กับขนมปังที่กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทางอย่างน่าเสียดาย


    คนแรกที่พูดขึ้นมาหลังจากทั่วทั้งร้านเงียบไปพักหนึ่ง ก็คือชองฮา


    “ขอโทษด้วยนะคะ เดี๋ยวจะไปเอามาให้ใหม่ ยังมีอีกเยอะค่ะไม่ต้องห่วง” ดูจากคำพูดติดตลกบวกกับใบหน้ายิ้มแย้มแล้ว เห็นชัดว่าหล่อนพยายามจะกู้บรรยากาศดีๆ ให้กลับคืนมา 


    ก่อนจะหันไปกระซิบเบาๆ กับตัวต้นเหตุ แต่ในร้านดันเงียบมากเสียจนแชยอนได้ยิน


    “เฮ้อ พวกนี้เก็บไว้ให้เจ้าต็อกกินละกัน โทษทีที่ไม่ได้บอกก่อน”


    ก็สงสัยแหละ แต่แชยอนไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะไปถามได้ จึงได้แต่เก็บความอยากรู้นี้เอาไว้ในใจ







  • ขนมปังร้าน Sleeping Bread อร่อยมากจริงๆ ถึงขนาดฮีฮยอนที่ปกติไม่ใช่คนกินเยอะอะไรมากมายยังออกเงินตัวเองซื้อกลับไปกินต่อ ทั้งๆ ที่ชองฮาก็ให้ชิมครบทุกเมนูจนควรจะอิ่มได้แล้ว


    และส่วนของโฮสเทลชั้นสองที่มีแค่สองห้องนั้นก็ตกแต่งได้อย่างน่ารัก มีเจ้าปังจิน ตัวการ์ตูนขนมปังบนโลโก้ร้าน กระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆ ของห้องในอิริยาบถที่แตกต่างกัน ถ้าเกิด Sleeping Bread ดังขึ้นมา ก็จะได้ขายเป็นของที่ระลึกได้อีก ชองฮาเล่าถึงแผนการในอนาคตให้แชยอนฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


    แต่ทั้งหมดที่พูดมาไม่ใช่ประเด็น 


    สิ่งที่แชยอนอยากจะเล่าถึงจริงๆ น่ะ เกี่ยวกับคนที่พอเห็นหน้าเธอปุ๊บก็ทำถาดขนมปังร่วงปั๊บต่างหาก


    แชยอนเคยใช้สรรพนามแทนคนนั้นว่าหล่อน แต่คิดไปคิดมา ขอใช้ว่าเขาเหมือนกับฮีฮยอนดีกว่า


    เขาเป็นหุ้นส่วนอีกคนของ Sleeping Bread โดยรับผิดชอบเรื่องขนมปังและอาหารการกินทั้งหมดในร้าน และก็ใช่–สรุปแล้วเธอก็เคยเจอกับเขาจริงๆ อย่างที่มั่นใจนักหนา และเพื่อนเธอก็เคยเล่าให้ฟังว่าเขาชอบทำขนมทำอาหารมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว


    แต่ประเด็นก็คือ มันแปลกแสนแปลกที่แชยอนดันจำไม่ได้ในทันทีว่าคนคนนี้เป็นใคร


    เพราะนั่นน่ะ คิมเซจอง ประธานนักเรียนที่ป็อปปูลาร์สุดๆ เลยนะ 


    น่าเขกกะโหลกตัวเองชะมัดจองแชยอน!


    เพราะแน่นอนว่าเธอไม่มีทางไม่รู้จักเซจอง เพียงแต่เหตุการณ์ที่ได้พูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันนั่นล่ะที่แชยอนไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ 


    อีกอย่าง...แชยอนก็จำไม่ได้จริงๆ ว่าเคยไปมีประเด็นอะไรกับเขามาก่อนหรือเปล่า เซจองถึงได้ตกใจมากตอนที่เห็นเธอ จนถึงขนาดที่ว่าเผลอทำขนมปังที่ออกตัวว่ารักนักหนาร่วงลงพื้นอย่างน่าเสียดาย


    น่าจะเกือบสองชั่วโมงแล้วที่แชยอนพยายามจะนึก พยายามสุดความสามารถที่จะขุดเข้าไปในความทรงจำตอนมัธยมปลายที่มีแต่โดยอน โดยอน และโดยอน เหมือนตอกย้ำให้ปวดหัวใจเล่น...


    แต่ก็ไม่ยักเจออะไรที่พอจะเชื่อมโยงไปได้เลย


    จนเลยเวลานอนปกติมาครบชั่วโมง แชยอนก็นึกได้แค่สองเหตุการณ์เท่านั้น 


    เหตุการณ์แรก–ซึ่งก็เพิ่งนึกขึ้นได้ เกิดขึ้นตอนงานกีฬาสีปีที่เธออยู่มอสี่ แล้วพี่เขาอยู่มอห้า ตอนนั้นเซจองยังไม่ได้เป็นประธานนักเรียนเลยด้วยซ้ำ แต่ก็มีชื่อในหมู่รุ่นน้องไม่เบา เพื่อนสนิทเธอคนนึงเป็นแฟนคลับตัวยงของเขาเลยล่ะ 


    สำหรับงานกีฬาสีปีนั้น แชยอนเลือกอยู่ฝ่ายพยาบาลแทนที่จะไปเป็นดรัมเมเยอร์ของสีตามที่พี่มอหกมาคะยั้นคะยออยู่หลายหน ซึ่งตลอดวันงานทั้งสองวัน ฝ่ายพยาบาลต้องทำแผลและคอยดูแลนักกีฬาที่บ้างก็หกล้ม บ้างก็ข้อเท้าพลิก บ้างก็เป็นลมแดด เซจองเองก็เป็นหนึ่งในนักกีฬาที่เธอต้องรับผิดชอบ ตอนแรกที่มีคนพยุงเซจองมาที่เตนท์พยาบาล เธอก็จำหน้าไม่ได้หรอก แต่พอได้ยินเด็กรุ่นน้องเกือบสิบคนที่วิ่งตามมาด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย แย่งกันบอกให้พี่เขาหายเจ็บไวๆ งู้นงี้ ก็ทำให้แชยอนได้รู้ทันทีว่าคนที่หกล้มจากการวิ่งแข่งจนหัวเข่าและข้อศอกถลอกปอกเปิก ท่าทางเจ็บน่าดูแต่ดันทำนิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไรตอนที่เธอล้างแผลให้น่ะเป็นใคร


    และแม้จะนั่งทำแผลกันอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายแล้วเซจองก็ไม่ได้พูดอะไรกับเธอมากไปกว่าคำว่า 


    ‘ขอบคุณนะ’ สั้นๆ แค่นั้นเอง


    เป็นเหตุการณ์ที่แค่เกิดขึ้นแล้วก็จบไปจริงๆ แชยอนจึงไม่คิดว่ามันจะสลักสำคัญอะไรสำหรับเราทั้งสองคน เพราะขนาดเธอเองยังต้องมานั่งค้นลิ้นชักความทรงจำตั้งนานกว่าจะนึกออก เซจองก็คงเหมือนกันนั่นล่ะ


    โอเค งั้นมาถึงเหตุการณ์ที่สอง ที่ตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง


    เพราะในความทรงจำของแชยอน มันแจ่มชัดมาตลอด


    เนื่องจากว่ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคิมโดยอน ซึ่งเกิดขึ้นกับชเวยูจองเพื่อนสนิทของเขาโดยตรง


    ส่วนเซจองนั้น แม้ไม่ใช่ตัวละครหลัก แต่ก็เป็นคนสำคัญที่ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย


    และอย่างที่บอก ตราบใดที่เป็นเรื่องของโดยอน จองแชยอนน่ะจำได้ขึ้นใจเสมอล่ะ







  • เหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นตอนที่แชยอนอยู่มอห้า และตอนนั้นเซจองก็ได้เป็นประธานนักเรียนแล้วเรียบร้อย


    แชยอนไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งคนที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใครอย่างเธอจะต้องบังเอิญมาล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ ‘แกล้งคน’ โดยฝีมือของอีแฮอิน รุ่นพี่ที่เธอเคารพและถือเป็นแบบอย่าง 


    อีแฮอินเป็นคนที่สวยมากจนแชยอนชอบมองอยู่บ่อยๆ ไหนจะเรียนเก่งเป็นอันดับต้นๆ ของสายชั้น เรียกได้ว่าคู่คี่มากับคิมเซจองเลยล่ะ ตอนยังอยู่มอสี่ เวลาแชยอนเดินผ่านบอร์ดที่ติดประกาศคะแนนสอบของพี่มอห้า ซึ่งชื่อของคนที่ได้ที่หนึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่าเพื่อน ชื่อที่อยู่ตรงนั้น ไม่อีแฮอินก็คิมเซจองนั่นล่ะที่แชยอนจะได้เห็น


    ทั้งที่ก็ทั้งสวย ทั้งเรียนเก่ง แต่แฮอินกลับทำในสิ่งที่แชยอนไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่ดูดีในสายตาคนอื่นขนาดนั้นจะเป็นแกนนำในการทำอะไรน่ากลัวพรรค์นั้น...


    วันนั้นไม่มีคลาสเรียนตอนค่ำ แต่แชยอนก็ไม่ได้กลับบ้านพร้อมเพื่อนคนอื่นอยู่ดี เนื่องจากเธอต้องอยู่ประชุมงานกับคิมโดยอนที่เป็นหัวหน้าของกิจกรรมที่ห้องของทั้งสองต้องทำร่วมกันในงานสถาปนาโรงเรียนที่งวดเข้ามาทุกทีแล้ว 


    และนอกจากจะต้องประชุม แชยอนยังต้องไปให้อาหารไก่ที่เลี้ยงในวิชาเกษตรแทนเพื่อนในกลุ่มซึ่งเป็นเวรวันนี้แต่ว่าลาป่วยครึ่งวันอีกด้วย ก็ไปให้อาหารไก่ที่กรงท้ายโรงเรียนให้เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยเดินกลับมาประชุมกับโดยอนที่ตึกเรียน แชยอนตั้งใจอย่างนั้น


    หากระหว่างที่กำลังล้างมือหลังจากให้อาหารเสร็จ เธอก็หันไปเห็นกลุ่มนักเรียนสามคนเดินจ้ำไปทางห้องน้ำที่ไม่ได้ใช้แล้วอย่างรีบร้อนเหมือนกับกลัวว่าจะมีใครเห็นเข้า


    ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายอะไรถ้าพวกเด็กแสบจะไปรวมกลุ่มแอบสูบบุหรี่กันที่นั่น แต่ที่ทำให้คิ้วของแชยอนขมวดทันที ก็เพราะทันเห็นว่าหนึ่งในนั้นมีรุ่นพี่แฮอินที่ประพฤติดีมาตลอดรวมอยู่ด้วย


    แม้ไม่อาจรู้แน่ชัดว่าพวกเขาเข้าไปทำอะไร แต่แชยอนมั่นใจว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดี นั่นจึงทำให้คนที่ยึดมั่นในกฎระเบียบมาตลอดรู้สึกผิดหวังในตัวแฮอินมากเหลือเกิน


    แต่อย่างไร รุ่นพี่ที่เคารพก็ยังเป็นรุ่นพี่ที่เคารพ แชยอนจึงเลือกจะทำเป็นมองไม่เห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้ และเดินกลับไปที่ตึกเรียนเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น







    ยังไม่ทันจะเริ่มประชุม โดยอนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ซึ่งน่าจะเป็นข้อความเข้า เพราะแชยอนเห็นเขาดูอยู่แป๊บเดียวก็พับหน้าจอและเก็บลงกระเป๋าเสื้อสูทตามเดิม


    “ที่บ้านตามกลับแล้วเหรอโดยอน?”


    เพราะอยากรู้ว่าเจ้าของข้อความเป็นใคร แต่ก็ไม่อยากแสดงออก แชยอนจึงเลือกจะถามไปแบบนั้น


    แม้จะพอเดาได้ก็เถอะ แต่แชยอนก็อยากได้ยินให้แน่ใจ


    “อ๋อ เปล่าหรอก ยูจองน่ะ พอดีปกติเรากลับบ้านด้วยกัน”


    ชเวยูจองจริงๆ ด้วย...


    “หืม ยูจองรอจะกลับบ้านด้วยเหรอ งั้นเราควรรีบคุยหน่อยดีมั้ย”


    ถ้ามีการจัดอันดับคนปากไม่ตรงกับใจที่สุดในโรงเรียน แชยอนคิดว่าตัวเองน่าจะได้ที่หนึ่ง


    เพราะใจจริงแล้ว เธอน่ะอยากให้การประชุมนี้ยืดเยื้อไปจนค่ำด้วยซ้ำ เพื่อจะได้หาข้ออ้างชวนโดยอนไปกินข้าวเย็นด้วยกัน


    “ตอนแรกก็บอกว่าจะรอแหละ แต่เมื่อกี้เพิ่งส่งข้อความมาบอกว่าเดี๋ยวจะกลับก่อนซะงั้น” ทันเห็นโดยอนขมวดคิ้ว ถึงจะแค่แว้บเดียวก็เถอะ “ไม่ต้องรีบหรอกแชยอน ค่อยๆ คุยก็ได้ ฉันอยากสรุปให้จบว่าเราจะเอาอะไรไปเสนอเพื่อนๆ พรุ่งนี้บ้างดี”


    ถ้าแชยอนจะขอเข้าข้างตัวเองบ้างว่าโดยอนก็อยากอยู่ด้วยกันนานๆ เหมือนกัน ก็คงไม่เป็นไรใช่มั้ย


    ถึงแม้ในสายตาเธอ เขากับชเวยูจองจะดูเหมือนเป็นแฟนกันมากแค่ไหนก็ตาม







    การประชุมจบลงหลังจากที่ฟ้ามืดสนิทไปแล้วอย่างที่หวัง แต่เพราะโดยอนบอกว่าต้องกลับไปกินข้าวกับที่บ้าน เธอกับเขาก็เลยแยกกันที่หน้าโรงเรียนเพราะบ้านอยู่คนละทาง 


    หากก่อนที่จะตรงกลับบ้านเหมือนกับโดยอน คนใส่เสื้อแจ็คเก็ตกับกางเกงวอร์มขายาวที่เดินสวนมาก็ทำให้แชยอนชะงัก และอดนึกย้อนกลับไปถึงภาพที่เห็นเมื่อเย็นไม่ได้ 


    ภาพที่พี่แฮอินมีแนวโน้มว่ากำลังจะทำอะไรไม่ดี...


    ถึงตอนแรกจะทำเป็นมองผ่านไปได้ แต่แชยอนก็ไม่สบายใจเลยจริงๆ


    “รุ่นพี่เซจองคะ”


    เจ้าของชื่อที่ก้มมองโทรศัพท์อยู่เงยหน้าขึ้นมาทันที


    จากเสื้อผ้าที่สวมใส่ ใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ และการที่แม้ฟ้าจะมืดแล้วแต่พี่เขาก็ยังอยู่ที่นี่ น่าจะเป็นเพราะว่าต้องซ้อมวิ่งเพื่อเตรียมเข้าแข่งขันระดับเขตอะไรนั่นล่ะมั้ง


    “แชยอนใช่มั้ยเรา ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก?”


    “พอดีอยู่ประชุมเรื่องงานโรงเรียนน่ะค่ะ”


    เมื่อเห็นเซจองพยักหน้า และไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรต่อ แชยอนก็ตัดสินใจเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเอ่ยทักประธานนักเรียนอย่างเขา


    ที่เลือกจะเล่าให้ประธานนักเรียนฟังมากกว่าจะไปแจ้งครูฝ่ายปกครองโดยตรง ก็เพราะว่ากลุ่มคนพวกนั้นมีแฮอินรวมอยู่ด้วยนั่นล่ะ อย่างน้อย ถ้าเป็นเซจองที่เพื่อนเธอบอกว่าเขาใจดี ก็น่าจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้


    “จำหน้าพวกนั้นได้หมดทุกคนใช่มั้ย”


    คนถูกถามพยักหน้า ก่อนจะต้องเลิกคิ้วอย่างตกใจทันทีเมื่อจู่ๆ เซจองก็คว้ามือเธอไว้


    “งั้นไปกันแชยอน”


    “คะ? ไปไหนคะ?”


    “ก็ไปห้องน้ำที่ไม่ได้ใช้นั่นไง”


    “ตอนนี้น่ะเหรอ? พวกนั้นคงไม่อยู่แล้วแหละค่ะ”


    ขณะที่เดินอย่างเร่งรีบจนแชยอนเกือบตามไม่ทัน เซจองก็ถอนหายใจออกมาเหมือนเอือมเต็มทน


    “เธอคิดจริงๆ น่ะเหรอว่าการที่พวกนั้นไปที่ลับตาคนตอนหลังเลิกเรียนก็แค่เพราะจะไปแอบสูบบุหรี่เนี่ย นั่นมันหลังเลิกเรียนแล้วนะแชยอน ไปแอบสูบข้างนอกมันไม่ง่ายกว่าหรือไง”


    ...นั่นสินะ


    “อีกอย่าง ถ้าแค่ไปแอบสูบบุหรี่จริง คนพวกนั้นไม่ทำลับๆ ล่อๆ อย่างที่เธอว่ามาหรอก”


    เมื่อตระหนักได้แล้วว่าสถานการณ์ดูจะเลวร้ายกว่าที่คิด แชยอนก็เร่งฝีเท้าตามเซจองโดยอัตโนมัติ


    “ตอนฉันอยู่มอสี่ ห้องน้ำนั่นน่ะ ขึ้นชื่อเรื่องพาคนที่ไม่ชอบขี้หน้าไปขังไว้ เพราะกำแพงมันหนา แถมประตูก็มิดชิด ตะโกนขอความช่วยเหลือยังไงก็ไม่ได้ยิน ที่เค้าปิดไม่ให้ใช้ก็เพราะแบบนี้แหละ”


    เนื้อตัวของแชยอนชาวาบตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อจินตนาการตาม


    ไม่หรอกน่า... พี่แฮอินคงไม่ทำอะไรร้ายกาจขนาดนั้นหรอกใช่มั้ย


    และภาพประตูห้องน้ำห้องสุดท้ายซึ่งถูกแม่กุญแจใหญ่ล็อกไว้ พร้อมกับเสียงร้องไห้แผ่วเบาที่ดังมาจากหลังบานประตูนั้น ก็ทำให้เข่าของแชยอนแทบทรุด 


    เมื่อสุดท้ายแล้ว รุ่นพี่ที่เธอเคารพนักหนาก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แบบเต็มประตู


    “ใครอยู่ข้างในน่ะ...” 


    หลังจากที่เซจองส่งเสียงถาม คนที่ถูกพามาขังไว้ก็ตอบทันทีด้วยเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสาร


    “พ...พี่เซจองใช่มั้ย ฉันเอง ช...ชเวยูจองค่ะ...”


    แชยอนเบิกตากว้างเมื่อนึกย้อนไปถึงข้อความจากยูจองที่โดยอนได้รับเมื่อตอนเย็น–ที่ตอนแรกบอกจะรอกลับพร้อมกัน แต่จู่ๆ ก็ส่งข้อความมาบอกว่าจะกลับก่อนเสียอย่างนั้น 


    และพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นมือถือเครื่องหนึ่งวางอยู่ที่สุดมุมของห้องน้ำ


    “ยูจอง ไม่เป็นไรนะ รอแป๊บนึง เดี๋ยวพี่จะไปตามคนมาเปิดให้”


    ทันใด โทรศัพท์เครื่องที่ว่าก็กรีดเสียงร้องดังลั่นจนแชยอนที่มองอยู่สะดุ้งสุดตัว


    “น...น่าจะเป็นโดยอน พี่เซจองช่วยรับให้หน่อยได้มั้ยคะ”


    โทรศัพท์ของยูจองจริงๆ ด้วย


    คนเป็นรุ่นพี่รับคำ ก่อนจะไปหยิบมากดรับให้ และเพราะว่าในห้องน้ำเงียบมาก แชยอนจึงได้ยินเสียงโวยวายของโดยอนที่ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ได้เกือบจะชัดเจนทุกคำ


    มันแน่นอน ว่าเขาต้องโกรธมากที่เพื่อนสนิทถูกกลั่นแกล้งอย่างร้ายกาจขนาดนี้


    สิบนาทีหลังจากวางสาย โดยอนก็กระหืดกระหอบมาถึงที่นี่พร้อมกับเครื่องมือตัดแม่กุญแจที่เขาบอกว่าไปขอยืมมาจากบ้านข้างๆ ก่อนจะปล่อยให้เซจองเป็นคนจัดการ โดยที่เขาคอยพูดปลอบยูจองให้ไม่ต้องกลัว


    “ไม่เป็นไรแล้วนะแก ไม่เป็นไรแล้ว” 


    โดยอนกอดยูจองไว้ทันทีที่บานประตูเปิดออก คนตัวเล็กที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นในอ้อมกอดตัวสั่นเทาเหมือนลูกนก ยูจองดูเสียขวัญมากจริงๆ ถึงขนาดว่าแชยอนที่ยืนห่างออกมายังสังเกตเห็นอาการนี้ได้อย่างชัดเจน 


    และทั้งๆ ที่เมื่อกี้โดยอนดูโกรธมากแท้ๆ แต่ในตอนนี้ใบหน้าคมของเขากลับนิ่งสงบขณะลูบหัวลูบหลังปลอบให้เพื่อนสนิทหายกลัว


    “ยูจองอา ไม่ต้องกลัวแล้วนะ ฉันมาหาแล้ว ไม่เป็นไรแล้วเนอะ”


    แชยอนมองภาพนี้ด้วยความรู้สึกสับสน ใจหนึ่ง แน่อยู่แล้วว่าเธอสงสารยูจองที่ถูกแกล้ง 


    แต่อีกใจ...เธอก็อิจฉาหล่อนเหลือเกินที่ได้รับความเป็นห่วงเป็นใยจากโดยอนมากขนาดนี้


    ตอนนี้ทั้งคู่อาจจะไม่ได้เป็นแฟนกันก็จริง แต่ถ้ายูจองชอบโดยอนขึ้นมา แชยอนเชื่อว่ายังไงเธอก็ไม่มีทางสู้ได้


    เพราะมันเห็นกันชัดๆ อยู่แล้วว่าใครที่โดยอนแคร์มากที่สุด...







    เรื่องนี้จบลงตรงที่กลุ่มของแฮอินถูกทางโรงเรียนลงโทษสถานหนักกันครบทุกคน เพราะเมื่อได้รู้ว่าเรื่องไม่ดีที่แฮอินทำมันหนักหนามากเหลือเกิน แชยอนก็ไม่อาจช่วยพูดให้เซจองขอผ่อนหนักให้เป็นเบาได้จริงๆ


    อีกอย่าง คิมโดยอนไม่มีทางยอม


    จำได้ว่านั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เธอได้เห็นโดยอนโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขาตะโกนด่าพี่แฮอินปาวๆ หลังจากที่หล่อนออกมาจากห้องปกครองแล้ว ไม่สนด้วยซ้ำว่าครูก็ยังยืนอยู่ไม่ไกล


    แชยอนเพิ่งได้รู้เดี๋ยวนั้นเองว่าที่ยูจองถูกแกล้งน่ะ เป็นเพราะว่าแฮอินชอบโดยอน


    และที่ยูจองโดนหางเลข ก็เป็นเพราะว่าดูสนิทกับโดยอนมากเกินไป...


    ‘พี่เป็นบ้าเหรอ! คิดว่าทำกับยูจองแบบนี้แล้วฉันจะชอบพี่กลับหรือไง จำไว้นะพี่แฮอินว่าห้ามยุ่งกับยูจองอีกเด็ดขาด ถ้ามีคราวหน้า รับรองได้เลยว่าฉันไม่จบแค่นี้แน่’


    ก่อนที่จะกลับมาเป็นคิมโดยอนคนเดิมตอนที่เดินมาขอบคุณแชยอน


    “ถ้าไม่ได้แชยอน ยูจองคงติดอยู่ในนั้นนานกว่านี้ ขอบคุณมากๆ เลยนะ”


    แม้ภายนอกจะยิ้มรับ แต่แชยอนรู้ดีแก่ใจว่าความจริงแล้วเธอรู้สึกเช่นไร...


    “พี่ก็ต้องขอบคุณด้วยเหมือนกันที่แชยอนเลือกที่จะบอกพี่”


    ประธานนักเรียนเซจองพูดขึ้นหลังจากที่โดยอนพายูจองเดินจากไปแล้ว และที่ตรงนั้นก็เหลือแค่เธอกับเขาแค่สองคน


    “ต้องขอบคุณที่เมื่อวานรุ่นพี่อยู่ซ้อมวิ่งพอดีต่างหากค่ะ”


    “เออนั่นสิเนาะ”


    ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าบทสนทนานี้และรอยยิ้มของเซจองในตอนสุดท้าย จะช่วยให้อารมณ์ของแชยอนกลับมาดีขึ้นได้ 


    ที่ผ่านมา แม้ว่าเพื่อนจะมาพูดกรอกหูว่าเซจองน่ารักหรือมีข้อดีมากมายเท่าไหร่ แชยอนไม่เคยอิน


    นั่นจึงเป็นครั้งแรกเลย ที่เธอรู้สึกว่ารุ่นพี่คิมเซจองคนนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน







  • นั่นล่ะ เมื่อย้อนคิดให้ตายอย่างไร ต่อให้นึกรายละเอียดยิบย่อยแค่ไหน ก็หาเหตุผลไม่เจอว่าทำไมเซจองถึงตกใจที่เจอกันขนาดนั้น แชยอนจึงตัดสินใจว่าจะทำเป็นลืมๆ ไปก็แล้วกัน เพราะยังไงเธอก็คงไม่ได้เจอเขาบ่อยๆ อยู่แล้ว เผลอๆ จะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยซ้ำ


    ตราบใดที่ไม่ได้ไป Sleeping Bread ล่ะก็นะ


    และแม้จะบอกตัวเองให้คิดอย่างนั้น แต่กว่าแชยอนจะเข้าสู่ห้วงนิทราได้สำเร็จ ก็ยังคงถูกความสงสัยที่หาคำตอบไม่ได้ตามมากวนใจจนกระทั่งตีสี่ นำมาสู่การไปทำงานสายครั้งแรกจนอดเบี้ยขยันไปโดยปริยาย


    “ตาเป็นแพนด้ามาเชียวจองแชยอน” ฮีฮยอนเดินมาแซวถึงโต๊ะ โดยที่มือข้างหนึ่งถือครัวซองต์นมสดของ Sleeping Bread ที่ซื้อมาเมื่อวานมากินโชว์ด้วย กินไปแซวไป น่าหมั่นไส้ชะมัด


    “ถามจริง?”


    “ไม่จริง แค่อยากมาชวนคุยเฉยๆ” มืออีกข้างของฮีฮยอนวางถุงพลาสติกใสที่ข้างในมีขนมปังของร้านเดียวกันไว้บนโต๊ะแชยอน “เพราะนอนดึก เลยตื่นสายใช่มั้ยล่ะ อีหรอบนี้ก็แปลว่ายังไม่ได้กินอะไรมาแหงๆ” ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป แต่ก็ยังพูดทิ้งท้ายทั้งที่ไม่ได้มองกันสักนิด “รองท้องหน่อย กว่าจะมื้อเที่ยงก็อีกหลายชั่วโมง อ้อ ถ้าจะเอากาแฟก็บอก เดี๋ยวไปชงให้”


    “ใจดีอีกละ แต่ทางนี้ไม่มีอะไรตอบแทนให้นะ”


    “ถ้าหวังอะไรตอบแทนขนาดนั้นจริงๆ ก็คงเผ่นตั้งแต่ปีแรกแล้วล่ะ แหม” ฮีฮยอนหันมาหัวเราะเบาๆ แต่แชยอนเห็นหรอกน่าว่าดวงตาคู่คมของเขาไม่ได้หัวเราะตามไปด้วย “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่หวังเลยสักนิดหรอกนะ ตกลงเอากาแฟดำ น้ำตาลสองช้อนเหมือนเดิมใช่มั้ย?”


    จู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องกลางอากาศเสียอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของแชยอนเท่าไหร่


    “ใช่ค่ะ ขอบคุณนะพี่”


    ทำไมแชยอนจะไม่รู้ ว่ากีฮีฮยอนคนนี้แอบชอบเธอมาตั้งนานแล้ว ถ้าเข้าใจไม่ผิด ก็น่าจะตั้งแต่สมัยที่เธอยังคบกับโดยอนอยู่เลยนั่นล่ะ แต่เขาก็วางตัวดี ไม่ทำอะไรรุ่มร่ามให้เธอต้องอึดอัด


    และพอเลิกกับโดยอน หลังจากนั้นประมาณครึ่งปี ฮีฮยอนก็เริ่มเข้ามาในชีวิต 


    เขาดีนะ ดีมากๆ เลย คอยทำนั่นทำนี่ให้ มีอะไรดีๆ ก็ให้เธอก่อนเสมอ จนพอหลายครั้งเข้า แชยอนก็ต้องเอ่ยปฏิเสธอย่างเป็นจริงเป็นจังว่าไม่ต้องให้แล้ว นั่นล่ะฮีฮยอนถึงจะยอมฟังแล้วทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง 


    ในบางเวลาก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของเขาได้ 


    ทั้งที่ฮีฮยอนมอบให้แต่ความหวังดี ไม่เคยละเลยเธอสักครั้งเหมือนอย่างที่โดยอนทำ 


    ทั้งที่ฮีฮยอนทำให้แชยอนมั่นใจได้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะเป็นคนสำคัญที่สุดของเขา


    มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ไปดื่มกันสองคนหลังสอบเสร็จ แชยอนเคยถึงขั้นร้องไห้ออกมาเพราะนึกเสียใจที่ให้เขามากกว่านี้ไม่ได้จนฮีฮยอนตกอกตกใจใหญ่ พอเล่าไป คนที่เป็นได้แค่พี่สาวก็หัวเราะออกมาก่อนจะลูบผมเธอเบาๆ แล้วบอกเสียงอ่อนโยนว่า ไม่เป็นไร


    อันที่จริง แชยอนก็เคยบอกไปตามตรงในสภาพปกติที่ไม่เมาด้วยเหมือนกันว่า


    ‘พี่ไปจีบคนอื่นเถอะ อย่ามาเสียเวลากับฉันเลย คนดีๆ แบบพี่ควรได้รักกับคนที่เค้ารักพี่มากกว่า’


    แต่ฮีฮยอนกลับตอบรับประโยคนี้ด้วยการชวนแชยอนมาทำงานที่เดียวกัน...


    ‘พี่ ต้องบอกไว้ก่อนนะว่าที่ฉันมาทำที่นี่เป็นเพราะว่าฉันชอบเนื้องาน’


    จำได้ว่าเขาพยักหน้ารับด้วยใบหน้าที่นิ่งกว่าทุกที และจากนั้นฮีฮยอนก็จะไม่คอยมาทำนู่นทำนี่ให้ตลอดเวลาเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็อีกนั่นล่ะว่าถ้าแชยอนมีเรื่องจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ เขาก็วางงานทั้งหมดแล้วมาช่วยเธอก่อนอยู่ดี


    ถ้าเธอชอบฮีฮยอนได้ ทุกอย่างมันคงแฮปปี้เอนดิ้งน่าดู และเธอก็คงจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุขมาก


    แต่เพราะชีวิตคนเรามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แชยอนถึงได้ปฏิเสธคนแสนดีอย่างกีฮีฮยอนไม่รู้กี่หนต่อกี่หน โดยที่ก็ไม่ยอมลบคนใจร้ายอย่างคิมโดยอนออกไปจากใจเสียที


    และในที่สุด กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นตรงหน้า ก็ดึงแชยอนให้กลับออกมาจากภวังค์ได้สำเร็จ


    “เออตารางของวีคหน้าออกแล้วนะ พี่นายองฝากมาบรีฟ เอ้านี่” คนแสนดียื่นโพสต์อิทที่เขียนสรุปทุกอย่างไว้ให้หมดแล้วอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนแค่รอให้เธอเอาไปแปะลงสมุด “แต่คราวนี้พี่ไม่ได้ไปด้วยนะ”


    “อ้าว”


    “มันแค่สกู๊ปสั้นๆ น่ะ” ฮีฮยอนชี้นิ้วไปที่โพสต์อิท เหมือนจะบอกว่ามันมีเขียนไว้ในนี้แล้ว “คือเราจะใช้รูปจากทางเค้า เลยไปแค่นักเขียนก็พอ ช่างภาพไม่ต้อง”


    แชยอนพยักหน้าเข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกหวั่นๆ อยู่ดี


    เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยนี่นา ที่แชยอนจะต้องบินเดี่ยวโดยไม่มีฮีฮยอน







  • ร้านแรกที่แชยอนต้องไปเก็บข้อมูลคนเดียว เป็นร้านหนังสืออินดี้ไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่แถวยอนนัม จัดว่าเป็นที่รู้จักในหมู่หนอนหนังสืออยู่แล้ว ที่เธอต้องทำก็คือ หาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ยังไม่เคยมีใครรู้เกี่ยวกับที่นี่เพื่อนำมาเขียนในสกู๊ปให้ได้


    แต่โชคก็ช่างเข้าข้างแชยอนเหลือเกิน... 


    โชคร้ายน่ะนะ


    เพราะเจ้าของร้านเพิ่งโทรมาบอกเธอตอนที่เดินอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงว่า ขอเปลี่ยนเวลานัดเป็นห้าโมงเย็น เพราะพาหลานสาวไปโรงพยาบาลแล้วกลับมาไม่ทัน


    โอเค แชยอนผิดเองนั่นแหละที่เลือกจะมาก่อนเวลานัดเกินหนึ่งชั่วโมง...


    เสียเวลาปั่นงานชะมัด ไม่อย่างนั้นแชยอนก็คงจะอยู่เขียนรีวิว Sleeping Bread จนเสร็จไปแล้วล่ะ


    ‘เอาน่า ก็ถือว่ามีเวลาเดินสำรวจร้านเยอะหน่อยละกัน’ ฮีฮยอนพิมพ์ตอบมาหลังจากเธอบ่นไปยาวเหยียด


    ระหว่างที่กำลังเดินวนไปวนมาอย่างพยายามผลาญเวลาที่มีอยู่เหลือแหล่ให้หมดไปเร็วๆ ตาของแชยอนก็ไปสะดุดเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟา


    เขาคือคนที่แชยอนคิดว่าคงไม่เจอกันอีกแล้ว หรือไม่...ก็คงไม่ได้เจอกันบ่อยๆ


    คนที่เป็นต้นเหตุให้แชยอนนอนไม่หลับจนตื่นไปทำงานสายเป็นครั้งแรก


    รุ่นพี่คิมเซจอง


    ตอนที่แชยอนยืนมองอย่างอึ้งจัดสำหรับการเจอกันอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือพอดี


    หากคราวนี้เซจองไม่ตกใจที่ได้เจอเธอแล้ว


    “อ้าวแชยอน” ซ้ำยังยิ้มทักทายได้เป็นปกติด้วย “มาซื้อหนังสือเหรอ หรือว่ามารีวิวร้าน”


    งงกว่าเดิมอีกเนี่ย! แต่เธอก็ยังสามารถคุมสติให้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้


    “อย่างหลังค่ะ มาหาข้อมูลไปเขียนสกู๊ปน่ะ”


    “แต่เจ้าของไม่อยู่นะ ยังไม่กลับ”


    แชยอนเลิกคิ้วทันที “ทำไมพี่รู้ล่ะคะ?”


    หากคนที่นำพาแต่ปริศนามาให้อย่างไม่หยุดหย่อนนั้นไม่ตอบอะไรนอกจากนั่งอ่านหนังสือไปหน้าตาเฉย ไม่เหลือเค้าความ ‘ล่ก’ อย่างคราวก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว


    ถามว่างงมั้ยที่จู่ๆ เซจองก็เฉยสนิท งงน่ะสิ งงมากด้วย เท่ากับว่าที่คืนนั้นอุตส่าห์นอนคิดหัวแทบแตกว่าเคยมีประเด็นอะไรกันมาก่อนหรือเปล่า ก็กลายเป็นว่าเธอเครียดไปเองคนเดียวฟรีๆ


    ถอนคำพูดได้มั้ยที่ตอนนู้นเคยชมในใจว่าก็น่ารักดีเหมือนกัน


    “อ้าวเซจอง ลมอะไรหอบมานี่ได้ เอาขนมมาส่งเพิ่มเหรอ? ทำไมไม่ให้เด็กที่ร้านมาล่ะ” 


    เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้แชยอนต้องหันไปมองทันที ถึงแม้ว่าเจ้าของเสียงจะพูดกับคนที่นั่งอยู่ก็ตาม


    คนมาใหม่เป็นหญิงสาวที่หน้าตาสวยหมดจดซึ่งคงจะแก่กว่าเธออยู่สักหน่อย ในอ้อมแขนของหล่อนมีเด็กหญิงตัวจิ๋วนอนหลับปุ๋ยอยู่ สังเกตจากพวงแก้มเล็กๆ ที่แดงจัดเหมือนคนเป็นไข้ บวกกับตอนนี้เหลืออีกสิบนาทีจะห้าโมง ก็ทำให้แชยอนค่อนข้างมั่นใจว่าผู้ใหญ่ที่อุ้มอยู่ต้องเป็นคุณซอฮยอนเจ้าของที่นี่ซึ่งเธอนัดไว้แน่ๆ


    “พอดีมีล็อตใหม่ที่อยากให้ลองชิมด้วยน่ะพี่ซอ” ก่อนจะหันมาพูดกับแชยอนหน้าตาเฉย ทั้งที่เมื่อกี้ยังเมินกันอยู่แท้ๆ หึ “Sparkling Seoul ก็ชิมด้วยกันสิ อันนี้ไม่ได้อยู่ในลิสต์วันนั้นน่ะ แต่รับรองได้ว่าต้องชอบ”


    “อ้าว นี่คุณแชยอน Sparkling Seoul เหรอคะเนี่ย ที่จะมาสัมภาษณ์ใช่มั้ยคะ” คนที่อุ้มเด็กอยู่มองด้วยสายตาทึ่งๆ “ตัวจริงยังเด็กอยู่เลย ทีแรกเลยไม่คิดว่าใช่ค่ะ คิดว่ามากับเซจอง” 


    หลังจากคุณเจ้าของร้านพาหลานสาวไปนอนพักข้างบนเรียบร้อย ก็ได้เวลาที่จะแลกนามบัตรกัน และเริ่มสัมภาษณ์กันอย่างเป็นทางการเสียที


    และจากเหตุการณ์วันนี้ ก็ทำให้แชยอนได้สิ่งที่ติดใจสงสัยเกี่ยวกับเซจองเพิ่มมาอีกหนึ่ง


    เพราะจากที่ซอฮยอนพูดแบบนั้น มันย่อมหมายความว่าปกติแล้วเซจองไม่ได้มาที่นี่บ่อยๆ แถมครั้งสุดท้ายที่มาก็น่าจะนานแล้วด้วย และปกติแล้วการส่งขนมมาวางขายก็จะให้เด็กที่ร้านมาส่ง ไม่ได้มาเอง


    แชยอนจึงไม่คิด...ว่าการที่เธอได้เจอกับเซจองในวันนี้จะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ


    แต่เอาเถอะ อย่างน้อยก็ทำให้ได้ชิมขนมล็อตใหม่ของ Sleeping Bread ที่ก็อร่อยสมคำอวดอ้างของคนทำจริงๆ นั่นแหละ ก็ถือว่ามีอะไรไปเขียนเพิ่มในรีวิวที่กำลังปั่นอยู่ด้วย







  • และในที่สุด แชยอนก็ได้พิสูจน์ว่า ‘สมมติฐาน’ ที่วางเอาไว้นั้นถูกต้องจริงๆ ในอีกสามวันหลังจากนั้นที่เธอต้องไปรีวิวร้านต้นไม้จิ๋วที่อยู่เกือบๆ จะถึงอินชอนโน่น


    ไกลขนาดนี้ เธอจึงไม่ควรเจอเซจอง ‘โดยบังเอิญ’ อีก 


    แถมยังเป็นร้านขายต้นไม้ที่แทบไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคาเฟ่ขนมปังของเขาด้วย โอเคว่าอาจจะพอไหลไปได้ว่ามาซื้อต้นไม้จิ๋วไปตกแต่งร้าน แต่ถ้าจะให้เธอเชื่อ คนที่มาควรจะเป็นชองฮา ไม่ใช่เซจอง


    ก็เพราะว่า–


    “อ้าวแชยอน”


    คนที่ไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่ที่สุดปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่ดูไม่แปลกใจที่ได้เจอแชยอน...อีกแล้ว


    เห็นมั้ยล่ะ แล้วแบบนี้ยังจะให้เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญได้ยังไง


    จึงดึงเขาไปตรงที่ที่ไม่มีคน แล้วหรี่ตาถามไปทันทีว่า


    “รุ่นพี่จงใจสตอล์กฉันเหรอคะ?”


    ก็อย่างที่คิดไว้ ว่าเซจองจะต้องทำเป็นไม่รู้เรื่อง


    “เปล่าซะหน่อย Sleeping Bread นั่นก็ร้านพี่ หรือร้านทาชิ พี่ก็สนิทกับพี่ซอฮยอนอยู่แล้ว จะไปก็ไม่แปลก ส่วนร้านต้นไม้–” 


    “แต่เท่าที่ฉันจำได้ รุ่นพี่ไม่ได้ชอบปลูกต้นไม้นี่คะ”


    ที่ไม่ชอบปลูก ก็เพราะว่าคิมเซจองน่ะปลูกต้นไม้ไม่ค่อยขึ้น ตอนเรียนวิชาเกษตรต้นไม้ของเซจองก็ไม่โตเหมือนคนอื่นเขา ยังจำได้เลยว่านึกขำในใจเหมือนกันตอนที่รู้ว่าคนเก่งรอบด้านอย่างเซจองกลับมีจุดอ่อนที่เรื่องการปลูกต้นไม้เสียอย่างนั้น


    “เดี๋ยวๆ ทำไมเธอถึงรู้ล่ะว่าพี่ไม่ชอบปลูกต้นไม้”


    “ตอนมอปลาย เพื่อนที่เป็นแฟนคลับรุ่นพี่เล่าให้ฟังค่ะ”


    “เปล่า” เซจองยิ่งขมวดคิ้วหนัก “ประเด็นก็คือ ทำไมเธอถึงจำได้ล่ะ?”


    เจอการตั้งข้อสังเกตแบบนี้เข้าไป คนที่เป็นฝ่ายไล่ต้อนในทีแรกก็นิ่งไปทันที


    เพราะมันจริงอย่างที่เซจองว่าจริงๆ นั่นล่ะ การได้รับฟังเรื่องราวของคนคนหนึ่งมาตลอดสองปีอาจมากพอที่จะทำให้จำเรื่องใหญ่ๆ ของคนคนนั้นได้บ้างก็จริง แต่ไม่ใช่ว่ามาจำประเภท ‘เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย’ อย่างเรื่องปลูกต้นไม้ไม่ขึ้น หรือเรื่องที่เซจองชอบกินปลาหมึกธรรมดามากกว่าปลาหมึกยักษ์ ยังมีแนวเพลงที่เซจองชอบฟัง กีฬาที่เซจองถนัดนอกเหนือไปจากการวิ่ง—แชยอนตกใจตัวเองเหมือนกันว่าเธอจำรายละเอียดของคนที่แทบไม่เคยพูดคุยด้วยได้มากขนาดนี้เลยเหรอ


    โอเคว่าอย่างกรณีของคิมโดยอน เธอจำได้ละเอียดยิ่งกว่านี้เสียอีก แต่นั่นคือคนที่เธอชอบมาเกือบเจ็ดปี


    แต่เซจองล่ะ? เหตุผลที่เธอจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเขาได้มากขนาดนี้มันเป็นเพราะอะไรกันแน่?


    “โอเค งั้นพี่สารภาพก็ได้”


    “คะ?”


    “คิมนายอง หัวหน้าที่ทำงานเธอน่ะ เป็นรุ่นพี่ของพี่เอง”


    “แล้ว?”


    คนตรงหน้านี้จะทำให้แชยอนต้องพบเจอแต่ความประหลาดใจไปถึงเมื่อไหร่กัน


    “ก็พี่เค้ารู้...”


    แชยอนเห็นแก้มของเซจองมีสีชมพูจางๆ และประโยคต่อมาก็ทำให้เธอเข้าใจว่าทำไม


    “...ว่าพี่ชอบเธอ”








  • ‘ก็ถ้าชอบ ทำไมไม่เข้ามาหาตรงๆ ล่ะคะ? มาสตอล์กกันแบบนี้ พี่คิดว่ามันจะเวิร์กเหรอ?’

    ก็ไม่ได้ตั้งใจจะสตอล์กหรอก’


    ‘แต่ก็ตามไปทุกที่...’



    ‘ไม่ทุกที่ซะหน่อย โธ่เอ๊ย ก็ตอนแรกพี่คิดว่าตากล้องคนนั้นเป็นแฟนเธอนี่นา’















  • หลังจากมาบอกชอบกันโต้งๆ วันนั้น เซจองก็ทิ้งเธอไว้ในสภาพสุญญากาศ ไม่ติดต่อมาเลยเกือบหนึ่งเดือน ไม่รู้สิ เขาอาจจะอยากให้เวลาแชยอนได้ทบทวนกับตัวเองล่ะมั้ง ว่าเหตุผลที่ทำให้เธอจำเรื่องราวของเขาได้มากขนาดนั้นมันเพราะอะไรกันแน่


    แชยอนมั่นใจว่าเธอชอบ และก็รักโดยอนมาก เขาเป็นรักแรกของเธอ ไม่มีอะไรผิดไปจากนี้แน่นอน 


    แต่แชยอนก็ไม่แน่ใจว่าความประทับใจที่เกิดขึ้นจากการไปช่วยยูจองซึ่งนำมาสู่ความคิดที่ว่าเซจองก็น่ารักดีเหมือนกันนั้น–


    มันได้ไปก่อร่างความรู้สึกอะไรบางอย่างเอาไว้ในหัวใจของเธอด้วยหรือเปล่า


    แน่ล่ะว่าตอนนี้เธอยังไม่ได้ชอบเซจองแบบเดียวกับที่เขาชอบเธอ


    แต่แชยอนก็ไม่ปิดประตูแห่งความหวังใส่หน้าเขา เหมือนที่ทำกับกีฮีฮยอน


    ถ้ามองกันด้วยเหตุผล สิ่งที่แชยอนทำมันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด 


    แต่มันก็เป็นสิ่งที่หัวใจของเธอเลือกแล้ว


    “สตรอว์เบอร์รี่ลาเต้เหมือนเดิมนะคะ” พนักงานที่ Sleeping Bread ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสทันทีที่เธอผลักประตูเข้าไป ก็ไม่แปลกอะไรถ้าหล่อนจะจำได้ ในเมื่อถ้าไม่ติดธุระอะไร แชยอนจะมาใช้เวลาของวันอาทิตย์กับการนั่งอ่านหนังสือหรือเขียนงานที่นี่ ซึ่งก็จะสองเดือนละล่ะ


    อย่างที่เคยบอก แชยอนชอบบรรยากาศและการใช้สีเหลืองของ Sleeping Bread ตั้งแต่ได้เห็นครั้งแรก 


    สดใส สดชื่น แต่ก็สบายตา อยู่ด้วยแล้วสบายใจ


    ไม่ใช่แค่ Sleeping Bread แต่เธอหมายรวมถึงคิมเซจอง


    “เดี๋ยวเซจองมานะน้องแช อาบน้ำให้เจ้าต็อกอยู่”


    เจ้าต็อกที่ชองฮาบอกเป็นลาบราดอร์สีขาวจั๊วะหน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนแป้งต็อก ซึ่งก็คือเจ้าต็อกตัวเดียวกับที่ได้กินขนมปังที่เซจองทำหล่นลงพื้นในวันที่เรากลับมาเจอกันครั้งแรกเมื่อสามเดือนก่อน


    “ฉันไปช่วยได้มั้ยคะ”


    คนถูกถามยิ้มบางๆ “เอาสิ ออกประตูหน้าแล้วอ้อมไปทางด้านหลังนะ”


    แชยอนยิ้มตอบขณะก้มศีรษะขอบคุณนิดหนึ่ง


    คิมชองฮาเป็นคนที่น่ารักทั้งหน้าตาและนิสัย บางทีก็ไม่เข้าใจเซจองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่เลือกชอบชองฮาแทนที่จะมาชอบเธอแบบนี้


    ใช่ มันเกือบจะเป็นหนังม้วนเดิม ที่คนที่มาพัวพันกับแชยอน จะต้องมีเพื่อนสนิทกันมากๆ ซึ่งไม่ได้คิดกับเขาแค่เพื่อนอยู่ข้างตัว 


    สมัยโดยอนก็เป็นยูจอง พอมาถึงเซจองก็เป็นชองฮา


    แต่สิ่งที่ต่างก็คือ–


    ‘พี่เซจอง พี่รู้ใช่มั้ยว่าพี่ชองฮาชอบพี่?’


    น่าจะเป็นครั้งแรก ที่แชยอนกล้าถามสิ่งที่อยากรู้ออกไปตรงๆ โดยไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะดูไม่ดี


    ในความเป็นจริง ถ้าเธอกล้าถามโดยอนแบบนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ บางที...


    ‘รู้ แต่ในเมื่อชองฮาเป็นเพื่อนที่ดี ไม่ทำอะไรให้พี่อึดอัด ก็ไม่เห็นเป็นไร’


    ‘แล้วพี่...เคยคิดจะชอบพี่ชองฮามั้ย ที่ผ่านๆ มาน่ะ’


    สิ่งที่เซจองตอบพร้อมกับมองตา ก็ทำให้แชยอนตัดสินใจในวินาทีนั้นเองว่า เธอจะลองให้โอกาสเขา


    ‘ไม่เคย เพราะว่าพี่ชอบเธอ ชอบแค่เธอคนเดียวมาตลอด’







  • คนที่ตอบเธอด้วยประโยคเท่ๆ เมื่อสองเดือนก่อน ตอนนี้กำลังอยู่ในสภาพดูไม่จืดเมื่อกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงให้เจ้าต็อกลุกขึ้นมาล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดแทนที่จะนอนแช่น้ำคลายร้อนท่าเดียว


    เสื้อแขนกุดสีเหลืองของเซจองใกล้เคียงคำว่าเปียกชุ่ม ส่วนผมเผ้าไม่ต้องถามถึง เละเทะไม่แพ้กัน


    “นี่ ตกลงก็อาบน้ำพร้อมเจ้าต็อกด้วยเหรอพี่น่ะ”


    “มาพอดีเลยแชยอนอา มาช่วยกันหน่อยสิ”


    คงเพราะเซจองเห็นว่าแชยอนอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงยีนส์ขาสั้นปอนๆ เหมือนพร้อมเปียกล่ะมั้งถึงรีบกวักมือเรียกเป็นการใหญ่ ลองว่าถ้าใส่สีขาวมา เซจองคงไล่เธอให้กลับไปนั่งรอในร้านดีๆ ตามเดิม


    “มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนใช่มั้ย”


    “มีๆ–หวาาา!” เจ้าต็อกสะบัดขนจนน้ำกระเด็นไปทั่ว นี่ขนาดยังไม่เข้าไปช่วยเต็มที่แชยอนก็เปียกไปครึ่งตัวแล้ว “แกนี่มันยิ่งโตยิ่งดื้อจริงๆ เลยนะ เดี๋ยวจับทำต็อกโบกีซะเลย”


    เลยไม่พ้นให้ต้องเอื้อมมือไปตีคนช่างขู่เผียะหนึ่ง


    “ใจร้าย มันเสียใจนะ” แต่เซจองกลับหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น 


    “มันฟังไม่รู้เรื่องหรอกน่า” 


    “ถึงมันจะฟังไม่รู้เรื่องพี่ก็ไม่ควรไปพูดแบบนั้น”


    เซจองหยุดเล่นทันที หลังจากมองเธอตาปริบๆ เขาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูภาคภูมิใจ


    “แชยอนเนี่ย เป็นคนดีจริงๆ นะ”


    “ตกลงที่พี่ชอบฉันเพราะว่าฉันเป็นคนดีงั้นเหรอ?”


    เซจองส่ายหน้าทันที


    “แล้วไป ถ้าพี่ชอบฉันเพราะเหตุผลนั้น ฉันจะบอกให้พี่เลิกชอบ เพราะจริงๆ แล้วฉันไม่ใช่คนดีอะไรเลย”


    คนฟังนิ่งไปอีกครั้ง ก่อนที่จะค่อยๆ ยกยิ้มบางๆ ขณะที่เอื้อมมือมาแตะที่หน้าเธอ


    “แชยอนอา คนเราน่ะไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ และในความคิดพี่ พี่ว่าเธอเป็นคนดี” นิ้วโป้งของเซจองเกลี่ยเบาๆ ที่ข้างแก้ม “แต่ที่พี่ชอบเธอ ก็เพราะว่าเธอเป็นเธอนะแชยอน ถึงเธอจะเป็นคนไม่ดียังไง พี่ก็ยังชอบเธออยู่ดี”


    เซจองผละมือออกไปแล้ว แชยอนได้เห็นว่าที่นิ้วโป้งของเขามีฟองสบู่ติดอยู่ และพอจับที่แก้มตัวเองตรงตำแหน่งที่เขาแตะ มันก็ไม่มีอะไรติดอยู่แล้ว


    ทำให้เธอยิ่งมั่นใจว่า คิมเซจองน่ะน่ารักจริงๆ นั่นล่ะ







  • เป็นสัปดาห์แรกที่แชยอนเลือกจะมาที่ Sleeping Bread ในวันเสาร์ แทนที่จะเป็นวันอาทิตย์เหมือนอย่างทุกที ทั้งนี้ ก็เพราะว่าเซจองขอร้องให้มาช่วยรีวิวส่วนของโฮสเทลที่เพิ่งตกแต่งใหม่หน่อย 


    เพื่อให้การรีวิวเป็นไปตามสายตาของคนมาพักจริงๆ แชยอนจึงตัดสินใจมาเป็นแขกที่นี่หนึ่งคืนเสียเลย 


    “ทำตัวให้เหมือนว่าเป็นคนมาพักจริงๆ เลยนะ” 


    เซจองทำหน้าจริงจังเสียจนแชยอนอดยิ้มออกมาไม่ได้


    “พี่ก็เหมือนกัน ช่วยทำเหมือนว่าฉันเป็นคนมาพักทั่วไปด้วยนะ ลืมไปก่อนว่านี่คือจองแชยอน”


    หากทั้งๆ ที่คุณเจ้าของพยักหน้ารับแท้ๆ แต่พอตกกลางคืน ขณะที่แชยอนกำลังเช็ดเครื่องสำอางออกเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับประโยคที่ว่า ถ้าต้องการอะไรเพิ่มบอกได้


    ให้ต้องถอนหายใจและหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูคนที่ยืนหลังบานประตูนั่น


    “คุณคิมเซจองคะ คุณดูแลคนมาพักทั่วไปดีขนาดนี้เลยหรือไง?”


    เขายืนลูบท้ายทอยไปมาอย่างขัดเขิน ในสายตาของแชยอนมันยิ่งทำให้น่าเอ็นดูมากขึ้นไปอีก


    “พี่เข้ามาได้นะ”


    แต่แชยอนว่าใบหน้าที่น่าเอ็นดูที่สุดของเซจอง ก็คือตอนที่เขาทำหน้าเหลอหลา ทำอะไรไม่ถูกนี่ล่ะ เพราะในความทรงจำของเธอ มีแต่ประธานนักเรียนคิมเซจองที่กระฉับกระเฉงและแสนมั่นอกมั่นใจแทบทั้งนั้น


    นี่จึงเป็นหนึ่งใน ‘ความเซอไพรส์’ ที่เซจองมอบให้อย่างไม่รู้ตัว และมันก็ทำให้แชยอนยิ่งชอบเขา


    ใช่เลย เธอน่ะชอบคิมเซจองเข้าให้แล้วล่ะ


    “เออใช่ พี่ยังไม่เคยบอกเธอใช่มั้ย”


    “คะ?” แชยอนหันไปหาเขาขณะที่กำลังจะเดินออกไปอาบน้ำ


    “เวลาเธอไม่แต่งหน้าน่ะ น่ารักมากๆ เลย อ้อ ไม่ได้หมายความว่าตอนแต่งไม่น่ารักนะ น่ารักเหมือนกัน”


    แชยอนชอบแม้กระทั่งอาการละล่ำละลักพูดอธิบายยาวยืดเพราะกลัวว่าเธอจะเข้าใจผิด


    พี่ให้เด็กผสมยาเสน่ห์อะไรลงไปในสตรอว์เบอร์รี่ลาเต้ที่ฉันกินทุกอาทิตย์หรือเปล่า บอกมาเดี๋ยวนี้นะ


    “ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่ปากหวานขนาดนี้”


    “พี่ไม่ได้ตั้งใจจะชมหรืออะไรนะ แค่พูดไปตามที่เห็น และก็ตามที่รู้สึก”


    “สำบัดสำนวนอะ ไม่คิดบ้างเหรอว่าคนฟังเค้าจะเขิน”


    “ก็คิด แต่ไม่คิดว่าเธอจะดูเขินขนาดนี้” ก่อนที่จะทันตั้งตัว ข้างแก้มก็ถูกมืออุ่นๆ ของเซจองแตะประคองอย่างแผ่วเบา และคราวนี้เธอมั่นใจว่าหน้าตัวเองไม่มีอะไรติดอยู่แน่นอน 


    “แชยอนอา หน้าเธอแดงล่ะ”


    ให้ต้องหัวเราะออกมา “หน้าพี่ก็เหมือนกัน แดงแป๊ดเลย”


    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแก้มแดงๆ ของเขา หรือเพราะแสงสลัวๆ ในห้อง ที่ทำให้แชยอนกล้าพูดออกไปว่า


    “พี่...จูบฉันได้มั้ยคะ?”


    เวลาที่อยู่กับเซจอง แชยอนสามารถเป็นตัวเองได้เต็มที่ 


    ไม่ต้องมามัวรักษาภาพลักษณ์เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดีแบบที่แล้วๆ มา


    เป็นดังคาดว่าพอเธอพูดแบบนั้นไป บนหน้าของเซจองก็ไม่เหลือพื้นที่ใดที่ไม่เป็นสีแดง อีกทั้งเนื้อตัวก็ดูเกร็งจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน แชยอนไม่แปลกใจที่เซจองจะมีอาการแบบนี้ เพราะถ้าที่เขาเคยบอกเธอเป็นความจริง–ที่ว่าเขาไม่เคยชอบใครนอกจากเธอ นั่นก็หมายความว่า...


    เซจองก็น่าจะยังไม่เคยมีจูบแรก


    ส่วนแชยอนที่แม้จะเคยมีแฟนอยู่ตั้งเกือบปี แต่คิมโดยอนก็ไม่เคยแตะต้องอะไรเธอมากไปกว่าการจับมือ กอด หรือหอมแก้มนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น


    ริมฝีปากที่กำลังแตะสัมผัสกัน จึงน่าจะเป็นจูบแรกของเราทั้งคู่


    แชยอนเพิ่งนึกได้เดี๋ยวนั้นเองว่า เธอไม่ได้นึกถึงโดยอนมาพักใหญ่แล้ว จะว่าไปก็ตั้งแต่ตอนที่เริ่มเปิดใจรับเซจองเข้ามาในชีวิตเลยนั่นล่ะ


    คนที่กำลังมอบจูบแรกที่เนิบช้าและนิ่มนวลเหลือเกิน ทำให้แชยอนสามารถลบคนใจร้ายนั่นออกไปจากใจได้แล้วจริงๆ...


    ต่อจากนี้ แชยอนจะไม่ต้องเจ็บปวดกับความรักครั้งเก่าอีกต่อไปแล้ว







  • หากแม้ระหว่างเราจะเป็นไปได้ด้วยดีมากขนาดไหนก็ตาม แต่กว่าเซจองจะขอเธอเป็นแฟนอย่างเป็นทางการ ก็อีกตั้งสามเดือนให้หลัง ที่แชยอนยอมยกโทษให้กับความช้า ก็เพราะว่าเขาเลือกจะขอเป็นแฟนในวันเกิดของเธอ ด้วยการกระทำที่ทำให้แชยอนรู้สึกว่ามันเป็น ‘ครั้งหนึ่งในชีวิต’ ที่เซจองตั้งใจจะมอบให้จริงๆ


    เบื้องหน้าดวงอาทิตย์ที่กำลังค่อยๆ โผล่พ้นเส้นขอบฟ้า แชยอนที่ห่อตัวด้วยผ่าห่มเอนกายอยู่ในอ้อมกอดของคนที่อุตส่าห์ขับรถพาเธอมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ริมทะเลด้วยกันตั้งไกลในเช้าวันเกิด โดยที่มือก็เผลอลูบแหวนเงินที่นิ้วนางข้างซ้ายเป็นระยะๆ อย่างมีความสุข


    ‘นี่พี่ขอเป็นแฟนหรือขอแต่งงาน? แต่ว่าก็ว่าเถอะ นี่ฉันไม่ได้ฝันอยู่ใช่มั้ย’


    มันเป็นเพราะว่าเซจองที่มีกุญแจเข้าห้องมาลากแชยอนจากเตียงตอนดึกมากๆ หยิบเสื้อกันหนาวมาใส่ให้ แล้วพาไปขึ้นรถ ไม่บอกด้วยว่าจะพาไปไหน แถมจู่ๆ ก็ปลุกขึ้นมาอีกครั้งทั้งที่เธอรู้สึกว่าเพิ่งหลับไปนิดเดียว ก่อนจะสวมแหวนให้ที่นิ้วนางข้างซ้าย พร้อมกับบอกเธอว่า เป็นแฟนกันนะ อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทั้งที่แชยอนยังเมาขี้ตาอยู่เลยแท้ๆ จนนำมาสู่ประโยคจับต้นชนปลายไม่ถูกข้างบนนั่น


    แม้มันจะเป็นความโรแมนติกที่ดูพยายามมากเกินไปจนกลายเป็นไม่โรแมนติก


    แต่ถึงอย่างนั้น น้ำตาของแชยอนที่ไหลอย่างไม่ขาดสาย น่าจะพอยืนยันได้ว่าเธอซาบซึ้งกับสิ่งที่เซจองทำให้มากขนาดไหน


    ‘แล้วแหวนพี่ล่ะ ให้ฉันสวมให้บ้างสิ’


    เซจองหลบตาแล้วมองไปทางอื่นเหมือนต้องการจะซ่อนความเขินอาย ขณะที่หยิบแหวนของตัวเองส่งให้


    ‘เอาล่ะ ทีนี้พี่ก็เป็นแฟนฉันแล้วเหมือนกันนะ’


    ในขณะที่น้ำตาของเซจองก็ค่อยๆ ไหลอาบแก้มบ้างเหมือนกัน แชยอนก็บีบมือเขาแน่น


    แม้จะเชื่อมาตลอดว่าวันเกิดที่สมบูรณ์จะขาดซุปสาหร่ายไปไม่ได้ หากในเมื่อเซจองพาเธอมาฉลองวันเกิดตั้งไกลขนาดนี้ ถ้าจะไม่มี ก็ไม่แปลกอะไร ไว้ค่อยกลับไปกินที่โซลก็ได้


    แต่คิมเซจองก็ยังคงเป็นคิมเซจอง


    ที่ทำให้เธอประหลาดใจได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับตั้งแต่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง


    หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นได้เต็มดวง และแสงเริ่มจะแรงขึ้นเรื่อยๆ เซจองก็ถอดหมวกแก๊ปของตัวเองมาสวมให้แชยอน ก่อนที่จะกระโดดลงจากท้ายรถเอสยูวีของรักของหวงที่เขาบอกว่าเก็บหอมรอมริบอยู่นานกว่าจะซื้อได้เพื่อไปหยิบอะไรบางอย่างที่เบาะหลัง


    สิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ก็ทำให้แชยอนอยากจะร้องไห้ออกมาอีกหน


    “ถึงขนาดเอาเตาปิคนิกมาด้วยเนี่ยนะพี่เซจอง”


    “ไม่งั้นพี่จะต้มซุปสาหร่ายให้เธอกินได้ไงล่ะ”


    นอกจากพ่อกับแม่แล้ว ไม่เคยมีใครทำแบบนี้ให้เธอสักคน


    “แชยอนชอบรสอ่อนๆ หรือว่าแบบเค็มหน่อยมากกว่า?” เชฟส่วนตัวถามขึ้นในขณะที่กำลังง่วนอยู่กับการยกหม้อเล็กตั้งเตา จัดแจงหยิบส่วนผสมและเครื่องปรุงต่างๆ มาวางไว้ตรงที่นั่งข้างๆ เธอ


    “เอาแบบที่พี่คิดว่าฉันจะชอบ”


    นั่นล่ะเซจองถึงหันขวับมามองกันด้วยดวงตาที่เบิ่งโต ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส


    แชยอนน่ะ ชอบเวลาที่เขาหัวเราะมากที่สุดเลย


    “อืม ปกติเธอเป็นคนชอบกินอาหารรสจัดหน่อย อย่างตอนไปกินซุปหางวัวกัน เธอก็ใส่เกลือเพิ่มตั้งเยอะ”


    ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเซจองจะสังเกตกันขนาดนี้


    “เพราะงั้นก็น่าจะเป็นแบบที่เค็มหน่อยใช่มั้ย”


    “ปิ๊งป่อง” แชยอนเฉลยพร้อมกับชี้นิ้วทั้งสองข้างไปที่เขาด้วยรอยยิ้ม “เก่งมาก รางวัลเป็นอะไรดี”


    แล้วรู้มั้ย ว่าคิมเซจองตอบว่าอะไร


    “แค่เราอยู่ด้วยกันแบบนี้ พี่ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วล่ะแชยอนอา”







  • ด้วยความที่ครอบครัวยังอยู่ที่นี่ จึงทำให้แชยอนได้รู้ข่าวที่ว่าโรงเรียนเก่าสมัยมัธยมปลายกำลังจะกลายเป็นคอนโดฯ เร็วกว่าเพื่อนคนอื่น แน่นอนว่าคนวอนจูต่างเสียดาย เพราะแม้แทฮวาจะเป็นโรงเรียนเล็กๆ แต่เด็กซึ่งจบจากที่นี่ไปก็ล้วนมีคุณภาพทั้งนั้น


    จริงๆ ตอนแรกเซจองจะมาพร้อมกันนั่นล่ะ แต่พอดีที่ Sleeping Bread มีปัญหาเรื่องยอดออเดอร์กับของที่มาส่งไม่ตรงกัน เลยจะอยู่เคลียร์ก่อนแล้วค่อยตามมาทีหลัง ซึ่งเพราะแบบนี้ ชองฮาก็เลยมาไม่ได้เพราะอย่างน้อยเจ้าของร้านต้องอยู่สแตนด์บายคนนึง


    ตลอดห้าปีที่เธอคบกับเซจอง ชองฮาก็ยังคงเป็นเพื่อนและพี่ที่ดีของเราสองคนเสมอมา


    หล่อนเป็นคนน่ารักอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรกที่เจอกัน ห้าปีก่อนเคยเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงเป็นอย่างนั้น


    และการวางตัวที่ชัดเจนของเซจองก็ไม่เคยทำให้แชยอนต้องระแวงเลยสักครั้งเดียว


    ก็เหมือนกับที่เซจองว่า ในเมื่อชองฮาไม่เคยทำให้อึดอัดใจสักครั้ง ก็ไม่จำเป็นต้องตีตัวออกห่าง


    แต่แชยอนน่ะ นับถือใจชองฮามากๆ เลยล่ะ ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกของหล่อนในตอนนี้ยังเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า แต่กับเมื่อก่อนที่มั่นใจว่าหล่อนชอบเซจองแน่ๆ แม้แชยอนจะไปที่ร้านบ่อยแค่ไหน แม้เซจองจะแสดงออกว่าชอบเธอมากเพียงใด แต่ชองฮาก็ยังคงอยู่ที่เดิม รอยยิ้มน่ารักของหล่อนไม่เคยเปลี่ยนไป


    ชองฮาคือเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตของเซจองอย่างที่เขาเคยบอก


    และถ้าเป็นไปได้ แชยอนก็ไม่อยากให้คนที่เธอรักต้องเสียเพื่อนที่แสนดีขนาดนี้ไปเลยจริงๆ








    ทั้งที่คิดว่าตัวเองจะมาถึงเป็นคนแรก หากคนคุ้นตาที่นั่งตรงบันไดใหญ่ริมสนามอยู่เพียงคนเดียวก็ทำให้แชยอนต้องเลิกคิ้ว เพราะเห็นว่าใครคนนั้นนั่งอยู่คนเดียว แว้บแรกเธอจึงคิดว่าหรืออาจจะไม่ใช่คิมโดยอน


    เพราะไม่อย่างนั้น ชเวยูจองก็ควรต้องมาด้วยกัน


    ย้อนกลับไปเมื่อเก้าปีก่อนที่จู่ๆ ก็ถูกบอกเลิก แชยอนเข้าใจมาตลอดว่าโดยอนจะกลับไปหายูจอง และสองคนก็คงจะเปลี่ยนจากเพื่อนสนิทไปเป็นแฟนกันได้จริงๆ อย่างที่เธอเคยกลัวมาตลอด


    แชยอนจึงไม่เชื่อในทีแรก เมื่อโดยอนตอบคำถามของเธอด้วยคำตอบในเชิงว่า ตอนนี้โสด


    แล้วยูจองล่ะ?


    สิ่งที่เคยสงสัยเริ่มมากระจ่างก็ตอนที่โดยอนบอกว่า เขากับชเวยูจองไม่ได้สนิทกันนานแล้ว


    ที่ผ่านมา...ทั้งสองคนอาจจะไม่ได้ก้าวข้ามสถานะความเป็นเพื่อนสนิทไปก็เป็นได้


    เมื่อมองย้อนกลับไปด้วยสายตาของคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับโดยอนอีกแล้ว แชยอนก็ยอมรับได้แล้วจริงๆ ว่าโดยอนกับยูจองน่ะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากที่สุด


    และก็ยังขอยืนยันคำเดิม ว่าเธอไม่เคยเห็นโดยอนแคร์ใครเท่าชเวยูจองอีกแล้ว


    จากสายตาของโดยอนที่เหมือนจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อตอนที่ถามถึงยูจอง แชยอนเชื่อนะว่าแม้จะผ่านไปเป็นสิบปี แต่ความรู้สึกที่โดยอนมีต่อยูจองยังคงเหมือนเดิม


    อยู่ที่ว่า...เขาจะรู้ตัวเมื่อไหร่เท่านั้นแหละ








  • ที่นอนหลักของเซจองยังคงเป็นชั้นสามของ Sleeping Bread เหมือนเดิม แต่ก็มีบ้างบางวันที่จะมานอนค้างที่ห้องของแชยอน ซึ่งแน่นอนว่าอยู่คนเดียวมาตลอด เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ จึงไม่ได้ซื้อเผื่อสำหรับสองคน กระทั่งเตียง เวลาที่เขามาค้างด้วยก็ต้องนอนเบียดๆ กัน จนในที่สุด เมื่อสองเดือนก่อนเซจองก็ตัดสินใจทุบกระปุกหมูเพื่อซื้อเตียงห้าฟุตจากร้านเฟอร์นิเจอร์มือสองมาไว้ในห้องของแชยอนจนได้


    อาจจะสงสัยว่าทำไมถึงไม่ย้ายมาอยู่ด้วยกันถาวรให้รู้แล้วรู้รอด 


    แต่จริงๆ แล้วทั้งเธอและเซจองต่างก็มีเหตุผลที่ยังคงเทียวไปเทียวมาอยู่แบบนี้


    อย่างแรก ที่ที่แชยอนพักอยู่นี้มันใกล้สถานีรถไฟแบบที่เดินไม่ถึงห้านาที ยังจำเป็นสำหรับพนักงานกินเงินเดือนที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกเช้าวันจันทร์ถึงศุกร์อย่างเธอ


    อย่างที่สอง ด้วยความที่ Sleeping Bread มีส่วนของโฮสเทล การที่เซจองนอนที่นั่นก็จะทำให้สามารถช่วยชองฮาดูแลคนที่มาพักได้โดยไม่ต้องเพิ่มรายจ่ายจ้างคน


    อย่างที่สาม ไม่ใช่ว่าไม่อยากอยู่ด้วยกัน แต่เพราะบ้านที่เล็งไว้นั้น ผู้เช่าคนปัจจุบันยังเหลือสัญญาอีกตั้งเป็นปี บ้านที่ทำเลอยู่กึ่งกลางระหว่าง Sleeping Bread และสถานีรถไฟ เหมาะสำหรับวิถีชีวิตและหน้าที่การงานของเราทั้งคู่มากที่สุด


    เท่าที่ทำได้ตอนนี้ ก็เลยพยายามสะสมเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกใจเอาไว้ก่อน แบ่งมาไว้ที่ห้องเธอบ้าง ไม่ก็ไปฝากไว้ที่ร้านของเซจองบ้าง 


    หวังนะว่าอีกไม่นานจะได้เริ่มต้นใช้ชีวิตด้วยกันอย่างเป็นทางการเสียที









  • กับคิมโดยอน แชยอนรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ใช่ของเธออยู่ฝ่ายเดียว

    แต่สำหรับคิมเซจอง เราต่างเป็นคนที่ใช่ของกันและกัน 

    ที่ได้กลับมาเจอกันและรักกัน ในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด







    “เซจองอา ฉันรักเธอนะ”















    END.

    #rightpersonsechae









  • ก็จบกันไปแล้วสำหรับเรื่องราวของจองแชยอน หญิงสาวผู้โชคร้ายที่ถูกคิมโดยอนเทด้วยเหตุผลที่เอิ่ม..น่าตบกะโหลก 5555 ถือว่าเป็นภาคขยายที่ทำให้คนอ่านได้รู้อะไรเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของแชยอนที่มีต่อโดยอน ชีวิตหลังเลิกกัน มาคบกับเซจองได้ยังไง และที่สำคัญ ทำให้เห็นว่าในสายตาคนอื่นนั้นมองคู่โดแดงยังไงค่ะ 

    เป็นวันช็อตที่ยาวมากอ่านกันตาหลุดอีกแล้ว 555 และด้วยความที่มันเป็นเรื่องของแชยอนล้วนๆ แม้จะเป็นเซแชแต่กว่าจะมาจริงจังก็ครึ่งหลังแล้ว แถมไม่ได้เยอะอีก ก็เลยจั่วหัวไว้แบบนั้นค่ะ

    คิดเห็นประการใดเมนท์บอกกันได้นะคะ ไม่มีแอคเคาท์ minimore ก็สมัครง้ายง่ายโดยใช้ทวิตเตอร์หรือเฟซบุ๊กค่ะ หรือไม่งั้น พูดคุยในทวิตเตอร์ผ่านแท็ก #rightpersonsechae ได้เลยค่าา :))

    ขอบคุณทุกๆ คนที่เข้ามาอ่านเลยค่ะ /รัก

    แล้วพบกันต่อในเรื่องหน้า กับมุมมองของเซจองบ้างค่ะ อิอิ จากวันช็อตกลายเป็นซีรีส์ไปแล้วอะ ขำ 55


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
shiki_kaew (@shiki_kaew)
บอกตามตรงว่าไม่ใช่คนอินกับคำว่าพรหมลิขิตเท่าไร แต่พออ่านเรื่องนี้ก็รู้สึกเชื่อขึ้นมาบ้างละ

ตัวเอกอย่างแชยอนน่ะ มีความรักที่ผิดหวังฝังจำแน่นขนาดนั้น คงจะเคยตั้งคำถามกับหัวใจบ้างว่าทำไมถึงลืมคนใจร้ายแบบโดไม่ลงซะที (คนเรานี่ก็แปลกเนอะ ชอบจำเรื่องแย่ๆมากกว่าเรื่องดีๆ รวมไปถึงคนดีๆด้วย ไม่รู้เพราะเป็นแฟนคนแรกรึไง )

ที่แน่ๆเรารู้ละว่าแชนรักโดจริงๆ ไม่งั้นคงไม่จมปลักขนาดนี้ ส่วนโดมันก็ไม่รู้จะรู้ตัวชาติไหน

เมนไอเดียของตอนนี้คือคนดีไม่สู้คนรักใช่ไหมเนี่ย ทั้งคนที่ดีแบบชองฮากับกีฮยอนกลับไม่ได้รักตอบ อ่านแล้วมันจี๊ดใจ ฮึก T^T

ส่วนของแชยอนเนี่ย คงแอบประทับใจอะไรพิประธานเซจองมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วมั้ง แต่ตอนนั้นความรักโดมันบังตา เลยปล่อยให้มันผ่านเลยไปอย่างนั้น ใส่ล็อกกุญแจเอาไว้ พอถึงเวลาที่เหมาะ คนที่ใช่ก็จะมาปรากฏตัวเองให้เห็นอีกครั้งเอง สมกับคำว่าพรหมลิขิตเนี่ยละแกเอ๋ย

เรารู้จากภาคแชนละว่าเซจองโคตรรักแชยอนจริงๆแฮะ เทคแคร์เอยอะไรเอย แถมยังรักมั่นคง นี่ไม่รู้ว่าตลอดมาทำไมเซจองเลือกที่จะมองแชยอนเฉยๆ รึเพราะคิดว่าคบกับโดอยู่มั้ง โลกที่ขนานกันเลยเหวี่ยงกันออกไปไกล แต่ก็มีเหตุให้มาประสบกันอีกครั้ง

เอาละ อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเซจองไม่ได้คิดจะปล่อยให้แชยอนหลุดออกไปจากชีวิตอีกครั้งละนะ แต่ตามสต็อคเขานี่ก็ไม่ไหวนะยะแถมยังใจเย็นเป็นน้ำเลย บอกชอบเขายังปล่อยให้เขาไปคิดเองตั้งเดือน ฮู้ว

ป.ล. ชอบตอนทำซุปส่าหร่าย น่ารักมากเอาใจใส่มาก ดูแลดีมาก

ป.ล.2 หาคู่ให้คนดีๆแต่ไม่หวังอย่างคุณตากล้องกับคุณเจ้าของร้านขนมปังทีสิ 55555
pankatze (@pankatze)
แหม ไปสตอล์คน้องนี่แอคคูลเลยนะคะคุงพี่ ร้ายๆ
ตอนอ่านโดแดงก็ไม่คิดว่าแชยอนจะชอบโดยอนตอนทำงานด้วยกันนะคะ 55555

นี่แฮอินแบบจะไม่มีวันได้เป็นคนดีแล้ว แก๊งมือตบเว่อ กรี๊ดอะค่ะ คาแรกเตอร์มันด้ายยยย 5555

ไม่คิดว่าแชยอนจะฝังใจกะโดยอนขนาดนี้ค่ะ เอ็นดูอีหนูวละเกิน เจ้าโดก็เด๋อด๋า อยากตีจริงๆ

โอ๊ยอ่านแล้วมีฟามสุขมากค่ะฮืออออ รอเรื่องต่อไปนะคะะะะะะะะะะ
theniaz (@theniaz)
ง่าาา พี่วิ่งมาอ่านอย่างไวเลยค่ะ ดีใจสุดๆเลย อ่านไปยิ้มไปเขินไป โอ๊ยยย พี่เซจองเขาน่ารักมาก ก็เอะใจอยู่แล้วว่าเจอหน้าน้องแชทำไมต้องมือไม้อ่อน ว๊าย แอบชอบเขามานานแสนนานแล้วสินะคะ ช่างเป็นคนมั่นคง รักเดียวใจเดียวและอบอุ่นถึงร้อนชื้นที่สุดเลยยย งี้ตอนน้องคบโดคงจะเจ็บน่าดูเลย ชอบการจีบของพี่เขามากค่ะ ไม่ได้ตามสตอล์คนะ แค่ไปดักเจอทุกที่ที่น้องไป 55555 คิดดูว่าเซจองจะขอเบอร์แชยอนตั้งแต่วันที่กลีบมาได้เจอกันในรอบหลายปี แล้วอ้างเหตุผลอื่นๆเพื่อติดต่อก็ได้ แต่พี่เขาอดทนรอวันที่จะได้เจอน้องแบบเนียนๆตามตารางงาน โคตรเป็นคนละเอียดอ่อนและโรแมนติกมากๆเลยค่ะ ชอบความน่ารักของน้องแชด้วยค่ะ น้องอยู่กับพี่แล้วเข้ากันดีมากเลย น่ารักและจริงใจดี แต่ถ้าพี่เขาจีบตั้งแต่ตอนโน้นก็คงไม่สมหวังเนอะ เพราะตอนนั้นแชยังอินเจ้าโดเอามากๆ
ชอบฟีลของคนสองคนที่สบายใจที่จะอยู่ด้วยกัน สบายใจที่จะเปิดใจกันแบบนี้อ่ะค่ะ โอ๊ยยย พี่ว่าพี่พิมพ์วนไปวนมาเพราะเพ้อแล้วล่ะค่ะ แต่คู่นี้น่ารักมากจริงๆ อย่างที่ชื่อเรื่องบอก คนที่ใช่ในเวลาที่ใช่ รออ่านเรื่องฝั่งพี่เซจองนะคะ/ สนุกและอ่านแล้วมีความสุขมากกกกกค่ะ :)