เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[FIC] Nostalgia The Series [I.O.I]Diagonal
[One Shot] Time Capsule [Doyeon x Yoojung]

  • น่าจะสิบปีแล้วหรือเปล่านะ ที่คิมโดยอนไม่ได้กลับมายังโรงเรียนมัธยมปลายที่จบมาเลยสักครั้งเดียว 


    ก็คงใช่ เพราะพอสอบติดมหาวิทยาลัยในโซล พร้อมกับที่พ่อแม่ย้ายตามไปด้วย แถมเพื่อนที่ยังคบกันอยู่ก็ไปอยู่โซลกันหมด เธอก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องกลับมาที่นี่อีก 


    อย่างน้อย...ก็จนกว่าจะถึงเวลาของ ‘สัญญา’ ที่ให้ไว้กับใครบางคน ว่ามีนัดกันที่นี่ตอนอายุสามสิบ


    แต่ตอนนี้เธอเพิ่งจะยี่สิบเก้าเต็มเมื่อปลายปีที่ผ่านมานี่เอง


    แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้คิมโดยอนต้องกลับมาก่อนกำหนด? 


    ร่างสูงโปร่งในเสื้อโค้ทตัวหนาสีน้ำตาลยาวคลุมเข่ากำลังเดินเอื่อยๆ เลียบขอบสนามของโรงเรียน ก่อนจะไปหย่อนตัวลงนั่งที่จุดหนึ่งของบันไดใหญ่ซึ่งเชื่อมระหว่างสนามที่อยู่บนพื้นกับส่วนของตึกเรียนที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ระหว่างนั้น ดวงตาใหญ่ก็มองไปยังกลุ่มคนที่กำลังเซ็ตเวที และกระจายกันวางโต๊ะอาหารอยู่ตรงกลางสนาม


    นึกไปถึงบทสนทนาเมื่อเดือนก่อน ที่จู่ๆ เพื่อนคณะสถาปัตย์ซึ่งมีโอกาสได้สนิทกันเพราะเคยเรียนด้วยกันตอนวิชาเลือกก็แชตมาหาทั้งที่ไม่ได้คุยกันนานมากแล้ว


    ‘โดยอน คุ้นๆ ว่าแกจบจากวอนจูใช่ปะ’


    แม้จะสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมจู่ๆ ก็มาถาม แต่ก็เลือกจะพิมพ์ตอบไป


    ‘ใช่ มีไรอะ’


    ‘ชื่ออะไรนะ โรงเรียนแก’


    ‘แทฮวา’ กดส่งไปแล้วก็พิมพ์ต่อทันที ‘ทำไมอะ มีไรป่าว’


    และข้อความต่อจากนั้นก็ทำให้ต้องชะงัก ก่อนคิ้วที่เลิกสูงจะเปลี่ยนเป็นขมวดจนหน้าผากย่น


    ‘แกยังไม่รู้จริงๆ ด้วย คืองี้ โรงเรียนแทฮวาอะ กลางปีเค้าจะรื้อแล้วนะ’


    โรงเรียนมัธยมปลายสตรีแทฮวา กำลังจะกลายเป็นคอนโดมิเนียมที่หมายมั่นปั้นมือให้เป็นที่พักอาศัยสำคัญของวอนจูในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า


    นั่นล่ะ จึงเป็นที่มาของงานเลี้ยงอำลาในค่ำวันนี้ ซึ่งทางโรงเรียนและชาวบ้านร่วมกันจัดให้กับโรงเรียนมัธยมปลายของจังหวัดที่กำลังจะกลายเป็นอดีต เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร เคสนี้น่าจะมหาศาลพอดูจนทำให้ทายาทของผู้อำนวยการยอมตัดสินใจขายที่ดินให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์เจ้าใหญ่ของประเทศ เพราะโดยอนเชื่อว่าโรงเรียนนี้ต้องมีความสำคัญกับเขามากเหลือเกินอย่างไม่ต้องสงสัย


    ก็ขนาดอดีตนักเรียนอย่างเธอที่อยู่ที่นี่แค่สามปี พอรู้ว่าอีกไม่กี่เดือนจะไม่มีโรงเรียนนี้อีกแล้ว ยังรู้สึกโหวงในใจไม่น้อยเลย


    เพราะถึงจะแค่สามปี แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่อัดแน่นไปด้วยความทรงจำสมัยวัยรุ่นที่มีทั้งดีแสนดีและที่อยากจะลบๆ มันทิ้งไปเสีย


    แม้จะลางเลือนไปบ้างตามกาลเวลา แต่พอได้กลับมาอยู่ในสถานที่จริงอีกครั้ง บางเหตุการณ์ธรรมดาๆ ที่เคยหลงลืมไป ก็กลับมาปรากฏชัดตรงหน้าราวกับเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน


    อย่างจุดที่เธอนั่งอยู่ ก็เป็นที่ที่เคยเอาข้าวกล่องมานั่งกินก่อนที่จะเริ่มคลาสพิเศษช่วงค่ำ หรือตรงสนามบาส ก็เป็นที่ที่นักบาสตัวโรงเรียนอย่างเธอเคยโดนลูกบาสอัดกระแทกหน้าจนสลบและก็ตัดสินใจเลิกเล่นถาวรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไหนจะม้านั่งเยื้องๆ ทางเข้าตึกเรียน ที่ถ้าหากมาโรงเรียนเช้า เธอก็จะไปนั่งตรงนั้น 


    และที่สำคัญ บริเวณโคนต้นสนที่ตั้งอยู่โด่เด่หลังกรอบประตูฟุตบอลนั่น เมื่อสิบปีก่อน โดยอนเคยแบกหน้าไปขอยืมจอบขนาดเล็กจากชมรมเกษตรเพื่อมาขุดหลุมสำหรับฝังกล่องที่บรรจุความทรงจำลงไป


    กล่องที่บรรจุความทรงจำ หรือที่คนเรียกกันว่า ‘ไทม์แคปซูล’


    โดยอนได้ ‘สัญญา’ กับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่มีในตอนนั้นซึ่งเป็นเจ้าของไอเดีย และเป็นอีกคนที่ใส่ความทรงจำลงไปในไทม์แคปซูล ว่าจะกลับมาขุดมันขึ้นมาด้วยกัน 


    ในตอนที่เราสองคนอายุสามสิบ


    แต่ในเมื่อกลางปีนี้ พื้นดินตรงโคนต้นไม้นั่นจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของไซต์ก่อสร้าง และในอนาคตก็จะกลายเป็นฐานของคอนโดมิเนียมราคาแพงที่คงฝังกลบ ‘ความทรงจำ’ ไปตลอดกาล 


    เธอจึงจำเป็นต้องมาก่อนเวลา


    “โดยอน? คิมโดยอนใช่เปล่า?”


    เสียงเรียกชื่อที่ฟังดูไม่ค่อยมั่นใจ พาโดยอนให้กลับออกมาจากภวังค์ในทันที ดวงตาที่วันนี้ไม่ได้สวมแว่นสายตามาต้องเพ่งเล็กน้อยกว่าจะเห็นหน้าเจ้าของเสียงแบบชัดๆ


    ร่างบางที่คลุมด้วยเสื้อโค้ทตัวหนาสีขาวสะอาดตาไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนที่เจอครั้งสุดท้ายเสียเท่าไหร่ แค่ดูเป็นผู้ใหญ่และสุขุมขึ้นตามวัย แต่ก็ยังคงสวยมากๆ เหมือนเดิม


    เคยสวยจนทำให้ใจเต้นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังคงสวยแบบนั้น


    แต่ติดตรงที่ว่า ใจของคิมโดยอนไม่ได้เต้นแรงเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว


    “ไงแชยอน ไม่ได้เจอกันนานเลย”


    “นานสิ” หญิงสาวยกยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินตรงมาย่อตัวลงนั่งข้างกัน “ครั้งสุดท้าย ก็ตอนที่จู่ๆ เธอก็มาบอกเลิกฉัน น่าจะเก้าปีแล้วนะคิดว่า”


    ใช่ เธอกับจองแชยอนเคยคบกันตอนปีสุดท้ายของมัธยมปลาย


    แม้จะคบกันแค่ช่วงสั้นๆ ไม่น่าถึงปี แต่นั่นก็เป็นครั้งแรกที่คิมโดยอนมีแฟน


    คำพูดเชิงต่อว่าที่พูดผ่านน้ำเสียงสบายๆ ทำให้คนตัวสูงกว่าไม่รู้จะทำอะไรดีนอกจากยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะพาเปลี่ยนเรื่องให้ไกลจากอดีตที่ดูไม่ค่อยน่าจดจำสำหรับเธอทั้งคู่เท่าไหร่นัก


    “น่าเสียดายเนอะ” โดยอนพูดพลางพยักเพยิดขึ้นไปทางตึกเรียนที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง


    “อื้ม น่าเสียดายจริงๆ” แชยอนถอนหายใจ ก่อนจะเงียบไปจนชักใจคอไม่ดีว่าคำว่า ‘เสียดาย’ ของหล่อนหมายถึงโรงเรียนที่กำลังจะถูกรื้อ หรือหมายถึงความสัมพันธ์ของเราที่เคยมีจุดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้กันแน่


    หลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้าช่วงชิงบรรยากาศสบายๆ ในห้านาทีแรกที่เจอกันไปเสียหมด โดยอนก็ตัดสินใจเอ่ยชวนคุยตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ สบายดีมั้ย ทำงานอะไร ฟังอีกคนเล่าไปเรื่อยเปื่อยจนได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ไม่ใช่ของตัวเองดังขึ้น เป็นแชยอนที่หยุดการเล่าทันทีก่อนจะหยิบมือถือจากในกระเป๋าใบเล็กที่คล้องไหล่อยู่ขึ้นมากดรับ


    สังเกตจากอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตั้งแต่เห็นชื่อบนหน้าจอ โดยอนมั่นใจว่าโทรศัพท์สายนี้ต้องเป็นของแฟนคนปัจจุบัน


    “คิมเซจอง เมื่อไหร่จะถึง?”


    น่าจะสักห้าปีก่อน ที่โดยอนได้รู้โดยบังเอิญจากคนของเอเจนซี่ซึ่งเคยเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนว่าแชยอนแฟนเก่าของเธอได้ตกลงคบหากับรุ่นพี่คิมเซจองมาได้สักพักแล้ว ซึ่งที่รู้ก็เพราะว่าพี่เขาเป็นเพื่อนสนิทกับพี่เซจองนี่ล่ะ 


    พี่เซจองคนป็อปปูลาร์ ประธานนักเรียน นักวิ่ง นักร้อง พิธีกร เอาเป็นว่าไม่มีอะไรที่พี่เขาทำไม่ได้ เก่งรอบด้านและยังหน้าตาน่ารัก เพื่อนสนิทของโดยอนก็เคยกรี๊ดพี่เขาอยู่พักใหญ่เหมือนกัน


    แชยอนคุยกับพี่เซจองอีกสองสามประโยคก็กดวางไป


    หลังจากนั้น โดยอนก็ต้องเป็นฝ่ายตอบคำถามตามประสาเพื่อนเก่าจากหล่อนบ้าง


    “แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่?”


    “เป็นมาร์เก็ตติ้งอยู่ซัมซุงน่ะ”


    “โห เงินดีล่ะสิ”


    โดยอนยิ้มบางๆ ก่อนพยักหน้า


    และในที่สุด คำถามที่มากกว่า สบายดีมั้ย ทำงานอะไร มันก็มาถึงจนได้


    “แล้วตอนนี้คบใครอยู่ ห้ามตอบว่าโสด เพราะฉันไม่เชื่อ”


    โดยอนยักไหล่ “จะไม่เชื่อก็ตามใจ”


    “จริงๆ น่ะเหรอคิมโดยอน” คิ้วที่เลิกขึ้นนิดหนึ่งบอกชัดว่ามันเป็นสิ่งที่แชยอนนึกไม่ถึง แถมดูท่าทางหล่อนก็ยังยืนกรานที่จะไม่เชื่อให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้น แชยอนก็ไม่ได้เซ้าซี้ในสิ่งที่เธอตอบอย่างชัดเจนไปแล้วแต่อย่างใด คนเป็นเพื่อนเก่าและแฟนเก่าพาเปลี่ยนไปเรื่องอื่น–เรื่องที่ควรจะถามในสถานการณ์ที่เบื้องหน้าของเธอสองคนมีทีมงานกำลังจัดเตรียมงานคืนนี้อย่างขันแข็ง


    “แล้ววันนี้รุ่นเราจะมีใครมาบ้างอะ เธอรู้มั้ย?”


    “ถ้าห้องฉันก็มีโซฮเย ยอนจอง มินา–” พูดยังไม่ทันจบแชยอนก็แทรกขึ้นมาก่อน ด้วยชื่อที่ทำให้ดวงตาใหญ่ของโดยอนกระตุกไปนิดหนึ่ง


    “ยูจองก็มาใช่มั้ย”


    เงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนโดยอนจะค่อยๆ ขยับริมฝีปากเอ่ยตอบเสียงเบาขณะผินมองทางอื่น


    “ไม่รู้เหมือนกัน”


    “อ้าว” 


    หากแชยอนก็ดูท่าจะคาดเดาสถานการณ์ได้แทบจะทันที จึงถามต่อว่า


    “เดี๋ยวนี้ไม่สนิทกันแล้วเหรอ”


    โดยอนพยายามจะยิ้ม “ไม่สนิทกันนานแล้ว”


    ถึงครั้งหนึ่งจะเคยเป็นคู่เพื่อนซี้ที่สนิทกันสุดๆ ตลอดสามปีของชีวิตมัธยมปลาย


    ...จนถึงขนาดฝังไทม์แคปซูลด้วยกันแค่สองคน 


    แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ตั้งแต่แยกย้ายกันไปเรียนต่อคนละที่ โดยอนก็ไม่ได้รู้อีกเลยว่ายูจองทำอะไรอยู่ เพราะอีกคนเล่นหายไปจากชีวิตเธอโดยสิ้นเชิง แล้วไม่ใช่แค่โดยอนด้วย แต่เพื่อนที่ยังติดต่อกันอย่างโซฮเย ยอนจอง มินา หรือโซยอนก็เช่นกัน


    ชเวยูจอง...ตัดขาดจากพวกเราไปเหมือนกับว่าไม่เคยรู้จักกัน







  • โดยอนไม่ได้ข่าวคราวอดีตเพื่อนสนิทอีกเลยตั้งหลายปี จนกระทั่งวันหนึ่งที่เข้าไปรับแอดเพื่อนที่ทำงานในเฟซบุ๊กซึ่งนานๆ จะเล่นสักที แล้วได้เห็นแอคเคาท์ของคนคุ้นตาปรากฏอยู่ตรงส่วนของ ‘คนที่คุณอาจรู้จัก’ 


    แม้รูปโปรไฟล์จะเห็นเพียงครึ่งหน้า แต่โดยอนก็มั่นใจว่านี่คือคนที่เคยเป็นเพื่อนรักของเธอ


    เจ็ดปีที่ไม่ได้ข่าวคราวกันเลย ทำให้เกิดช่องว่างใหญ่พอดู แล้วยังไม่รู้อีกว่าเพราะอะไรอีกคนถึงเลือกจะเฟดหายออกไปจากชีวิตทั้งที่ก็ปลอดภัยดี เท่าที่ลองเลื่อนดูเฉพาะโพสท์ที่เปิดสาธารณะไว้ ซึ่งล่าสุดคือเมื่อสามเดือนก่อน ชเวยูจองก็ดูไม่ได้เจ็บไข้หรือทุกข์ร้อนอะไรสักนิด


    หรือบางที...โดยอนและเพื่อนๆ อาจจะเผลอทำอะไรที่ยูจองรับไม่ได้โดยไม่รู้ตัว


    เพราะกลัวมันจะเป็นแบบนั้น คำที่เลือกจะใช้ทักแชตไป จึงมีแค่–


    ‘ยูจอง หวัดดี’ 


    ไม่ได้ต่อว่าถึงการที่จู่ๆ ก็หายไป อย่างที่คิดไว้ในตอนช่วงปีแรกๆ ที่ติดต่อไม่ได้


    หากกว่าข้อความนั้นจะถูกอ่าน และได้รับการตอบกลับ ก็อีกสามเดือนให้หลัง จนโดยอนน่ะถอดใจไปเรียบร้อยแล้วว่าคงโดนเพื่อนเลิกคบจริงๆ


    ‘หวัดดีโดยอน’


    จำได้ว่ากำลังจะเคลิ้มหลับอยู่แล้ว แต่พอเห็นที่หน้าจอว่าเป็นยูจองตอบมาเท่านั้น โดยอนก็เด้งตัวขึ้นมาจากที่นอนและคว้ามือถือมาพิมพ์ทันที


    ‘ไม่ได้คุยกันนานเลย’


    ‘เป็นไงบ้าง สบายดีป่าว’


    สองประโยคที่พิมพ์ไปในเวลาไม่ถึงสิบวินาที 


    และถ้าไม่ยั้งมือไว้ได้ทัน โดยอนคงจะพิมพ์ต่อไปอีกห้าประโยค


    หากก็คล้ายๆ เดิมที่ยูจองเว้นระยะในการตอบ แต่ยังดีที่คราวนี้แค่สองชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าเช้าวันต่อมาโดยอนที่ถ่างตารอจะคุยให้ได้ ก็ไปทำงานสายโดยปริยาย 


    และโดยอนก็ไม่สามารถลืมความรู้สึกตอนที่ได้อ่านประโยคต่อไปนี้ได้เลย


    ‘สบายดีๆ เธอล่ะ’


    จากที่เคยใช้สรรพนามฉันกับแกสมัยเด็กๆ พอห่างหายกันไปนานแสนนาน ก็กลายเป็นฉันกับเธอ


    ระหว่างคิมโดยอนกับชเวยูจอง...มันไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ


    เมื่อรู้ข่าวว่าโรงเรียนกำลังจะถูกรื้อ และรู้ว่าจะมีงานเลี้ยงอำลา สิ่งแรกที่โดยอนนึกถึงก็คือเรื่องไทม์แคปซูลที่ฝังไว้ คิดกลับไปกลับมาอยู่นานว่าจะแชตไปหายูจองถึงเรื่องโรงเรียนดีมั้ย เพราะถ้าหล่อนไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนๆ ก็ย่อมไม่มีทางรู้เด็ดขาด และถึงยูจองจะไม่คิดว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทแล้ว แต่ก็อาจจะอยากได้ของที่ฝังไว้คืนก็ได้ รู้ดีว่าพยายามคิดแทนอย่างสุดกู่เพื่อแค่อยากจะหาเหตุผลในการทักไป


    พยายาม...หาเหตุผลที่จะทำให้ยูจองยอมกลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง


    รูปถ่ายไม่กี่ใบที่เปิดสาธารณะในเฟซบุ๊กที่เข้าไปดูเกือบทุกวัน (แน่นอนว่าโดยอนลองกดแอดไป แต่ก็แน่นอนอีกนั่นแหละว่ายูจองไม่ได้กดรับ) ไม่มีทางเทียบได้กับการได้เห็นเพื่อนสนิทตัวเล็กมายืนอยู่ตรงหน้า


    แกจะสูงขึ้นหรือเปล่า ใต้ตาแกจะคล้ำเหมือนฉันมั้ย ยังคงซุ่มซ่ามเดินสะดุดนู่นนี่บ่อยๆ เหมือนเดิมหรือเปล่า มีภูมิต้านทานกับแมลงสาบบ้างหรือยัง ได้ไปเรียนเต้นอย่างที่เคยบอกไว้มั้ย มีแฟนแล้วหรือยัง ถ้ามี หน้าตาเป็นไง ไว้ใจได้หรือเปล่า เค้าจะไม่ทำให้แกเสียใจใช่มั้ย


    อีกตั้งเยอะแยะที่จะสามารถได้เห็นและได้ถาม ถ้าหากชเวยูจองยอมมาเจอกันจริงๆ


    ‘ยูจอง โรงเรียนพวกเราจะกลายเป็นคอนโดแล้วนะ เค้าจะรื้อกลางปี ยังจำเรื่องไทม์แคปซูลได้ใช่มั้ย รอถึงสามสิบไม่ได้แล้วล่ะ ถ้าอยากเปิด ก็ต้องมาเลย เค้าจะมีงานเลี้ยงอำลาด้วยนะ วันที่ 18 มีนา เพื่อนห้องเรามากันตั้งหลายคน ถ้าว่าง ก็อยากให้มานะ มาเปิดไทม์แคปซูลด้วยกันนะยูจองอา’


    โดยอนพิมพ์ทั้งหมดนี่ไปในคราวเดียวเมื่ออาทิตย์ก่อน 


    และจนถึงเมื่อคืน มันก็ยังไม่ถูกชเวยูจองเปิดอ่านแต่อย่างใด







  • พี่เซจองมาถึงหลังจากแชยอนไม่นานเท่าไหร่ คนที่เคยป็อปปูลาร์ก็ยังคงความน่ารักทั้งหน้าตาและนิสัยอย่างไม่เสื่อมคลาย ลองถ้าเป็นคนอื่นมาเห็นแฟนตัวเองนั่งอยู่สองต่อสองกับแฟนเก่าแบบนี้ อาจได้มีมวยไปแล้ว


    “สบายดีนะโดยอนอา” พี่เขาทักทายเธออย่างเป็นกันเอง


    คนถูกถามพยักหน้าพร้อมยิ้มบางๆ ก่อนจะขอตัวไปรับโทรศัพท์ของตัวเองบ้างเช่นกัน


    เป็นสายของโซฮเย ที่โทรมาบอกว่าอาจจะถึงช้าหน่อยเพราะกองละครเลิกช้า 


    โดยอนเคยอึ้งไปเหมือนกันตอนโซฮเยบอกในแชตกลุ่มเมื่อห้าปีก่อนว่าจะไปแคสต์บทเล็กๆ ของละครเย็น เธอไม่เคยคิดว่าเพื่อนคนนี้จะมีใจรักด้านการแสดง เพราะว่าตอนมัธยมปลายหล่อนค่อนข้างขี้อาย เก้ๆ กังๆ ตลอดเวลาต้องออกไปพรีเซนต์งานหน้าห้อง


    “จองที่ให้ด้วยนะ ขอนั่งข้างแก”


    ห้าปีผ่านไป ปัจจุบันคิมโซฮเยได้มีส่วนร่วมในละครดังๆ อยู่หลายเรื่อง ถึงมากสุดจะเป็นแค่ตัวสมทบที่สามที่สี่ซึ่งบางเรื่องแม้แต่ชื่อเรียกก็ยังไม่มี แต่เธอก็ภูมิใจในตัวเพื่อนคนนี้มากจริงๆ


    “โอเคๆ” ตอบพลางหัวเราะในลำคอ “รีบมาละกัน”


    หลังจากวางสายไป ก็หันไปเห็นแชยอนกับพี่เซจองกวักมือให้ไปนั่งโต๊ะเดียวกัน เมื่อลองนับๆ ดูแล้วมั่นใจว่าเพื่อนที่มาคงไม่เกินจำนวนเก้าอี้ โดยอนจึงยอมเดินตามไปนั่งด้วย


    มินามาเป็นคนถัดไป ส่วนยอนจอง ขนาดโดยอนไม่ได้ใส่แว่นมายังรู้ได้ทันทีว่าหล่อนมาถึงแล้ว ก็เล่นเดินเสียงดังมาแต่ไกลไม่เปลี่ยน รายนี้ได้เป็นนักร้องสังกัดค่ายไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่เป็นตัวทำเงินอันดับหนึ่งของค่ายเลยแหละ ก็ดูสิ ถึงขนาดมีเมเนเจอร์เดินตามมาห่างๆ ด้วยเนี่ย


    “แก๊ โดยอน ผอมลงอีกเปล่าวะ!?”


    ยูยอนจองยังคงเสียงดังเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ จนเมเนเจอร์ต้องทำสัญญาณว่าให้เบาๆ หน่อย


    “ไม่หรอก เหมือนเดิม” 


    “แต่พี่ว่าสวยขึ้นกว่าตอนเด็กๆ นะ” พี่เซจองเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงคุณลุงเหมือนเคย “หนุ่มมาจีบเพียบแน่ๆ เลย ใช่เปล่า”


    “ไม่มีแม้แต่เงาเลยพี่เซจอง”


    “มีแต่สาวล่ะสิไม่ว่า” เสียงโซฮเยที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นทำให้โดยอนต้องยืดคอหันซ้ายหันขวาหาเพื่อนทันที แล้วก็เห็นว่ามันมายืนอยู่ข้างหลัง ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เธอไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด


    ก็ถูกอย่างที่มันว่า เกือบสิบปีมานี้ โดยอนมีแต่ผู้หญิงเข้ามาในชีวิตจริงๆ...


    “แต่โดยอนมันไม่เอาใครสักคนเลยค่ะพี่เซจอง”


    นั่นล่ะ โซฮเยตอบให้แทนหมดแล้ว


    “ทำไมล่ะ ไม่ถูกใจเหรอ?”


    ในเมื่อคำถามนี้ยัยหลามตอบให้ไม่ได้ คุณนักแสดงถึงจะยอมนั่งลงได้เสียที


    “ก็มันยังไม่มีคนที่ชอบมากๆ น่ะค่ะ แบบชอบมากพอที่จะอยากอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต โตแล้วน่ะ คบใครก็อยากจะคบไปนานๆ อยากจะจริงจังด้วย”


    “อืมๆ พี่เข้าใจ” พี่เซจองยกมือลูบคางพร้อมพยักหน้าตาม


    ก่อนที่ประเด็นสนทนาจะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องสนุกๆ สมัยเรียนแทน เหมือนทุกคนได้ย้อนเวลากลับไปตอนยังเป็นเด็กมอปลายกันทั้งหมด ด้วยความที่ห่างกันปีเดียว ทำให้เรื่องราวที่รุ่นของโดยอนและพี่เซจองพบเจอมามันค่อนข้างจะคล้ายกัน ผลัดกันเล่าผลัดกันขำอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งเริ่มไปถึงเรื่องวีรกรรมฮาๆ ของชเวยูจอง แล้วพี่เซจองถึงเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเด็กตัวกระเปี๊ยกที่เคยเป็นแฟนคลับของพี่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยกัน


    “ยูจองติดธุระเหรอโดยอน?”


    “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”


    “อ้าว” อุทานออกมาเหมือนแชยอนเด๊ะ 


    แต่ก็เข้าใจได้นั่นล่ะ เมื่อในความทรงจำของทุกคน คิมโดยอนกับชเวยูจองไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลาเหมือนเป็นฝาแฝดที่คนหนึ่งสูงปรี๊ดแต่อีกคนตัวเล็กจิ๋วเหมือนเด็กประถม พอมางานที่เหมือนคืนสู่เหย้ากลายๆ แล้ว ‘ฝาแฝด’ ดันปรากฏตัวแค่คนเดียว ก็ไม่แปลกอะไรที่จะถูกถามถึง


    “สองคนเค้าไม่ได้สนิทกันแล้วน่ะเซจอง” เป็นแชยอนที่กระซิบให้ฟัง แต่ถึงอย่างนั้นหนึ่งใน ‘สองคน’ ที่ว่าอย่างโดยอนก็ได้ยินอยู่ดี เธอไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรเมื่อต้องถูกย้ำซ้ำๆ ในเรื่องที่อดีตเพื่อนสนิทเลือกจะเดินจากกันไปด้วยเหตุผลที่ไม่อาจรู้และไม่สามารถหาคำตอบได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน


    คงมีแต่...ต้องถามชเวยูจองตรงๆ กับตัวเท่านั้น


    ว่าสิบปีที่ผ่านมา มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แกเกลียดฉันแล้วเหรอ?


    ถ้าได้เจอกัน หวังว่าจะตอบกันนะ ยูจองอา


    “อ้าวนั่น–” พี่เซจองอุทานออกมาคล้ายๆ เดิม ก่อนที่จะสะกิดแชยอนให้มองไปยังจุดหนึ่งซึ่งเป็นด้านที่โดยอนนั่งหลังให้ เพราะไม่คิดว่าจะมีอะไรเกี่ยวกับตัวเอง เลยก้มหน้าก้มตากินอาหารบนโต๊ะที่แทบไม่พร่องลงไปเท่าไหร่เพราะทุกๆ คนมัวแต่คุยเรื่องความหลังกันจนแทบจะอิ่มแทนข้าวแล้วล่ะมั้ง


    “คิมโดยอน หันไปดูข้างหลังสิ”


    “หืม?” เมื่อถูกแชยอนเรียกอย่างเจาะจง จึงยอมวางช้อนกับตะเกียบลงแล้วหันไปยังทิศทางที่หล่อนบอก


    และดวงตาก็ต้องเบิกกว้างทันทีเมื่อได้เห็นแล้วว่าใครยืนอยู่ตรงนั้น


    แม้ในความเป็นจริง ตรงเกือบจะถึงริมสนามมันไกลเกินกว่าที่สายตายามไม่ได้สวมแว่นของโดยอนจะแยกใบหน้าได้ออกว่าใครเป็นใคร แต่กับคนตัวเล็กซึ่งกำลังเดินตรงมาทางนี้ โดยอนจำหล่อนได้ทันทีแม้จะเห็นแค่รูปร่างเล็กๆ ที่สวมเสื้อโค้ทสีเดียวกันกับตัวเอง


    ‘ตอนมาเปิดไทม์แคปซูลอะ ถ้าจะมาตอนหนาวๆ ให้ใส่เสื้อโค้ทสีน้ำตาลมานะ’


    ‘โอ้โห นัดกันตั้งแต่ตอนนี้เลย ใครมันจะไปจำได้’


    ‘แต่ฉันเชื่อว่าแกจำได้แน่นอน คิมโดยอน’


    ‘เออๆ โค้ทน้ำตาลก็โค้ทน้ำตาล พอใจยัง’


    ‘ดีมาก น่ารักที่สุด’


    ก่อนที่จะทันรู้ตัว โดยอนก็ลุกจากเก้าอี้และเดินตรงไปหาคนตัวเล็กอย่างช้าๆ 


    เหมือนตกอยู่ในภวังค์ ตอนที่เหลืออีกไม่กี่ก้าวก็จะสามารถคว้าไหล่เล็กๆ ในโค้ทสีน้ำตาลนั่นไว้ได้


    ราวกับละเมอ ตอนที่พูดกับคนต้นคิดเรื่องฝังไทม์แคปซูลเมื่อสิบปีก่อนออกไปว่า


    “ชเวยูจอง แก... ฉันคิดถึงแกที่สุดเลย”







  • งานอำลาโรงเรียนแทฮวาจบลงเมื่อผู้ก่อตั้งโรงเรียนหรือก็คือผู้อำนวยการในตอนที่พวกโดยอนเรียนอยู่ขึ้นเวทีเพื่อกล่าวสุนทรพจน์เพื่อส่งท้ายโรงเรียนอันเป็นที่รักของเขา 


    ดูก็รู้ว่าผอ.น่ะรักแทฮวามากจริงๆ แต่มันคงมีเหตุผลสำคัญบางอย่างนั่นล่ะที่ทำให้เขาตัดสินใจไม่ค้านความคิดของพวกลูกหลานที่จะขายที่ดินของโรงเรียนทั้งหมดให้กับบริษัทอสังหาฯ 


    ‘ถึงบางสิ่งมันจะขัดกับความรู้สึกเรา แต่ถ้ามันเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว ก็หมายความว่านี่ล่ะเป็นสิ่งที่ควรทำ’


    ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมดหรอก แต่โดยอนก็ลองๆ คิดตามเหมือนกัน ว่าถ้าหากเธอได้บังเอิญไปอยู่ในสถานการณ์ที่สิ่งที่ควรทำมันค้านกับความรู้สึกตัวเองแบบสุดกู่ เธอจะเลือกทางไหนกันแน่ 


    ระหว่างทู่ซี้ดันทุรังเดินไปในทางที่แปะป้ายชัดว่ามันไปต่อไม่ได้ หรือเลือกจะไม่ดื้อว่ายทวนน้ำ ยอมทำในสิ่งที่ควรทำให้มันพ้นๆ ไปเสีย


    โดยอนในตอนนี้คิดว่าตัวเองเลือกทางแรก ไม่ว่าอย่างไรเธอก็จะสู้


    ตอนที่ผอ.พูดถึงเรื่องนี้ โดยอนเผลอแอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของชเวยูจอง (ซึ่งโซฮเยยอมสละที่ให้ยูจองได้นั่งข้างๆ เธอ) ที่เหมือนถูกสตัฟฟ์ไว้ขณะนิ่งมองไปยังทิศทางที่ผอ.ยืนอยู่ ใบหน้าที่เหมือนเด็กประถมเสมอต้นเสมอปลายยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ใต้ตาเหมือนจะคล้ำกว่าเมื่อก่อนพอสมควร และก็มีริ้วรอยแห่งวัยเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าถึงยี่สิบเก้า


    ในขณะที่ยูจองนิ่งสุดๆ โซฮเยและมินากลับยืนกระซิบกระซาบอะไรกันไม่รู้ ส่วนแชยอนกับพี่เซจองก็เพิ่งลุกไปเข้าห้องน้ำก่อนผอ.ขึ้นเวทีแป๊บเดียว ยอนจองนั้นคงจะเหนื่อยกับตารางงานมากจนเผลอยืนหลับ โซยอนเองก็เห็นก้มหน้าก้มตาดูมือถือได้สักพักแล้ว


    ทำให้ยูจองน่ะ น่าจะเป็นคนเดียวในโต๊ะที่ตั้งใจฟังเขาพูดขนาดนั้น


    และก็คงจะเป็นคนที่อาลัยโรงเรียนแทฮวามากที่สุดเช่นกัน 


    เมื่อกี้โดยอนลองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กข้อความในแชตเฟซบุ๊กล่าสุดที่เธอส่งไปหายูจอง ให้ต้องพยักหน้ากับตัวเองนิดหนึ่งเมื่อเห็นมันขึ้นว่าอ่านแล้วเรียบร้อย แต่เหตุผลที่ทำให้หล่อนตัดสินใจมาที่นี่แบบปุบปับตามคำชวน คงเป็นเพราะว่าอยากมางานอำลาเป็นครั้งสุดท้าย มากกว่าที่จะมาเปิดไทม์แคปซูลกับโดยอน


    อะไรที่ทำให้คิดแบบนั้นน่ะเหรอ...


    เพราะหลังจากได้ทักทายกันในสถานการณ์ที่คงจะกระอักกระอ่วนมากในสายตาของคนตัวเล็ก ยูจองก็แทบไม่ได้คุยอะไรกับโดยอนเป็นการส่วนตัวอีกเลยทั้งที่นั่งติดกันแท้ๆ เพราะตลอดสองชั่วโมงที่ได้กลับมาเจอกัน ยูจองนั่งเท้าคางฟังเรื่องเล่าต่างๆ ที่เพื่อนคนอื่นสรรหามาเล่ากันอย่างออกรส คอยเสริมบ้างในเรื่องที่ตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ หรือนานๆ ทีก็จะยกน้ำขึ้นจิบ


    แต่ไม่มีเลยสักครั้ง ที่จะหันมาพูดกับโดยอนถึงเรื่องไทม์แคปซูล


    และเธอเองก็กระดากเกินกว่าที่จะเป็นคนเริ่มประเด็นในสิ่งที่ยูจองเองก็ยังดูไม่อยากพูดถึง


    อุตส่าห์ดีใจไปแล้วว่าที่หล่อนใส่โค้ทสีน้ำตาลมาเพราะจำที่เคยสัญญากันได้ แต่สุดท้ายมันก็คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ เพราะตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่เพื่อนตัวเล็กน่ะชอบใส่โค้ทสีน้ำตาลเป็นพิเศษ จนถึงขนาดบังคับให้โดยอนใส่มาด้วยในวันสำคัญของทั้งคู่


    ยูจองไม่มีทางลืมเรื่องไทม์แคปซูลแน่เพราะในแชตล่าสุดที่หล่อนเพิ่งอ่าน เธอก็บอกไปแล้ว


    ดังนั้นก็มั่นใจได้ ว่าชเวยูจองน่ะไม่อยากจะเปิดไทม์แคปซูลด้วยกันกับเธอแล้วล่ะ


    เหมือนตอนนี้ ในสายตาของหล่อน คิมโดยอนคงเป็นแค่เพื่อนเก่าธรรมดาๆ เหมือนอย่างคนอื่น


    ไม่ได้สนิทกันแล้ว...จริงๆ


    เพราะฉะนั้นก็คงไม่แปลกอะไรถ้าหล่อนจะปล่อยทิ้งสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในตอนที่ยังสนิทกันมากไว้อย่างนั้น


    “หน้ายุ่งไปมั้ยเธอ” แชยอนยื่นหน้ามากระซิบ ก่อนจะหัวเราะออกมาในตอนที่โดยอนเองก็รู้สึกว่าหัวคิ้วทั้งสองข้างยิ่งผูกกันเป็นปมแน่นกว่าเดิม ในสายตาคนอื่นมันต้องดูตลกมากแน่ๆ จนหล่อนถึงขนาดชี้ให้พี่เซจองดูและคนเป็นรุ่นพี่ก็ขำก๊ากออกมาเช่นกัน 


    ที่ยิ่งขมวดคิ้วหนัก เพราะโดยอนนึกอะไรขึ้นมาได้พอดี


    ว่าทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เจอแชยอนกับพี่เซจองนานพอๆ กับที่ไม่ได้เจอยูจอง แต่ทำไมสองคนนั้นถึงดูสนิทใจจะคุยกับเธอมากกว่าคนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทกันสุดๆ อีกล่ะ


    ถูกความอัดอั้นตันใจในเรื่องเดิมๆ มาทับถมความรู้สึกที่ว่ายูจองก็ไม่ได้มึนตึงด้วยขนาดนั้นไปเสียหมด


    จริงๆ แล้วเหตุผลที่ยูจองเลือกจะไม่ติดต่อกันเลย มันคืออะไรกันแน่?


    ‘แก...เกลียดฉันแล้วเหรอ?’


    ซึ่งพอโดยอนไม่ตลกด้วย คนอาวุโสสุดในกลุ่มก็คงรู้สึกได้ จึงเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นทันที


    “แล้วนี่จะกลับกันเลยมั้ย” พูดพลางยกนาฬิกาขึ้นดู “ยังพอทันรถเที่ยวสุดท้ายนะ”


    เกือบทุกคนชูมือทันที เว้นก็แต่โดยอนที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะอยู่เปิดไทม์แคปซูลอยู่แล้ว 


    และ–


    “ยังไม่กลับค่ะ พอดีมีนัดกับโดยอน”


    คนถูกอ้างชื่อหันขวับไปมองชเวยูจองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง


    “อ้าวเหรอ” จริงๆ ไม่ใช่แค่พี่เซจองที่เลิกคิ้ว แต่แชยอนและคนอื่นๆ ก็เหมือนกัน “งั้นพวกพี่กลับก่อนนะ”


    คนตัวเล็กพยักหน้า หากแต่โดยอนที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกนั้นได้แต่ยืนมึน ไม่ละสองตาไปจากชเวยูจองที่ยืนโบกมือบ๊ายบายพวกเพื่อนๆ และพี่เซจองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


    ราวกับที่พูดไปเมื่อกี้ เป็นสิ่งที่ตกลงกับโดยอนไว้ก่อนหน้าแล้ว


    และพอเหลือกันแค่สองคน โดยอนก็โพล่งถามขึ้นมาทันทีด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจ


    “นี่มันอะไรกันอะ...?”


    “ก็ไทม์แคปซูลไง”


    “ทั้งที่แกไม่พูดถึงมันเลยเนี่ยนะ” ตอนนี้โดยอนรู้สึกว่าขอบตาเริ่มร้อนผ่าวมากขึ้นทุกที


    “ก็พูดแล้วนี่ไง”


    “ชเวยูจอง!”


    “โดยอนอา...”


    เพียงได้ยินคนที่เคยเป็นเพื่อนรักเรียกเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนที่เคยเรียกกันเวลาที่คนหนึ่งทำอะไรให้อีกคนงอน พร้อมๆ กับได้ยินประโยคที่หล่อนพูดต่อ ก็ทำให้น้ำตาที่โดยอนพยายามกลั้นมาตั้งแต่ตอนที่ได้เจอกัน ทิ้งตัวอาบแก้มในที่สุด


    “ขอโทษนะ ที่หายไปเลย”







  • ‘เพราะอะไรถึงหายไปล่ะ เล่าให้ฉันฟังได้มั้ย?’


    ไม่ผิดไปจากที่คิดว่ายูจองไม่ยอมตอบ แต่กลับเดินนำโดยอนไปยังจุดที่ฝังไทม์แคปซูลเอาไว้ ที่โคนต้นสนหลังประตูฟุตบอลนั่นล่ะ ก็ไม่กี่สิบก้าวจากจุดที่ทั้งสองยืนอยู่ปัจจุบัน


    ทั้งที่น้ำตายังไม่แห้งดี แต่โดยอนก็หัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่ายูจองหยิบช้อนปลูกขึ้นมาจากในกระเป๋าเป้ในจังหวะเดียวกับที่เธอเองก็หยิบออกมาเช่นกัน


    แค่รู้ว่าเพื่อนตั้งใจที่จะมาเปิดไทม์แคปซูลด้วยกันก็พอแล้ว


    แค่นี้ก็พอแล้ว...


    “มันใช่ตรงนั้นเหรอยูจอง?” ก่อนจะย่อตัวลงคุกเข่าข้างๆ แล้วชี้จุดที่แน่ใจว่าขุดเองกับมือเมื่อสิบปีก่อน หากยูจองก็ยังยืนกรานจะขุดตรงที่ใหม่ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเดิมไปประมาณหนึ่งก้าว


    “แต่ฉันจำได้ว่าฝังไว้ตรงนั้นนา”


    “ถ้าที่เธอเป็นคนขุดน่ะ มันก็ใช่”


    มาอีกละ สรรพนามฉันกับเธอ


    เป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจคิมโดยอนมาตลอด จนกระทั่งไปบดบังใจความของประโยคที่เธอควรจะตะหงิดใจมากกว่าไปเสียหมดสิ้น


    “นี่ ชเวยูจอง ทำไมแกถึงไม่เรียกฉันว่าแกเหมือนเมื่อก่อนล่ะ”


    “...ไม่รู้สิ” คนตัวเล็กก้มหน้าก้มตาใช้ช้อนปลูกขุดดินอย่างขะมักเขม้น โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากันในตอนที่พูดประโยคต่อไปนี้ “ฉันไม่ได้เรียกใครว่าแกมานานแล้ว”


    ดังนั้นโดยอนถึงคุกเข่าลงไปช่วยขุดด้วย ก็เพราะอยากจะมองหน้ายูจองในตอนที่คุยกันนั่นล่ะ


    “แค่ไม่ได้เจอกันเกือบสิบปี ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเลิกเป็นเพื่อนสนิทกันใช่เปล่า แกเคยเรียกฉันยังไงก็เรียกฉันแบบเดิมสิ ฉันยังเรียกแกแบบเดิมเลย– นี่ชเวยูจอง มาคุยกันก่อน” โดยอนตัดสินใจวางช้อนปลูกลงแล้วใช้มือข้างนั้นหยุดมือคนตัวเล็กกว่าไว้ ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ไม่เลอะดิน เชยคางยูจองให้มองกันตรงๆ สักที


    “ทำไมล่ะยูจองอา... บอกได้มั้ย ว่าทำไมแกถึงหายไป ทำไมแกถึงไม่ติดต่อเพื่อนๆ เลย”


    คนถูกถามกระพริบดวงตาเล็กของตัวเองสองสามที ก่อนจะผินสายตาไปทางอื่น


    “จริงๆ แล้วน่ะนะ” ขณะที่พูดกัน ยูจองก็ไม่ยอมสบตากันตรงๆ เช่นเคย


    “นี่ ชเวยูจอง มองตาฉัน”


    “ก็ได้ๆ” ไหล่เล็กๆ ของหล่อนลู่ลงเหมือนยอมแพ้ “จริงๆ แล้วฉันไม่ได้ไม่ติดต่อเพื่อนๆ หรอก”


    “หมายความว่าไง” จากที่จับคางยูจองอยู่ โดยอนก็ผละมือออกแล้วไปบีบไหล่ทั้งสองข้างไว้แทน “ก็ฉันเคยถามพวกโซฮเย แล้วมันก็บอกว่าแกก็ไม่ได้คุยกับพวกมันเหมือนกัน”


    “ถ้าช่วงแรกน่ะ มันก็ใช่ แต่ฉันก็กลับไปติดต่อกับพวกนั้นตั้งหลายปีแล้ว”


    แบบนี้สินะ เมื่อกี้พวกคนอื่นๆ ถึงได้ไม่ถามสาเหตุที่ชเวยูจองหายตัวไปจากเพื่อนๆ


    ที่แท้แล้ว คนถูกทิ้ง ก็มีแค่คิมโดยอน


    “ทำไมล่ะ” รู้สึกว่าเสียงตัวเองเริ่มสั่น “ทำไมถึงมีแค่ฉัน...ที่แกเลือกจะหายไป”


    “โดยอนอา...ฉันขอโทษ” ชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อจู่ๆ ยูจองก็เอื้อมมือเล็กๆ มาแตะที่แก้ม โดยอนเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนั้นว่าตัวเองร้องไห้อีกแล้ว ทำไมล่ะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทั้งที่เมื่อก่อน คนที่เป็นฝ่ายเช็ดน้ำตาให้ทุกครั้งคือเธอ และคนที่มักจะเสียใจหรือกลัวจนร้องไห้บ่อยๆ คือชเวยูจอง


    “ฉัน...บอกทุกอย่างไว้ในไทม์แคปซูลหมดแล้วล่ะ”


    แน่นอนว่าโดยอนไม่มีทางเข้าใจ


    “ห...หมายความว่าไง”


    “รีบๆ เปิดเถอะ” ยูจองขืนตัวออกจากฝ่ามือทั้งสองข้างของโดยอนที่ยึดไหล่หล่อนไว้ 


    ก่อนทั้งสองจะก้มหน้าก้มตาช่วยกันขุดดินเพื่อจะเอาไทม์แคปซูลที่หลับใหลไปเป็นสิบปีขึ้นมาเสียที







  • ไทม์แคปซูลของโดยอนและยูจอง เป็นแค่กล่องเหล็กหน้าตาพื้นๆ ที่ตัวต้นคิดไปได้มาจากร้านขายของเก่าแถวบ้าน ยังจำได้เลยว่าวันนั้น ยูจองอุ้มกล่องเหล็กที่เกือบจะใหญ่เท่าครึ่งตัวบนของหล่อนมาวางโครมที่พื้นข้างโต๊ะโดยอน จัดแจงบอกเสร็จสรรพว่า 


    ‘ให้เอาของที่คิดว่าเป็นความทรงจำของเราสองคนใส่ลงไปในนี้’


    ต้องเป็นความทรงจำของทั้งคู่ด้วยนะ ไม่ใช่แค่ของคนใดคนหนึ่ง


    พอได้ยินเพื่อนบอกแบบนั้น โดยอนก็คิดหัวแทบแตกว่าจะเลือกอะไรใส่ลงไปบ้างดี ก็ในเมื่อตลอดสามปีที่เป็นเพื่อนสนิทกันมา เธอกับยูจองมีความทรงจำด้วยกันมากมายเต็มไปหมด


    ลงท้ายจึงจบลงที่รูปถ่ายของสิ่งของต่างๆ นานาพวกนั้นแทน พร้อมกับจดหมายที่อัดแน่นไปด้วยตัวหนังสือเต็มแผ่น ซึ่งล้วนเขียนถึงความสุขและความโชคดีในการที่ได้มาเป็นเพื่อนสนิทกัน





    ‘ชเวยูแด็ง ไอ้ลูกหมา



    เราก็เป็นเพื่อนกันมาเกือบสามปีแล้วเนอะ แต่แกรู้มั้ย ว่าฉันรู้สึกว่าเราเหมือนสนิทกันมาเป็นสิบๆ ปีแล้วเลย แกเป็นคนที่ฉันอยู่ด้วยแล้วรู้สึกเป็นตัวเองที่สุดแล้ว ไม่ต้องมาทำเก๊กหน้านิ่งเหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ เออ จะว่าไป ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการเป็นนักกีฬาบาสแล้วมันต้องทำตัวนิ่งด้วยเหรอ ดีเหมือนกันที่สุดท้ายแล้วก็โดนลูกบาสกระแทกหน้าจนกลายเป็นกลัวลูกบาสไปซะงั้น ฉันเลยได้มีเวลามาเล่นกับแกมากขึ้นไง 


    แกยังจำตอนก่อนที่เราจะสนิทกันได้ป่าว ที่เปิดเทอมใหม่แล้วครูให้เล่นมานิโต้กันเพื่อละลายพฤติกรรมอะ ขอบคุณดวงของพวกเราเนอะที่ทำให้ได้เป็นมานิโต้ของกันและกัน ถึงตอนนั้นจะยังไม่รู้จักกันเลยจนฉันเผลอไปให้ของที่แกไม่ชอบ แต่มันก็ทำให้แกมาอธิบายกับฉันตรงๆ ตอนที่เฉลยแล้ว นั่นน่ะ เป็นจุดเริ่มต้นของพวกเราเลย 


    ยูจองอา เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนพวกเราก็ต้องแยกย้ายกันไปแล้ว ฉันพยายามไม่ถามว่าแกอยากเข้าที่ไหน จะได้ไม่ไขว้เขว เปลี่ยนไปเรียนตามแก เพราะแกก็รู้ใช่มั้ยว่าฉันน่ะไม่อยากจะแยกจากแกเลยจริงๆ นะยูจอง เฮ้อ ทำไมเราถึงไม่ได้มีความฝันเดียวกันนะ เราจะได้ไม่ต้องแยกจากกันไง แต่เอาเถอะ ยังไงฉันก็คิดว่าแกคงอยากเข้ามหาลัยในโซลเหมือนฉัน ไว้เราค่อยนัดเจอกันก็ได้ การเดินทางในโซลสะดวกจะตายไป ถ้าไม่ได้อยู่ไกลกันมากเกิน ฉันหวังนะว่าเราจะได้มาเจอกันทุกวัน เพราะไม่งั้นฉันต้องคิดถึงแกมากแน่ๆ


    สุดท้ายนี้ ต้องขอบใจแกมากที่อุตส่าห์คิดเรื่องไทม์แคปซูลขึ้นมา ถึงมันจะอีกตั้งสิบกว่าปีกว่าแกจะได้อ่านจดหมายนี้ก็เถอะ แต่ถ้าไม่ต้องหาของมาใส่ ฉันก็คงไม่ได้เขียนอะไรเน่าๆ พวกนี้หรอก ตั้งสิบกว่าปีเลยนะ ตอนนั้นเราสองคนจะเป็นไงบ้าง นึกภาพไม่ออกเลยว่าตัวฉันตอนอายุสามสิบจะเป็นยังไง แต่ที่ฉันมั่นใจอะนะ เราสองคนจะต้องยังสนิทกันอยู่แบบนี้แน่นอน ใช่มั้ยล่ะชเวยูจอง



    แกคือเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตฉัน
    รักแกมากนะ



    คิมโดยอน’





    ชเวยูจองในวัยยี่สิบเก้าปีพับจดหมายที่อ่านจบแล้วและกำลังจะเก็บใส่ซองตามเดิม ก่อนน้ำตาที่โดยอนเห็นแค่ว่าไหลอาบแก้มมาตั้งแต่เริ่มอ่านแรกๆ จะค่อยๆ พรั่งพรูจนกลายเป็นสะอื้นตัวโยนให้ต้องรีบเข้าไปกอดปลอบยกใหญ่ ลืมไปด้วยซ้ำว่าตัวเองก็กำลังกระตือรือร้นที่จะเปิดของในความทรงจำของหล่อนเหมือนกัน 


    เพียงแค่เห็นน้ำตาของชเวยูจองเท่านั้น


    “ฉันขอโทษนะโดยอน ฉันขอโทษ”


    จริงๆ เวลาสิบปีมันนานเกินไปที่จะจำเนื้อความในจดหมายที่เขียนเองกับมือได้ทั้งหมด แต่อย่างหนึ่งที่โดยอนแน่ใจ ก็คือในจดหมายฉบับนั้น มีแต่ความรู้สึกที่ว่า 


    ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราสองคนจะไม่มีวันเลิกสนิทกัน


    แต่ก็นั่นล่ะที่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ชเวยูจองก็หายไปจากชีวิตเธอโดยสิ้นเชิง แรกๆ อาจพอเข้าใจว่าเรียนหนัก หากสุดท้าย โดยอนก็เข้าใจว่าหล่อนตั้งใจจะไม่ติดต่อกันจริงๆ


    “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องขอโทษแล้ว” มือเรียวยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่เปรอะหน้าเพื่อนรักอย่างเบามือ 


    “ก็ในเมื่อตอนนี้แกกลับมาหาฉันแล้วไงชเวยูจอง” 


    แล้วจึงดึงตัวเล็กๆ ของยูจองมากอดไว้แนบอก ลูบเรือนผมสั้นสีน้ำตาลเข้มนั่นอย่างทะนุถนอม โดยอนกอดหล่อนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ก่อนที่ยูจองจะเป็นคนผละออก แล้วก้มลงหยิบกล่องใบเล็กซึ่งเป็นของในความทรงจำของตัวเองขึ้นมา ที่มันไปอยู่ที่พื้น เพราะเมื่อกี้โดยอนตัดสินใจวางลงเพื่อมาปลอบยูจองก่อนนั่นล่ะ


    “เปิดเถอะโดยอน แล้วเธอจะรู้ ว่าทำไมฉันถึงทำแบบนั้น”







  • สองมือสั่นเทาเล็กน้อยขณะกำลังค่อยๆ ลอกสก็อตช์เทปที่ติดปากกล่องออก


    แม้จะอยากรู้มาตลอด แต่พอเอาเข้าจริง โดยอนก็รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก


    และแม้จะไม่เข้าใจเลยว่าของที่ใส่ลงไปในไทม์แคปซูลเมื่อสิบปีก่อน จะเกี่ยวข้องกับการที่ยูจองหนีหายไปจากชีวิตเธอได้อย่างไร ก็ในเมื่อตอนนั้น...เราสองคนยังสนิทกันอยู่เลย 


    แต่โดยอนก็ไม่ได้ถามอะไร


    ในเมื่อยูจองบอกว่าสิ่งที่อยู่ในนี้จะทำให้เธอเข้าใจทุกอย่าง โดยอนก็ทำได้แค่เปิดมันออกเท่านั้น


    ข้างในกล่อง เป็นซองจดหมายสีฟ้าอ่อนและสีม่วงอ่อน


    “อ่านซองสีฟ้าก่อนนะโดยอน”


    โดยอนพยักหน้า ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ขณะที่ค่อยๆ เปิดซองจดหมายสีฟ้านั่น


    เป็นกระดาษแผ่นเดียว และมีข้อความอยู่แค่สองบรรทัดเท่านั้น


    หากมันก็มากพอที่ทำให้หัวสมองของโดยอนตื้อไปหมด แขนทั้งสองข้างแทบหมดแรง ตอนที่หันไปหาเจ้าของจดหมาย ดวงตาใหญ่มองตรงไปที่ยูจองอย่างตัดพ้อ


    “ทำไมล่ะ ยูจอง... ทำไมแกถึงไม่บอกฉันตรงๆ”


    เนื้อความสั้นๆ ในจดหมายบอกไว้ว่า





    ‘ฉันชอบแกนะโดยอน ถ้าตอนที่เปิดไทม์แคปซูลนี้ แกยังไม่มีใคร เรามาเป็นแฟนกันนะ ฉันจะรอแกอยู่แบบนี้แหละ’





    “จะให้ฉันบอกยังไงล่ะ ในเมื่อตอนนั้น ฉันกับเธอเป็นเพื่อนสนิทกัน” 


    น้ำตาของยูจองยังคงไหลอยู่แบบนั้น 


    “แล้วอีกอย่างน่ะนะ วันต่อมาหลังจากที่เราฝังไทม์แคปซูลกันน่ะ นึกดีๆ สิว่ามันเกิดอะไรขึ้น”


    ถึงจะยังน้อยใจอยู่ที่อีกคนเก็บความรู้สึกนี้ไว้กับตัวเองตั้งนานได้อย่างไร แต่โดยอนก็พยายามนึกย้อนไปตามที่ยูจองบอก ขณะที่หลับตาลงแล้วพาตัวเองย้อนกลับไปสิบปีที่แล้ว...


    ทันใด ดวงตาทั้งสองข้างของโดยอนก็พลันเบิกโพลง


    “จำได้แล้วสินะคิมโดยอน”


    มันเป็นวัน...ที่เธอตกลงคบเป็นแฟนกับจองแชยอนที่มาสารภาพรัก


    และในวันนั้น ชเวยูจองก็อยู่ด้วยกัน







  • ถ้าตอนนั้นชเวยูจองเป็นแฟนคลับพี่เซจองอย่างออกหน้าออกตา ไม่ว่าพี่เขาจะไปทำอะไร ยูจองก็จะตามไปเชียร์มันทุกอย่าง คิมโดยอนก็เป็นแฟนคลับลับๆ ของจองแชยอน ดาวโรงเรียนสุดสวยที่อยู่ห้องข้างๆ เช่นกัน


    เธอแอบกรี๊ดแชยอนแบบลับๆ จนถึงขนาดที่ว่า มีแค่ยูจองคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ เพราะเราสองคนไม่เคยมีความลับต่อกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม


    ซึ่งก็แน่นอนว่าเจ้าตัวอย่างแชยอนจะไม่มีทางรู้เรื่องนี้เด็ดขาด


    ครั้งหนึ่ง ทั้งสองห้องเคยต้องออกร้านร่วมกันในงานครบรอบวันสถาปนาโรงเรียน โดยโดยอนถูกเลือกให้เป็นหัวหน้า ส่วนแชยอนได้เป็นรองหัวหน้า จึงเป็นครั้งแรกที่เธอได้ใกล้ชิดกับแชยอนและได้คุยกับหล่อนเกินการทักทายง่ายๆ เวลาบังเอิญเดินสวนกัน


    ซึ่งแชยอนมาบอกตอนหลังว่า หล่อนเริ่มชอบเธอตั้งแต่ตอนนั้น


    ‘โดยอน เรามีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย’


    วันนั้น โดยอนกำลังนั่งอ่านการ์ตูนที่เช่ามาอยู่กับยูจอง ใจเต้นตึกตักพอดูเหมือนกันตอนที่จู่ๆ คนที่แอบชอบมาตลอดก็มาขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัว ทั้งที่ไม่มีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้องเลยสักนิด


    อยู่คุยคนเดียวไม่ได้แน่ๆ เพราะกลัวว่าจะเผลอแสดงออกจนหล่อนรู้ว่าชอบ


    ดังนั้น โดยอนจึงทำใจดีสู้เสือพูดออกมาว่า


    ‘คุยตรงนี้ก็ได้’


    เพราะอย่างน้อยๆ ก็มีชเวยูจองอยู่ด้วยให้อุ่นใจ


    ดาวโรงเรียนดูจะลังเลในตอนแรก หากก็พยักหน้ารับในท้ายที่สุด 


    ด้วยความที่ไม่คิดว่าแชยอนจะพูดเรื่องสลักสำคัญอะไร โดยอนจึงไม่ได้เตรียมใจใดๆ ทั้งนั้น


    ‘คิมโดยอน เราชอบเธอนะ ชอบมาสักพักแล้ว’


    หนังสือการ์ตูนที่อยู่ในมือร่วงลงไปที่ตักอย่างไม่รู้ตัว โดยอนกระพริบตาถี่ๆ แล้วถามแชยอนซ้ำอีกครั้งให้แน่ใจว่าเมื่อกี้ไม่ได้หูฝาด


    ‘เราชอบเธอ ชอบเธอจริงๆ’


    แชยอนเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะดึงมือเธอให้ลุกขึ้น


    ‘เธอจะคบกับเราได้มั้ย โดยอนอา...’


    เหมือนต้องมนต์ เพราะคนถูกขอความรักจำได้ว่าพยักหน้าตกลงคบด้วยโดยไม่ทันได้ใช้เวลาไตร่ตรองด้วยซ้ำ เพราะเข้าใจว่าเป็นคนที่แอบชอบมาเป็นปีๆ นั่นล่ะ


    และคิมโดยอน ก็เพิ่งมานึกได้ตอนนี้เอง ว่าที่ชเวยูจองเริ่มเฟดตัวไป มันไม่ใช่หลังจากที่เรียนจบ


    แต่เริ่มตั้งแต่ที่เธอตกลงเป็นแฟนกับแชยอนต่างหาก


    ช่วงนั้นอีกไม่นานก็จะถึงซูนึงหรือวันสอบเอ็นทรานซ์ที่จะตัดสินชะตาชีวิตของเด็กมัธยมปลายปีสุดท้ายอย่างพวกเธอ ซึ่งถ้าหากไม่ได้คบกับแชยอน โดยอนก็คงจะนั่งติวอยู่กับยูจองเหมือนทุกการสอบที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าอยู่แต่กับคุณแฟนหมาดๆ จนเพื่อนคนอื่นเอือมระอา กับเคสของยูจองที่เริ่มหายๆ ไป โดยอนในตอนนั้นก็ดันเข้าใจไปว่าหล่อนคงแค่หมั่นไส้เหมือนคนอื่นๆ 


    ไม่คิด...ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า–


    “ฉันขอโทษนะยูจอง...”


    “ฉันน่ะ คิดมาตลอดว่าถึงตอนนี้เราจะยังเป็นแค่เพื่อนสนิทกัน แต่ถ้าเราได้อยู่กันสองคนแบบนี้ ดูแลกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเธอยังไม่มีใครจริงๆ ฉันก็จะบอกไปตามตรงว่าฉันรู้สึกยังไง แต่ก็นั่นแหละที่สุดท้ายแล้วเธอก็ไปคบคนอื่น”


    คนที่ต้องเก็บงำความลับนี้มาตลอด พอถึงคราวได้บอก ก็พรั่งพรูความรู้สึกที่เหลือออกมาอีกตั้งมากมาย


    “ตอนแรกฉันคิดว่าคงไม่เป็นไร ฉันน่าจะยังเป็นเพื่อนกับเธอได้แบบเก่า แต่มันยากมากเลยนะโดยอนกับการที่ต้องทนเห็นคนที่ฉันรักไปรักคนอื่น สุดท้ายฉันก็ทำไม่ได้ เลยเลือกจะเดินออกมาดีกว่า แว้บนึงฉันเคยแอบคิดนะ ว่าถ้าเธอแคร์กันมากจริงๆ ก็น่าจะทันรู้สึกตัวบ้าง แต่ก็นั่นแหละที่ฉันแค่คิดไปเอง เธอไม่ได้รักฉันไปมากกว่าเพื่อนสนิทคนนึงหรอก จะมีหรือไม่มีฉันอยู่มันก็ไม่สำคัญ เพราะเธอสนใจแต่แชยอน”


    สิ่งที่ยูจองพูด ทำให้หัวใจของโดยอนยิ่งเจ็บปวด


    “อ่านจดหมายอีกฉบับด้วยสิโดยอน นั่นน่ะ ฉันเพิ่งเอามาฝังไว้เมื่อปีที่แล้วเอง”


    เพราะแบบนี้สินะ จุดที่ฝังมันถึงได้เคลื่อนไป 


    กระดาษจดหมายที่อยู่ในซองสีม่วง โดยอนมองเห็นว่าบางจุดมีร่องรอยของหยดน้ำ และเมื่อได้อ่านเนื้อความ ก็เข้าใจในทันที ว่ามันเกิดจากหยาดน้ำตาของคนเขียนตัวเล็กที่เริ่มจะร้องไห้อีกครั้งตรงหน้าเธอนั่นเอง





    ‘โดยอนอา



    อยากบอกว่าขอโทษจริงๆ นะที่ต้องเดินจากมาแบบนั้น จริงๆ แล้วฉันไม่อยากจะแยกจากเธอด้วยซ้ำ แต่ถ้าไม่ทำ ฉันนี่ล่ะที่จะแย่ 


    เพราะในเมื่อยังไงเรื่องของเรามันก็ไม่มีวันเป็นไปได้ ฉันก็เลยคิดว่า ถ้าเราอยู่ห่างกัน ถ้าไม่ต้องเจอหน้าเธอทุกวัน ไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันบ่อยๆ แบบเมื่อก่อน อะไรๆ มันก็คงจะกลับมาเข้าที่ และฉันก็คงจะเลิกชอบได้เอง ฉันหวังให้วันนั้นมาถึงตลอดเพราะฉันจะได้กลับไปเป็นเพื่อนกับเธออย่างสนิทใจได้เหมือนเดิม ไม่ใช่ว่า...ยิ่งไม่ได้เจอกันเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งคิดถึง รู้อะไรมั้ยคิมโดยอน วันที่เธอทักมาน่ะ ฉันแทบจะเลิกอะไรก็ตามที่อุตส่าห์ทำมาทั้งหมดแล้วกลับไปกอดเธอไว้แน่นๆ แล้ว แต่ถ้าทำแบบนั้น ที่แข็งใจเดินจากเธอมาตั้งหลายปีมันก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย และฉันก็ต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง โซฮเยเล่าให้ฟังว่ามีคนมาจีบเธอตั้งเยอะแยะ ฉันไม่อยากกลับไปอยู่ในสภาพนั้นอีก ฉันไม่อยากกลับไปอยู่ข้างๆ เพื่อเห็นว่าเธอรักคนอื่นมากแค่ไหนอีกแล้วล่ะคิมโดยอน เธอเข้าใจฉันใช่มั้ย


    ฉันคงกลับไปเป็นเพื่อนเธอไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉันแน่ใจว่ายังไงฉันก็ไม่มีทางเลิกรักเธอได้แน่ๆ


    รักเธอนะโดยอน รักเธอจริงๆ
    ลาก่อน



    ยูจอง’




    ‘ถึงบางสิ่งมันจะขัดกับความรู้สึกเรา แต่ถ้ามันเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว ก็หมายความว่านี่ล่ะเป็นสิ่งที่ควรทำ’


    โดยอนคิดว่าตัวเองเข้าใจและยอมคล้อยตามในสิ่งที่ผู้อำนวยการพูดเมื่อกี้แล้วล่ะ


    “ถามอะไรหน่อยสิยูจอง”


    คนตัวเล็กที่ยังคงก้มหน้าเช็ดน้ำตาป้อยๆ พยักหน้าเบาๆ


    “ถ้าคิดว่าจะไม่เจอกันแล้ว แล้วทำไม...วันนี้ถึงกลับมาหาฉันล่ะ” 


    ในตอนนี้ คนที่ร้องไห้ ไม่ได้มีแค่ยูจองคนเดียวอีกต่อไป


    “เพราะว่าฉันคิดถึงเธอ”


    คนตัวเล็กเดินมากอดโดยอนไว้แน่น ส่วนสูงที่ต่างกันทำให้ใบหน้าของหล่อนซบลงที่อกเธอพอดี


    “ฉันคิดถึงเธอจริงๆ โดยอนอา”


    เรียวแขนของโดยอนยกขึ้นกอดตอบ ก่อนที่อีกมือหนึ่งจะยกขึ้นลูบที่เรือนผมของยูจองอย่างแผ่วเบา


    “ขอบคุณนะที่กลับมา”







  • “นี่โดยอน ฉันมีเรื่องตลกจะเล่าให้ฟังแหละ”


    “ไหนเล่ามา”


    “ก็ก่อนที่เราจะมาเป็นแฟนกันน่ะ ฉันเคยคิดด้วยซ้ำว่าหรือจริงๆ แล้วเธอน่ะคบกับยูจองอยู่ แต่มาแอ๊บว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน”


    “จริงดิ”


    “ก็เพื่อนสนิทกันประสาอะไร ไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างกับแฟน เวลายูจองโดนแกล้ง เธอโมโหยิ่งกว่าเค้าอีก หรือเวลาที่เธอเจ็บอย่างตอนถูกลูกบาสกระแทกหน้าน่ะ ไม่รู้สินะว่าคนที่เป็นห่วงเธอที่สุดก็คือยูจองนี่ล่ะ”







    น่าจะเกือบๆ ตีสามแล้ว ตอนที่ทั้งสองคนนั่งเคียงกันอยู่ตรงม้านั่งเยื้องทางเข้าตึกเรียน ซึ่งถ้าคนใดคนหนึ่งมาก่อน ก็จะต้องมานั่งรอตรงนี้ อากาศยามดึกสงัดกลางเดือนมีนาคมไม่ปรานีคนทั้งคู่แม้แต่น้อย การนั่งชิดๆ กันแล้วคุยกันไปเรื่อยๆ รอเวลาสถานีรถไฟเปิด จึงดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด


    “โดยอน รู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงร้องไห้ตอนอ่านจดหมายของเธอ”


    คนถูกถามเลิกคิ้ว ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ


    “สิ่งที่เธอเขียน ทำให้ฉันเข้าใจว่าที่ผ่านมาฉันทำร้ายจิตใจเธอไปมากจริงๆ และฉันก็รู้สึก...ว่าหรือจริงๆ แล้วการที่ฉันเลือกจะเดินจากมามันเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์ตั้งแต่แรก”


    โดยอนถอนหายใจ ก่อนจะวาดแขนโอบไหล่บางของยูจองให้เข้ามาแนบชิดมากขึ้นอีก


    “รู้มั้ยยูจอง ว่าที่ฉันไปบอกเลิกแชยอนทั้งที่เพิ่งคบกันได้ไม่ถึงปีน่ะ มันเป็นเพราะอะไร”


    ถึงคราวคนตัวเล็กเป็นฝ่ายส่ายหน้าบ้าง


    “เพราะว่าฉันเพิ่งรู้ว่าตัวเองชอบแชยอนแบบแฟนคลับ ไม่ได้ชอบแบบอยากจะเป็นแฟนกันจริงๆ” 


    โดยอนแค่นยิ้มให้กับการตัดสินใจปุบปับที่ปราศจากการไตร่ตรองของตัวเอง กลายเป็นมือที่มองไม่เห็นผลักให้เพื่อนสนิทให้เดินออกไปอีกเส้นทางอย่างไม่รู้ตัว จนเกือบจะต้องจากกันไปตลอดกาลจริงๆ


    เพื่อนสนิท...ที่แว้บเข้ามาในความรู้สึกของโดยอนทันทีที่เลิกกับแชยอนแล้ว










  • ตอนนี้แกจะเป็นไงบ้างนะ เหมือนเราจะไม่ได้ติดต่อกันนานแล้วเลย

    ฉันคิดถึงแกจังชเวยูจอง














    END.

    #timecapsuledodaeng









  • ก็จบกันไปแล้วสำหรับฟิค I.O.I เรื่องแรกของเรา ฮือ เริ่มที่โดยอนลูกสาวสุดที่รักกับชเวยูจองเพื่อนสนิทของน้องเค้านะคะ ออกมาในรูปแบบของเพื่อนรักรักเพื่อน เรื่องราวสุดคลาสสิกที่เอามาเล่าซ้ำๆ ได้อย่างไม่รู้เบื่อ


    มันค่อนข้างจะยาวมากสำหรับวันช็อต 555 คิดเห็นประการใดวานฝาก feedback ไว้หน่อยนะคะ สำหรับคนที่มีแอคเคาท์ minimore ก็เชิญด้านล่างเลย (ถ้าไม่มีก็สมัครง่ายนิดเดียวแค่ใช้ twitter หรือ facebook ค่ะ อิอิ) 


    หรือไม่งั้นก็เรียนเชิญทางแท็ก #timecapsuledodaeng ได้เช่นกันค่ะ


    ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านกันเลยค่ะ หวังว่าเรื่องหน้าจะได้เขียนในเร็วๆ นี้
    อาจจะเป็นเซแช ไม่ก็น้องโดกับคนอื่นบ้าง 5555


    ปล.คิดถึงเด็กๆ จังเลยค่ะ TT

    ปล.2 มาแก้ไขระยะห่างระหว่างบรรทัดใหม่ เพราะมันติดกันเป็นพรืดเกินไป ลายตาแทนคนอ่านค่ะ TT


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
pankatze (@pankatze)
โดโดเด๋อมากลูกเอ๊ย ไม่รู้ไม่เอะใจไม่มีความเอ๊ะใดๆ 55555
อ่านแล้วคิดถึงตัวเองสมัยเรียนมัธยมที่เผลอทำร้ายจิตใจเพื่อนคนนึงไปเลยล่ะค่ะ

ตอนเด็กๆนี่มันหุนหันพลันแล่นจริงๆ ไม่ไตร่ตรองไรทั้งสิ้น

นี่ก็เลยสงสารยูจองมากๆเลยค่ะ โถอีหนูว หายไปซะนานสุดท้ายก็ทำไม่ได้อยู่ดี
ความรักนี่มันแย่จังเลยว้อยยยย #เดี๋ยว

นี่มาอ่านซ้ำอีกรอบก่อนเซแชนะคะ และพบว่ายังไม่คอมเมนท์ สันดานจริงๆ 5555

แต่จบแฮปปี้ก็ดีแล้วค่ะ อย่างน้อยเราก็ไม่เหมือนกันไปซะทั้งหมดนะโดโดจู...
nobi (@nobitfn)
นี่วันชอตที่ยาวของเราใช่มั้ยคะ 55555555
ตอนอ่านแรกๆช่วงโดแชถึงกับต้องเลื่อนขึ้นไปว่าเอ้ะ นี่ฟิคโดแดงนี่555555

ตอนอ่านไม่ได้เดาเลยค่ะว่าทำไมยูจองถึงหายไป เหมือนอ่านแต่ความคิดน้องโด เลยอยู่ฝั่งน้องโด ว่าเออหายไปนะ ไม่ติดต่อกับใครนะ
แต่พอรู้เหตุผลยูจองแล้วเหมือนยูจองจะน่าสงสารกว่าแหะ
แต่...เอาใหม่ เราเมนน้องโด เราจะเข้าข้างน้อง5555 ถึงจะลำบากใจที่เพื่อนสนิทที่ชอบมีแฟน หรือเห็นว่ารักคนอื่น ก็ไม่น่าหายไปมั้ย
เหมือนทิ้งให้อีกคนอยู่กับความรู้สึกว่าหายไปไหนแล้วทำอะไรไม่ได้อะ แต่ตัวเองคุยกับเพื่อนคนอื่น ก็ต้องรับรู้เรื่องของอีกคนตลอด
เหมือนเลือกได้ว่าจะอยู่หรือหาย
/เข้าข้างแม้กระทั่งในฟิค

นี่เราเม้นอะไร5555 แต่อ่านจบ เราไปชวนเพื่อนสนิทฝังแคปซูลเลยค่ะ เผื่อเพื่อนจะเขียนว่าแอบชอบเราบ้าง55555555

เม้นไร้สาระมาก สรุปให้ว่าเราชอบฟิคค่ะ แต่งอีกนะคะ5555555555555
shiki_kaew (@shiki_kaew)
ไม่ค่อยได้อ่านเรื่องสั้นของคนเขียนเท่าไร เพราะเจ้าตัวชอบเล่าเรื่องแบบยาว 5555

เรื่องนี้เลยกลายเป็นจานเดี่ยวที่จัดเต็มจานใหญ่ แล้วยังมาให้ครบทุกรสชาติ ทั้งเศร้า สงสัย เหงา รัก คิดถึง ปะปนกันไป

เปิดเรื่องมาให้เป็นปริศนาที่เดาไม่ถูกเหมือนกันนะ ว่าทำไมอยู่ๆยูจองถึงเปลี่ยนไป คนเราสนิทและรักกันมากเสียขนาดนั้นอยู่ๆจะมาจากหายไปเฉยๆมันต้องมีเรื่องอะไรนั่นละ

แถมยังค่อยๆคลายปมทีละเล็กทีละน้อย โดยระหว่างนั้นก็จำลองสภาพจิตใจของโดยอนที่สงสัยใครรู้ว่าตลอดเวลานับเป็นสิบปีนี้เจ้าตัวรู้สึกแบบไหน

แน่ละว่าการเติบโตเป็นผู้ใหญ่น่ะ ต่างคนต่างก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง ย่อมทำคนสำคัญในชีวิตหล่นหายไปเป็นธรรมดา แต่เรื่องนี้เทใจให้ยูจองมากกว่า เพราะช่วงเวลาระหว่างนั้นเรารู้เลยว่ายูจองน่ะ เฝ้าสังเกตชีวิตของโดยอนมาจากที่ไกลๆเสมอ และเป็นคนอดทนมากแค่ไหน (ช่วงระหว่างนั้นอาจมีใครเข้ามาก็ได้ แต่ก็ยังปักใจรัก นับถือจริงๆนะ)

นี่คิดเหมือนกันว่าทำไมโดยอนถึงได้ไม่ออกตามหา แต่ก็นั่นละ ชีวิตของแต่คนก็มีเงื่อนไขแตกต่าง เจ้าตัวคงไม่กล้าเริ่มก่อน เพราะความรู้สึกว่าตัวเองโดนทิ้งก็ยังมีอยู่

รู้สึกเจ็บใจนิดๆ ที่ัตัวละครเอกสองคนใช้เวลาในการรอคอยมากไปไหมนะ ชีวิตมนุษย์คนเรามันจะว่ายาวก็ยาว จะว่าสั้นก็สั้น ทั้งที่ต่างคนต่างได้สมหวังได้ก่อนหน้าเป็นหลายปีก็ได้ ไม่ต้องรอจนโตป่านนี้

ปล.นี่อยากอ่านต่อเลยว่าจะเป็นแบบไหนกัน คือช่วงระหว่างที่ห่างกัน ต่างคนต่างก็โต ต่างก็เปลี่ยนแปลง กลับมาเป็นเพื่อนสนิทดังแต่ก่อนว่ายากแล้ว เป็นแฟนกันคงยากกว่ามากๆเลย
theniaz (@theniaz)
ตอนแรกสงสารโดยอนมากค่ะ ทำไมยูจองเปลี่ยนไป TT พออ่านจนจะจบ โว๊ะ แกนี่มันไม่ได้รู้อะไรเลยสักอย่างเลยนะโดยอน 5555555 คือโดยอนไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ทั้งความรู้สึกของยูจองและความรู้สึกของตัวเอง ดีนะคะที่สองคนนี้ทำไทม์แคปซูลไว้ด้วยกัน มันเลยยังมีโอกาสได้กลับมาเจอและปรับความเข้าใจ ถ้าสมมติต่างคนเรียนจบแล้วห่างกันไปเฉยๆ โดยอนอาจไม่รู้ใจตัวเองไปจนแก่อ่ะ 555555555 คนที่น่าสงสารคือยูจองนะในความคิดพี่ ที่รู้ทุกอย่างแต่ไม่กล้าจะพูดออกไป โดยอนอาจจะเจ็บปวดที่ยูจองทำตัวไม่สนิท แต่ยูจองนี่ทั้งแอบรัก ทั้งต้องเห็นโดยอนคบคนอื่น แล้วต้องพยายามทำตัวเข้มแข็ง ห้ามใจไม่ให้คิดถึงโดยอนอีก ดีจริงๆนั่นแหละค่ะที่มีไทม์แคปซูล ^^~ / ถึงน้องฝนจะบอกว่าเรื่องเพื่อนรักเพื่อนมันหยิบมาเล่าได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่พี่ก็ชอบพล็อตนี้มากค่ะ น้องฝนเองก็เขียนได้สนุกมากๆเลย
ดีใจมากเลยตอนที่รู้ว่าน้องฝนจะเขียนฟิคเด็กๆ พอได้อ่านแล้วมีความสุขมากจริงๆค่ะ :) แล้วก็อยากอ่านอีกเยอะๆเลย รอนะคะ TT ยิ่งอ่านก็ยิ่งคิดถึงเด็กๆที่สุดเลย TT