เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
TylerTyler Lee
Can I take it as a yes?

  • เหตุการณ์ก่อนหน้า: [หน้าหลักฟิค]


    Tyler's Diary 2 : Can I take it as a yes?


     

                มื้อเช้าของวันนี้ บรรยากาศแปลกไปจากทุกวัน อาจจะเป็นเพราะเก้าอี้ตัวที่สามมีคนนั่ง ใช่แล้ว บ้านเรามีแขกมาพักด้วย เท็นจังก็เลยต้องทำแพนเค้กถึงสามจาน เออ สี่จานสิ เพราะมาร์คขอเพิ่มทั้งที่ผมแบ่งของตัวเองให้เกินครึ่ง ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกที่กินไม่ค่อยลง เท็นจังเองก็กินน้อย เกือบยี่สิบนาทีแล้ว เค้ากินแพนเค้กไปแค่สี่คำ ไม่ผิดแน่ เพราะผมนั่งนับอยู่ตลอด

                พอเห็นเท็นจังใส่สเวตเตอร์สีครีม ผ้าพันคอสีชมพูอ่อน ผมว่าเค้าดูนุ่มนิ่มน่ากินเหมือน Cotton Candy เลย เห็นแล้วอดนึกถึงความฝันแฟนตาซีของตัวเองไม่ได้

                คนเรียบร้อยขนาดนี้อ่ะนะ..จะกล้าสักเอว

                ผมนึกเอง หน้าแดงเอง จนมาร์คถามว่าไม่สบายหรือเปล่า ถึงผมจะส่ายหน้าแต่ที่จริงก็ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ มันเพลียๆ ปวดหัวด้วย ความทรงจำช่วงก่อนนอนมันติดๆดับๆไม่รู้ตัวเองเข้านอนตอนไหน ยังไง แต่เอาเหอะ ก็ดื่มไปซะขนาดนั้นจะ hangover ก็ไม่แปลก คนที่แปลกคือมาร์คลีมากกว่า ทำไมตื่นมาสดชื่น แถม enjoy eating ขนาดนี้ ร่างกายมีระบบกำจัดแอลกอฮอล์แบบออโต้หรือไง

                 บทสนทนาบนโต๊ะอาหารดูปกติเกินเหตุ มันปกติจนดูไม่ค่อยปกติ ไม่ใช่แค่ผมกับเท็นจังนะที่ดู ‘พยายาม’ จนไม่เป็นธรรมชาติ มาร์คก็ด้วย เราทั้งสามคนทำเหมือนมีเรื่องคุยกันมากมาย แต่เวลาคุยกันกลับไม่ค่อยสบตา ผมรู้เหตุผลของตัวเองดี ถึงเมื่อคืนไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมฝันถึงเท็นจังแต่มันก็สมจริงมากๆจนไม่ค่อยกล้าสู้หน้า ส่วนเท็นจังน่ะ ผมเดาว่าเค้าอาจจะรู้สึก guilty ที่ทิ้งผมออกไปกลางดึก หรือไม่..เค้าก็ยังไม่อยากพูดถึงเพื่อนเก่าคนนั้น

                ระหว่างผมกับเท็นจังตอนนี้..จะเรียกว่ายังไงดี ความรู้สึกมัน awkward อ่ะ สบตากันทีไรก็ต้องทำเป็นมองทางอื่น คงเพราะต่างคนต่างมีเรื่องที่อยากซ่อนไว้

                โอเค มันก็เข้าใจได้นะ หมายถึงอารมณ์ตึงๆระหว่างผมกันเท็นจังน่ะ มันเมคเซนส์แหละ แต่ที่ไม่ค่อยเข้าใจเลยคืออาการของมาร์คลีมากกว่า ทำไมมาร์คถึงดูแปลกไปด้วยล่ะ หรือมีความในใจซ่อนไว้เหมือนกัน แต่พอคิดอีกที เค้าอาจจะยังไม่ค่อยชินกับที่นี่ก็ได้ คงไม่มีอะไรหรอก 

                ตามปกติหลังทานอาหารเสร็จ ผมจะเป็นคนเก็บโต๊ะส่วนเท็นจังจะเป็นคนเอาจานเข้าเครื่องล้างจาน แต่วันนี้มาร์คขอเหมาทำงานบ้านเองทั้งหมด จะเป็นเด็กดีอะไรขนาดนั้น ผมเห็นแล้วยอมไม่ได้ก็เลยเสนอตัวทำบ้าง ให้เท็นจังออกไปทำงานอย่างสบายใจ หลังจากเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อย มาร์คก็ติวหนังสือให้ผมตามปกติ แน่นอน มันไม่ใช่ความคิดผมหรอก ผมอยากนอนพักให้หายปวดหัว แต่มาร์คไม่ยอม เค้าเลยเข้าครัวไปทำกล้วยปั่นให้ผมดื่มแก้แฮงค์ เออ เพิ่งรู้ว่ากล้วยช่วยได้ โลกนี้คงมีอีกหลายอย่างที่ผมยังไม่รู้ รวมไปถึงความรู้สึกของเท็นจังด้วย (แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหน ผมเป็นอะไรของผมวะเนี่ย)

                เออ ผมว่าผมชักจะพล่ามเยอะไปแล้ว

                เขียนแค่นี้แหละ พอเถอะ


                TYL

    11.35 a.m.

     

     

     


               

     

                ตอนนี้ห้าทุ่มครึ่งและผมเข้ามาอีดิทไดอารี่ทั้งที่ควรจะเขียนมันแค่วันละรอบเท่านั้น ทำไงได้ล่ะ ผมอึดอัด นอนไม่หลับ เพราะมีคำถามที่ไม่กล้าถามใคร ตลกตัวเองชะมัด

                ผมกำลังสงสัยว่า ความฝันเมื่อคืนนี้ มันอาจจะไม่ใช่แค่ฝันอย่างที่เข้าใจ

                เรื่องของเรื่องคือเมื่อตอนบ่ายพนักงานซักรีดโทรขึ้นมาที่ห้อง บอกว่าจะเอาผ้ามาส่ง สะดวกมั้ย ผมก็โอเค มันปกติแหละ เพราะบางอย่างเท็นจังก็ให้ส่งซัก เช่นพวกเสื้อแพงๆ หรือผ้านวมผืนใหญ่ๆ ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิด ผ้าที่เค้าเอามาส่งมันผืนใหญ่มาก พับมาหลายทบและห่อพลาสติกอย่างดี แต่ผมคุ้นๆว่ามันเป็นผ้าปูที่นอนของผม พอแกะดูชื่อที่ปักไว้ มันก็ใช่จริงๆ

                แต่ว่า..ผมไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูมาเป็นสัปดาห์แล้ว เพราะอากาศเย็น ไม่มีเหงื่อ

                ถ้าจะซักผ้าปูที่นอนทั้งที มันควรต้องเปื้อนอะไรบางอย่างใช่มั้ย

                แล้วมันเปื้อนอะไรล่ะ?

     

                สาเหตุเดียวที่ผมพอนึกได้คือ..เรื่องในฝัน

               เป็นไปได้มั้ยว่า..มันไม่ใช่แค่ฝัน งงมั้ย เขียนเองยังงงเลย

     

                เมื่อเช้า ผมตื่นมาบนเตียงที่สะอาดเรียบร้อย เรียบแบบที่ว่า..ไม่มีทางที่จะผ่าน ‘อะไรแบบนั้น’ มาแน่นอน แต่ผมก็ลืมคิดไปนิดนึงว่าเตียงผมมันเรียบร้อยเกินไปหรือเปล่า และพอเริ่มคิดแบบนี้ไปแล้ว ผมก็กลับไปมองให้มันธรรมดาแบบเดิมไม่ได้อีกเลย

     

                ผมถามตัวเองว่าทำอะไรลงไปกันแน่

                ถ้ามันเป็นเรื่องจริง จะเอาไงดี

               

                บรรยากาศโต๊ะอาหารของเย็นวันนี้ก็เลยอึดอัดกว่าเมื่อเช้าประมาณสิบเท่า ผมแทบไม่กล้าคุยกับเท็นจัง ระหว่างเรามัน super awkward เลยก็ว่าได้ เค้าเองก็ดูเลี่ยงๆไม่ยอมอยู่กับผมสองต่อสอง ผมก็เลยต้องรอให้เด็กอนามัยอย่างมาร์คลีเค้าปิดไฟเข้านอนตอนสี่ทุ่ม แกล้งนั่งเงียบๆในห้องน้ำ รอให้เท็นจังเค้าออกมาอาบน้ำ (ที่จริงในห้องนอนเค้ามีห้องน้ำนะ แต่เค้าคงชอบอาบในอ่าง) อย่าหาว่าผมโรคจิตเลย ผมมีทางเลือกอื่นซะที่ไหน

                รอไม่นาน เท็นจังในชุดคลุมอาบน้ำก็เดินเข้ามา แล้วก็ล็อคประตู จังหวะที่กำลังจะล้างหน้า เค้าก็ตกใจที่เห็นภาพสะท้อนในกระจก

                “หนูทำไมไม่ล็อคประตู เดี๋ยวพี่ออกไปก่อนแล้วกัน” เค้าคงเข้าใจว่าผมเข้ามาอาบน้ำ แต่พอผมเดินเข้ามากอด เท็นจังคงรู้แล้วว่าไม่ใช่

                “เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ผมกระซิบแล้วกอดเค้าแน่นกว่าเดิม ถ้าเป็นเมื่อก่อนหัวใจผมคงเต้นเร็ว แต่สถานการณ์มันต่างออกไป ผมว่าหัวใจเต้นช้าลงด้วยซ้ำ เคยมั้ยที่อยากถามอะไรแต่ตัวเองก็กลัวคำตอบเหมือนกัน

                “ไว้คุยทีหลัง เดี๋ยวมาร์คได้ยิน” เท็นจังไม่รู้บ้างเลยหรือไงว่าผมต้องรวบรวมความกล้าอยู่กี่ชั่วโมง มันไม่ง่ายเลยนะ สำหรับคนอย่างผมน่ะ

                “มาร์คนอนแล้ว แต่ถ้าเท็นจังห่วงเรื่องนั้นมาก ก็รีบตอบคำถามดีกว่า”

                “ถามมา..” เท็นจังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมไม่อยากให้เค้าเป็นแบบนี้ แต่จะให้แกล้งทำเฉยได้ยังไง

                เอาเข้าจริงผมก็อึ้งไปนาน อยู่ๆในหัวมันแบลงค์ไปเลยได้แต่กอดนิ่งๆอยู่แบบนั้นจนเท็นจังเร่งให้ถาม พอผมยังเงียบ เค้าก็ทำท่าจะแกะมือผมออก   

     

                "Do you have any tattoos?" 

     

                ผมจำได้ว่ารีบพูดออกไปเพราะไม่อยากให้เท็นจังหงุดหงิด รีบมากสมองเปลี่ยนภาษาไม่ทัน และคำถามนั้นก็ทำให้คนที่ผมกอดอยู่กลายเป็นฝ่ายนิ่งเงียบไป ไม่รู้สิ ถ้ามันจริง เค้าอาจเป็นฝ่ายที่รับไม่ได้ ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นหรือเปล่า

     

                ความเงียบของเท็นจัง ทำให้สมองผมปั่นป่วน

                เมื่อเค้าไม่ยอมพูด ผมเลยต้องหาคำตอบให้ตัวเองด้วยการเอานิ้วเกี่ยวชายเสื้อคลุมอาบน้ำให้แหวกกว้างขึ้น

                รอยจูบจางๆบนหน้าอก..อาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนอาบน้ำด้วยกันก็ได้

                ผมเกือบลืมหายใจตอนค่อยๆเลื่อนมือลงช้าๆ จนถึงปมเชือกที่ผูกอยู่ต่ำกว่าเอว ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องปลดมันออก เพราะรอยสักที่ว่ามันติดตาผมเหลือเกิน เห็นแค่นิดเดียวก็รู้แล้วว่า..ใช่

     

                เจอแบบนี้เข้า สมองก็ทำงานหนัก ผมควรจะพูดอะไรล่ะ เห็นอยู่ชัดๆว่าเท็นจังไม่อยากให้ผมรู้ด้วยซ้ำว่าเคยเกิดอะไรขึ้น ถึงกับลงทุนทำไม่รู้ไม่ชี้ ทำเหมือนทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นขนาดนั้น

     

                “เท็นจัง..อยากให้มันเป็นแค่ความฝันใช่มั้ย” ผมกอดเค้าแน่น ดิ้นยังไงก็ไม่ยอมปล่อย จนน้ำตาเค้าเปียกแก้ม ผมนิสัยไม่ดีเลย ทำไมกล้าทำเค้าร้องไห้  

                “เงียบทำไมล่ะ ก็บอกมาเลย ถ้าอยากให้เป็นแบบนั้นก็ได้นะ..ผมจะทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น” ผมเหมือนพูดอยู่กับรูปปั้นเพราะถามยังไงเค้าก็ไม่ยอมตอบอยู่ดี สุดท้ายผมก็ยอมแพ้ ยอมปล่อยเค้าออกจากอ้อมกอด อย่างน้อยผมก็ได้เช็ดน้ำตาออกให้ แค่นั้น แล้วผมก็ตัดสินใจจะเดินออกจากห้องน้ำ

                           

                “เดี๋ยว”

                ผมได้ยินเสียงเท็นจังดังอยู่ข้างหลังก่อนที่มือผมจะเอื้อมถึงประตู ผมคิดว่าบางทีการปฏิเสธแบบไม่ต้องสบตากันมันอาจง่ายสำหรับเค้ามากกว่า

     

                “ที่บอกว่า..จะมีแค่พี่คนเดียว..พูดจริงหรือเปล่า”

                “ในฝัน ใครเค้าโกหกกันล่ะ” อยากตบปากตัวเองชะมัด ทำไมยังกล้าพูดจาไม่ดีอีก

                “แล้วแทยงล่ะ...อยากให้มันเป็นแบบไหน ความฝันหรือความจริง”

                “เท็นจังให้ผมเลือกเหรอ” ผมรีบหันหน้ากลับไปถาม สิ่งที่ได้มากลับไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นจูบหวานๆ แล้วเท็นจังก็เดินออกจากห้องน้ำไปดื้อๆ ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่ตั้งนาน

     

                หลังจากออกจากห้องน้ำ ผมก็มานั่งบื้ออยู่ตรงนี้ต่อ

                นั่งเขียนไดอารี่ให้ตัวเองอ่านไง

               

                เท็นจังให้ผมเลือกเองได้จริงหรือเปล่า ถ้าผมขอเป็นมากกว่าน้อง เค้าจะตอบตกลงใช่มั้ย

     

                จูบนั้น ควรหมายความว่ายังไง

          Can I take it as a yes?





    [ กลับไปอ่านต่อ ]

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in