เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I<Ethiopia>U : มี<เอธิโอเปีย>ระหว่างเราArmmie Born TobeBrave
บทที่ 19 < ก่อนถึงนรก >
  • “หมู่บ้านสุดท้ายของมนุษย์ ก่อนถึงนรก”


    คำนี้ยังสะท้อนก้องอยู่ในหัวของดิฉัน

    ใช่เลยล่ะ

    ใครเค้าจะอยากมาอยู่ที่นี่กัน ถ้าเลือกได้  บนหินลาวา และอากาศที่ร้อนละลายอย่างนี้

    แถมกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ ต้องผ่านถนนนวดขรุขระ พายุทราย ทอนาโด ทะเลทรายเวิ้งว้าง ลานลาวาสีดำอันร้อนจัด 

    ถ้าจะต้องออกไปล่ะ ไม่อยากคิดภาพตามเลยว่าต้องเตรียมตัว หรือใช้เวลากี่วัน

    เวลาเจ็บป่วยจะไปหาหมอที่ไหน เวลาอยากจะซื้อของใช้จำเป็นอย่างผ้าอนามัย นี่ทำยังไง

    คนที่มาอยู่ที่นี่คนแรก ถูกนกคาบมาทิ้งไว้ตอนเป็นทารกรึยังไงนะ

    ถึงได้มาสร้างหมู่บ้านไว้ห่างไกลจากโลกมนุษย์ แล้วใกล้กับนรกมากขนาดนี้

    และคนที่นี่เค้าทำมาหากินอะไร เลี้ยงสัตว์เหรอ ปลูกพืชเหรอ ทำไร่เหรอ 

    นึกภาพไม่ออกจริงๆ เลยว่า

    มันมีหมู่บ้านตรงนี้ได้ยังไงกัน 


    แต่นั่นแหละค่ะ 

    เชื่อเลยทีเดียวว่ามนุษย์สามารถอยู่ทุกที่ 

    แม้จะแทบเป็นไปไม่ได้เลย

    แต่หมู่บ้านเล็กๆนั้น ก็ยืนยันความเชื่อนั้นได้ดี

    มันไม่ใช่หมู่บ้านที่เซตขึ้นมาเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว

    แต่มันเป็นหมู่บ้านจริง มีคนจริงๆอยู่ และมีกิจกรรมจริงๆ 



    ไม่ปฏิเสธว่าหมู่บ้านนี้ปรับตัว เมื่อมีการท่องเที่ยวเข้ามา

    แต่หมู่บ้านนี้ยังมีภาพของแม่ที่ให้นมลูก 

    คนแก่ๆต้อนฝูงแพะเลี้ยงเข้าคอก

    หรือคนที่นั่งพักผ่อนอย่างสบายอารมณ์ข้างในกระท่อม ที่มีเครื่องมือเครื่องใช้ประจำวันแขวนอยู่เต็ม


    ดิฉันแค่สงสัยเบาๆว่า เวลาเค้าเจอนักท่องเที่ยวมาแวะพักที่นี่บ่อยๆ

    เค้ามีความคิดไหมนะ ว่าโลกข้างนอกนั้นเป็นอย่างไร

    มีเด็กที่นี่สักคนไหมนะ ที่แอบมีความหวังความฝัน ที่จะเดินทางออกจากหมู่บ้านนี้ ไปมีชีวิตโลดแล่นในต่างเมือง หรือแม้แต่ต่างประเทศ

    ความรักของคนที่นี่จะเป็นยังไงนะ ในเมื่อหมู่บ้านมีคนเพียงไม่กี่คน เค้าจะมีความรักแบบไหน และแต่งงานกันเพราะอะไร 

    โอ๊ยแค่คิดก็เริ่มปวดหัวค่ะ ดิฉันตอบคำถามหลายคำถามไม่ได้ เพราะคำถามแรกที่ใหญ่ที่สุดที่ว่า

    “ มีคนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” ดิฉันยังตอบไม่ค่อยได้เลย 



    Dodom


    หมู่บ้านเล็กๆ ที่ประกอบขึ้นจากกระท่อมเล็กหลายๆหลัง 

    กระท่อมถูกสร้างขึ้นจากหินภูเขาไฟที่ตัดเป็นก้อนก่อขึ้นเรียงกัน เป็นอาคารหินรูปวงกลม มุงด้วยกิ่งไม้และฟางแห้งๆ 




    กระท่อมส่วนใหญ่ว่างเปล่า 

    บางกระท่อมมีคนอยู่ ซึ่งกระท่อมเหล่านั้นจะมีเครื่อมือ และเครื่องนอน ห้อยอยู่เต็ม

    บางกระท่อมจะมีกองไฟเล็กๆ ที่ทิ้งถ่านและขี้เถ้า ที่เหมือนจุดเอาไว้เมื่อคืน 

    บางจุดมีคอกไม้ที่ทำหยาบๆ ซึ่งน่าจะเป็นที่อยู่ของแพะ ที่คนที่นี่น่าจะเลี้ยงไว้กินเนื้อหรือเอานม  

    และตอนนี้มันคงออกไปหาใบไม้กินอยู่ เย็นๆคงกลับเข้ามา 

    ดิฉันลองเข้าไปอยู่ในกระท่อมว่างๆกระท่อมหนึ่ง เพราะหวังที่จะเย็นขึ้นบ้าง ถ้าอยู่ในร่ม

    แต่ผลปรากฏว่า มันเหมือนเตาอบอับๆ ที่ร้อนและอึดอัดกว่าข้างนอกมาก 

    ดิฉันเลยตัดสินใจไปนั่งในรถ ที่ตอนนี้ดับเครื่องและเปิดประตูค้างไว้

    มันเย็นกว่ากันเยอะเลยค่ะ

    ทากะซัง และเจ๊เจน ก็อยู่ที่นั่น  

     “47 องศา”  เจ๊เจนพูดขึ้นทันทีที่เห็นดิฉันกลับมาจากการออกไปเดินข้างนอก ฉันตีความความหมายได้ว่า

     “กลับมานั่งในรถด้วยกันเถอะ ออกไปมีแต่ตายกับตาย”




    แต่ยังไม่ทันอุ่นตูดดี 

    Mr.T ก็ให้เราทั้งสามลงจากรถ เพราะเขาต้องเตรียมจัดของขึ้นอูฐสำหรับคืนนี้

    เราทั้งสามจึงไปอาศัยหลบเงาของกระท่อมด้านที่ตรงข้ามกับแสงอาทิตย์

    พอดิฉันบอกทุกคนว่าในกระท่อมมันร้อนกว่าอยู่ข้างนอก

    ทุกคนก็เชื่อแต่โดยดี

    จึงพากันเอาเสื่อไปปู และนอนร้อนข้างนอกด้วยกันโดยไม่พูดอะไร


    ทนอยู่กับสภาวะเงียบอึดอัดอยู่สักพัก

    ทากะซังกับเจ๊เจนก็ชวนดิฉันคุยถึงประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา 

    เริ่มต้นด้วยคำถามง่ายๆ ว่า “คุณไปมาแล้วกี่ประเทศ”

    ดิฉันผู้ที่น่าจะน้อยสุด ชิงตอบก่อน ว่า “15”

    เจ๊เจน ตอบมาแทบจะทันทีว่า  “50” 

    ดิฉันฮูวววว กับจำนวนที่เจ๊เจนบอก  แล้วเราทั้งคู่หันไปหาทากะซัง  ดิฉันคาดหวังว่าทากะซังน่าจะเอาชนะเจ๊เจนได้

    “ทากะซังแล้วคุณล่ะ”

    ทากะซังเงียบ ทำหน้าเหมือนกำลังตีโจทย์ตรีโกณมิติ ก่อนจะเอ่ยว่า

    “ผมไม่รู้ มันเยอะมากจนผมไม่เคยนับเลย” 

    ดิฉันกับเจ๊เจนอึ้งกับคำตอบเล็กน้อย

    ด้วยคาดหวังว่ามันอาจจะเป็นตัวเลขอย่าง 60 หรือ 100


    ทากะซังเล่าว่า เขาไม่เคยนับว่าไปที่ไหนมาแล้วบ้าง เขาสนใจแค่จุดประสงค์ในการเดินทางแต่ละทริป

    อย่างการมาเอธิโอเปียครั้งนี้ เขาแค่อยากมาเห็นทะเลสาป Dallo

    เขาอยากจะถ่ายรูป  Big 5 ให้ครบในซาฟารี เขาเลยไปแทนซาเนีย

    เขาอยากจะเห็นวิวสวยๆ ขอสะพานโกลเด้นเกท เขาก็ไป LA

    เขาอยากถ่ายรูปสะท้อนเงาตัวเองของทะเลสาปติติกากา เขาก็ไปโบลิเวีย

    เขาอยากจะขี่ช้างและกินผัดไท เขาก็จะไปไทยแลนด์

    เขาอยากจะเห็นภูเขาไฟโบรโม่ เขาก็ไปอินโดนิเซีย


    เขาจะเริ่มจากจุดประสงค์ของทริปก่อน แล้วค่อยหาว่าจะไปยังไง ไปแบบไหน ต้องทำอะไรบ้าง

    เขาแค่มุ่งไปให้ถึงจุดประสงค์เขา แล้วที่เหลือระหว่างในประเทศนั้นๆเขาก็ถือว่าเป็นกำไร 

    เขาเลยไม่เที่ยวอย่างเราๆ ที่แบบวงประเทศ วงเมือง แล้วไปตาจุด Check point แลนด์มาร์คสำคัญๆ ทั้งที่ความจริงอาจจะไม่ได้อยากไปทุกๆที่


    เจ๊เจนถามเขาว่า  “แล้วคุณไปที่ไหนมาแล้วบ้าง”

     ทากะซังยิ้มอายๆ แล้วตอบกลับมาอย่างเท่ห์ๆว่า “คุณพูดชื่อมาดีกว่า แล้วถ้ามีที่ไหนที่ไม่เคยไปผมจะบอก”


    ดิฉันและเจ๊เจน ไล่ไปในทุกชื่อที่คิดออก ทากะซังก็พยักหน้าไปเรื่อยๆ

    เรียกได้ว่าค่อนโลก ก่อนเค้าจะจบที่......

    “โอเค ผมไม่เคยไป ลาว นอกนั้นเคยไปหมดแล้ว”

    ฉันค่อนข้างทึ่ง จนต้องถามคำถามที่ดิฉันอยากรู้ที่สุด

    “คุณเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ”


    ทากะซังหัวเราะ

    เขาเล่าขยายความถึงชีวิตของเขา

    จากตอนที่แนะนำตัวในวันแรกว่า 

    เขาน่ะทำงานเป็นที่ปรึกษาการเงินให้บริษัทแห่งหนึ่ง

    ในใจเขานั้น ชอบถ่ายรูป และชอบที่จะเดินทางไปที่ต่างๆ เพื่อได้ทำในสิ่งที่เขารัก

    เขามีลิสต์ไว้มากมายว่า ในชีวิตนี้เขานั้นอยากจะถ่ายรูปอะไรในโลกนี้บ้าง 


    แต่สังคมญี่ปุ่นนั้น ค่อนข้างจริงจังกับการทำงานเอามากๆ

    ในฐานะมนุษย์เงินเดือนชนชั้นกลางในญี่ปุ่น ที่ทำงานอย่างหนักเต็มเวลา ถึงล่วงเลาดึกดื่น

    เขาจะดูแย่ทันที ถ้าสมมติว่าลาบ่อยๆถ้าออกไปเที่ยว แล้วไปถ่ายรูปในแบบที่เขาชอบ

    ทุกคนจะมองว่าเขาไม่จริงจังกับการทำงาน เป็นคนที่ไม่เอาถ่านในบรรทัดฐานของสังคมการทำงานญี่ปุ่น

    ยิ่งในประเทศที่มีคนทำงานในบริษัทตั้งแต่วันแรกจนหลังเกษียณแล้วก็ยังไม่ยอมหยุดทำงาน

    การลาออก ถือเป็นตราบาปชิ้นใหญ่ และแสดงการไม่เคารพต่อบริษัทเลยทีเดียว


    ในตอนนั้น ทากะซังวัยหนุ่ม

    เขาเคยท้อว่า ชีวิตที่เขาอยากทำ กับชีวิตที่เขาต้องทำนั้น มันช่างไม่มีทางที่จะไปด้วยกันได้เลย

    เขาเคยคิดถึงขั้นว่า จะเอากล้องและเลนส์ที่เขามีไปขายให้หมด

    เพื่อจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความฝันที่เป็นไปไม่ได้ และรบกวนต่อชีวิตการทำงานของเขา

    ในโมงยามแห่งความสิ้นหวัง ที่อีกนิดเดียวเขาจะทิ้งความฝันของตัวเองไปทั้งหมดสิ้นแล้ว

    ทากะซังก็ขอต่อสู้เพื่อความฝันของเขาเป็นครั้งสุดท้าย

    เขาเดินเข้าไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าเขา 

    ขอในสิ่งที่คนในบริษัทนั้นไม่เคยขอมาก่อน

    เขาบอกว่า เขาจำคำพูดในวันนั้นได้ดี


    “ผมขอทำงานทุกอย่าง แบบไม่มีวันลา จะให้ผมทำล่วงเวลา ก็ได้  ให้ผมทำงานในวันหยุดก็ได้ ทำงานแทนคนอื่นก็ได้ ผมขอเวลาสามปี จากนั้น ผมขอลาหยุดหนึ่งปีเต็ม โดยไม่ใช่การลาออก”


    เจ๊เจนนิเฟอร์และดิฉันเงียบไปสักพัก เพราะนับถือในความกล้า 

    ดิฉันถามต่อว่า 

    “ถ้าวันนั้นเจ้านายคุณไม่ให้ล่ะ”

    “ผมยอมรับว่าผมไม่มีแผนสำหรับเรื่องนั้นเลย ไม่รู้สิ ผมอาจจะลาออกในแบบที่ทุกคนรอบข้างคงตราหน้าว่าผมขี้แพ้ หรือทนทำงานไปและทิ้งความฝันทั้งหมด อาจจะทำงานไปจนเกษียณ แล้วตายไปให้ทุกคนชื่นชม แต่โชคดีที่คำตอบวันนั้นคือ Yes..”


    ทากะซังเล่าต่อว่า 

    หลังจากนั้นชีวิตเขาก็ไม่ได้นัก สามปีนั้นหัวหน้าของเขาก็จัดเขาเต็มที่แบบสุดๆจริงๆ

    เขาไม่เคยได้ลาเลย และบางวันหยุดเขาก็ต้องไปทำงาน 

    ทำงานจนถึงดึกดื่น ไม่มีเวลาที่จะได้นึกถึงเรื่องอื่น แม้แต่เรื่องความฝันเลย

    ตำแหน่งเขาพุ่งขึ้นเรื่อยๆตามผลงาน ได้รับงานวัล และเงินตอบแทนมากมาย

    เขามีความสุขกับการทำงานมาก

    จนตอนนั้นเขารู้สึกว่าเขาอาจจะลืมความฝันของตัวเองไปจริงๆเสียแล้ว


    และเมื่อครบกำหนดเวลาสามปี

    หัวหน้าถามเขาอีกครั้งว่า “จะยังยืนยันที่ลาหนึ่งปีอยู่ไหม”

    ตอนนั้นเองที่เขาก็ชั่งใจ ทุกอย่างกำลังไปได้สวยในเรื่องของการทำงาน เขามีแนวโน้มที่จะเป็นใหญ่เป็นโตในบริษัทแน่ๆ ถ้าอยู่ทำมันต่อ โอกาสมากมายที่จะก้าวหน้า รอให้เข้าไปรับมันอยู่ นั่นหมายถึงความมั่นคง เงินทอง และความเคารพนับถือที่เขาจะได้รับอีกมาก 


    ชั่วขณะนั้นเองที่เขาต้องตัดสินใจเลือกอีกครั้ง

    และเขาก็เลือก “ความฝัน”

    เขาให้เหตุผลว่า เขาไม่อยากมีความรู้สึกไม่ซื้อสัตย์ต่อตัวเอง

    เขาไม่อยากเสียดายสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ ตอนแก่ตัวไม่มีแรงทำ

    เขาไม่อยากทรยศกับอาจารย์คนแรกที่สอนเขาถ่ายรูป แล้วเขาบอกกับอาจารย์ว่าจะออกไปถ่ายรูปทั่วโลก

    และสุดท้าย เขาแค่อยากออกไปเห็นโลกกว้าง


    เขาลาที่ทำงาน 

    แน่นอนว่ามีคนไม่เห็นด้วยกับเขามากมาย

    แต่เขาเชื่อในความฝันของตัวเอง


    เงินจากการทำงานไม่ได้พัก และรางวัลต่างๆมันก็มากโขอยู่

    กับการหาโอกาสเพิ่มอีกนิดหน่อย ตามที่ความสามารถเขาเอื้อมถึง

    เขาได้งานเขียนคอลลัมส์ท่องเที่ยวในนิตยสาร 

    ทำให้ได้เงินประจำจำนวนนึงเอาไว้เป็นค่ากิน


    ไม่รอช้า เขาก็วงรูปสถานที่ ที่เขาอยากถ่ายบนแผนที่ทั้งโลก

    จากอเมริกาเหนือไปอเมริกาใต้ จากแสงเหนือไปจนถึงแอนตาร์คติกา จากมหานครในยุโรปไปจนถึงเกาะป่าเถื่อนล่ามนุษย์กลางมหาสมุทธอินเดีย จากเอเชียไปถึงแอฟริกา จากทะเลทรายไปหิมะ จากสัตว์ป่าดิบชื้นไปถึงสัตว์ป่าซาฟารี จากคงคามหานทีไปจนถึงลุ่มน้ำอะเมซอน 

    วางแผนการเงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่ อย่างรัดกุม

    แล้วร่างแผน จองตั๋ว ติดต่อ เตรียมตัว ซื้ออุปกรณ์ บอกลาแฟน

    ทำทุกอย่างที่ควรทำก่อนออกเดินทาง


    นอกจากนี้ เขายังพกโน้ตบุค ออกเอาไปทำงานเป็น bloger ท่องเที่ยว

    และแต่งรูปที่เขาถ่ายมาจากที่ต่างๆ ส่งขายทางออนไลน์อยู่ตลอดเวลา

    ทำให้เขาสามารถทำงานและมีรายได้เข้ามาตลอดการเดินทาง


    เขาบอกว่า ข่วงหลังๆ งาน bloger  และงานขายรูป ทำให้เข้าไม่ต้องใช้เงินที่เก็บมาจากการทำงานเลย

    พอเป็นไปได้นะ ถ้าเขาจะลาออกแล้ว ท่องโลกไปเรื่อยๆ ก็มีเงินพอสำหรับค่าเดินทาง และค่ากินอยู่ไม่ได้เดือดร้อนอะไร

    ที่ผ่านมาระหว่าง เขาได้เจอคนที่ทำแบบนั้นหลายคน

    ที่เดินทางไปเรื่อยๆ แต่ก็มีเงินจากหลายทาง แถมยังไม่ลำบากด้วย

    คนเหล่านั้นบอกว่า โลกใบนี้คือบ้าน จะทำงาน จะอยู่หรือใช้ชีวิตยังไงก็ได้ ยังไงที่นี่ก็คือบ้าน

    เขาเองก็เริ่มจะมีความเชื่ออย่างนั้นแล้ว เขาเลยไม่เคยนับประเทศที่เขาผ่านมา 

    มันไม่มีขอบเขตประเทศที่แท้จริงหรอก ถ้าเราเดินทางมากพอ เพราะเขาไม่เคยออกจากบ้านของเขาเลย


    “โลกนี้คือบ้าน”  

    ฉันมองทากะซังด้วยความทึ่งปนนับถือ

    เราต้องเดินทางบ่อยแค่ไหนถึง จะมีความรู้สึกอย่างนี้นะ


     “แต่เดือนนี้เป็นเดือนสุดท้ายของผมแล้ว”

    ทากะซังเล่าเพิ่ม ท่าทางของเขาไม่ได้ดูเสียดายหรือปลงตกอะไรเลย

    แต่กลับรู้สึกดูเต็มเปี่ยม และพร้อมรับมือกับอนาคต


    เขาบอกว่า เขาหลังจากเอธิโอเปีย เขาจะไปสเปน แล้วก็อินเดีย แล้วกลับไปทำงาน

    ทุกวันนี้เขาถูกอีเมลเรียกตัวกลับไปทำงานทุกๆเดือน เพราะงานบางอย่างต้องการเขาเท่านั้นที่จะทำมันได้

    เขาบอกว่าเขาคงกลับไปทำงานสักหกเดือน เพื่อสะสางเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างที่เขาหายไป

    แล้วจากนั้นเขาก็จะลาออก


     “ห๊ะ อะไรนะ ลาออกเหรอ” เจ๊เจนกลับมามีซีน หลังพวกเราจมดิ่งไปกับเรื่องราวของทากะซัง

    “ใช่ครับผมจะลาออก”ทากะซังยืนยันหนักแน่น

    เขาให้เหตุผลว่า ไอ้ความรู้สึกว่า “โลกนี้คือบ้าน” มันเติบโตและแข็งแรงในใจเขามากทีเดียวระหว่างปีนึงนี้

    ความฝันของเขาแข็งแกร่งจนรู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร และทำอะไรได้ดีที่สุดกับตัวเอง

    เขาบอกว่า เขาจะท่องโลกไปเรื่อยๆก็ได้ และทำในสิ่งที่เขารัก

    แต่ที่ต้องกลับไปเพราะคนรักของเขารออยู่ 

    คนๆนั้น อยู่กับเขามาตั้งแต่ต้น อดทนต่อการไม่มีเวลาให้ตอนทำงานหนักตลอดสามปี

    แถมยังสนับสนุนเขาทุกอย่าง ตอนที่เขาออกเดินทางหนึ่งปีนี้

    แม้ความฝันของเขาจะสำคัญแค่ไหน แต่การทิ้งความรัก ก็คงจะไม่ใช่ทางของเขาเช่นกัน

    สำหรับเขา ความฝันและความรัก มันสำคัญพอๆกัน

    เขาจะต้องกลับไปแต่งงาน มีครอบครัว 




    เขาคิดไว้แล้วว่า เขาจะลาออก แม้มันจะผิดขนบของคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่

    เขาตั้งใจจะเปิดโรงเรียนสอนถ่ายภาพ และทำงานถ่ายภาพอย่างเดียวเท่านั้น 

    เพราะนี่คือสิ่งที่เขาเกิดมาเพื่อมันจริงๆ


    ฟังจบดิฉันและเจ๊เจนอยากจะลุกขึ้ยยืนและปรบมือให้กับทากะซังซะเหลือเกิน


    ถึงตอนนั้น

    เราก็คุยกันนิดหน่อยเกี่ยวกับชีวิตของดิฉันและเจ๊เจน

    เจ๊เจนถามทากะซังเยอะมากทีเดียวเกี่ยวกับเรื่องปีนคิริมานจาโร ที่เจ๊เจนกำลังจะไปหลังจบทริปนี้

    จากนั้นเจ๊เจนก็ขอตัว งีบ


    ดิฉันกับทากะซังเลยได้คุยกันต่อเล็กๆน้อยๆ

    เขาถามฉันว่า นี่กล้องตัวแรกของคุณใช่ไหม

    แล้วเขาก็ขอดูรูปในกล้องดิฉันว่า เป็นยังไงบ้าง

    ดิฉันอาย และถ่อมตัวว่า ดิฉันถ่ายรูปไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่หรอก

    อาศัยโหมด Auto ที่มากับกล้องถ่ายเอา

    ทากะซังทำหน้าเจ็บปวดเมื่อได้ยินคำว่า Auto

    เขาอาสา ที่จะสอนฉันถ่ายรูปในโหมดต่างๆแบบง่ายๆ

    ซึ่งมันก็ง่ายจริงๆ เพราะเขาสอนโดยใช้วิธี ถ่ายรูปต่างๆ ที่ปรับค่าต่างกันให้ดูเป็นสิบรูป

    แล้วชี้ให้ฉันดูว่า แสงแบบนี้ ควรปรับแบบไหน

    แล้วเขาให้ฉันลองถ่ายดู

    หลายจังหวะทีเดียวที่ เขาจับมือฉันปรับ และยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เพื่อขอดูรูปที่ฉันถ่าย

    ความใกล้ชิดช่วงสั้นๆ ทำให้ดิฉันหัวใจเต้นรัว

    เราใช้เวลาทั้งบ่ายในวันนั้นในการเรียนถ่ายรูปแบบตัวต่อตัว

    เขาเป็นครูที่ดีจริงๆ

    ถ้าเปิดโรงเรียนคงจะไปได้ดีทีเดียว


    ตอนสุดท้ายเขาให้ดิฉันสัญญากับเขา

    ว่าชีวิตนี้ดิฉันจะไม่ถ่ายรูปด้วยโหมด  Auto อีกต่อไป

    ดิฉันยิ้มเล็กๆ

    แล้วตอบไปว่า

    “ได้เลย ฉันสัญญา ทากะเซนเซ”

    เขาเขิลอายเล็กๆ กับคำว่า เซนเซ










    ปล.มีแฟนแล้วก็ไม่บอก หงุดหงิด

    ......................




    อ่านบทก่อนหน้า บทที่ 18 < เดินทางสู่ปากนรก>


    อ่านบทต่อไป บทที่ 20 < สู่ปากปล่องประตูนรก>


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
ทำไมเราเพิ่งจะมาเห็นบทความนี้นะ ขอบคุณนะคะ อ่านไปยิ้มไป ❤️ คุณโชคดีมากค่ะที่เจอทากะซัง