เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I<Ethiopia>U : มี<เอธิโอเปีย>ระหว่างเราArmmie Born TobeBrave
บทที่ 15 <บ่อประทินผิวและงานเกลือ>
  • หลังจากลงมาจาก Dollo  ซึ่งดิฉันไปหาที่ทางจัดการกับธุระลำไส้จนเสร็จ(ก็โขดหินแถวรถนั่นแหละ)

    คนรถพาเราขับออกไปสู่ทะเลทรายที่เวิ้งว้าง

    อุณหภูมิตอนเริ่มสายนั้น เริ่มทะลุใกล้ขึ้นหลักสี่  ทุกนาที(อัพเดตโดยเจ๊เจนนิเฟอร์)

    รถพาเรามาจอดกลางบ่อน้ำขนาดใหญ่บ่อหนึ่ง

    กลางทะเลทรายที่ร้อนจัด กลับมีแหล่งน้ำผุดเหมือนโอเอซิส




    เมื่อลงไปดูก็พบว่า ถึงจะเป็นโอเอซิส มันก็เป็นโอเอซิสแห่งความตาย

    น้ำในบ่อ (หรือบึงนั้น) เป็นสีแดงสนิม น่ากลัว 

    ฟองน้ำที่เดือดผุดๆ สื่อว่า ข้างล่างบึงนั่นมีความร้อน คุกรุ่นอยู่

    กลิ่นกำมะถันเตะจมูกแรง ซะจนคิดว่า ประสาทรับกลิ่น คงเสียไปหมดแล้ว


    เจ๊เจนนิเฟอร์ยืนกรานที่จะไม่เอาตัวเองออกมาย่างกับแดดตอนสายแน่ๆ

    สั่งMr.T ให้สตาร์ทเครื่องรอไว้ และเปิดแอร์รถยนต์ให้พัดลมเป่าแรงสุด

    ทากะซังถือกล้องตัวเก่งลงรถไปอย่างไม่พูดอะไร 

    Mr.T หน้าเอือมมเต็มที่เดินดุ่ยๆ ไปที่บึง แลัว.....



    ดิฉันแทบร้องกรี๊ดดดดดดดดดด ออกมา ตอนที่เห็นMr.T จุ่มแขนตัวเองลงไปในน้ำสนิมเดือดปุดๆนั่น

    เค้าจะต้มแขนตัวเองประชดเจ๊เจนนิเฟอร์รึไง 

    ท่าทีของเค้าไม่แสดงว่าระคายผิวเลยสักนิด เหมือนคนทรงตามงานวัดที่เอามือจุ่มลงไปในกระทะน้ำมันเดือดๆ

    แต่คนทรงเค้าจุ่มแปปเดียว

    คนรถฉันนี่สิ แกว่งมือในน้ำเดือดนั่น เหมือนเด็กเล่นน้ำคลอง


    ยังไม่ทันได้ตั้งสติดี

    Mr.T ก็กวักมือเรียกดิฉันเค้าไปหา

    “จุ่มลงไปสิ ไม่ร้อนหรอก”

    ดิฉันกล้าๆ กลัวๆ ประเมินความปลอดภัยของบ่อน้ำเดือดปุดๆนั่น

    ไม่ทันไร คนรถ คันอื่นๆ ก็ลงมาจุ่มมือลงน้ำสมทบ

    ทุกคนไม่มีท่าทีร้อน บางคนถึงกับเอาน้ำในบึงเดือดนั่น มาลูบไล้ตามแขน ตามคอด้วย


    ดิฉันลองสังเกตดีๆ

    ผิวน้ำสนิมนั้น ฉาบด้วยชั้นของน้ำมัน สะท้อนแสงบางๆ

    แล้วก็ลองเอานิ้มจุ่มดู พบว่า มันเหมือนน้ำอุ่นๆ ความร้อนแค่ระดับ เหมือนใครสักคนกอดเราตอนหน้าหนาว

    ดิฉันลองเอาแขนจุ่มลงไป พบว่ามันรู้สึกดีกว่าที่คิด 

    องค์ประกอบของน้ำมันผสมกันจนเป็นสิ่งพิเศษ ที่ทำให้เดือดได้ในอุณหภูมิต่ำ 

    และเกิดเป็นไออุ่นๆแน่นๆ เผื่อแผ่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่สัมผัสมัน


    ดิฉันดึงแขนขึ้นมา พบว่า มันทิ้งความมันวาว เคลือบไว้บนผิว

    แต่มันไม่เหนียว แค่ๆ มันๆ ความรู้สึกเหมือนตอนหน้ามัน 

    Mr.T เล่าให้ฉันฟังว่า

    น้ำในบึงนี่ เป็นเคล็ดลับ การดูแลผิวของคนเผ่า Afar ที่อยู่ละแวกนี้

    ซึ่งดิฉันก็เพิ่งสังเกตุว่า ทุกคนพยายามวักน้ำในบึงนั่น มาทาผิวของตัวเองทุกส่วน

    และเขาเหล่านั้น ก็มีผิวเข้มที่เนียน แน่นสุขภาพดี แม้ต้องอาศัยอยู่ในสถานที่ที่แดดจ้าแรง


    แสบผิวรึ

    ดิฉันก็เพิ่งเริ่มสังเกตุอีกอย่าง ระหว่างที่ตากแดดอยู่นั้น 

    ดิฉันรู้สึกแสบผิวกับแดดเลขหลักสี่ มากๆ โดยเฉพาะที่เท้า เริ่มเกรียมแดด และค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล

    แต่แขนข้างที่ดิฉันจุ่มลงไปในบึง กลับไม่รู้สึกอะไรเลย 

    บึงสนิมเดือดนี่ อาจจะมีความลับของความเยาว์วัยที่ธรรมชาติซ่อนไว้จากมวลมนุษย์

    ชุ่มชื้นยิ่งกว่าเมือกหอยทาก คืนความสาวยิ่งว่าพิแอสตาแซนธิน เผยผิวที่งามสง่ายิ่งกว่าสารสกัดจากซีบัคธอร์นหิมาลัย หรือเมือกหนอนน้อยจากเกาหลี


    โอ้ตอนนั้นดิฉัน คิดไปถึงขั้นโมเดลธุรกิจเลยค่ะ

    ครีม จากแร่ธาตุสีแดง จากดินแดนนรกภูมิบนผิวโลก

    เผยความงามน่าสะพรึง จนนรกต้องยันกลับ

    นี่คิดถึงโฆษณา พรีเซนเตอร์  และการแตกไลน์น้ำหอม ด้วยแล้วนะคะ

    ดิฉันได้แต่ฝันกลางวัน แต่ไม่ทำอะไร

    ในขณะที่ Mr.T คนรถของฉัน เอาขวดน้ำขวดใหญ่ที่สุดในรถ เทน้ำที่เหลือออก

    และกรอกเอาน้ำในบึงไปจนเต็มขวด

    หันมายิ้มๆ แล้วบอกดิฉันว่า

    “ผมเอาไปฝากเมียที่ Makele  เมียทวงน้ำนี่ ทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน”

  • รถพาไปจอดอีกที่หนึ่งตอนสายแก่ๆ

    ฝูงอูฐจำนวนมากนอนขี้เกียจ เคี้ยวเอื้อง รอทำงานขนส่งของมันทีเดียว ที่เจ้านายของมันทำกิจกรรมเสร็จ

    ดิฉันมองออกไปจากรถเห็น กลุ่มคนจำนวนน้อยกว่าอูฐนิดนึง

    กำลังใช้เครื่องมือ เครื่องไม้ กระเทาะ แผ่นเกลือขาวๆออกจาก พื้นดิน ที่ร้อนระอุ



    อุณหภูมิตอนนั้น คือ 46 องศา

    แน่นอนว่าเจ๊เจน ไม่ยอมลงจากรถอีกเช่นเคย 

    ดิฉันและทากะซัง เดินตามที่ไกด์หน้าเหี้ยมไปที่ ชายชาว Afar ที่ใช้ไม้ขนาดใหญ่ กระทุ้งลงไปในดิน

    พอดินแยกเป็นร่อง ก็งัดไม้ขึ้นเป็นคาน เกลือแผ่นขาวใหญ่ ลอย แยกเป็นชั้นขึ้นมาในอากาศ

    เข้าจะใช้หวานคมๆ ตัดแผ่นนั้น ออกเป็นสี่เหลี่ยม ขนาดเท่าๆกัน

    แล้วส่งแผ่นนั้น ให้อีกคน เพื่อเล็มขอบให้เรียบ  เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมสมบูรณ์เท่ากับแผ่นอื่นๆ

    มัดรวมกันเป็นปึก ด้วยเชือก

    แล้วเอาไปขึ้นหลังอูฐ 


    ฉันถามพี่ไกด์หน้าเหี้ยมถึงค่าตอบแทนที่คนกลุ่มนี้ได้รับกับการมาทำงานกลางแดดร้อนนรกอย่างนี้

    อัตราราคาแผ่นเกลือ หนึ่งแผ่น

    ถ้าขายที่เจาะเกลือนี่เลย  ให้คนที่มีอูฐ จะได้แผ่นละ 5 birr

    ถ้าขนไปขายเองที่เมือง Hambala ที่โรงงานเกลือ (จะด้วยอูฐหรือแบกไปเอง) จะได้แผ่นละ 16 birr

    แต่ถ้าขยันกว่านั้น ขนแผ่นเกลือบนหลังอูฐ เดินเท้าไป 7 วัน ไปขายที่ Mekele จะได้แผ่นละประมาณ 100 Birr 


    โดยวิถีชีวิตของคนที่นี่เริ่มจาก

    ทุกเช้าตื่นขึ้นมาจากคืนที่ร้อนระอุ

    เดินออกจากหมู่บ้าน ตอนเช้ามืด  เป็นระยะทางราว 10-20 กิโลเมตร

    ไปที่แหล่งขุดเกลือ

    ทำงานกลางแดดอุณหภูมิแตะเลขหลัก 4  

    ออกแรงกาย อาบเหงื่อต่างน้ำ กระทุ้ง จาม ตัด มัด เกลือ วนไปเรื่อยๆ

    ในดินแดนที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยร้อนที่สุดในโลก

    คนเหล่านี้ต้องใช้พลังกาย พลังใจมากขนาดไหนกันนะ เพื่อแลกกับเกลือแผ่นละ 5Birr


    นี่มันงานในฝันชัดๆ

    ฝันร้ายนะ



    ————————————


    อ่านบทก่อนหน้า บทที่ 14 <จะถ่ายหรือจะตายที่นี่>


    อ่านบทต่อไป บทที่ 16  < เรื่องของ เจ๊ เจนนิเฟอร์> 


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in