เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I<Ethiopia>U : มี<เอธิโอเปีย>ระหว่างเราArmmie Born TobeBrave
บทที่ 13 <สระนรก Dollo >
  • “วันนี้เราจะไปไหนกันนะ”

     “ในใบเขียนว่า Dollo”

    “โอ้ นั่นเป็นเหตุการมาที่นี่ของผมเลย”


    ทากะซังเผย ระหว่างที่เรานั่งรถออกจากหมู่บ้านตอนเช้าตรู่  พุ่งตรงเข้าไปในทะเลทราย ดูเหมือนจะเป็นทิศทางเดิม แต่คราวนี้ดูมุ่งขึ้นไปทางทิศเหนือหน่อยๆ (เอาจริงๆก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าทางไหน เพราะทะเลทรายมันดูเหมือนกันไปหมด)

    รถวิ่งออกจากหมู่บ้าน มุ่งหน้าสู่ใจกลางทะเลทรายตั้งแต่ 6:45


    ดิฉันนึกย้อนเวลาไปเมื่อคืน

    คิดแล้วก็แปลกใจว่าผ่านเมื่อคืนมามีชีวิตอยู่ในรถได้ยังไงก็ไม่ทราบ

    ด้วยความร้อนระอุตลอดทั้งคืน

    ดิฉันถูกปลุกขึ้นตอนตีสี่ ด้วยความแห้งผากที่ลำคอ

    เหมือนว่าน้ำทั้งหมดในร่างกายจะถูกลมร้อนๆของทะเลทรายพัดเอาออกจากร่างไปจนหมด

    ฉากที่ดิฉันตื่นขึ้นมา คงเหมือนฉากในหนังมัมมี่ ที่ดิฉันนอนแห้งมาสี่พันปี แล้วตื่นขึ้นมาแบบไม่คิดว่าจะตื่น


    ดิฉันตะเกียกตะกาย กรอกน้ำอึกสุดท้ายลงคอ

    แต่มันไม่ได้ช่วยให้ความแห้งในลำคอลดลงเล้ย

    โกรธตัวเองด้วยนะคะ ว่าทำไมเมื่อคืนกระดกน้ำเปลือง จนไม่เหลือมาตอนเช้า

    ทำไมเป็นคนไม่เผื่อเหลือเผื่อขาดอะไรอย่างนี้

    หวังน้ำบ่อหน้า 

    และน้ำบ่อหน้าของดิฉันถูกเก็บอยู่ที่รถที่ดิฉันนั่ง


    ดิฉันปาขวดที่ไม่เหลือน้ำสักหยดทิ้ง

    ก่อนจะเดินตุปัดตุเป๋ ตรงพุ่งไปที่รถในความมืด

    บรรยากาศตอนตีสี่ตอนนั้นสงบเงียบ ไม่มีอะไรอะไรกระดิกแม้แต่เส้นผม

    ลมร้อนทะเลทรายที่เคยเป่าใส่ดิฉันจนหัวเหอกระเจิงเมื่อตอนหัวค่ำ

    มันคงหมดพลังไปแล้ว 

    ไม่มีอะไรกระดิกในคืนนั้นเลย นอกจากความเงียบ และแสงดาว

    ทุกคนหลับหมด 

    ไม่มีใครตื่น

    แม้แต่ Mr.T ที่นอนเฝ้ารถด้วย

    ดิฉันเปิดรถเอาน้ำไม่ได้ เลยเอาไฟฉายมือถือส่องหาMr.T เพื่อจะให้มาเปิดรถให้ แต่ก็ไม่เจอ

    น้ำลายอึกสุดท้ายผ่านคอลงไปช่างทรมาน

    กระหายเหลือเกิน

    ดิฉันส่องไฟไปเจอ คนรถอีกคันนอนอยู่แต่ไม่กล้าปลุก น่าจะเป็นคนรถของคันทามะซังและพี่พระเอกหนังโป๊

    ให้ตายสิ กระหายเหลือเกิน

    เคยดูหนังสารคดี ว่าคนเราอาจจะตายในทะเลทรายจากอาการขาดน้ำภายในไม่กี่ชั่วโมง

    มีทางเลือกสามทางที่ดิฉันคิดตอนนั้นคือ


    1.ไม่ปลุกใคร ทำตัวสงบเสงี่ยม ไม่รบกวนเวลานอนอันแสนสุข แล้วดื่มฉี่ตัวเองประทังชีวิต

    2.ปลุกพี่เค้าเสีย ถึงแม้ต้องคิดวิธีรับมือกับอารมณ์เสียหลังตื่นนอนของพี่เค้า ซึ่งไม่แน่ใจว่าพี่เค้าเป็นคนยังไง ความเป็นไปได้มีตั้งแต่ ดิฉันถูกเตะหลังหัก ไปจนถึง พี่เค้าลุกขึ้นมาปรนนิบัติพัดวีดิฉันราวเจ้าหญิง

    3. เห็นขวดน้ำที่นอนกลิ้งอยู่ที่พื้นนั่นไหม มันมีสองขวด มันคงเป็นของพี่เค้าถ้าดิฉันจะหยิบไปกระดกใส่คอสักครึ่งขวด คงไม่มีใครรู้  หยิบสิ หยิบมันขึ้นมา แล้วทุกคนจะมีความสุข หล่อนได้น้ำ พี่เค้าได้นอน แฮปปี้สุดๆ


    ดิฉันขอตัดทางเลือกแรกทิ้ง การดื่มฉี่ตัวเองไม่น่าจะใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก 

    ทางเลือกที่สองน่ะรึ ไม่แน่ใจว่าใครจะอยากตื่นขึ้นมาในอากาศร้อนแบบนี้ บางทีการนอนอาจจะเป็นวิธีลัดความทรมานนี้ไปให้เร็วที่สุด รีบนอน รีบตื่น รีบไปอยู่ในรถเย็นๆ รีบให้จบทริป รีบรับเงิน แล้วกลับไปนอนในอากาศเย็นๆ ที่  Mekele  ใครอยากจะตื่นมาเจอชีวิตจริงกลางทะเลทรายกัน

    ส่วนทางเลือกที่สาม หล่อนเป็นศาสนิกชนนะยะ จะขโมยเหรอ ศีลธรรมจรรยา หิริโอปตัปปะ ถึงแม้จะรู้ว่าน้ำนี้เป็นของทัวร์และมันอยู่ในหลังรถอยู่เต็มก็เถอะ  แต่การขโมย มันทำให้จิตวิญญาณของหล่อนต้องมัวหมอง จิตวิญญาณของหล่อนจะมีตะกอนดำๆ ตายไปจะได้ไปนรก


    ดิฉันจึงจับแขนและเรียกพี่คนรถที่ไม่รู้จัก

    “ you!!! You!!!! YOU!!!!!” 

    ไม่ตื่น

    คราวนี้จับแขนเขย่า

    ไม่ตื่นอีก 

    จนเขย่าครั้งสุดท้ายแรงๆ 

    ปรากฏว่าที่เค้าสะบัดแขนออกแบบละเมอ ดิฉันตกใจเบาๆ เพราะพี่เค้าสะบัดแรงมาก เหมือนจะฟาดคอดิฉัน

    ดูทรงแล้วไม่น่าจะดีนักและไม่มีทางเลือก 

    เอาล่ะ หนูขอดื่ม สองสามอึกนะพี่ขา ก้มเก็บเอาขวดน้ำของใครไม่รู้ ที่กองอยู่ที่พื้น มากระดกใส่คอ

    มันช่างดีเหลือเกิน จนไม่อาจหยุดแค่ สามอึก 

    รู้ตัวอีกทีคือหมดขวด พี่จ๋าน้องขอโทษ

    พี่ตื่นเช้าขึ้นมา ค่อยเปิดน้ำเอาในรถเนอะ  

    เอาเป็นว่า จิตวิญญาณของดิฉันนั้นมืดดำ ตายไปคงได้ไปนรก  แต่ตอนนั้นดิฉันยังไม่อยากตายนี่นา


    เหมือนกรรมจะตามทัน 

    ทันทีที่ดื่มน้ำ ท้องไส้ของดิฉันก็ทำงาน

    มีเข้าก็ต้องมีออก

    แต่กลางตีสี่มืดๆอย่างนั้น แสงไฟก็ไม่มี จะให้ไปทำธุระที่ไหน


    เห็นตอนกลางวันดิฉันเห็นใครต่อใคร ถือกระดาษ

    แล้วไปยองยอง กลางทะเลทรายไกลๆ

    แต่จะให้ฉันเดินไปไกลๆตอนตีสี่ ก็กลัว

    ไม่ได้กลัวผีนะคะ กลัวงูทะเลทราย หรืออะไรต่อมิอะไรที่ออกมาตอนกลางคืนแบบที่เคยเห็นในสารคดี

    กลัวงูทะเลทราย มันจะฉกงูดิฉัน


    ดิฉันเลยเดินไปที่บ่อขยะของเมือง ที่แรกที่ดิฉันคิดถึง

    แต่บ่อขยะมันใกล้กระท่อมหลังหนึ่งมากไป แถมมีคนกรนอยู่ในนั้นอีก

    เอาล่ะเดินต่อไป เอาให้ไกลจากกระท่อมมากที่สุด แต่ที่ไหนล่ะ กระท่อมมันมีอยู่เต็มไปหมด

    ไม่รู้ด้วยว่าในแต่ละกระท่อมมีคนนอนอยู่รึเปล่า

     เอาล่ะหาที่ใหม่ 

    เลือกตรงอยู่นาน ตรงนี้ก็ไม่ดี ตรงนี้ก็ใกล้เกิน เดี๋ยวมีคนได้กลิ่น

    ตรงนี้ก็ไม่ใช่ เดี๋ยวคนผ่านไปผ่านมามาเหยียบ  ตรงนี้เดี๋ยวมีคนตื่นมาเห็นตูดนวลๆ


    แต่ลำไล้ดิฉันคงรอความลำไยของดิฉันไม่ไหว 

    สุดท้ายที่ที่มันได้ออกคือไหล่ถนน

    ทำไมถึงต้องเป็นไหล่ถนนน่ะเหรอคะ

    ด้วยตรรกะตอนปวดท้องตอนนั้น

    บอกดิฉันว่า ไหล่ถนนอยู่ห่างจากกระท่อมกลิ่นไม่รบกวนคนอื่น

    ทุกคนก็เลือกสัญจรกันบนถนนกันทั้งนั้น ไม่มีใครเดินเลาะไหล่ถนน  ตัดปัญหาเรื่องคนมาเหยียบ

    และข้อสุดท้าย มันจะออกมาแล้วเดี๋ยวนั้น ถ้าไม่เอาที่ไหล่ถนน คงได้เปลี่ยนกางเกงใหม่แน่ๆ(ซึ่งกางเกงอยู่ในรถ)

    ฉะนี้ ไหล่ถนนจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

    แม้มันจะอยู่กลางหมู่บ้านก็ตาม (และไหล่ถนนไม่น่าจะมีงู)


    ดิฉันเปลือยท่อนล่างทำธุระ

    ในความมืด

    กลางทะเลทรายโล่งและแสงดาว

    ถ้าไม่นับอากาศร้อน นี่คงเป็นสถานที่ถ่ายที่สงบและสวยที่สุดที่นึง

    แต่หันไปมองข้างๆไม่ไกล

    ข้างๆไหล่ทางมีก้อนแข้งๆอยู่ก้อนหนึ่งข้างๆจุดของดิฉัน

    ทำให้รู้ว่า ไม่ต้องกลัวใครจะมาเห็นหลักฐานตอนเช้าหรอก

    แค่ออกมาสิบนาที หลักฐานคงโดนความร้อนอบจนแห้งกรอบเป็นคุกกี้ แข็งๆเรียบร้อยแล้ว

  • ตัดฉากกลับมาที่รถค่ะ

    ณ เวลา 6 โมงครึ่ง 

    ตอนนั้นก็ 37 องศาแล้ว (ไม่ต้องบอกนะคะว่าดิฉันรู้อุณหภูมิได้ยังไง)

    เค้าบอกว่า 

    ถ้าไปเดิน Dollo ตอนเช้าจะทรมานน้อยที่สุดจากความร้อน

    ถ้าสายกว่านี้ เราอาจจะตายคาทะเลทรายได้

    ซึ่งข้อนี้ดิฉันเห็นด้วยไม่อิดออด


    รถพาเรามาจอดที่เนินเขาเล็กๆลูกนึง

    ทางต่อไปคือพวกเราต้องเดินเท้าขึ้นไป

    ทุกคนถูกบังคับให้เปลี่ยนมาใส่รองเท้าผ้าใบ

    เพราะเค้าบอกว่าบางจุดอาจจะเป็นอันตรายต่อเท้าได้

    เจ๊เจนโกหกทุกคนว่า ไม่มีรองเท้าผ้าใบ ขอรออยู่ที่รถ

    แต่ทากะซังจับโป๊ะเจ๊เจนได้ ว่า  “ผมเห็นคุณใส่มาตั้งแต่วันแรก”

    เจ๊เจนเลยยอมลงจากรถ เพราะคนขับรถสำทับว่า จะไม่ยอมสตาร์ทเครื่องรอสองชั่วโมงเด็ดขาด 


    รถจอดให้เราเปลี่ยนรองเท้าก่อนไต่ขึ้นไปสู่เนินเขาข้างหน้า


    กรุ๊ปพี่พระเอกหนังโป๊ยังอยู่กับเรา

    ทามะซังก็ยังอยู่กับเรา

    เนินเขาเล็กๆและอากาศร้อนนั้นไม่ยากเท่าไหร่เลย 

    ดิฉันมีเคล็ดลับในการเดินเขา หรือ trekking สำหรับทุกๆทริป

    ง่ายมากคือ

    “log ผู้ชายคนนึงเป็นเป้าหมาย แล้วเดินตามหลังเค้าให้ทัน”

    แค่นี้ เขาไหน เนินไหน ดิฉันก็พิชิตได้หมดค่ะ 


    Dallol เคยถูกบันทึกว่าเป็นสถานที่ที่ร้อนที่สุดบนผืนโลก ที่มนุษย์อาศัยอยู่ (อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปี)

    สิ่งที่ทำให้มันโด่งดังไปทั่วโลก

    และเป็นจุดหมายหลักของทริปนี้อย่างที่ทากะซังบอก นั่นก็คือ

    ภาพทะเลสาบ สีเหลืองอมเขียว  อันแปลกประหลาด

    บนภูมิประเทศที่มีกิจกรรมทางธรณีวิทยา และน้ำพุร้อน รังสรรค์ความงดงามและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน 

    อยากจะสารภาพว่า  Dallo นี่ก็เป็นจุดหมายของดิฉันในทริปนี้เช่นเดียวกับทากะซัง

    การเห็นภาพ สิ่งที่ดูเหมือนกระทะทองแดงบนผืนโลก จากการโพสของพี่คนไทยบนหนึ่งในเฟสบุค

    ทำให้ดิฉันตัดสินใจกดซื้อตั๋วทันที


    ในทริปนี้ ดิฉันเดินต้องตามทามะซัง ให้ทัน

    แต่ทามะซังแข็งแรงกว่าดิฉันหลายขุมนัก

    ไม่ทันไร ทามะซังก็ลับสายตาไปไกลแล้ว


    ภูมิประเทศรอบๆ เหมือนเนินเขานี้ จะประกอบขึ้นจากหินสีน้ำตาลแตกๆ

    บางจุด ก่อขึ้นเป็เหมือนแท่งหินงอกในถ้ำ แต่เป็นหินงอกที่หยาบและเปราะกว่า

    เอาจริงๆ ดิฉันคิดถึงเกลือที่เหยียบที่ทำเลสาบเมื่อวาน

    แต่มันพอกพูนผสมนั่นผสมนี่จนเป็นเนินเขา และภูมิประเทศแปลกๆอย่างนี้

    ความรู้สึกแรกที่ดิฉันเห็น

    ทำให้ดิฉันคิดถึงฉากในหนังไทยราคาถูก ที่ชอบเซตรูปแบบคล้ายๆแบบนี้ สำหรับเป็นฉากทางเดินไปนรก


    ตอนเดินผ่านโขดดินแตกระแหง รู้สึกเหมือนกำลังเดินไปสู่ดินแดนแห่งความตาย



     

    เดินสักครึ่งชั่วโมงก็ถึง Dallol  มันเป็นมากกว่ากระทะทองแดง ที่ดิฉันเลยคิดไว้

    ทะเลสาปสีเหลืองอมเขียวแผ่กว้าง 

    รายล้อมไปด้วยภูมิประเทศอันแปลกตาสีน้ำตาลเข้ม

    รอบๆทะเลสาบมีรอยดำๆ เหมือนเขม่าที่ถูกโลมเลียด้วยเปลียวไฟ แต่ในความเป็นจริงตรงนั้นคือน้ำของทะเลสาบ

    ผลึกเกลือเล็กๆกรอบๆ ยังกระจายอยู่ทั่วพื้น เกิดเสียงกรอบแกรบทั้งก้าวที่เราย่าง

    ความร้อนที่ตอนนี้แน่ใจแล้วว่ามันไม่ได้มาจากอากาศรอบๆเหมือนที่เคยเป็นมา

    แต่มันแผ่ออกมาจากทะเลสาปสีเหลืองนั่น พร้อมกับกลิ่นไข่เน่าของกำมะถันแสบจมูก






    ทุกคนสนุกกับการถ่ายรูป

    แม้กระทั่งเจ๊เจนนิเฟอร์

    ความงดงามอันน่าสะพรึงนั้นสะกดสายตาพวกเราทุกคนจริงๆ

    ด้วยว่า เกิดมาทั้งชีวิต จะได้มาเจอภูมิประเทศแบบนี้ได้ที่ไหนในโลก

    มันร้อนและเหม็นก็จริง 

    แต่ทุกคนก็เดินเข้าหามัน เหมือนอยู่ภายใต้มนต์สะกด

    เหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ 



    ดิฉันเห็นทามะซังไปยืนบน ตลิ่งเกลือเล็กที่ยื่นเข้าไปในทะเลสาบส่วนที่ลึกสุด

    จุดนั้นเป็นวิว ที่สวยและน่ากลัวจริงๆ

    ดิฉันเดินเข้าไปหาเขา เกลือที่เท้าของดิฉันกรอบแกรบ 

    อยากจะไปเข้าไปถ่ายรูปกับทะเลสาปจุดที่สวยที่สุดบ้าง

    ทามะซัง นั่งยองหลบให้ดิฉัน ตอนดิฉันถ่ายภาพพาโนรามาโดยที่ดิฉันไม่ได้ขอร้องเขาสักคำ

    ความน่ารักของทามะซังนั่นเองที่ทำให้ดิฉันลืมกลิ่นของไข่เน่าไปชั่วครู่

    ฉันถ่ายพาโนเพื่อเก็บวิวทะเลสาปในรอบแรก

    และฉันทำท่าถ่ายพาโน เพื่อแอบถ่ายทามะซังในรอบที่สอง 


    ชั่วขณะที่ดิฉันมัวแต่ดีใจที่ได้รูปทามะซังอยู่นั้น

    ความเขิลทำให้ดิฉันก้าวไม่ระวัง เผลอลื่นผลึกเกลอเม็ดหนึ่งที่ทางเดิน

    หน้าของดิฉันถลาไปข้างหน้า อย่างอันตราย

    มือถือเกือบจะหล่นหลุดมือ  ตกลงไปในทะเลสาบ

    ทันใดนั้นเอง ทามะซังที่เดินอยู่ข้างหลัง ก็รีบก้าวเข้ามาคว้าปีกด้านหลังของดิฉันอย่างทันท่วงที

    หลังของดิฉัน สัมผัสแนบชิดกับอกแน่นๆของเด็กหนุ่มญี่ปุ่นคนนั้น

    แน่นจนสัมผัสเสียงกลองรัวเร็วที่อกข้างซ้ายของเขาอย่างชัดเจน

    ใบหน้าระหว่างช่วงเวลาแห่งความเร่งรีบนั้น ยื่นเข้ามาใกล้แก้มของดิฉัน จนได้กลิ่นลมหายใจอุ่นๆของเขา

    กลิ่นเหงื่อของเด็กหนุ่มผู้กำลังตั้งคำถามกับชีวิตนั้นทำให้ดิฉันอ่อนระทวย

    มือสากๆ และวงแขนแน่นๆนั้น ประคองจับมือของดิฉันไว้ เหมือนกลัวว่าดิฉันจะหลุดล้มลงไปอีกรอบ

    ทามะซังผู้เป็นเหมือนเทพบุตรฉุดดวงวิญญาณซุ่มซ่ามดำมืดกะโปโลของดิฉันจากขุมนรกกระทะทองแดงที่เดือดผุดๆอยู่เบื้องล่าง

    เขาเอ่ยอย่างแผวเบาด้วยสำเนียงญี่ปุ่นเท่ห์ๆว่า 

    “Are you OK?”

    ฉันอยากจะไม่โอเค พอให้เค้าประคองฉันไว้อยู่อย่างนั้นต่อ

    แต่ต้องทำเป็นเข้มแข็ง ดูแลตัวเองได้ แต่เม็ดเกลือเจ้ากรรมทำให้ดิฉันลื่นอีกรอบ

    เทพบุตรทามะที่พยายามประคอง จึงรั้งฉันแน่นเข้าไปอีก

    จับฉันหมุนไปประจันหน้ากับเขา

    “You’re a clumsy girl” 

    เขาเอ่ยกับฉันอย่างแผ่วเบาภายใต้แววตาและลักยิ้มชวนฝัน

    ชั่วจังหวะที่ฉันยังไม่ทันระวังตัว

    เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉัน 

    ก่อนที่จะเผยอริมฝีปากอวบอุ่มชมพูนั้นบนริมฝี.....



    โอ๊ยๆๆ

    ตื่นค่ะ

    ข้างบนนั่นมโนทั้งหมด


    ความจริงคือดิฉันลื่นเกือบหน้าคว่ำตกลงไปในกระทะทองแดงจริง

    แต่ทว่า 

    ด้วยความต้องเป็นคนสตรอง ต้องฝึกทรงตัวบนรันเวย์

    จะหน้าคว่ำแค่ไหนต้องพลิกสถานการณ์กลับมาทรงตัวอย่างยอดเยี่ยมให้ได้

    ผลที่ได้คือ การทำท่ากางขา กางแขนอย่างประหลาด กลางทะเลสาบ

    ต่อหน้าประชาชีนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่มาเที่ยวทะเลสาบในวันนั้น

    สาบานได้ว่าอย่างน้อยห้าคนในกลุ่มคนพวกนั้น หลุดขำท่านักกระเรียนฉีกขาเต้นบัลเล่ห์ของดิฉัน

    และอีคนที่ขำหนักที่สุด

    อีตาทามะซัง

    เทพบุตรที่ควรจะวิ่งเข้ามาช่วยดิฉัน

    เขากลับยืนหัวเราะดิฉัน

    จนท้องคับท้องแข็ง


    นี่ไม่รวมทากะซังและพี่พระเอกหนังโป๊ที่อมยิ้มเพราะกลั้นหัวเราะด้วย


    หมดกันความฝันที่จะเป็นสินค้าส่งออกไปญี่ปุ่น

    จะมีบ้านสติดีบ้านไหน

    อยากได้สะใภ้กะโปโล


    โอ๊ยโดดลงกระทะทองแดงเลยได้ไหม

    อายค่ะ


    ..................



    อ่านบทก่อนหน้า บทที่ 12 <เรื่องเล่ารอบกองไฟ>


    อ่านบทต่อไป บทที่ 14 < จะถ่ายหรือจะตายที่นี่>

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in