เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Other Girl Groups FictionDiagonal
[Drabble] I Can't [Eunseo x Jieqiong]










  • ตื่นก่อนเจ็ดโมง ไปให้ถึงโรงเรียนก่อนแปดโมงสี่สิบ


    เรียนทั้งวัน เลิกเรียนบ่ายสามโมงครึ่ง นั่งรถไฟชั่วโมงกว่าไปบริษัท


    เปลี่ยนเป็นชุดเตรียมซ้อม เรียนภาษาจีนสองครั้งต่อสัปดาห์ ฝึกทักษะต่างๆ ด้วยตัวเอง


    กินข้าวเย็น นั่งคุยกับเพื่อนเด็กฝึก เรียนคลาสร้อง คลาสเต้น จบการเรียนตอนสี่ทุ่ม


    ทบทวนสิ่งที่เรียนไปในแต่ละวัน ฝึกต่อเองจนเที่ยงคืนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการประเมินอยู่ตลอด


    พ่อมารับ ถึงบ้านตีหนึ่งครึ่ง กว่าจะได้หลับจริงๆ ก็ตอนตีสอง


    กลับไปที่บรรทัดแรกอีกครั้ง—













    แม้มันจะดูเป็นตารางชีวิตที่หนักเอาการสำหรับเด็กวัยเรียน แต่พอเวลายิ่งผ่าน มันก็ทำให้ยิ่งชิน 


    สามปีให้หลังนับจากวันแรกของการเข้าสู่เส้นทางเด็กฝึกอย่างเต็มตัว ก็เปลี่ยนให้ซนจูยอนดำเนินชีวิตตามตารางอันหนักหน่วงพวกนั้นโดยอัตโนมัติ เหมือนที่ตื่นนอนแล้วต้องล้างหน้าแปรงฟัน การซ้อมร้องซ้อมเต้นจนดึกดื่นเที่ยงคืนก็ให้ความรู้สึกแบบเดียวกัน เด็กสาวไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังฝืน ตรงกันข้าม เธอกลับรู้สึกสนุกกับการได้ทุ่มเทกำลังเพื่อวิ่งตามความฝันของตัวเองอย่างไม่ลดละ


    โอเคว่ามันต้องมีช่วงเวลาที่รู้สึกเหนื่อย เครียด และท้อบ้าง แต่เพื่อนเด็กฝึกด้วยกัน เพลงในเพลย์ลิสต์ และหนังสือดีๆ สักเล่มที่เจอโดยบังเอิญ ก็ช่วยให้เธอไม่จมอยู่กับความรู้สึกพวกนั้นนานจนเกินไปนัก


    เพราะสามปีที่ผ่านมาของจูยอนมีแต่เรื่องพวกนี้ มันจึงไม่เหลือเวลาสำหรับ 'เรื่องกุ๊กกิ๊ก' เหมือนอย่างเด็กสาวคนอื่นๆ ในช่วงวัยเดียวกัน 


    แต่ก็ใช่ว่า จูยอนจะไม่เคย 'รู้สึกแบบนั้น' กับใคร


    เพียงแต่ว่า


    มันเป็นแค่ความรู้สึกแบบเด็กๆ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้มาสนิทกัน


    เบาบาง และขาดจากกันง่ายเหลือเกิน 


    ถ้าจะไม่นับว่ามันเป็นความรู้สึกในเชิงโรแมนติก ก็ย่อมได้ ถึงจะยังรู้สึกอะไรบางอย่างทุกครั้งที่หวนนึกถึง หากจูยอนก็หยุดมันไว้เพียงแค่นั้น


    ถึงจะเห็นหน้ากันอยู่เกือบทุกวัน แต่ดูแล้ว การแสดงออกที่ดูเหมือนคนรู้จักกันแค่ผิวเผินมากกว่า อาจจะดีที่สุดสำหรับเราสองคนก็เป็นได้














    แปดโมงยี่สิบนาที 


    ร่างสูงโปร่งของซนจูยอนในชุดนักเรียนสีเหลืองเป็นเอกลักษณ์ กำลังโหนราวจับในรถไฟใต้ดินเหมือนเช่นทุกวัน ยังคงเสียบหูฟังสีขาวทั้งสองข้าง ปล่อยใจให้ล่องไปกับเพลงโปรดในเพลย์ลิสต์ที่ระบุไว้ชัดเจนว่าสำหรับฟังระหว่างเดินทางไปโรงเรียน 


    จึงไม่ทันรู้สึกตัว ในตอนที่มีเด็กสาวในชุดนักเรียนแบบเดียวกัน ก้าวมาคว้าที่ราวจับข้างๆ


    เพลงโปรดยังคงเล่นต่อ ในขณะที่รู้สึกได้ถึงเสียงเรียกชื่อตัวเองแว่วๆ 


    และเมื่อหันไปดู ก็พบว่าเป็นคนที่เห็นหน้ากันอยู่บ่อยๆ แค่ไม่ได้คุยอะไรเป็นการส่วนตัวแค่นั้น


    "อ้าว เจี๋ยโฉวง" เอ่ยทักออกไปพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ตามมารยาท


    เพลงโปรดยังคงดังอยู่เหมือนเดิม 


    คิ้วจูยอนขมวดเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของคนข้างๆ ก่อนที่จะถอดหูฟังข้างหนึ่งออกในตอนนั้น


    "มีอะไรหรือเปล่า?"


    ได้ยินเพลงโปรดแค่จากหูฟังข้างซ้าย


    "เปล่า" หล่อนยักไหล่ "แค่ตกใจนิดหน่อย ที่เธอเรียกชื่อจีนฉัน"


    เพลงโปรดของจูยอนเงียบไปแล้ว 


    ขณะที่ถอดหูฟังเก็บ ก็ถามออกไปว่า


    "เมื่อกี้ฉันเรียกเธอแบบนั้นเหรอ?"


    "อื้ม" อาการประหลาดใจบนใบหน้าของหล่อนจางไปจนเกือบหมด และรอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่กว้างจนกลายเป็นกระจ่างตาก็เข้ามาแทนที่


    "ไม่คิดว่าจะยังจำได้ ก็เลยดีใจหน่อยๆ"


    "ก็ชื่อแปลก" พูดออกไปแล้ว จูยอนก็รู้สึกได้ว่านั่นเป็นประโยคแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เสียเหลือเกิน


    เจี๋ยโฉวงหัวเราะในลำคอ "ที่ตอนนั้นไม่ว่ายังไงเธอก็เรียกชื่อนี้ไม่ได้อะนะ จีอาโชง ฉันยังจำได้แม่นเลย"


    ในตอนนั้น จูยอนก็ได้ยินเสียงประกาศสถานีต่อไป พร้อมกับที่คุณป้าซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเธอลุกขึ้นมา ดวงตาเรียวพยักเพยิดให้อีกคนขยับมานั่ง และเจี๋ยโฉวงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร 


    จังหวะที่หล่อนก้าวผ่าน เรือนผมสีดำขลับที่ปล่อยยาวก็สัมผัสถูกปลายจมูกจูยอน














    "ขอโทษทีจูยอน ฉันไม่เห็นว่าเธอยืนตรงนี้"


    จูยอนในวัยสิบสี่ขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวจากเด็กผู้หญิงวัยเดียวกันที่เกือบจะเดินชนเธอเมื่อครู่—ผมยาวสีดำขลับของหล่อนเฉียดหน้าเธอไปนิดเดียวเอง


    เปล่า จูยอนไม่ได้ติดใจอะไรกับคำขอโทษ


    "ไม่เป็นไร" แต่สิ่งที่สงสัยน่ะ "เธอมาจากไหนเหรอ?"


    เป็นสำเนียงแปร่งๆ ยามเมื่อพูดประโยคเมื่อครู่ต่างหาก


    "ฉันเป็นคนจีน" หล่อนยิ้มแย้มและพูดแนะนำตัวเองอย่างตั้งใจ "ชื่อ โจวเจี๋ยโฉวง ยินดีที่ได้รู้จักนะ"


    ตั้งแต่เกิดมาจนอายุเท่านี้ จูยอนไม่เคยเจอใครที่ทำให้เธอสัมผัสได้ถึงความสดใสขนาดนี้มาก่อน


    เพียงแต่ว่า–


    "ฉันซนจูยอน ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกันนะ เอ่อ โจจีอาโชง?"


    เท่านั้น หล่อนก็หัวเราะคิกคัก จนจูยอนเผลอหน้าแดงอย่างอายๆ เมื่อเข้าใจแล้วว่าคงออกเสียงไม่ถูกจนเจ้าของชื่ออดขำไม่ไหว ใช่ หล่อนได้ไม่โกรธ ตรงกันข้าม เจี๋ยโฉวงยังค่อยๆ สอนให้เธอออกเสียงชื่อหล่อนอย่างใจเย็น


    "ว่าแต่ เธอรู้จักฉันด้วยเหรอ?"


    "ก็เธอชนะออดิชั่นของปีนี้ไม่ใช่เหรอซนจูยอน ใครๆ ก็ต้องรู้จักเธอทั้งนั้น" แม้สำเนียงจะยังฟังออกว่าเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็ถือว่าเจี๋ยโฉวงพูดภาษาเกาหลีได้คล่องมากๆ จนจูยอนที่พูดได้แค่ภาษาเดียวต้องรู้สึกทึ่งในทุกๆ ประโยคที่หล่อนพูดออกมา 


    "ไหนลองพูดอีกทีซิ เจี๋ยโฉวง"


    "จีอา...ฉง"


    รอยยิ้มสดใสประทับบนใบหน้าของเจ้าของชื่อ


    "เกือบถูกแล้วล่ะ ดีใจจัง"










     



    แม้จะก้มหน้ามอง 'เพื่อนเก่า' ที่เพิ่งย่อตัวลงนั่งเมื่อครู่ หากปลายสายตาของจูยอนไม่ได้ไปหยุดตรงดวงหน้าหวานของเจี๋ยโฉวงอย่างที่ควรจะเป็น


    แต่เธอเลือกจะมองเลยไปยังกระจกที่เยื้องไปทางด้านหลัง


    ไม่กล้า...จะสบตาเจี๋ยโฉวงตรงๆ


    "เธอพูดภาษาเกาหลีเก่งขึ้นมากๆ เลย นี่ถ้าฉันไม่รู้นะ ฉันจะคิดว่าเธอเป็นคนเกาหลี"


    คนถูกชมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกมือทัดหูแล้วช้อนตาขึ้นมอง


    และมันก็ทำให้หัวใจของจูยอนเต้นผิดจังหวะไปนิดหนึ่ง


    "เธอเองก็ออกเสียงภาษาจีนชัดขึ้นตั้งเยอะเหมือนกัน หรือว่าที่สตาร์ชิปให้เรียนภาษาจีนด้วย"


    จูยอนพยักหน้า


    "ว้าวดีเลย ต่อไปฉันจะได้เล่นมุกภาษาจีนกับเธอได้แล้ว"


    เมื่อมองจากสถานะของเราสองคนในปัจจุบัน ประโยคเมื่อกี้ของเจี๋ยโฉวงจึงฟังดูแปร่งหูจนเกินไป และดูท่าหล่อนเองก็คงจะเพิ่งรู้สึกตัวหลังจากจับสังเกตอาการของจูยอนได้ รอยยิ้มสดใสนั้นค่อยๆ จางลงไปจนจูยอนต้องรู้สึกผิด


    เจี๋ยโฉวงก้มหน้าลง ฝ่ามือเรียวของหล่อนที่วางบนตักสัมผัสกันไปมาเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดี 


    หากสุดท้าย ใบหน้าสวยก็เงยขึ้นมามองกันอีกครั้ง


    ด้วยรอยยิ้มบางๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับอยากให้ทั้งจูยอนและตัวหล่อนเองลืมเหตุการณ์แสนกระอักกระอ่วนเมื่อกี้ไปเสีย


    ไม่มีใครสักคน ที่จะเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดว่า งั้นเราก็มาสนิทกันใหม่สิ


    แม้จะอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่กลับรู้สึกเหมือนว่าไกลแสนไกล


    แม้จะยังคงมีความฝันแบบเดียวกัน แต่กลับรู้สึกว่าไม่สามารถแชร์ความรู้สึกนั้นให้อีกคนฟังได้


    แสนเสียดาย...















    "อะไรนะ จะออกจากค่าย!?" 


    เจี๋ยโฉวงถามเสียงดังตอนที่เธอตัดสินใจดึงหล่อนมาที่บันไดหนีไฟก่อนจะบอกการตัดสินใจของตัวเองออกไปตามตรง


    เพราะในที่แห่งนี้ คนที่จูยอนแคร์มากที่สุด ก็คือคนที่ยืนตรงหน้าซึ่งเหมือนจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อนั่นล่ะ


    ในตอนอายุเท่านั้น เจี๋ยโฉวงไม่เคยเก็บอารมณ์ตัวเองได้อยู่ เวลาดีใจ หล่อนก็แสดงออกเสียจนสร้างบรรยากาศสดใสให้คนรอบข้างได้ดีใจไปกับหล่อนด้วย เวลาเสียใจ ก็หม่นหมองจนทุกคนอดเศร้าตามไม่ได้ และในเวลาที่เจี๋ยโฉวงโกรธ...อย่างเช่นตอนนี้


    "ไหนล่ะที่ว่าจะเดบิวต์ด้วยกัน เราสัญญากันไว้แล้วไม่ใช่เหรอซนจูยอน!"


    การที่ถูกคนโกรธตะโกนใส่ปาวๆ ทำให้จูยอนต้องก้มลงมองมือตัวเองอย่างไม่กล้าสู้หน้า


    เพราะถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้มาอยู่ที่นี่ แต่เธอกับเจี๋ยโฉวงก็สนิทกันมาก ทั้งที่นอกจากส่วนสูงที่พอๆ กัน และภายนอกที่ดูเป็นคนร่าเริงเหมือนกัน– 


    เราสองคนก็ไม่มีอะไรเหมือนกันสักนิด


    เพลงก็ฟังคนละแนว หนังสือก็อ่านคนละแบบ งานอดิเรกก็คนละทาง เว็บไซต์ที่ชอบเข้าก็ไม่เหมือนกัน


    "ทำไมจู่ๆ ก็จะทิ้งฉันไปแบบนี้ล่ะจูยอน..."


    ไม่มีเหตุผลอะไรนอกจากจูยอนรู้สึกว่าตัวเองน่าจะเหมาะกับสตาร์ชิปมากกว่า


    แต่เจี๋ยโฉวงไม่เหมือนกัน หล่อนน่ะเหมาะกับเพลดิสที่สุดแล้ว















    "สถานีหน้าแล้วนะ"


    จูยอนได้ยินเสียงคนที่นั่งอยู่พูดขึ้น เธอพยักหน้า ก่อนจะขยับตัวเบี่ยงหลบเจี๋ยโฉวงที่ลุกขึ้นยืน ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่เราได้เฉียดใกล้กัน เพียงแต่ครั้งนี้ สิ่งที่สัมผัสกับใบหน้าจูยอน 


    —ไม่ใช่เรือนผมสีดำสนิท


    สัมผัสบางเบาจากริมฝีปากที่เฉียดข้างแก้มไป ทำให้จูยอนชะงัก


    ไม่รู้หรอกว่าเจี๋ยโฉวงตั้งใจหรือเปล่า หากมันก็ทำให้ข้างในใจของเธออดวูบไหวไม่ได้














    ก็เป็นเช่นเดิม ที่ถึงแม้จะเดินไปตึกเดียวกัน แต่จูยอนก็เลือกจะเว้นระยะห่าง


    เธอให้เจี๋ยโฉวงเดินนำไปก่อน พอลับตา ถึงค่อยเดินเข้าโรงเรียนไปบ้าง


    เป็นการกระทำที่แสนประหลาด แต่หัวใจของจูยอนตัดสินใจให้ทำแบบนั้น


    เพราะเหตุการณ์ในรถไฟใต้ดินเมื่อกี้ ทำให้จูยอนเข้าใจได้ในที่สุดว่า 


    ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้น มันไม่ได้เบาบาง และขาดจากกันได้ง่ายอย่างที่คิด


    ตรงกันข้าม


    เหตุการณ์ก่อนที่เราจะจากกัน ที่ทำให้เราไม่อาจสนิทกันเหมือนเดิมได้อีกต่อไป 


    กลับพันธนาการหัวใจของจูยอนไว้ด้วยซ้ำ


    ไม่ใช่ว่าเธอทุ่มเวลาทั้งหมดในชีวิตให้กับการฝึกซ้อม จนไม่เหลือเวลาไปสนใจความรัก 


    แต่ว่าความรักของเธอไม่ได้อยู่ในจุดที่จะสามารถเดินกลับเข้าไปหาได้อีกต่อไปต่างหาก


    มีแต่จะต้องมุซ้อม ทำตัวเองให้มีคุณภาพและโดดเด่นเพียงพอในสายตาของค่ายที่ตัดสินใจเลือกเอง


    เพื่อที่วันหนึ่ง... เราจะได้เจอกันบนเวทีในฐานะศิลปินที่เดบิวต์แล้วอย่างเต็มภาคภูมิ


    ถ้าวันนั้นมาถึง จูยอนเองก็หวังว่า ทั้งเธอและเจี๋ยโฉวงจะสามารถปลดเปลื้องความรู้สึกที่จำเป็นต้องทอดทิ้งและความรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง...ออกไป


    ได้เสียที



















    "เหล่าซือคะ ฉันอยากให้สอนออกเสียงคำนี้หน่อยค่ะ"


    "คำไหนล่ะ"


    "นี่ค่ะ"


    "โอ้โห คลาสแรกก็เลือกคำยากเลยนะจูยอน"











    "คำนี้อ่านว่า เจี๋ยโฉวง นะ ไหนลองออกเสียงตามซิ"















    END.

    #ซอพิ้งicant

















  • #เรือผี มาอีกแล้ว /ตะละวาาาาา

    ไม่มีอะไรมากนอกจากมีน้องบอกอยากอ่านคู่นี้ และมันก็พอมีอะไรให้โยงถึงกันได้จริงๆ
    แล้วพอได้ไปค้นเจอบทสัมภาษณ์น้องตอก่อนเดบิวต์ ภาพในหัวก็ไหลมาเลยค่ะ 

    เป็น บทสัมภาษณ์ ที่ดีมาก อยากให้ทุกคนได้อ่านค่ะ แล้วจะรักน้องตอแบบเรา :)



    อ้อ แล้วก็คราวนี้ลองเขียนแบบ Drabble ดูบ้าง เพราะสำหรับเรามันสั้นเกินกว่าจะเป็นวันช็อต 555 (แต่จริงๆ อันนี้ก็ยาวเกิน Drabble ไปหน่อย) ดีใจที่ได้รู้จักแนวการเขียนนี้ มันตอบโจทย์ความที่บางทีก็อยากจะเวิ่นแต่เนื้อหาไม่พอจะเป็นวันช็อตมากเลยค่ะ

    ไม่รู้จะเรียกชื่อคู่นี้ว่าอะไรดี เลยขอเรียกซอพิ้งตามน้อง MMaiipp ละกันค่ะ >< 555







    ขอบพระคุณทุกท่านที่หลงเข้ามานะคะ








Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
theniaz (@theniaz)
เรือผีเป็นเรือที่แข็งแกร่งค่ะ เพราะมันสามารถแล่นไปที่ไหนก็ได้ ไกลแค่ไหนก็ได้ถ้าจินตนาการของเราไปถึง 55555555 ชอบคู่นี้มาจากฟิคแฟนเก่าของน้องไหมค่ะ ด้วยบุคลิกของทั้งสองคนมันดูเข้ากันแบบแปลกๆ ต่างกันมาก แต่ก็ดูไปด้วยกันได้ พี่แว่บเข้าไปอ่านบทสัมภาษณ์ที่น้องฝนแปะมาด้วยคร่าวๆค่ะ เอามาเป็นฟีลของฟิคนี้ได้ลงตัวมากเลย ทั้งความหนักหนาของชีวิตเด็กฝึก สิ่งที่ต้องละทิ้งเพื่อความฝันของตัวเอง มีความเศร้าใจเบาๆกับประโยคที่ว่าความรักของตอมันอยู่ในจุดที่ไม่สามารถจะเดินกลับเข้าไปได้ ภาวะแบบนี้มันโคตรหน่วงเลยค่ะ เจอหน้ากัน ยิ้มให้กัน เหมือนไม่มีอะไรระหว่างกัน แต่จริงๆมันมีความรู้สึกอะไรอีกมากมายที่ต่างคนต่างซ่อนไว้ข้างหลัง แง้ ชอบนะคะ อยากอ่านคู่นี้อีกกกก