เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Moon's Tale #KAISOOmoontrela
UNNAMED DREAM 02 #KAISOO
  •            นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ใช้ชีวิตทุกเช้าค่ำอยู่กับความหวาดกลัว ฉันยิ้มให้เซฮุนเหมือนปกติ กินข้าวกับแม่ด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย แต่หลบหน้าจงอินราวกับคนมีชนักติดหลัง ฉันกลัว กลัวว่าถ้าเจอฉัน เขาจะพูดอะไรออกมา           
               จะพูดเรื่องที่เขา..กำลังจะต้องจากไป                

            
              “อ้าว มากันได้ยังไง”          
               ฉันแสร้งถามจงอินกับเซฮุนที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านขณะที่ฉันเดินออกไปต้อนรับ สายตาของฉันพยายามจับจ้องอยู่แต่ที่ใบหน้าของเซฮุน ฉันยังทำใจให้มองหน้าจงอินไม่ได้ และหวาดกลัวเหลือเกินในเหตุผลที่เขามาหา          
               สิ่งที่ฉันกลัวมาตลอด กำลังจะเกิดขึ้นแล้วเหรอ 
              “ไม่รู้เหมือนกัน จู่ๆ เขาก็ลากฉันออกจากบ้านมาหาเธอเนี่ยแหละ”           
                เซฮุนพูดอย่างงงๆ แต่สองแก้มของคนตัวบางแดงปลั่ง เซฮุนดูเขินอายและดีใจมากที่จงอินไปหาถึงที่บ้าน เพราะโดยปกติแล้วจงอินมักจะไม่ค่อยไปเซฮุน แต่หมอนั่นกลับชอบมาขลุกอยู่กับฉันทั้งวัน 
              “คิดถึงฉันรึไง”
              ฉันรวนใส่จงอิน           
              “อื้ม มากๆ เลยล่ะ"          
               คำตอบของจงอินทำเอาฉันเงยหน้าขวับไปมองเขาทันที เพียงแค่สบตากับดวงตาดำสนิทรียาวคู่นั้น ฉันก็ต้องรีบทำเป็นจามเพื่อแอบเช็ดน้ำตาที่รื้นขึ้นมา เพราะแค่ชั่ววินาทีที่ได้สบตา สายตาของเขาที่ทอดมองมานั้นอ่อนโยนและ.. และเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอะไรสักอย่าง เขามองมาอย่างแน่วแน่ อ่อนโยน และราวกับแทงทะลุหัวใจฉัน มันทำให้ฉันอยากร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนั้น ฉันรู้สึกตีบตันอยู่ในลำคอ ขอบตาร้อนผะผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้ อย่านะคยองซู อย่าร้องไห้ออกมาตอนนี้นะ           
                "ฉันมาชวนไปเดินเล่น ไปด้วยกันหน่อยได้มั้ย”          
                “ได้สิ จะไปที่ไหนล่ะ”          
                เซฮุนยิ้มร่าแล้วตอบรับทันทีเมื่อจงอินถาม เซฮุนกำลังมีความสุขกับการได้ออกไปเที่ยวด้วยกัน จนไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของฉัน           
                "ไปที่ทุ่งอาซาเลียกันเถอะ"          
                "ได้สิจงอิน"
                เวลาแห่งการบอกลา มาถึงแล้วสินะ 


                ทุ่งหญ้าในฤดูใบไม้ร่วงไม่นุ่มนวลน่าเหยียบนักเมื่อเทียบกับในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และตอนนี้ดอกอาซาเลียที่บานสะพรั่งก็ได้ร่วงโรยหมดไปนานแล้ว จงอินเอาข้าวกล่องฝีมือคุณแม่ของเขามาด้วย พวกเราสามคนนั่งกินข้าวกล่องกันตรงที่ประจำของพวกเรา ใกล้ๆ เนินที่พวกเรามักชอบมานั่งเล่นดูพระอาทิตย์ตกดินกันเมื่อครั้งยังเด็ก           
                วันนี้จงอินพูดเยอะ และพูดมากกว่าปกติจนเซฮุนยังสังเกตเห็นได้ เธอส่งสายตามามองฉันอย่างมีคำถาม ฉันไม่สนใจเซฮุนและเออออไปกับทุกเรื่องที่จงอินเล่า เขาพูดถึงชีวิตของพวกเราในวัยเด็ก ขุดเรื่องน่าเกลียดทุกเรื่องที่เขาจำได้มาล้อ เอ่ยปากถึงความประทับใจระหว่างเราสามคนทุกอย่างที่เขานึกได้
              “ตอนตำโมจิเมื่อปีใหม่ครั้งโน้น เซฮุนเธอจำได้มั้ยว่า คยองซูน่ะออกแรงมากจนลื่นเกี๊ยะล้มอย่างแรงเลยนะ น่าอายมาก”
              “จำได้”
              เซฮุนรับ
              “แล้วก็..”
              “นายต้องการจะพูดอะไรกับพวกเรากันแน่จงอิน”
              ในที่สุดเซฮุนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จงอินไม่เป็นตัวเอง และเซฮุนก็รู้อาการประหม่าแบบนี้ของจงอินดีอยู่แล้ว จงอินจะเป็นเช่นนี้เสมอเวลาที่เขากำลังจะสารภาพอะไรสักอย่างกับพวกเรา ถ้าเป็นครั้งก่อนๆ ฉันก็คงจะสนับสนุนเซฮุนด้วยการไล่บี้ถามเขาถึงเรื่องจริงๆ ที่ต้องการพูด แต่ในครั้งนี้ฉันไม่อยากให้เขาพูดความจริงอะไรออกมาเลย ไม่อยากเลย
              “ก็.. เธอจำได้มั้ย ว่าที่โรงเรียนของฉันมีการประชุมเพื่อประชาสัมพันธ์ของกองทัพ”
              “จำได้”
              คราวนี้เซฮุนหรี่ตามองจงอินอย่างหวาดระแวง มือของเซฮุนกำตะเกียบแน่น ส่วนฉันยังคงไม่เงยหน้าจากกล่องข้าว คีบไข่หวานเข้าปาก ฉันไม่อยากมองหน้าจงอิน และไม่อยากรับฟังอะไรทั้งนั้น
              “ฉันกรอกใบสมัครแล้วนะ ว่าจะเข้าร่วมกับกองทัพน่ะ”
              ตะเกียบลื่นหลุดลงจากมือของเซฮุนทันที จงอินรีบคว้ากล่องข้าวของเธอมาวางไว้บนพื้นก่อนที่มันจะหกคว่ำ เพราะตอนนี้มือของเซฮุนสั่นมาก 
              “ว่ายังไงนะ”
              เสียงของเซฮุนเบาหวิวกลายเป็นกระซิบ เธอถามซ้ำอีกหลายครั้งด้วยคำถามเดิม          
              “นายว่ายังไงนะจงอิน”           
               ใบหน้าที่แต่เดิมขาวจัดอยู่แล้วของเซฮุน มาตอนนี้ยิ่งเผือดลงจนไร้สีเลือด ดวงตาทั้งสองมีแต่ความไม่อยากเชื่อและตื่นตระหนก 
              “ฉันจะอาสาสมัครเข้าร่วมรบกับกองทัพ”
              “ทำไมล่ะจงอิน นายเกลียดสงครามไม่ใช่เหรอ”
              “อื้ม เกลียดมากๆ เลย”
              “แล้วทำไมถึงเข้าร่วมกองทัพล่ะ”
              เซฮุนเริ่มพูดด้วยเสียงดังขึ้นจนเกือบจะเป็นตวาด แต่มันแหบและเครือมากจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง เป็นเสียงของคนที่กำลังเสียใจจนแทบคุมสติเอาไว้ไม่ได้
              “ถ้าเกิดว่าการที่ฉันเข้าร่วมกองทัพไปอีกคนแล้วทำให้ญี่ปุ่นชนะสงคราม เพื่อยุติการออกไปรบของคนอื่นๆ ได้ ฉันก็ยินดี”           
              “แต่..”
              “ฉันก็ยังคงเป็นฉัน เกลียดสงคราม และไม่อยากจากแม่ไปไหนเพราะพ่อของฉันก็ไม่อยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงก็คือพวกเราต้องเสียสละ ถึงแม้ฉันจะไม่ชอบที่ประเทศของเรารุกรานประเทศคนอื่น แต่ในเมื่อตอนนี้แผ่นดินของพวกเรากำลังถูกโจมตีคืนบ้าง ฉันก็จำเป็นต้องปกป้องเอาไว้”          
                 จงอินยิ้มให้เซฮุนด้วยรอยยิ้มอบอุ่น แต่ความอบอุ่นนั้นส่งไปไม่ถึงใจของเซฮุน และส่งมาไม่ถึงใจของฉันที่พังพินาศไปหมดแล้ว           
                 “แล้วนายจะทำยังไงกับแม่ ไม่ห่วงแม่หรือไง”          
                 เซฮุนค้าน หยดน้ำตาเม็ดโตร่วงลงมาไม่ขาดสายจากดวงตาที่เคยเปล่งประกายอยู่เสมอ
              “ก็เพราะห่วง ฉันถึงต้องไป”
              “ไม่เห็นจำเป็นเลย มีคนอีกตั้งมากมายที่พร้อมจะอาสาเข้ากองทัพ อีกอย่างนายยังเด็กอยู่เลย พึ่งอายุสิบเจ็ดเองนะ ”          
                เซฮุนเริ่มสะอึกสะอื้นออกมา จงอินบีบต้นแขนเธอเบาๆ อย่างปลอบประโลม แต่เซฮุนเหมือนไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น เธอเอาแต่รำพึงกับตัวเองซ้ำๆ           
                  "ไม่เอา ฉันไม่ให้ไปนะจงอิน อย่าไปนะ"          
                  “ถ้าเกิดว่าทุกคนคิดแบบเธอ เราก็คงไม่มีใครเข้ากองทัพเลย ฉันคิดมาดีแล้วว่าฉันควรจะทำอย่างนี้ อีกอย่างมีหน่วยรบที่อายุน้อยที่สุดคือสิบหกปีด้วยซ้ำ เห็นมั้ยล่ะว่าจริงๆ แล้วฉันน่ะแก่หงำเหงือกในหน่วยรบเลยล่ะ” 
              เขาพูดติดตลก แต่ไม่มีใครยิ้มออกมาได้ในเวลานี้เว้นเจ้าตัว คราวนี้จงอินหันมามองฉัน เขาพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนที่มีอำนาจทำให้ทุกคนที่เห็นรู้สึกอบอุ่น แต่ไม่ใช่กับฉันและเซฮุนในเวลานี้
              “ขอโทษด้วยนะคยองซูที่เมื่อก่อนฉันต่อต้านความคิดของเธอ ฉันไม่อยากไปทำร้ายคนอื่นน่ะ แต่ก็ไม่อยากให้คนอื่นมาทำร้ายคนที่ฉันรัก ไม่ว่าจะเป็นแม่ เป็นเธอ เป็นเซฮุน หรือว่าใครๆ ที่ฉันรู้จักก็ตาม”             "..."          
                "ฉันต้องขอฝากแม่ไว้กับเธอสองคน และขอให้เธอสองคนดูแลกันและกันให้ดีด้วยนะ"          
                 "..."          
                  ฉันไม่มีคำตอบอะไรให้กับจงอินทั้งนั้น ทั้งๆ ที่ภายในใจของฉันกำลังตะโกนออกมาเป็นคำเดียวกับคำพูดของเซฮุน          
                  อย่าไปนะ จงอิน           
                  ..อย่าไปนะ
              

              คริสตศักราช 1942 วันที่ 6 เดือน พฤศจิกายน, 
              เมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น
              
              “เซฮุน! เข็มตำมือเธอแล้วนะ”
              “อ๊ะ”
              ฉันรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าขึ้นมากดเลือดให้เซฮุนทันที ตั้งแต่จงอินจากไปเซฮุนก็เหม่อลอย คุณแม่ของเซฮุนเองก็เป็นกังวลกับเรื่องนี้ ทำให้ฉันพยายามอยู่กับเธอให้มากขึ้น เราสลับกันไปนอนที่บ้านของเซฮุน บ้านของฉัน และบ้านของจงอินเพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ของจงอินบ้าง          
              จงอินออกเดินทางไปในอีกสองวันถัดมาหลังจากเรื่องในวันนั้น ตลอดการกินข้าวเย็นบนเนินนั้นฉันนิ่งเงียบราวกับคนใบ้ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้เขาจะพูดด้วยแต่ฉันก็ไม่ตอบคำ ทั้งๆ ที่มีอะไรอยากบอกกับเขาตั้งมากมาย ฉันไม่ได้อยากจะทำตัวเย็นชาแบบนั้น แต่ฉันไม่สามารถพูดอะไรได้เลยต่างหาก เสียงของฉันราวกับถูกดูดหายไปพร้อมๆ กับเรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างกาย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเดินกลับบ้านมาได้ยังไง
              คืนนั้นเราแยกกันตรงบริเวณสี่แยกในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่ๆ เราเคยนัดเจอกันเป็นประจำ เพราะเป็นจุดกึ่งกลางของบ้านทุกๆ คน ฉันเดินไปทางขวา เซฮุนเดินไปทางซ้าย จงอินเดินตรงไปข้างหน้า เส้นทางเบื้องหลังที่พวกเราเคยเดินด้วยกันสามคนตลอดมาไม่มีอีกแล้ว          
              ฉันร้องไห้ทันทีที่ตัวเองหันหลังให้จงอินกับเซฮุน หยดน้ำตามากมายไหลพรากและพร่างพรมลงพื้นราวกับสายฝนโปรยปราย สองมือแนบกดถุงเครื่องรางที่จงอินมอบให้ไว้ในวันนั้นลงตรงหน้าอกข้างซ้ายราวกับว่าการทำเช่นนั้นมันจะช่วยลดความเจ็บปวดลงมาได้ ร่างกายฉันเจ็บร้าวไปหมดราวกับถูกใครทุบตี ฉันเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ในวินาทีนี้ ว่าความเจ็บทางใจมันเป็นอย่างไร หัวใจฉันบีบรัดแน่นจนจุกไปทั้งอก ความเสียใจในแบบเดียวกับวันที่พ่อจากไปกำลังเข้ามาทำร้ายฉันซ้ำเป็นครั้งที่สอง แต่กับจงอินมันยิ่งทวีคูณมากกว่า เมื่อฉันรู้แน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันกลับมา ไม่ว่าด้วยหนทางใดก็ตาม     

          
              “เธอต้องระวังให้มากกว่านี้นะเซฮุน”
              “ฉันขอโทษ”          
               ฉันเตือนเมื่อเซฮุนทำกล่องข้าวหล่นลงบนพื้น เสียงดังแคร้งจากฝากล่องทำให้เซฮุนได้สติและรีบลนลานเก็บกวาด เราแบ่งกันกินข้าวกล่องของฉันแทน อาหารของพวกเราทุกวันนี้มีเพียงข้าวปั้นห่อสาหร่ายเท่านั้น ข้าวของแพงขึ้นทุกๆ วัน อาหารปันส่วนก็น้อยลงทุกๆ ครั้งเช่นกัน เราไม่มีเนื้อสัตว์กินกันมาพักใหญ่แล้ว เพราะราคาที่สูงเกินกว่าจะจ่ายไหว
              เซฮุนหยิบข้าวปั้นขึ้นมากัดก้อนหนึ่ง กัดไปได้ไม่กี่คำน้ำตาก็ร่วงเผาะ ฉันรู้ว่าเธอคิดถึงอะไร และคิดถึงใคร จงอินจะกินข้าวได้เยอะกว่าทุกครั้งถ้าอาหารเป็นข้าวปั้นของโปรดของเขา
              หัวใจบีบลงจนความหิวหายไปทั้งหมด ฉันแสร้งทำเป็นกระแอมเพื่อกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ และทำท่าทางเป็นมองท้องฟ้าเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลลงมา          
              เย็นวันนั้นหลังจากเดินไปส่งเซฮุนที่บ้าน คนที่ฉันไม่คิดว่าจะยืนอยู่หน้าบ้านก็ทำให้ฉันรู้สึกตกใจ สงสัย และหวาดกลัว          
              “สวัสดีค่ะคุณน้า เชิญเข้าบ้านก่อนค่ะ”           
              คุณแม่ของจงอิน แม่ของจงอินมาหาฉันทำไม..           
               “ไม่เป็นไรจ้ะคยองซู ฉันแค่จะมาบอกว่าจงอินส่งจดหมายมาหา บอกว่าอีกสิบห้าวันข้างหน้า เขาจะได้ขับเครื่องซีโร่แล้ว หนูอยากไปเข้าร่วมพิธีกับฉันมั้ยจ๊ะ”          
                รอยยิ้มบิดเบี้ยวปรากฏอยู่บนใบหน้าที่เคยสวยมากของคุณน้า
              “ไม่ค่ะ หนูไม่อยาก”
              ฉันพูดอย่างเสียมารยาท แล้วโค้งลาแม่ของจงอินก่อนจะเลื่อนบานประตูบ้านเข้ามา ทำไมวันนี้บานประตูจึงหนักและเลื่อนยากเช่นนี้ก็ไม่รู้ หรือเรี่ยวแรงฉันหายไปหมดกันแน่ เมื่อพยายามเลื่อนบานประตูปิดได้ ฉันก็ทำได้เพียงทรุดตัวนั่งลงอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้เลย จนกระทั่งแม่มาเจอฉันเข้าในตอนค่ำ          
                จงอิน..           
                นาย.. กำลัง.. จะจากฉันไป.. แล้วงั้นเหรอ..

                
              วันรุ่งขึ้นเซฮุนไม่มาเรียน ฉันเองก็ไม่อยากมาเลย แต่ต้องลากสังขารมานั่งเรียนทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้อะไรเข้าหัวแม้แต่นิด
              จงอินกำลังจะขึ้นขับเครื่องซีโร่นั้นในอีกสิบสี่วันข้างหน้า เครื่องบินที่บรรทุกระเบิดหนักสองร้อยปอนด์ เติมน้ำมันแบบตีตั๋วเที่ยวเดียวไม่มีขากลับ มีหน้าที่เพื่อพุ่งชนทำลายเรือของข้าศึกและสังเวยชีวิตไปพร้อมๆ กับภารกิจของตน
              “นี่ มีใครรู้จักปฏิบัติการกามิกาเซบ้าง ใครพอจะบอกฉันได้มั้ยว่าไอ้การขึ้นเครื่องอะไรนี่มันทำยังไง ทำอะไรมั่ง”
              ฉันตะโกนถามเพื่อนนักเรียนในห้องอย่างผิดวิสัยคนไม่ค่อยพูดแบบฉันมาก เพื่อนนักเรียนมองหน้ากันลอกแลกแล้วส่ายหน้า 
              “ฉันรู้จัก”
              เสียงเบาหวิวของนักเรียนคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เธอเดินเข้ามาหาฉันที่โต๊ะด้วยดวงตาที่ขึ้นสีก่ำ
              “คยองซูอยากรู้อะไรเหรอ" เธอนิ่งเงียบไปนาน พร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลลงมาอาบหน้า           
               "พี่ชายของฉันพึ่งขับเครื่องซีโร่ไปเมื่อวานซืนนี้เอง”


              เมื่อกลับมาถึงบ้านแม่บอกว่าพ่อส่งจดหมายมาหา เนื้อความบอกว่าพ่อยังสบายดีอยู่ ไม่ต้องเป็นกังวล มือที่ถือจดหมายของแม่สั่นมากขณะอ่านจบ แม่เอาแต่พร่ำพูดแต่คำเดิมเป็นครู่ใหญ่
              “ดีเนอะ ดีจังเลย”
              “...”
              “พ่อยังอยู่ดี ยังไม่เป็นอะไร ดีจังเลยนะคยองซู”
              “...”
              “ฮือ.. ดีจังเลยที่คุณยังอยู่ ดีจังเลยที่ไม่เป็นอะไร”          แม่ค่อยๆ พับจดหมายที่เต็มไปด้วยลายมืออันเป็นระเบียบของพ่อใส่กลับลงไปในซอง ยกมันมากอดแนบอกแล้วร้องไห้โฮอย่างที่ฉันไม่ได้เห็นมานาน แม่ยกจดหมายซองนั้นขึ้นมาแนบกับใบหน้าราวกับว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นการได้อิงแอบกับพ่อจริงๆ น้ำตาฉันไหลรินลงมาตามหางตาเป็นสาย พ่อไม่ได้ติดต่อเรามาตั้งหลายเดือนแล้ว นี่เป็นของขวัญที่วิเศษสุดที่เคยได้รับในรอบหลายเดือน          
              พ่อยังไม่เป็นอะไร ดีที่สุดเลย
              เสียงเคาะประตูหน้าบ้านดังขึ้น แม่พยายามอดกลั้นเสียงสะอื้น แต่ฉันยกมือในเชิงบอกว่าไม่เป็นไรแล้วลุกไปดูด้วยตนเอง ฉันเอามือปาดน้ำตาออก ทันที่ที่บานประตูเลื่อนถูกเปิด ก็พบกับเซฮุนที่ยืนอยู่ด้วยใบหน้าขาวซีดและริมฝีปากที่ไร้สีเลือด          
              “ฉันไม่ไปนะ”
              เซฮุนพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็หันหลังเดินจากไป


              
              คริสตศักราช 1942 วันที่ 21 เดือน พฤศจิกายน, 
              เมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น

              ข้าวเช้าวันนี้ทำอะไรดีนะ ไข่ม้วนกับซุปเต้าเจี้ยวดีมั้ยนะ หรือว่าผัดผักกาดดี ไม่รู้ว่าแม่จะอยากกินอะไรมากกว่าเพราะช่วงนี้กับข้าวของเราก็เหลือแค่นี้แล้ว แต่ไข่มีเหลือน้อยกว่าผัก เราควรเก็บไข่ไว้กินวันหลังดีกว่า 
              “แม่คะ ทานข้าวกันเถอะค่ะ”           
              ฉันเรียกเมื่อกับข้าวทุกอย่างพร้อมแล้ว แม่ผอมลงไปมากในช่วงหลังนี้จนชุดฮากามะที่สวมอยู่หลวมโพรกไปหมดเป็นผลมาจากความอดอยากที่เกิดขึ้นจากอาหารที่ขาดแคลนเพราะสงคราม          
               แม่มองฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่อยากมองเห็น เพราะตอนนี้ฉันไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
              ‘คนขับเครื่องซีโร่จะมีพิธีการก่อนในตอนเช้า’
              เสียงเล็กๆ ที่สั่นเครือของเพื่อนนักเรียนในห้องดังก้องเข้ามาในหัวของฉัน ขณะที่ทรุดนั่งลงบนพื้นมือคว้าตะเกียบ อีกมือคว้าถ้วยข้าว
              ‘ญาติพี่น้องจะได้นั่งอยู่ในพิธีการนั้นด้วย’ 
              ข้าวแฉะไปนิดนึงแฮะ          
              'นักบินจะได้ดื่มสาเกร่วมกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ จากนั้นพวกเขาก็จะผูกผ้าพันคอสีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยรบพิเศษกามิกาเซ่’ 
              ผัดผักกาดก็จืดไปหน่อย
              ‘ใต้หมวกหนังคาดฮาชิมากิซึ่งเป็นอาภรณ์ของซามูไร และเหน็บกระบี่ของซามูไรด้วย’
              แต่รสชาติของน้ำตาช่างเค็มปร่าจริงๆ          
               'เมื่อพร้อมแล้ว พวกเขาก็จะเดินขึ้นเครื่องบินที่จะพาเขาไปสู่ความตายอย่างกล้าหาญ เมื่อปฏิบัติภารกิจพวกเราจะตะโกนอย่างภาคภุมิใจว่า ‘แด่องค์จักรพรรดิ’’
              “ฮึก..”
              ‘เสียงล้อบดกับลานบินดังสนั่นหวั่นไหว พวกเขาเหินไปบนท้องฟ้าราวกับนกยักษ์ที่สยายปีกบินอย่างไม่กลัวเกรงสิ่งใดๆ เพียงพริบตาเท่านั้น เราก็เห็นเขาเป็นเพียงจุดเล็กๆ’          
               “ไปหาเซฮุนเถอะลูก”
              แม่ลูบหัวฉันที่กำลังนั่งร้องไห้จนตัวสั่นเทิ้ม ฉันวางทุกอย่างในมือลงแล้วลุกพรวดขึ้นทันที เกี๊ยะถูกสวมอย่างลวกๆ สองขาวิ่งไปยังทิศทางของบ้านเซฮุน แล้วฉันก็เห็นร่างของคนที่กำลังวิ่งตรงมาทางนี้เช่นกัน
              เซฮุนกับฉันต่างวิ่งเข้ากอดกัน เราต่างคนต่างวิ่งกันมาได้คนละครึ่งทาง ตรงใจกลางของสี่แยกของหมู่บ้านซึ่งเคยเป็นที่นัดพบของฉัน เซฮุน และจงอิน ที่ๆเรายืนอยู่ด้วยกันสามคนเป็นครั้งสุดท้าย การอยู่ด้วยกันสามคนซึ่งชีวิตนี้จะไม่มีอีกแล้ว          
             “ฮือ..”
              เราสองคนไม่พูดอะไรกันทั้งสิ้น เพียงแค่กอดกันอยู่อย่างนั้นและร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับคนบ้าตรงใจกลางหมู่บ้านอย่างไม่หยุดหย่อน หยดน้ำตาของเซฮุนร่วงหล่นลงใส่บ่าของฉัน หยดน้ำตาของฉันร่วงลงใส่บ่าของเซฮุน 
              ความเจ็บปวดที่หัวใจรุนแรงมากราวกับก้อนเนื้อนั้นกำลังถูกเฉือนเป็นชิ้นๆ ด้วยมีดที่มองไม่เห็น เซฮุนทรุดตัวลงไปนั่งสะอื้นไห้อยู่บนพื้น เช่นเดียวกับฉันที่ยืนไม่ไหวอีกต่อไป 
              จงอิน.. 
              จงอิน..
              จงอิน..
              ‘แล้วหายลับไป’



    --------------

    สวัสดีค่ะ 02 มาแล้วค่ะ อ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงบอกกันได้นะคะ 

    จริงๆ ก่อนจะลงเรื่องนี้คิดนานมากเลย เพราะประเด็นสงครามโลกเป็นประเด็นที่อ่อนไหวมาก ในความเป็นเกาหลีและญี่ปุ่น แต่ก็ตัดสินใจลง หากมีโอกาสรีไรต์จะปรับบทให้เหมาะสมขึ้นนะคะ

    ขอบคุณทุกๆ คนที่เข้ามาติดตามค่ะ ตอนหน้าก็จะเป็น UNNAMED DREAM 03 แล้วก็จะกลับไปลง Moon's Tale แล้วค่ะ ตอนนี้คิดชื่อเรื่องมูลเทลออกแล้ว รอลงตอน 2 จะแก้ชื่อเรื่องค่ะ ^-^

    อีกสามวันพบกันนะคะ 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in