เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Moon's Tale #KAISOOmoontrela
UNNAMED DREAM 01 #KAISOO
  • ว่ากันว่าเมื่อคนเรากำลังจะตายภาพในอดีตทั้งหมดจะไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวเป็นของขวัญที่ถูกมอบให้ได้ระลึกถึงความสุขในวันวาน 

    ตอนนี้ในห้วงความคิดของฉันก็มีภาพเหตุการณ์มากมายปรากฏขึ้นบางตอนทำให้ฉันอยากหัวเราะ บางตอนทำให้ฉันอยากร้องไห้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นของขวัญชิ้นเลิศที่ทำให้มีความสุขจนต้องยิ้มทั้งน้ำตาจริงๆ     
        
    ได้ตายแบบนี้ก็ดีหน่อยอย่างน้อยในความทรงจำสุดท้ายฉันก็จะได้ไม่ลืมเรื่องราวดีๆ ทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต ทั้งๆ ที่เคยลืมมันมาโดยตลอด โดนความทุกข์เข้าทำร้ายถึงถึงหกปีเต็มๆ

    ----------------------


    STORY DESCRIPTION -
    เนื่องจาก Moon's Tale 02 ยังไม่สามารถคลอดได้เสียที เขียนๆ ลบๆ 
    จึงอยากนำผลงานที่เคยแต่งไว้นานแล้วมาให้ทุกคนอ่านแก้เหงาค่ะ 
    เป็นเรื่องสั้น ไม่มีชื่อเรื่องอีกแล้ว จึงเป็นที่มาของ UNNAMED DREAM ค่ะ 
    ข้อสำคัญอีกข้อที่เอามาลงคือเพราะแต่งจบแล้ว ฮ่าๆ 
    ขอแบ่งลงเป็นสามพาร์ท (สั้นๆ เพราะแต่เดิมก็เรื่องสั้นอยู่แล้ว) จะลงทุกสองหรือสามวันค่ะ 
    ไม่ขอแตกเรื่องใหม่ จนกว่าจะลงจบค่ะ เพราะเห็นมีบางท่านกด FAV. ไว้แล้ว จะได้ตามอ่านกันง่ายๆ
    ต้องขอแจ้งว่าชื่อตัวละครเป็นเกาหลี แต่เนื้อเรื่องเป็นญี่ปุ่นนะคะ จุดนี้ต้องขออภัยที่ไม่ได้แก้ไขบางจุดให้สมเหตุสมผล เนื่องจากแต่งไว้นานแล้ว และยังไม่ได้มีแพลนจะรีไรต์แต่ประการใด เพียงอยากนำมาให้ทุกท่านอ่านไปพลางๆ ค่ะ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ
    อนึ่ง โดคยองซู และตัวละครอีกท่านเป็นผู้หญิงเช่นกันค่ะ หากท่านใดไม่สะดวกใจก็ยังคงไว้รอเรื่องหน้ากันได้ค่ะ ^-^


    --------------------------------------------------------------
  •           ว่ากันว่าเมื่อคนเรากำลังจะตายภาพในอดีตทั้งหมดจะไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวเป็นของขวัญที่ถูกมอบให้ได้ระลึกถึงความสุขในวันวาน 
             ตอนนี้ในห้วงความคิดของฉันก็มีภาพเหตุการณ์มากมายปรากฏขึ้นบางตอนทำให้ฉันอยากหัวเราะ บางตอนทำให้ฉันอยากร้องไห้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นของขวัญชิ้นเลิศที่ทำให้มีความสุขจนต้องยิ้มทั้งน้ำตาจริงๆ          
               ได้ตายแบบนี้ก็ดีหน่อยอย่างน้อยในความทรงจำสุดท้ายฉันก็จะได้ไม่ลืมเรื่องราวดีๆ ทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต ทั้งๆ ที่เคยลืมมันมาโดยตลอด โดนความทุกข์เข้าทำร้ายถึงถึงหกปีเต็มๆ


              คริสตศักราช1941 วันที่ 7 เดือน ธันวาคม, 
              เมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น

              “เซฮุนถ้าเรารีบอีกหน่อยก็จะกลับบ้านไม่มืดนะ”
              “รู้แล้วน่าคยองซูก็ช่วยฉันถือของมั่งสิ”
              “แล้วของฉันหนักน้อยกว่าเสียเมื่อไหร่กัน”
              เซฮุนทำหน้าบูดใส่เมื่อไม่สามารถเถียงฉันได้ ฉันเดินนำขึ้นเนินไปก่อนแล้วจึงวางถังไม้ลงแล้วหยุดยืนรอเซฮุนที่บนเนิน  เซฮุนเป็นคนงามโดยแท้ รูปร่างสูงโปร่ง ดูบอบบางราวกับจะปลิว ผิวก็ขาวจัด ใบหน้าก็หวานละมุน โดยเฉพาะเวลาที่เซฮุนยิ้ม ตาทั้งสองจะโค้งขึ้นราวกับพระจันทร์เสี้ยว รอจนเซฮุนเดินมาถึงเราจึงเดินต่อไปพร้อมกัน 
              “วันนี้ได้ปันส่วนเยอะเนอะไม่แน่กองทัพอาจจะได้ชัยชนะเพิ่มเหนือที่ไหนสักที่ก็เป็นได้”
              “อื้มนั่นสิ ทั้งข้าวและเกลือ ตอนที่ตวงใส่ถังไม้ให้ ฉันตกใจเลยล่ะ”
              ข้าวเกือบเต็มถังไม้และเกลืออีกเกินครึ่งถ้วยทำให้เราสองคนพอใจมาก เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วนับตั้งแต่กองทัพประกาศทำสงครามกับพวกคนบนแผ่นดินใหญ่ทำให้ข้าวที่ปันส่วนถูกลดน้อยลง แต่มาวันนี้เราได้ข้าวมากจนน่าตกใจซึ่งปรากฏไม่บ่อยนัก และจะเป็นเฉพาะเมื่อกองทัพได้รับชัยชนะเพิ่ม
              ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ ฉันกับเซฮุนเร่งฝีเท้าขณะเดินเคียงข้างกันไปเงียบๆ เมื่อเห็นผ่านทางเข้าหมู่บ้าน เราทั้งสองต่างก็บอกลาเพื่อกลับไปยังบ้านของตัวเอง บ้านของฉันอยู่ทิศตรงกันข้ามกับบ้านของเซฮุน เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวขนาดกลาง เมื่อก่อนเคยมีคนอาศัยทั้งหมดสามคน แต่ตอนนี้เหลือแค่ฉันกับแม่แล้ว
              “กลับมาแล้วค่ะ”
              “กลับมาแล้วเหรอ แม่ทำกับข้าวเสร็จพอดีเลย มากินข้าวสิ”
              “ค่ะ เดี๋ยวหนูเอาข้าวไปเก็บก่อนนะคะ”
            เมื่อเดินเข้ามาในครัวกลิ่นซุปเต้าเจี้ยวก็หอมลอยเตะจมูก ฉันเดินไปที่ถังไม้ใบใหญ่ที่ใช้เก็บข้าวสารเปิดฝาออกแล้วเทข้าวจากถังไม้ใบเล็กที่ถือมาลงไป แม้ข้าวจะยังเหลือมากกว่าหนึ่งในสามของปริมาตรถัง แต่มันก็เป็นการดีกว่าถ้าเราจะได้ข้าวเพิ่มมากๆ อย่างวันนี้ หลังจากเทเกลือจากถ้วยลงใส่กระป๋องเสร็จ ฉันก็เดินกลับเข้ามาที่ห้องทานอาหาร บนโต๊ะที่แม่จัดไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว มีข้าว ซุปเต้าเจี้ยว และหมูชิ้นเล็กๆ ผัดซีอิ๊ววางอยู่อย่างละสองถ้วย
              “ทานแล้วนะคะ”
             ฉันยกมือไหว้ก่อนจะหยิบถ้วยข้าวขึ้นมาพุ้ยเข้าปากหลังจากทานไปได้ราวครึ่งถ้วย แม่ก็เอ่ยถามขึ้น
               “วันนี้ได้ข้าวมาเยอะมั้ย”
              “เยอะค่ะเกือบเต็มถังเลย”
              “อื้มแม่ก็คิดว่าน่าจะได้เยอะ ได้ข่าวว่ากองทัพยึดหมู่เกาะทางด้านตะวันตกได้”
              “อ๋อค่ะ”
              อยากอ่านหนังสือพิมพ์จัง ท่าทางพรุ่งนี้คงต้องแวะไปที่บ้านของจงอินเสียหน่อยแล้ว



              “สวัสดีค่ะคุณน้า หนูมาหาจงอินค่ะ”
              “เข้ามาก่อนสิจ๊ะคยองซู”
              “ขอรบกวนด้วยนะคะ”
             ฉันถอดเกี๊ยะที่สวมอยู่แล้ววางไว้ตรงยกพื้นหน้าบ้านก่อนจะเดินเข้าไปในนั่งรอจงอินในห้องรับแขกอย่างคุ้นเคย คุณน้านำน้ำชามาให้ก่อนจะออกไป นั่งรออยู่เพียงครู่ฉันก็ได้ยินเสียงเดินลากเท้าหนักๆ แบบที่น้อยคนนักจะทำ
              “มีอะไรเหรอคยองซูมาแต่เช้าเลย”
              “ขออ่านหนังสือพิมพ์หน่อยสิฉันอยากอ่านข่าวที่เราชนะการรบ”
              “งั้นรอเดี๋ยว”
              “อื้ม”
              จงอินหายไปและกลับมาพร้อมกับหนังสือพิมพ์ในมือแต่เนื้อหาข่าวกลับแบ่งออกเป็นสองส่วนส่วนแรกเขียนถึงการเข้ายึดหมู่เกาะฟิลิปปินส์ ส่วนอีกส่วนเขียนถึงการโจมตีเรือรบของอเมริกาเนื้อหาบอกว่าในเช้าอันสดใสของวันที่ 7 ธันวาคม ที่ฐานทัพเพิร์ล ฮาร์เบอร์ฝูงเครื่องบินรบของกองทัพญี่ปุ่นบินเข้าถล่มฐานทัพนั้นโดยที่เรือแอริโซน่าซึ่งเป็นเรือธงของกองเรือนี้ก็ถูกทำลายไปด้วยเรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกาสูญไปถึง 18 ลำ และเครื่องบินบนเรืออีกกว่าสี่ร้อยนายพลเรืออิโซโรกุ ยามาโมโต้เป็นผู้บัญชาการโจมตีครั้งนี้
              “กองทัพนี่สุดยอดไปเลยทำลายเรือรบของฝ่ายตรงข้ามถึงสิบแปดลำ และสูญเสียพลทหารไปเพียงหกสิบสี่นาย” 
               ฉันรำพึงด้วยความตื่นเต้น แต่เสียงทุ้มของจงอินก็เอ่ยขึ้นมา
              “ไม่รู้สิ แต่ผู้กล้าทั้งหกสิบสี่ก็อาจจะมีคนที่เธอรู้จักก็ได้ ถึงแม้พวกเขาจะกล้าหาญ แต่บางทีฉันก็อดหวังให้พวกเขาขี้ขลาดขึ้นมาบ้างแล้วได้กลับมาอยู่แบบไร้ศักดิ์ศรี แต่ยังคงมีลมหายใจไม่ได้เหมือนกัน”
              “ทำไมนายพูดอย่างนี้ล่ะจงอิน”
              ฉันพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ จงอินกำลังดูถูกความตั้งใจและศักดิ์ศรีของพวกเขา พลทหารผู้เสียสละชีพเพื่อการรบอันจะสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับประเทศชาติ และปกป้ององค์จักรพรรดิ
              “ฉันขอโทษแต่เมื่อนึกว่าบางทีไม่พ่อเธอก็พ่อฉันเป็นคนที่ตายในการรบไม่ว่าจะครั้งไหนฉันก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้จริงๆ ฉันคงคิดถึงพ่อมากเกินไป ฉันขอโทษนะคยองซู”
                  เมื่อเห็นฉันโกรธขึ้นมา จงอินก็หลุบตาต่ำก่อนจะขอโทษฉันด้วยเสียงแผ่ว 
              “ฉันเชื่อว่าพ่อของฉันจะต้องตายอย่างภาคภูมิใจที่สุดหากเขาตายในการรบ พ่อเธอก็ด้วยเหมือนกัน”
              ใบหน้าของจงอินหม่นลง ฉันรู้สึกเสียใจเล็กน้อยเมื่อมองใบหน้าที่บัดนี้กำลังแสดงความเศร้าอย่างปิดไม่มิด ดวงตาของจงอินที่เสมองไปทางอื่นมีแต่ความปวดร้าวอยู่ในนั้น ฉันยื่นหนังสือพิมพ์คืนให้เขาแล้วกล่าวขอบคุณ ระหว่างทางเดินกลับมาบ้านตัวเอง ในใจของฉันรู้สึกอะไรบางอย่าง ราวกับว่าคำพูดของจงอินทำให้ฉันเจ็บปวด 

              พ่อคะ..พ่อยังสบายดีอยู่ใช่มั้ย..
             



              คริสตศักราช1942 วันที่ 18 เดือน กันยายน,
              เมืองฟุกุโอกะประเทศญี่ปุ่น


              จากการสูญเสียทหารไปกว่าสองพันนายในการรบที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ส่งผลให้อเมริกาเข้าร่วมในสงครามอย่างสมบูรณ์โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ญี่ปุ่น การโจมตีกองทัพเรือของอเมริกาในครั้งนั้นนายพลยามาโมโต้ใช้วิธีการรบแบบพุ่งทำลาย โดยการที่นักบินสละชีพ ชัยชนะครั้งนั้นส่งผลให้มีการก่อตั้งหน่วยรบพิเศษกามิกาเซ่ขึ้นเพื่อต่อกรกับอเมริกา
              และในวันนี้ที่โรงเรียนชายของจงอินจะมีทหารของกองทัพมาประชาสัมพันธ์ถึงการเข้าสมัครในกองทัพกามิกาเซ่ ฉันกับคยองซูเรียนอยู่ที่โรงเรียนสตรีจึงไม่มีการเข้าฟังการประชุมนี้   
              “เธอว่ามันจะเป็นยังไงกองบินกามิกาเซ่นี่”
              “ฉันจะรู้หรือเซฮุนแต่ไม่ว่าจะเป็นยังไง การเข้าร่วมรบกับกองทัพก็เป็นเรื่องน่าภูมิใจที่สุด”
              หลายครั้งที่ฉันนึกเสียใจที่ตัวเองไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ชาย ถึงแม้จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสดใสไม่ได้ แต่ก็ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้แก่วงศ์ตระกูล ได้ปกป้องจักรพรรดิ และสำแดงอำนาจให้ชาติอื่นได้รับรู้
              ผิดกับจงอิน จงอินมักบอกว่าเขาเกลียดสงคราม การกระทำของเขาราวกับทำตัวเป็นคนที่ไม่รักชาติ ดังนั้นช่วงนี้ฉันจึงโกรธๆ จงอินอยู่บ้างที่เวลาพูดถึงเรื่องการรบทีไรเขาจะพูดอะไรที่ขัดใจฉันทุกครั้ง
              แต่สิ่งที่น่าโมโหกว่าคือลึกๆ ในใจฉันแล้ว มันก็เป็นความหวาดกลัวอย่างน่ารังเกียจแบบที่จงอินบอกจริงๆ ..การหวาดกลัวความตายของคนที่เรารัก
              “ไปกินข้าวกันดีกว่าคยองซู”
              เซฮุนเรียกฉัน เธอถือข้าวทั้งกล่องของฉันและของเธอไว้พร้อมเสร็จแล้ว
              “ได้สิไปกินที่สนามก็แล้วกัน”
              “อื้ม”


              ระหว่างมื้อกลางวันเซฮุนนั่งเหม่อลอยมองไปแต่ทางที่โรงเรียนของจงอินตั้งอยู่ตลอดเวลา
              “นี่เธอยังชอบจงอินอยู่อีกเหรอ”
              ฉันอดถามไม่ได้ก็เซฮุนเล่นกินข้าวไปแค่คำสองคำ แล้วสายตาก็เอาแต่มองไปทางนั้นราวกับว่าเธอมองเห็นภาพจงอินนั่งหลังตรงทำหน้าเคร่งขรึมอยู่ในห้องประชุมงั้นแหละ
              “แล้วเธอเลิกชอบเขาไปแล้วรึไง”
               เซฮุนค้อนฉันตาเขียว ก่อนจะถามกลับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ฉันนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง 
              “ยังหรอก ก็ยังชอบอยู่" 
               แต่ช่วงนี้หมอนั่นชอบขัดคอฉันเสียเหลือเกิน คิดแล้วก็น่าโมโหชะมัด 
              "แต่ตอนนี้เริ่มไม่ชอบมากกว่าชอบแล้ว” ฉันเสริม
              “ให้จริงก็แล้วกัน”
              เซฮุนยิ้มจนดวงตาที่น่าหลงไหลคู่นั้นโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว ฉันย่นจมูกด้วยความหมั่นไส้
              “กินข้าวเถอะน่าแค่จงอินเข้าฟังประชุมของกองทัพเป็นครั้งแรก เธอก็ถึงกับกินข้าวไม่ลงแล้วถ้าเกิดเขาไปเป็นทหารเธอจะทำยังไง ถึงแม้จงอินจะปอดแหกมากจนฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นก็เถอะ”
              “ฉันจะทัดทานเขาไว้สุดความสามารถเลยล่ะ”
              คำตอบของเซฮุนที่สวนขึ้นมาทันทีทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมาจากกล่องข้าวและรู้สึกอยากตำหนิเพื่อนรักอยู่บ้าง แต่เซฮุนกลับพูดต่ออย่างไม่กลัวคนเจ้าอารมณ์อย่างฉันโกรธ
              “ฉันพูดจริง แล้วเธอห้ามมาโกรธฉันด้วย ฉันรักชาติ แต่ฉันก็รักพ่อ และรักจงอินเหมือนกัน ฉันเสียพ่อไปในการรบแล้วนะคยองซู บางทีศักดิ์ศรีและความยิ่งใหญ่ อาจจะนำมาแต่ความเจ็บปวดให้กับพวกเราก็ได้”
              “แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น เธอควรจะภูมิใจนะที่พ่อเธอเป็นวีรบุรุษ”
              ฉันแย้ง คนญี่ปุ่นเราไม่เคยหวั่นกลัวความตาย เราภูมิใจที่จะได้ปกป้องแผ่นดินและองค์จักรพรรดิ!
              “เมื่อจดหมายแจ้งการตายข่าวมาถึงมือเธอ เธออาจจะเข้าใจฉันก็ได้ ว่าบางครั้งเราก็ไม่ได้อยากให้พ่อเป็นวีรบุรุษมากไปกว่าการเป็นพ่อที่คอยอยู่ข้างๆ เราหรอก ฉันต้องหลอกคนอื่นตลอดเวลาว่าฉันภูมิใจ แต่ลึกๆ แล้ว ฉัน..”
                  เซฮุนเม้มริมฝีปากและไม่ยอมพูดต่อจนจบ ฉันเองก็รู้สึกไม่อยากฟังแล้วเหมือนกันจึงก้มหน้ากินข้าวต่อไปเงียบๆ ส่วนเซฮุนเองก็คีบกับเข้าปากอีกนิดหน่อย เมื่อหมดเวลาพักพวกเราจึงกลับเข้าไปในห้องเรียน
              ฉันมั่นใจมากว่าคิมจงอินไม่มีวันเป็นทหาร
              มั่นใจมากจริงๆ


              หมอนั่นจงใจหายตัวไปแน่ๆ
              สามวันแล้วที่ฉันกับเซฮุนไม่เจอจงอิน เขาไม่อยู่ที่ไหนเลย ไม่ว่าจะที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่ศาลเจ้า หรือที่อื่นๆที่ควรจะอยู่
              ดังนั้นวันนี้ฉันเลยมาดักรอเขาที่บ้านโดยขออนุญาตคุณน้าขึ้นมารอบนห้องนอนของจงอิน ฉันไม่ได้ขึ้นมาบนห้องของจงอินนานแล้ว ตั้งแต่พวกเราขึ้นชั้นมัธยมปลายก็ไม่ได้ขึ้นมาอีกเลย ห้องของเขาก็เหมือนกับเมื่อก่อนค่อนข้างสะอาดและเรียบร้อย 
              ฉันเดินดูนั่นดูนี่ อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นเขาวางรูปถ่ายของเขา ฉัน และเซฮุนไว้ข้างๆ รูปถ่ายครอบครัว พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็ก จงอินใจดีและเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว  เขามีความอ่อนโยนอย่างที่พวกเราหาไม่ค่อยได้ในผู้ชายคนอื่นๆ ดังนั้นในตอนที่ฉันกับเซฮุนแลกกันบอกความลับของกันและกัน พวกเราจึงรู้ว่าต่างคนต่างก็ชอบจงอิน แต่ทั้งฉันทั้งเซฮุนต่างก็ไม่มีความกล้าพอที่จะเอามิตรภาพไปแลก ดังนั้นพวกเราจึงได้แต่ทำตัวกันแบบเดิม ส่วนฉันกับเซฮุนกลับยิ่งสนิทกันมากกว่าแต่ก่อนเสียอีก
                จงอินวางกองสมุดและการบ้านทิ้งไว้บนโต๊ะซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ถูกวางอย่างระเกะระกะในห้องนี้ ฉันถือวิสาสะเสียมารยาทเข้าไปจัดการเก็บวางให้เรียบร้อย
              ในตอนนั้นฉันคิดว่าต้องมีเทพเจ้าองค์ใดดลใจเป็นแน่ เพราะเมื่อกองสมุดถูกเก็บเข้าที่ สิ่งที่ถูกทับอยู่ใต้ล่างสุดคือสิ่งที่ทำให้หัวใจของฉันร่วงหล่นลงไป หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งฉันก็ไม่อาจทนรอจงอินได้ ฉันไม่อาจพบเขาในเวลานี้ได้ จึงวิ่งกลับบ้านมาในทันที
              “อ้าว คยองซู”
              หมอนั่นยืนอยู่ตรงนั้นแต่ฉันกลับไม่มีความกล้าพอที่จะไปเดินเข้าไปคุยกับเขา ดวงตาของฉันร้อนผ่าว ฉันไม่อาจแม้จะมองหน้าเขาได้ ไม่อาจคิดถึงอะไรที่เป็นเขาได้เลย
              ฉันวิ่งหนีจงอิน วิ่งหนีตัวเอง และวิ่งหนีกระดาษใบสมัครหน่วยรบพิเศษกามิกาเซ่ที่กรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้วที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะของจงอินนั้นด้วย


              กามิกาเซ่ คือ พายุที่พวกเราเชื่อกันว่าเป็นพายุแห่งเทพเจ้าที่พัดมาช่วยขับไล่กองทัพเรือของชาวมองโกลเมื่อครั้งกระโน้น แต่ตอนนี้ ‘กามิกาเซ่’ คือหน่วยรบพิเศษที่รับอาสาสมัครนักบินรุ่นหนุ่ม ต้องไม่เป็นคนที่เชี่ยวชาญหรือเป็นเสืออากาศ เพราะบุคคลเหล่านั้นจำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกนักบินอาสาสมัครเหล่านี้ในการขับเครื่องซีโร่ เครื่องบินติดระเบิดหนักสองร้อยปอนด์ ความคล่องตัวต่ำ เป้าหมายคือพุ่งชนเรือรบของฝ่ายอเมริกาให้แหลกเป็นจุนด้วยระเบิดที่ติดไปกับเครื่องบิน ด้วยตัวเครื่องบินที่จะเติมน้ำมันแบบตีตั๋วเที่ยวเดียว และด้วยชีวิตของนักบินผู้ขับเครื่องด้วย
              จงอินกรอกไปแล้ว ใบสมัครเข้าหน่วยรบพิเศษนี้ ด้วยนิสัยที่แม้จะอ่อนโยนแต่ก็เป็นคนมุ่งมั่นของเขา เขาจะต้องไปแน่ ต้องไปเข้าหน่วยนี้แน่ หน่วยรบที่ไร้ทางหนีไม่ว่าภารกิจจะบรรลุหรือไม่ ผลแห่งความสำเร็จมีเพียงความตายเท่านั้น
              เขากำลังจะกลายเป็นบุคคลอันน่านับถือเป็นวีรบุรุษและทหารอันทรงเกียรติที่ตายเพื่อชาติและแผ่นดินไม่ใช่เป็นเจ้าคนขี้ขลาดอ่อนแออย่างที่ฉันเคยต่อว่า
              ทั้งๆ ที่จงอินกำลังจะทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น แต่ในหัวใจของฉันไม่มีความยินดีปรากฏอยู่เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ท่วมท้นอยู่ในตอนนี้ คือคำสองคำที่อ่านว่า เสียใจ

    ---------------
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in