เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storyต้นกล้า บุญญพลัง
"ตัณหา" ตอนที่ 1
  • วันนี้เราได้เทพื้นใต้ฐานองค์พระเพื่อ
    เป็นทางเดินมนการแบกหิน ปูน ทราย
    ไปยังโม่ปูนด้านหลังฐานองค์พระ

    ในระหว่างที่กำลังทำงานอาจารย์ก็พูดถึงตัณหาทั้ง 3 เพราะวันนี้อาจารย์แกล้งขอพระคืนจากช่างพร

    เราจะเห็นชัดเจนว่ายามที่เราอยากได้สิ่งๆ หนึ่งที่มันได้ต้องตาต้องใจ

    มันก็จะแสดงถึงเจตนาที่บ่งบอกให้รู้ว่า ใจนั้นมันต้องการในสิ่งๆ นั้น

    เมื่อสิ่งที่ปรารถนานั้น มันไม่ได้ดั่งใจที่มันคาดหวัง
    ย่อมเป็นธรรมดาใจนั้นต้องรู้สึก "ทุกข์ใจ"

    ที่มันทุกข์...เพราะมันเสือกดันไม่ได้ดั่งใจ
    ที่มันต้องการ

    ใจย่อมจมลงไปในกระแสที่บนหนทางแห่ง "สมุทัย"

    ผลคือ...ความอึดอัด ขุ่นเคืองใจรู้สึกเหมือนกับว่า...

    โลกนี้มันช่างไม่น่าโสภาเสียนี่กระไร

    แต่ถ้าสิ่งที่มันปรารถนาเสือกได้ มันก็จมไปกับกระแสแห่ง "ความสุข"
    อันมีความถูกใจ ชอบใจ ได้ดั่งที่ใจมันต้องการ

    ทั้งๆ ที่ความสุขนั้น...

    มันก็เป็นเพียงแค่ตัณหาแห่งความถูกใจ
    ที่ไม่ต่างอะไรจากความไม่ถูกใจ

    เพราะผลมันแสดงให้เห็นอยู่ว่า เมื่อถึงยามที่กำลังจะสูญเสียมันไป

    ความทุกข์ใจย่อมหวลมาให้ใจดวงนี้
    กลับมาเศร้าหมอง

    ตลอดชีวิตที่ดำรงมา...

    ล้วนมีแต่ความปรารถนาเดิดขึ้นอยู่ตลอด

    และเราก็ย้อมมันด้วยการเสาะแสวงหา
    เพื่อที่จะให้ได้มันมาเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

    เมื่อเราได้ในสิ่งนั้นๆ แล้วความอยากที่มันอยากได้

    ย่อมเป็นเพียงแค่ขยะทางความรู้สึก
    ที่ไร้ซึ่งความอยากที่จะได้มันมา

    แต่ความอยากตัวนี้จะหวลกลับมาอีกครั้ง

    เมื่อสิ่งที่ได้มานั้นกำลังจะถูก "พราก" ไปจากเราไป

    ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตก็ดี
    วัตถุก็ดี ความรู้สึกต่างๆ ที่เข้ามาก็ดี

    ทุกๆ สิ่งล้วนเป็นกระแสแห่งตัณหา

    ที่อาศัยใจที่มีตัณหาผุดขึ้นมาจากใจ
    อย่างไม่รู้จักจบ...

    ถึงอยากก็เป็นตัณหา

    ไม่อยากก็เป็นตัณหา

    เฉยๆ ก็เป็นตัณหาอีกตัวหนึ่ง...

    เรามีตัณหาเป็นเครื่องอยู่ในการหล่อเลี้ยง
    ดำรงตนนั่นคือความจริง

    ถึงจะศึกษาตำราอย่างถ่องแท้
    แต่หากขาดการปฏิบัติเพื่อดูจิตดูใจ
    มันก็ยังมีโอกาสที่จะจมไปกับกระแสแห่งความอยาก

    ถึงจะปฏิบัติดูจิตดูใจ จนมองเห็นถึงอาการแห่งจิตและใจ

    แต่หากยังขาดผู้ชี้ที่เข้าใจในสรรพสิ่ง
    ตรงตามความเป็นจริง
    มันก็ยังมีโอกาสที่จะจมไปกับกระแสแห่งความอยาก

    ถึงจะมีผู้ชี้ที่เข้าใจสรรพสิ่งตรงตามความเป็นจริง
    แต่หากยังเอาตัวตนเข้าเป็นเจ้าของในธรรมที่แสดง
    มันก็ยังมีโอกาสที่จะจมไปกับกระแสแห่งความอยาก

    เราเห็นไหมว่าแท้จริงนั้น ความอยากมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะเข้าไปเห็นได้ตามความเป็นจริง

    ถึงเราจะมีตำรา มีการดูใจและมีครูบาอาจารย์เพื่อชี้
    ให้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

    แต่เราก็ยังคงดูสิ่งที่อยู่ตรงนั้นอย่างมืดบอด
    เพราะมันยังเอาตัวตนเข้าไปดู...

    ถึงเราจะมีดวงตาที่แหลมคมสักแค่ไหน

    แต่หากว่าตาที่เราลืมดูอยู่นั้นมันอยู่ในที่ที่มิดสนิท

    เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดที่มืดบอด
    ที่มองสิ่งที่...อยู่ตรงหน้า

    ถึงแม้ว่าสิ่งที่ต้องการจะเห็นมันยืนอยู่ตรงหน้าเราแท้ๆ

    นี่คือความจริง...

    การบวชเข้ามานั้นไม่ใช่ว่าผู้ออกบวชจะละแล้วซึ่งกิเลสอย่างหมดจรด

    กิเลสมันก็ยังคงมีอยู่อย่างเต็มในหัวใจ

    เพียงแต่ว่าผู้ออกบวชนั้น เขามีคอกกั้นใจไม่ให้ได้เผลอไผล
    ได้ไปทำตามอำเภอใจ

    เราอาศัยคอกเพื่อกักขังใจดวงนี้
    ไม่ให้มันได้เพ่นพล่านไปทำร้ายใคร

    ใช่ว่าอยู่ในเพศนี้แล้วกิเลสมันจะตายซะที่ไหน

    กิเลสมันไม่ได้กลัวผ้าเหลือง...

    แต่คุณแห่งผ้าเหลืองที่อาศัยพระธรรมวินัยตะหาก

    ที่จะเป็นคอกกั้นให้ใจไม่ให้ทำอะไร
    ไปตามอำเภอใจที่มันต้องการ

    ใครๆ จึงมักเข้าใจว่าผู้ที่ออกบวชคือ "คนดี"

    อันที่จริง นักบวชก็คือคนที่เสือกคิดว่า
    นักบวชจะต้องเป็นคนดี

    มันจึงกลายเป็นคนดีแบบที่มันเอาตัวตนเข้าไปเป็น

    เพราะคนเขานิยมพระพิมพ์นิยม

    ต้องเป็นแบบนั้นสิคนถึงจะกราบ

    ต้องเป็นแบบนี้สิคนถึงจะศรัทธา

    แต่มันลืมอะไรไปบางอย่างว่า...

    เราออกบวชไม่ใช่บวชมาเพื่อ
    ให้ใครเขาเข้าใจว่าเราเป็นคนดี

    ต่อหน้าองค์พระประธานอันเป็นตัวแทนแห่ง
    พระพุทธชินสีห์บวรสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เราได้ประกาศไปแล้วว่า เราออกบวชนั้นจักเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง

    เพราะฉะนั้นเรากำลังเดินบนเส้นทางไหนนั้น

    ขอให้ลองนำมาพิจารณาดู...

    พระวิน วัดป่าบุญญพลัง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in